บทที่ 4 พบคนในอดีต
ภายนอกรถม้าคันใหญ่ทั้งหมดสี่คันนับว่าหรูหรางดงาม ไม่แปลกที่จะถูกโจรหมายตาเข้า เพียงแต่ที่ด้านหลังขบวนมีองครักษ์ในชุดรัดกุมตามมาราวสิบคน ซ้ำยังใช้ถนนหลวงในการเดินทาง โจรเหล่านั้นไม่กลัวเลยหรือ ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าโดยแท้
ในอดีตเจียงชิงหว่านไม่เคยประสบกับเรื่องเช่นนี้ ในใจนางก็หวาดกลัวเช่นกัน ทว่าเห็นเหยาซื่อตกใจจนหน้าถอดสีไปแล้ว จึงอยากจะแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็นเพื่อปลอบขวัญอีกฝ่าย
ทว่าเจียงชิงหว่านยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ถูกเหยาซื่อดึงตัวไปหลบข้างหลังอย่างแรงจนนางรู้สึกเจ็บข้อมืออยู่บ้าง
ถึงแม้เหยาซื่อจะมีสีหน้าที่ตื่นกลัว แต่ยังคงพูดกับเจียงชิงหว่านอย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่น “ประเดี๋ยวเจ้าก็หลบอยู่หลังแม่ อย่าออกมา วางใจได้ แม่จะปกป้องเจ้าเอง จะไม่ปล่อยให้คนพวกนั้นทำร้ายเจ้าได้แม้แต่น้อย”
ถึงกับใช้ร่างของท่านมาปกป้องข้า?
เจียงชิงหว่านซาบซึ้งใจจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บบนข้อมือแล้ว กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ พวกเรามีองครักษ์อยู่ โจรพวกนั้นล้วนไม่ได้รับการฝึกมา ไหนเลยจะสู้องครักษ์ของพวกเราได้”
ได้ยินบุตรสาวพูดปลอบขวัญเช่นนี้ เหยาซื่อก็ใจสงบลงเล็กน้อย นางยื่นมือไปแง้มม่านหน้าต่างด้านข้างออกมองดูข้างนอก เจียงชิงหว่านเองก็มองด้วยเช่นกัน
เห็นองครักษ์สิบกว่าคนนั้นชักดาบตรงเอวออกมาแล้ว ดาบเหล่านั้นสะท้อนแสงอาทิตย์ สาดประกายเจิดจ้า พวกเขายืนล้อมโดยมีรถม้าทั้งสี่คันอยู่ตรงกลาง บนใบหน้าของแต่ละคนดูขึงขังเคร่งเครียดยิ่ง สายตาจ้องมองกลุ่มโจรที่ตะบึงออกมาจากในป่าทางด้านหน้า
ดำทะมึน…ไม่รู้ว่ามีจำนวนกี่คนกันแน่
เวลานี้เองคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าองครักษ์ก็ก้าวออกมา ตะโกนเสียงดังไปยังโจรที่อยู่ด้านหน้า “นี่เป็นรถม้าของจวนหย่งชางป๋อแห่งเมืองหลวง เจ้าพวกชั่วช้าที่ด้านหน้านั่นอย่าได้อวดดี รีบถอยไปเสีย มิเช่นนั้นจะทำให้พวกเจ้ามาแล้วไม่ได้กลับ!”
พอได้ยินว่าเป็นรถม้าของจวนหย่งชางป๋อแห่งเมืองหลวง โจรจำนวนมากก็เริ่มหวาดกลัว ยืนอยู่กับที่ ไม่ได้ก้าวมาข้างหน้าต่อ
ทว่ามีคนท่าทางโผงผางหยาบคายและพาดดาบใหญ่ไว้บนบ่าผู้หนึ่งได้ยินแล้วกลับพูดยิ้มๆ “หย่งชางป๋อแห่งเมืองหลวง? เมืองหลวงอยู่ห่างจากพวกเราสิบหมื่นแปดพันหลี่* ต่อให้บิดาปล้นรถม้าเขา ก็ให้เขาพาคนมาจัดการบิดาสิ” พูดพลางแกว่งดาบใหญ่ในมือ ก่อนร้องเรียกคนทั้งหลาย “ทำใจกล้าๆ หน่อย เข้าไปปล้นได้เลย! ฆ่าได้หนึ่งคน บิดาตกรางวัลให้สิบตำลึง”
มีเงินวางอยู่ต่อหน้า คนเหล่านี้ก็ราวกับได้กินหัวใจหมีดีเสือดาวส่งเสียงตะโกนลั่นพลางพุ่งตัวมาข้างหน้าต่อ
เหยาซื่อเห็นแล้วให้อกสั่นขวัญแขวน มือที่จับม่านสั่นเทา นางหันหน้ามาพูดกับเจียงชิงหว่านด้วยใบหน้าหวาดหวั่นระคนสร้อยเศร้า “มี…มีโจรมากถึงเพียงนี้เชียว?”
คราวนี้หลบไม่พ้นแน่แล้ว
เจียงชิงหว่านเองก็ใจหายเช่นกัน ทว่านางมิได้พูดอะไร ยังคงมองสถานการณ์ด้านนอกดังเดิม
อุตส่าห์ได้ฟื้นคืนชีพมาทั้งที นางไม่อยากตายอีกครั้งในตอนนี้
แม้องครักษ์ของจวนป๋อจะกล้าหาญชาญชัย แต่โจรก็มีมากเกินไป อีกทั้งแต่ละคนล้วนเป็นพวกเดนตาย มีองครักษ์หลายคนได้รับบาดเจ็บจนล้มลงไปแล้ว โจรเหล่านั้นเข้ามาใกล้ขึ้นทีละนิดจนจะบุกมาถึงตัวคน
ในที่สุดเหยาซื่อก็ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว เจียงชิงหว่านยังไม่ทันได้ปลอบนางก็มองเห็นบนศีรษะอีกฝ่ายมีปิ่นเงินอยู่อันหนึ่ง จึงยกมือดึงปิ่นออกมากุมแน่นไว้ในมือ
หากพวกองครักษ์ด้านนอกต้านไว้ไม่อยู่ ปล่อยให้โจรพวกนั้นมาจับตัวพวกนางแม่ลูกจริงๆ ถึงเวลานั้นการจะตายอย่างสบายก็ยังเป็นเรื่องยาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตายหนนี้ สวรรค์จะให้ข้าได้มีชีวิตอีกครั้งหรือไม่
เกรงว่าคงจะไม่แล้ว…
เจียงชิงหว่านยิ้มเยาะตนเอง สายตายังคงมองนอกหน้าต่างรถ
เมื่อองครักษ์สองสามคนล้มลง โจรเหล่านั้นก็ยิ่งบ้าคลั่ง พวกมันบางคนพุ่งตัวไปถึงหน้ารถม้าคันที่สามแล้วเปิดม่านรถออก จากนั้นก็หันหน้ากลับไปตะโกนบอกหัวหน้าโจรด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า “ลูกพี่! มีหญิงงาม!”
ลูกพี่ของพวกเขาทางหนึ่งกวัดแกว่งดาบใหญ่ในมือปะทะกับองครักษ์ ทางหนึ่งก็ตะโกนตอบ “ไปดูว่าในรถม้าคันอื่นมีอะไร!”
ลูกน้องรับคำ ก่อนมองรถม้าคันที่สองแล้ววิ่งไป
เห็นมือของโจรกำลังจะแตะถึงม่านรถอยู่รอมร่อ เหยาซื่อก็หวีดร้องขึ้นมาด้วยอารามตกใจ เจียงชิงหว่านเองก็หน้าซีดเผือด ยกปิ่นเงินที่กุมอยู่ในมือขึ้นจ่อคอตนเอง
เวลานี้เองก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศดังแหลมมา ไม่รู้ว่าเป็นลูกธนูจากที่ใดยิงทะลุศีรษะคนผู้นี้
มันทะลุเข้าไปในขมับซ้าย หัวธนูทรงสามเหลี่ยมโผล่ออกมาทางขมับด้านขวา บนนั้นเปื้อนของสีขาวและสีแดงอยู่จำนวนมาก
เหยาซื่อตาเหลือกหมดสติไปแล้ว เจียงชิงหว่านเองก็ตกใจไม่น้อย หัวใจในอกคล้ายจะหยุดเต้นก็มิปาน ตะลึงมองคนผู้นั้นตัวแข็งล้มลงด้านข้างโดยที่สองตายังเบิกถลน
ต่อจากนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศดังอย่างต่อเนื่อง มีโจรล้มลงไม่ขาดสาย และยังมีคนจำนวนหนึ่งควบม้าห้อตะบึงมาก่อนจะพลิกตัวลงเข้าร่วมการต่อสู้ แค่เห็นก็รู้ว่าพวกเขามีวิทยายุทธ์เป็นเลิศ แต่ละคนสามารถรับมือโจรได้เป็นสิบคน
สถานการณ์พลิกผันในทันใด
จิตใจของหัวหน้าองครักษ์พลันฮึกเหิมขึ้นมา รีบบอกให้พี่น้ององครักษ์ของตนสังหารโจรต่อ โจรเหล่านั้นเห็นท่าไม่ดีก็ผิวปาก สู้พลางถอยพลาง กระเจิดกระเจิงราวนกแตกรัง หลบเข้าไปในป่าทึบอย่างรวดเร็ว
กระนั้นหัวหน้าองครักษ์ก็มิได้มีท่าทีจะถือโอกาสรุกไล่ต่อ เพียงเห็นสถานการณ์ดีขึ้นพอสมควรก็รามือ เรียกองครักษ์คนอื่นกลับมาทั้งหมด
จากนั้นเขาก็ส่งคนไปคุ้มครองความปลอดภัยของพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียง พร้อมกับกุมมือคารวะไม่กี่คนนั้นด้วยความจริงใจ “ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ มิทราบว่าทุกท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร ข้าจะกลับไปแจ้งต่อท่านป๋อของพวกข้า ท่านป๋อจะต้องซาบซึ้งน้ำใจของทุกท่านอย่างแน่นอน”
และบอกอีกว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าคือครอบครัวของหย่งชางป๋อ
คนในชุดเจี้ยนอี* ผ้าไหมสีเขียวครามที่บนแก้มขวามีรอยแผลเป็นอยู่รอยหนึ่งมองหัวหน้าองครักษ์พลางพูดอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ทราบดีว่าพวกท่านเป็นคนของจวนหย่งชางป๋อ หากมิใช่คนของจวนหย่งชางป๋อ ท่านโหวของข้าก็คงไม่ให้พวกข้ายื่นมือมาช่วยหรอก”
เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกำลังลงจากรถม้าโดยมีเถาเยี่ยประคอง ได้ยินคนผู้นี้พูดภาษากลางอย่างคล่องแคล่ว ซ้ำยังติดสำเนียงเมืองหลวง จึงถามว่า “ขอถามผู้มีพระคุณ พวกท่านมาจากเมืองหลวงหรือ”
ซ้ำเขายังเอ่ยถึง ‘ท่านโหว’ ดูท่าภูมิหลังจะไม่ธรรมดา
นางใช้สายตาพินิจมองคนผู้นี้ เห็นเขามีอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี รูปโฉมดูคมคาย น่าเสียดายที่บนแก้มขวามีรอยแผลเป็นดูน่ากลัวอยู่รอยหนึ่ง ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่าเขาดุร้าย ทว่าดูจากท่าทางของเขาก็น่าจะเป็นคนที่ชอบยิ้มผู้หนึ่ง
คนผู้นี้เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็กุมหมัดคารวะและเอ่ยเรียกนางว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไม่แน่ใจในพื้นเพของอีกฝ่าย อีกทั้งเมื่อครู่เขาเพิ่งจะช่วยพวกนางไว้จึงไม่กล้ารับการคารวะจากเขา รีบเบี่ยงตัวหลบ ซ้ำยังจะคารวะเขากลับด้วย
คนผู้นี้ยิ้มพลางเบี่ยงตัวหลบ “ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงให้เถาเยี่ยเรียกเหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านลงมาขอบคุณผู้มีพระคุณพลางถามชื่อแซ่ของคนผู้นี้ เหตุด้วยต้องการจะตอบแทนเขา
คนผู้นี้จึงยิ้มเล็กน้อย “ผู้น้อยแซ่โจว นามฮุย ท่านป๋อรู้จักผู้น้อย เมื่อครู่ท่านโหวของผู้น้อยเห็นว่ามีโจรกำลังรบกวนฮูหยินผู้เฒ่า จึงให้ผู้น้อยมาช่วยเหลือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงย่อมต้องถามว่าเจ้านายของเขาคือผู้ใด ทันใดนั้นก็ได้ยินโจวฮุยตอบยิ้มๆ ว่า “ท่านโหวของผู้น้อยคือจิ้งหนิงโหว ท่านกลับไปบอกกับท่านป๋อ เขาก็ทราบแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจะถามต่อก็เห็นคนผู้หนึ่งควบม้าวิ่งมา ก่อนพลิกตัวลงจากม้า คารวะโจวฮุยอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านโหวเรียกท่านกลับไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
เวลานี้เจียงชิงหว่านก็ประคองเหยาซื่อลงรถม้ามาแล้วเช่นกัน ได้ยินบทสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับโจวฮุย ในใจก็กำลังนึกสงสัยเช่นกันว่าจิ้งหนิงโหวคือผู้ใด
โจวฮุยกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่าเจียง พอมองเห็นเหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านก็กุมหมัดทำท่าคารวะไปทางพวกนาง นับว่าเป็นการทักทาย จากนั้นเขาก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า หันม้ากลับ มองทางที่มาก่อนห้อตะบึงจากไป คนที่ติดตามมากับเขาก็พากันขึ้นม้าห้อตะบึงออกไปเช่นกัน
พวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองดูคนเหล่านั้นจากไปไกล จากนั้นก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากทางด้านหน้าที่คนเหล่านั้นไปยังมีคนอยู่อีกจำนวนมาก
ม้าที่คนอื่นขี่ล้วนมีขนสีผสม มีเพียงม้าของคนที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่สีดำปลอดทั้งตัว ยามแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาต้องขนก็ดูเป็นประกายราวกับผ้าต่วน
คนบนม้าดูเหมือนกำลังฟังคนข้างกายพูดอยู่ เอนร่างน้อยๆ ทว่าหลังยังคงยืดตรงราวกับต้นไผ่ ในมือของคนทางซ้ายมือเขาถือคันธนูอยู่ คาดว่าเหล่าลูกธนูเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเขายิงออกมา
พวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงต่างกำลังเดาว่าคนผู้นั้นคือจิ้งหนิงโหวที่โจวฮุยกล่าวถึง ทั้งยังลังเลว่าจะไปกล่าวขอบคุณดีหรือไม่
แต่ในเมื่อจิ้งหนิงโหวไม่ได้มาด้วยตนเอง เพียงให้โจวฮุยมาแทน ก็แสดงว่าไม่อยากพบพวกนางนัก บางทีอาจจะดูแคลนพวกนางเสียด้วยซ้ำ หากยามนี้พวกนางไปหาก็จะเป็นการไม่ดี
สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็ยังไม่ได้ไปหา เพียงแต่เรียกองครักษ์มาถามว่าจิ้งหนิงโหวคือผู้ใด
หลายปีมานี้นางอยู่ที่กานโจวโดยตลอด และไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวในเมืองหลวงนักจึงไม่รู้ว่าจิ้งหนิงโหวเป็นใคร ทว่าในเมื่อมีบรรดาศักดิ์ก็จะต้องเป็นคนที่เก่งมากแน่นอน
เวลานี้เหยาซื่อเพิ่งจะหายตกใจ รู้สึกว่าตนเองเก็บชีวิตกลับมาได้แล้ว ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้งต่อจิ้งหนิงโหวผู้นั้น จึงคิดว่ารอไปถึงเมืองหลวงแล้วจะต้องผูกมิตรกับสตรีในจวนจิ้งหนิงโหวเสียหน่อย
แต่เมื่อหันกลับมากลับเห็นเจียงชิงหว่านมีใบหน้าซีดเผือด สายตาจ้องมองด้านหน้าเขม็ง ฟันบนกัดริมฝีปากล่างแน่น กระทั่งริมฝีปากมีเลือดสีแดงฉานซึมออกมา
เหยาซื่อตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบจับมือเจียงชิงหว่านแน่น
มือเย็นเฉียบ ซ้ำยังสั่นเทา
ในใจเหยาซื่อยิ่งตระหนกขึ้นกว่าเดิม รีบเอ่ยถามว่า “หว่านวาน เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้แม่ตกใจสิ”
เรียกหว่านวานอยู่หลายรอบถึงจะเห็นเจียงชิงหว่านหันหน้ามามองนาง ดวงตามีประกายโศกเศร้าเสียใจ โกรธแค้นสับสน และยังมีอีกหลายความรู้สึกที่นางมองไม่ออก
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เสียงของนางแผ่วเบา ประหนึ่งว่าทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรง
คนเมื่อครู่นี้ คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตรงกลางผู้นั้น แม้จะอยู่ไกลจนนางมองเห็นหน้าตาเขาได้ไม่ชัด แต่ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายปี แค่เห็นเพียงเงาร่างนางก็จำได้ในแวบเดียวว่านั่นคือใคร
เขาก็คือชุยจี้หลิง คนที่เคยมาคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านนางท่ามกลางฝนตกหนักสามวันสามคืนเพื่อขอนางแต่งงาน เอ่ยสัญญาว่าจะดีต่อนางชั่วชีวิต จะไม่ทำให้นางได้รับความลำบากไม่เป็นธรรมแม้กระผีกเดียว แต่ภายหลังเขากลับมีบุตรกับสหายที่สนิทที่สุดของนาง ซ้ำยังส่งนางไปถวายตัวให้ฮ่องเต้ชราอีกด้วย
นางไม่มีทางจำผิดแน่!
บทที่ 5 จิ้งหนิงโหว
หัวหน้าองครักษ์กำลังยืนมือแนบลำตัวรายงานต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “จิ้งหนิงโหวแซ่ชุย นามว่าจี้หลิง ในอดีตฝ่าบาทองค์ปัจจุบันทรงเป็นโอรสองค์ที่สาม ซ้ำยังมิได้เป็นสายตรง ตำแหน่งหนิงอ๋องจึงไม่อาจตกมาถึงฝ่าบาท ต่อมาเมื่อหนิงอ๋องผู้เฒ่าสิ้น ใต้เท้าชุยช่วยสนับสนุนให้เขาสืบทอดตำแหน่งหนิงอ๋อง ใต้เท้าชุยทั้งมีฝีมือในการวางแผนอันสูงส่ง ทั้งมีความเหี้ยมหาญเวลาออกรบ หนิงอ๋องจึงให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก ดังนั้นหลังครองราชย์จึงแต่งตั้งใต้เท้าชุยเป็นจิ้งหนิงโหว พร้อมดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารอีกด้วยขอรับ”
แม้จะเป็นเพียงคำบอกเล่าสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่ขอแค่คิดสักนิดก็จะรู้แล้วว่าแฝงไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเพียงใด
ฝีเท้าเจียงชิงหว่านชะงักลง
ชุยจี้หลิงเป็นปัญญาชนที่มีนิสัยอ่อนโยน นางคิดมาตลอดว่าเขาจะเป็นขุนนางบุ๋น แต่คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเขาจะเป็นขุนนางบู๊ ซ้ำยังกลายเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารแล้ว…
เจียงชิงหว่านยืนนิ่ง นางได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพูดว่า “ผู้บัญชาการมณฑลทหารควบคุมดูแลกำลังทหารทั้งหมด จิ้งหนิงโหวท่านนี้จะต้องเป็นคนที่ร้ายกาจมากแน่นอน” แล้วก็ถามหัวหน้าองครักษ์อีกว่า “มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร มิใช่สมควรจะอยู่ที่เมืองหลวงหรือไร ไฉนจึงมาที่นี่ได้”
หัวหน้าองครักษ์ตอบอย่างเคารพนบนอบ “ขณะผู้น้อยออกมาจากเมืองหลวง ได้ยินว่าเผ่าต๋าต๋ากักตัวทูตที่พวกเราส่งไป ซ้ำยังยกทัพมาคอยก่อกวนปล้นชิง ถึงขั้นสังหารผู้บัญชาการทหารแห่งต้าถง ฝ่าบาทพิโรธหนัก ประสงค์ให้ยกทัพปราบปราม จึงส่งผู้บัญชาการมณฑลทหารนำทัพสามสิบหมื่นนายไป คิดว่าเมื่อครู่ผู้บัญชาการมณฑลทหารคงผ่านมาเห็นพวกเราเจอกับโจรเข้า จึงได้ยื่นมือช่วยเหลือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรู้ว่ากองกำลังรักษาเมืองหลวงขึ้นตรงกับจวนบัญชาการ เช่นนั้นคิดว่าชุยจี้หลิงกับบุตรชายของตนคงจะรู้จักกัน ทว่าไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ยังต้องซื้อของขวัญล้ำค่าสักชุดหนึ่งไปขอบคุณที่จวนด้วยตนเองจึงจะใช้ได้
ครั้นเห็นหัวหน้าองครักษ์ได้รับบาดเจ็บที่แขน ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็พูดอย่างอ่อนโยน “วันนี้ต้องขอบใจพวกเจ้ามากที่สละชีพช่วยเหลือ รอไปถึงเมืองหลวงแล้วข้าจะบอกเรื่องนี้ต่อท่านป๋อ ให้เขามอบรางวัลแก่พวกเจ้าแน่นอน”
หัวหน้าองครักษ์รีบคุกเข่ากล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวหนักไปแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของพวกผู้น้อย ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิง และคุณหนูได้รับความตกใจ ถือเป็นความผิดของพวกผู้น้อยขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงบอกให้หัวหน้าองครักษ์ลุกขึ้น ก่อนจะให้เขาไปตรวจดูอาการบาดเจ็บขององครักษ์คนอื่น
ดีที่ไม่มีใครเป็นอันตรายถึงชีวิต ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงให้พวกเขาทำแผลกันง่ายๆ ก่อน รอไปถึงเมืองข้างหน้าค่อยหาซื้อยาจากโรงหมอ
บนพื้นมีศพโจรจำนวนมากนอนระเกะระกะ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาให้เก็บกวาด สถานที่นี้ไม่ควรรั้งอยู่นาน จึงเชิญพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงขึ้นรถม้าแล้วบอกให้สารถีออกรถ คนทั้งหลายรีบเร่งออกเดินทางไปให้พ้นจากที่นี่
โจวฮุยควบม้านำอยู่ด้านหน้าชุยจี้หลิง ชุยจี้หลิงมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “ไยต้องไปยุ่งเรื่องไม่เข้าเรื่องด้วย”
ชุยจี้หลิงเองก็สวมชุดเจี้ยนอีเช่นกันเพียงแต่เป็นสีดำ ตรงคอมีคอเสื้อซับในแพรสีขาวโผล่ออกมา แสงอาทิตย์ส่องลอดใบไม้ลงมาบนร่างเขา เห็นว่าเขามีรูปโฉมหล่อเหลา รูปร่างผอม ไหนเลยจะเหมือนทหาร ดูแล้วเป็นบัณฑิตผู้หนึ่งเสียมากกว่า
โจวฮุยติดตามข้างกายชุยจี้หลิงมาเกือบสิบปี รู้จักนิสัยใจคอของเขาดี จึงพูดพร้อมยิ้มกว้าง “เจียงเทียนโย่วมักอ้างถึงเรื่องที่เคยบังธนูให้ฝ่าบาท ทึกทักว่าตนมีความสามารถนำทัพดีกว่าท่าน ตอนแรกที่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ควรต้องได้บรรดาศักดิ์สูงกว่าท่าน ตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารนี้ก็ควรเป็นของเขาเช่นกันมิใช่หรือ ปกติเวลาพบท่านล้วนเชิดหน้าชูคอ ทำท่าทางดูถูกดูแคลน คราวนี้ผู้น้อยจะทำให้เขาติดค้างน้ำใจท่านให้ได้ ดูซิว่าวันหน้าเขายังจะทำท่าเหิมเกริมต่อหน้าท่านอีกหรือไม่”
เจียงเทียนโย่วเป็นทหาร เข้าออกสนามรบมานานหลายปีแล้ว ในขณะที่ชุยจี้หลิงแรกเริ่มเป็นที่ปรึกษา ภายหลังถึงได้เริ่มนำทัพออกรบ ทว่ายุทธวิธีของเขามักเหนือความคาดหมายของผู้อื่น อีกทั้งเป็นคนละเอียดรอบคอบระมัดระวัง ไม่เคยรบแพ้ ดังนั้นต่อมาจึงมีตำแหน่งในกองทัพสูงกว่าเจียงเทียนโย่ว ทำให้อีกฝ่ายค่อยๆ เกิดความไม่พอใจ
“เจียงเทียนโย่วเป็นคนขาดความกล้า ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง คิดเล็กคิดน้อยกับผลได้ผลเสียตรงหน้ามากเกินไป คนเยี่ยงนี้ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ ไม่มีค่าพอให้ข้าเห็นเขาอยู่ในสายตา ยิ่งไม่ต้องทำให้เขาติดค้างน้ำใจใดๆ ต่อข้าด้วย” ชุยจี้หลิงมีสีหน้าเฉยเมย น้ำเสียงเย็นชา
ชุยจี้หลิงไม่เห็นคนอย่างเจียงเทียนโย่วอยู่ในสายตาจริงๆ รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีค่าแม้แต่น้อยนิดที่จะให้เขาระแวงระวังหรือดึงเข้าเป็นพวก
ทว่าการที่ในป่านี้มีพวกโจรหลบซ่อนอยู่ อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ชุยจี้หลิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็สั่งโจวฮุยว่า “พรุ่งนี้เจ้านำกำลังห้าร้อยนายมากวาดล้างพวกโจรในป่าบริเวณนี้ให้สิ้นซาก อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”
ข้างนอกปะทะกับเผ่าต๋าต๋า คลื่นลมข้างในอย่างไรก็ต้องสงบ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดเหตุผิดพลาดใดมาขัดในเวลาชี้เป็นชี้ตาย
แม้ปกติโจวฮุยจะชอบทำสีหน้าทะเล้น แต่ครั้นพูดถึงเรื่องเป็นการเป็นงานก็ยังขึงขังยิ่ง สองมือประกบเป็นหมัดพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้น้อยรับคำสั่ง”
ชุยจี้หลิงพยักหน้า จากนั้นก็รั้งหัวม้าก่อนควบตะบึงนำหน้าไปตามทางแยกด้านข้าง สำรวจสภาพพื้นที่โดยรอบต่อ โจวฮุยกับองครักษ์คนอื่นก็รีบตามไปเช่นกัน
จวนหย่งชางป๋อในเมืองหลวง
เจียงชิงอวี้เร่งฝีเท้าเดินเข้าเรือนอี๋ชุน เลิกม่านอ่อนสีเขียวต้นหอมลายดอกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องโดยไม่คอยให้สาวใช้เป็นคนทำ ก่อนเอ่ยถามเป็นชุด “อี๋เหนียง เมื่อครู่ข้าได้ยินสาวใช้บอกว่าพวกยายแก่นั่นจะมาถึงในไม่กี่วันแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ”
เมิ่งอี๋เหนียงกำลังป้อนนมวัวให้บุตรชายดื่มอยู่
นมวัวต้มกับเนยและน้ำตาลบรรจุอยู่ในชามหยกเขียว ตักเป่าให้เย็นทีละช้อนแล้วป้อนให้เจียงฉางหนิงที่อายุได้สองขวบดื่ม
เจียงชิงอวี้พุ่งตัวเข้ามากะทันหัน ทั้งยังเอ่ยปากพูดเสียงดัง เมิ่งอี๋เหนียงไม่ทันตั้งตัว มือสั่นจนทำนมหยดหนึ่งกระเซ็นตกบนหลังมือตนเอง
นมยังร้อนจี๋
เมิ่งอี๋เหนียงจึงเงยหน้าขึ้นดุเจียงชิงอวี้ “มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูด เจ้าโหวกเหวกเสียงดังปานนี้ ระวังจะทำให้น้องชายเจ้าตกใจ”
นางยื่นชามหยกในมือให้แม่นมที่ยืนอยู่ข้างๆ บอกให้อีกฝ่ายมาป้อนนมให้คุณชายต่อ จากนั้นเมิ่งอี๋เหนียงก็ลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นจากนั้นก็เรียกให้เจียงชิงอวี้มานั่งด้วย ก่อนดุนางอีกว่า “ยายแก่อะไรกัน พูดจาให้มีสัมมาคารวะหน่อย นั่นท่านย่าของเจ้า หากถูกบ่าวไพร่ได้ยินเข้าจะใช้ได้ที่ใดกัน”
เจียงชิงอวี้แค่นเสียงเบาๆ อย่างดูแคลน
ยายแก่จากชนบทผู้หนึ่ง เกรงว่าในซอกเล็บคงจะมีแต่ขี้ดิน ยังต้องให้นางมีสัมมาคารวะไปเพื่ออันใด
ล้วนกล่าวกันว่าไม่มีใครเข้าใจบุตรสาวเท่ากับผู้เป็นแม่ เพียงเห็นสีหน้าของเจียงชิงอวี้ เมิ่งอี๋เหนียงก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฟังคำของตนแม้แต่น้อย
นางจึงถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าในใจเจ้าไม่ชอบท่านย่าของเจ้า และเกรงว่าคงไม่ชอบนายหญิงกับบุตรสาวของนางยิ่งกว่า แต่ต่อให้ไม่ชอบเพียงไรก็ต้องให้ความสำคัญ แสดงชัดแจ้งออกมาทางสีหน้าเช่นนี้ก็เหมือนบอกว่าเจ้าเป็นคนไม่มีสมอง”
เจียงชิงอวี้เบือนหน้าไปมองกระถางดอกชาภูเขาที่วางอยู่บนโต๊ะสูงที่ด้านข้าง สีหน้าไม่ใส่ใจยิ่ง
หากคนที่มามีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเจียงผู้เดียวก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรทุกคนก็มิได้อยู่ในเรือนเดียวกัน แค่ต้องไปคารวะทุกเช้าเย็นเท่านั้น แต่เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านนั้นต่างออกไป
ในบรรดาบุตรสาวบุตรชายทั้งหมดนั้น บิดาชอบเจียงชิงอวี้มากที่สุด บอกว่านางมีนิสัยร่าเริงตรงไปตรงมาเหมือนกับเขา ทะนุถนอมนางราวกับไข่ในหิน มารดากุมอำนาจดูแลงานในจวนป๋อ ปกติยามไปพบปะกับสตรีจากสกุลอื่นก็เป็นมารดาพานางไป พี่สาวน้องสาวในจวนต่างไม่กล้ามีเรื่องกับนาง ผู้อื่นล้วนต้องเยินยอนาง จนนางลืมไปแล้วว่าอันที่จริงตนเป็นเพียงบุตรสาวสายรอง กระทั่งเวลานี้ที่เหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านจะกลับมาแล้ว
ต่อให้เหยาซื่อไม่มีอะไรมาอวดชาวบ้าน แต่อีกฝ่ายก็ครองตำแหน่งภรรยาเอก ไหนจะเจียงชิงหว่านอีก คนผู้นั้นเป็นบุตรสาวสายตรง ต่อไปเมื่อผู้อื่นเห็นนางอีกครั้ง ในใจจะคิดว่านางเป็นบุตรสาวสายรองแล้วดูถูกนางหรือไม่
คิดถึงตรงนี้เจียงชิงอวี้ก็รู้สึกวุ่นวายใจ เท้าขวาที่ห้อยอยู่ริมตั่งเตะม้านั่งกลมที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างแรงพลางพูดด้วยความไม่พอใจว่า “พวกนางอยู่ที่ชนบทไม่ดีหรือไร อย่างไรท่านพ่อก็ให้คนส่งเงินกลับไปทุกปี ไฉนต้องมาเมืองหลวงด้วย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกนางควรมา!”
ในใจเจียงชิงอวี้รู้สึกอยู่ตลอดว่าหากเหยาซื่อกับเจียงชิงหว่านมาจะยึดตำแหน่งของนางกับเมิ่งอี๋เหนียงไป ผู้อื่นก็จะพลอยดูถูกพวกนางไปด้วย
ม้านั่งกลมถูกเจียงชิงอวี้เตะเลื่อนไปข้างหน้า เสียดสีกับพื้นจนเกิดเสียงบาดแก้วหู
เจียงฉางหนิงเพิ่งจะอายุสองขวบ ได้ยินเสียงนี้ก็ตกใจร้องไห้ขึ้นมา
เมิ่งอี๋เหนียงรีบตวาดดุเจียงชิงอวี้ จากนั้นก็สั่งแม่นมว่า “เจ้าอุ้มคุณชายออกไปเล่นข้างนอกสักครู่เถิด”
แม่นมรับคำ นางวางชามหยกในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ใช้สองมืออุ้มเจียงฉางหนิงไว้ในอ้อมแขน กล่อมเขาด้วยเสียงนุ่ม “คุณชายไม่ต้องร้อง คุณหนูรองแค่คุยกับอี๋เหนียง ไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ”
นางพูดพลางอุ้มเจียงฉางหนิงเดินไปลานเรือน หลอกล่อให้เขาดูปลาทองและเต่าในอ่างดินเผา
เห็นเจียงฉางหนิงไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่กำลังตบมือมองปลาทองอยู่ เมิ่งอี๋เหนียงก็ค่อยโล่งอก นางเก็บสายตากลับมามองเจียงชิงอวี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึง
“เจ้าพูดจาปากไม่มีหูรูดจริงๆ ไม่รู้จักสำนวน ‘เคราะห์ร้ายออกทางปาก’ หรือไร บิดาเจ้าเป็นคนกตัญญู หากให้เขารู้ถึงคำพูดเมื่อครู่ของเจ้า ในใจเขาจะเห็นเจ้าเป็นเยี่ยงไร”
เจียงชิงอวี้ยังคงมีสีหน้าไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “ท่านพ่อชอบข้าที่สุดแล้ว เขาไม่มีทางดุข้าแม้แต่ครึ่งคำ อีกทั้งข้าก็ไม่เชื่อว่าในใจอี๋เหนียงจะไม่คิดอะไรสักนิดกับเรื่องนี้ อย่างอื่นยังพอว่า แต่เมื่อพวกนางมาถึง ท่านก็จะต้องไปคารวะพวกนางเช้าเย็น ไม่แน่ว่าหญิงเบาปัญญาผู้นั้นอาจยึดอำนาจดูแลงานในจวนคืนจากท่านด้วย ท่านเต็มใจหรือเจ้าคะ”
บุตรสาวผู้นี้ก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร พูดอะไรล้วนตรงไปตรงมา ไม่ว่าเมิ่งอี๋เหนียงเตือนไปกี่หนก็ไร้ประโยชน์ แต่นายท่านกลับดีใจยิ่ง บอกว่าชอบบุตรสาวที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ บอกให้นางไม่ต้องดัดนิสัยของเจียงชิงอวี้
นี่เป็นบุตรสาวคนโตของนางเอง นางย่อมไม่อยากดัดนิสัยอีกฝ่ายเช่นกัน กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดีไปหมดทุกอย่าง จึงให้ความโปรดปรานตามใจอย่างมาก มิเช่นนั้นเจียงชิงอวี้ก็คงไม่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้านาง
แต่อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ ต้องตักเตือนก่อนจะถึงเวลานั้น
เมิ่งอี๋เหนียงจึงยกมือนวดหว่างคิ้ว มองเจียงชิงอวี้พลางพูดอย่างอ่อนใจ “ใจข้าย่อมไม่อยากให้พวกนางมา แต่ในเมื่อพวกนางจะมา ข้าจะไปมีปัญญาทำอันใดได้ ซ้ำยังต้องเรียกคนไปทำความสะอาดที่พัก ซื้อหาข้าวของมาเติมให้เรียบร้อยด้วย”
เห็นเจียงชิงอวี้อ้าปากทำท่าจะพูด เมิ่งอี๋เหนียงก็ชิงพูดก่อน “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร อยากถามว่าทั้งที่ใจข้าไม่อยากให้พวกนางมาแท้ๆ เหตุใดยังต้องทำเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่ คนเราก็มักเป็นเช่นนี้ ต้องซ่อนคมไว้สักหน่อย มิใช่ในใจเจ้าเกลียดใครก็แสดงออกมา ถ้าเป็นเพียงคนที่สู้เจ้าไม่ได้ก็แล้วไป เพราะอย่างไรก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ ทำได้เพียงก้มหน้ารับอย่างเงียบๆ แต่ถ้าเป็นคนที่เหนือกว่าเจ้าเล่า อีกฝ่ายจะต้องลงมือเล่นงานเจ้าแน่นอน ดังนั้นก่อนจะแน่ใจท่าทีของฝ่ายตรงข้าม เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอดทน เข้าใจหรือไม่”
พูดถึงตอนท้าย เสียงของเมิ่งอี๋เหนียงก็ค่อยๆ เข้มงวดขึ้นมา
เจียงชิงอวี้เคยเห็นเมิ่งอี๋เหนียงมีโทสะต่อหน้านางเช่นนี้น้อยครั้งนัก พอมาเห็นในยามนี้ ในใจนางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงตอบอย่างไม่เต็มใจว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งอี๋เหนียงพยักหน้า สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้เจ้าไปเรือนปี้อู๋กับข้าสักเที่ยวเถอะ”
บทที่ 6 บุญคุณความแค้นปนเป
เรือนปี้อู๋คือที่พักที่เมิ่งอี๋เหนียงเตรียมไว้ให้เจียงชิงหว่าน
ประตูเรือนสีเขียวสองบาน บนแผ่นป้ายพื้นดำเขียนอักษรสีทองเป็นคำว่า ‘เรือนปี้อู๋’ หน้าประตูมีต้นหลิวเขียวต้นหนึ่งช่วยบังแดดให้ร่มเงา
สาวใช้นามฮุ่ยเซียงเดินไปผลักประตูเรือนทั้งสองบานให้เปิดออก ด้านในมีสาวใช้และบ่าวรับใช้สูงวัยกำลังทำความสะอาดห้องหับและลานเรือนอยู่
เมิ่งอี๋เหนียงพาเจียงชิงอวี้เดินเข้าไป สาวใช้และบ่าวรับใช้สูงวัยต่างมาคารวะทั้งสองคน เมิ่งอี๋เหนียงบอกให้พวกนางไปทำงานต่อ จากนั้นก็ถามรุ่ยเซียงที่เป็นหัวหน้าสาวใช้ของตนว่า “ที่นี่ทำความสะอาดไปถึงที่ใดแล้ว ข้าวของที่ต้องใช้หาซื้อมาเติมหมดแล้วหรือไม่”
การเก็บกวาดทำความสะอาดเรือนพักของพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงในหลายวันนี้ เมิ่งอี๋เหนียงให้รุ่ยเซียงคอยดูอยู่ข้างๆ ตลอด
รุ่ยเซียงจึงตอบว่า “ที่พักของฮูหยินผู้เฒ่าและนายหญิงเก็บกวาดเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน ข้างนอกข้างในเรือนของคุณหนูสามก็ทำความสะอาด ม่านในห้องก็แขวนจนหมด มุ้งหน้าต่างก็ติดใหม่แล้วเช่นกัน เพียงแต่เครื่องใช้ยังจัดวางไม่เสร็จดีเจ้าค่ะ”
เมิ่งอี๋เหนียงพยักหน้า นางต้องการให้พวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเหยาซื่อมาถึงแล้วหาจุดผิดพลาดของนางไม่ได้แม้แต่กระผีกเดียว เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสไปพูดว่าร้ายนางต่อหน้าเจียงเทียนโย่วได้
พอหันหน้าไปก็เห็นเจียงชิงอวี้กำลังยืนเด็ดดอกตูมของต้นไห่ถัง อยู่บนระเบียงคด เมิ่งอี๋เหนียงก็เรียกนางมาหา
เจียงชิงอวี้เดินมาถามว่า “อี๋เหนียง มีอะไรหรือเจ้าคะ”
เมิ่งอี๋เหนียงมองสีท้องฟ้า จากนั้นก็พูดกับนาง “เวลานี้บิดาเจ้าน่าจะเลิกงานกลับมาแล้ว เจ้าไปรอที่ข้างหน้า หากเห็นเขาก็จงพาเขามาที่นี่ จำไว้ว่าอย่าบอกว่าข้าเป็นคนให้เจ้าทำ”
“เหตุใดต้องทำเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เจียงชิงอวี้ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งอี๋เหนียงไม่ได้ตอบ รุ่ยเซียงที่อยู่ข้างๆ จึงยิ้มพลางอธิบายอย่างมีไหวพริบ “พอนายท่านมาถึง ได้เห็นอี๋เหนียงของเราใส่ใจกับเรื่องของคุณหนูสามถึงขนาดมาเฝ้าบ่าวไพร่ทำความสะอาดจัดวางเครื่องใช้ในเรือนด้วยตนเอง ในใจนายท่านจะต้องรู้สึกว่าอี๋เหนียงของเรานั้นเพียบพร้อมยิ่ง ต้อนรับการมาของพวกฮูหยินผู้เฒ่าด้วยน้ำใสใจจริง แต่ถ้าคุณหนูบอกนายท่านว่าอี๋เหนียงเป็นคนเรียกเขามา หากนายท่านเป็นคนคิดมาก คงจะคิดว่าอี๋เหนียงของเราเจตนาทำให้เขาเห็นเป็นแน่”
อันที่จริงก็เจตนาจะทำให้เจียงเทียนโย่วเห็นอยู่แล้ว เพื่อที่ในใจเขาจะได้เห็นเมิ่งอี๋เหนียงเป็นคนเพียบพร้อม ดีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและพวกเหยาซื่อจากใจจริง
เจียงชิงอวี้ถึงได้พลันแจ้งใจ พาสาวใช้ของตนหมุนตัวเดินออกไปนอกเรือน
เมิ่งอี๋เหนียงไม่วางใจ จึงสั่งรุ่ยเซียงว่า “เจ้าเป็นคนทำงานละเอียดรอบคอบ ตามคุณหนูรองไป นางจะได้ไม่พูดอะไรผิดต่อหน้านายท่าน”
รุ่ยเซียงรับคำ ก่อนก้าวเท้าไล่ตามไป
เมิ่งอี๋เหนียงมองแผ่นหลังของเจียงชิงอวี้พลางลอบถอนหายใจเงียบๆ
บุตรสาวผู้นี้ทำให้นางกลัดกลุ้มใจนัก เพราะมักจะไม่เชื่อฟังคำพูดนางเสมอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ช่างเถอะ มีนายท่านให้ความโปรดปรานอยู่ทั้งคน อีกฝ่ายทำเรื่องเกเรเหลวไหลในจวนเพียงใดผู้อื่นก็ไม่กล้าพูดอะไร แม้แต่ออกไปพบปะผู้คนข้างนอกก็มีแต่คนเอ่ยชมว่านางมีนิสัยร่าเริงตรงไปตรงมา ละม้ายคล้ายกับผู้เป็นบิดา ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่อกำลังจะมาแล้ว…
นางเคยพบทั้งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเหยาซื่อ เวลานั้นพี่ชายนางตายเพราะช่วยเจียงเทียนโย่ว เจียงเทียนโย่วจึงพานางกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่อจึงดีต่อนางมาก โดยเฉพาะเหยาซื่อที่ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆ เลยทีเดียว
ต่อมาขณะที่นางตั้งท้องเจียงชิงอวี้ เจียงเทียนโย่วก็เคยพานางกลับกานโจว ด้วยอยากเรียนให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมอบฐานะภรรยาอีกคนให้แก่นาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเลือกเวลาได้ไม่ดี บุตรชายของเหยาซื่อเกิดล้มป่วย ซ้ำยังตายไป ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอารมณ์ไม่ดียิ่ง ไม่ยอมให้นางได้เป็นภรรยาอีกคน หลังจากเจียงเทียนโย่วพานางกลับมาก็เพียงมอบฐานะอนุภรรยาศักดิ์สูงให้นาง
ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่ออาศัยอยู่ที่กานโจวมาตลอด ส่วนนางติดตามอยู่ข้างกายเจียงเทียนโย่ว ครั้นถึงเมืองหลวงก็เข้าอาศัยในจวนป๋อแห่งนี้ ทุกคนต่างมิได้พบหน้ากัน สองฝั่งอยู่ระดับเดียวกัน นางจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่สุดท้ายแล้วจะเป็น ‘ภรรยาอีกคน’ หรือเป็นเพียง ‘อนุภรรยาศักดิ์สูง’ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะมาในตอนนี้
อันที่จริงสามคนนั้นมาก็ไม่มีอะไรไม่ดีเสียหน่อย ถึงอย่างไรใจนางก็ยังอยากเป็นนายหญิงอยู่เสมอ เมื่อก่อนเหยาซื่ออยู่ที่กานโจวตลอดเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแทนนายท่าน นางจึงไร้หนทางจะทำให้เจียงเทียนโย่วปลดเหยาซื่อได้ ทว่าตอนนี้เหยาซื่อมาแล้ว นางก็สามารถคิดหาทางทำให้นายท่านเดียดฉันท์แล้วปลดเหยาซื่อได้เสียที
หากแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดูเป็นคนร้ายกาจผู้หนึ่ง อีกทั้งดูเหมือนในใจยังมีอคติต่อนางมากอีกด้วย…
เมิ่งอี๋เหนียงทนได้และไม่มีทางปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหาความผิดของนางได้แม้แต่นิดเดียว ทว่าเจียงชิงอวี้ต้องทนไม่ไหวแน่ ตัวนางต้องดูแลทั้งงานในจวนทั้งเจียงฉางหนิง ย่อมละเลยเจียงชิงอวี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ หากถึงเวลานั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจับผิดเจียงชิงอวี้ได้ ทำให้นางเสียเรื่องก็ไม่ดีแล้ว
เห็นทีควรต้องให้คนสุขุมๆ ไปติดตามอยู่ข้างกายเจียงชิงอวี้สักคนเพื่อคอยเตือนไม่ให้นางพูดหรือทำอะไรผิด รุ่ยเซียงเป็นคนที่ตนเชื่อใจได้ และก็มีนิสัยสุขุมหนักแน่นละเอียดถี่ถ้วน สามารถให้รุ่ยเซียงไปปรนนิบัติเจียงชิงอวี้ได้
เมิ่งอี๋เหนียงตัดสินใจแล้วก็เรียกฮุ่ยเซียง “เจ้าเข้าไปในห้องแล้วหยิบสมุดบันทึกสิ่งของกองกลางเล่มนั้นมาให้ข้าที”
ฮุ่ยเซียงเองก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าสาวใช้ข้างกายนาง แม้จะทำงานได้ไม่มีไหวพริบเท่ารุ่ยเซียง แต่อบรมสั่งสอนดีๆ ก็ใช้งานได้เช่นกัน
ฮุ่ยเซียงรับคำ หันหลังเดินออกประตูเรือนไป ผ่านไปราวสองถ้วยชาก็นำสมุดบันทึกมายื่นส่งให้เมิ่งอี๋เหนียงอย่างเคารพนบนอบ
เมิ่งอี๋เหนียงรับมาเปิดดูสิ่งที่บันทึกอยู่ด้านใน คิดว่าต้องนำของอะไรมาไว้ในเรือนปี้อู๋นี้อีกบ้าง เพื่อที่นายท่านเห็นแล้วจะได้พูดว่านางอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรี ทั้งยังทำงานเก่ง
เจียงชิงอวี้มาถึงเรือนส่วนหน้าแล้ว แต่เจียงเทียนโย่วยังกลับมาไม่ถึง
นางมองประตูเบื้องหน้า ด้านนอกมีบ่าวชายเฝ้าอยู่เพียงสองคน นอกนั้นก็ไม่เห็นเงาใครอีกแม้แต่คนเดียว
นางรู้สึกเบื่อหน่ายจึงหันหน้าไปพูดกับรุ่ยเซียงด้วยหน้าตาบูดบึ้งว่า “อี๋เหนียงให้เจ้าตามข้ามาเพื่ออะไร ข้าโตปานนี้แล้ว นางยังกลัวข้าจะพูดไม่เป็นอีกหรือ”
นางเพิ่งอายุครบสิบห้าเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ กล่าวถึงอายุก็สามารถมองหาสามีได้แล้ว แต่รุ่ยเซียงกลับรู้สึกว่าสมองของคุณหนูรองผู้นี้โตไม่ตามอายุเสียเลย
ทว่าวาจาลบหลู่เบื้องสูงเยี่ยงนี้นางจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไร จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูรองเฉลียวฉลาดออกปานนี้ ทำเรื่องใดได้ไม่ดีบ้างเล่า อี๋เหนียงวางใจในตัวท่านมาก แต่อี๋เหนียงเห็นว่าบ่าวพูดและทำอะไรไม่เป็น ถึงได้บอกให้บ่าวติดตามเรียนรู้จากท่านเจ้าค่ะ”
ถ้อยคำเยินยอนี้ทำเอาเจียงชิงอวี้ดีใจยิ่ง จึงยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที “เจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าก็รู้สึกว่าตนเองฉลาดมากเช่นกัน”
รุ่ยเซียงเออออคล้อยตามด้วยใบหน้ายิ้มๆ หางตาเหลือบเห็นเจียงเทียนโย่วเดินนำองครักษ์ไม่กี่คนเข้าประตูมาก็รีบกระซิบบอกเจียงชิงอวี้ “คุณหนูรอง นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงชิงอวี้หันหน้าไปก็เห็นเจียงเทียนโย่วจริงๆ นางจึงก้าวเท้าวิ่งไปหยุดเบื้องหน้าเขาด้วยท่าทางสดใสมีความสุข ยิ้มพลางเอ่ยเรียก “ท่านพ่อ”
ท่าทางเจียงชิงอวี้มีความองอาจคล้ายเจียงเทียนโย่วอยู่หลายส่วน ในบรรดาบุตรสาวบุตรชายก็มีนางที่หน้าตาเหมือนเขาที่สุด รวมถึงนิสัยก็ด้วย ล้วนแต่ตรงไปตรงมา อ้อมค้อมไม่เป็น ดังนั้นเจียงเทียนโย่วจึงชอบนางมาก
“ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่” เจียงเทียนโย่วบอกให้องครักษ์ด้านหลังถอยไป จากนั้นก็ถามเจียงชิงอวี้ “มารอข้าหรือ”
เชาวน์อารมณ์เท่านี้เจียงชิงอวี้ยังคงมี จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ วันนี้ทั้งวันข้าไม่ได้เห็นท่านพ่อ ก็ให้รู้สึกแปลกๆ ในใจ คาดว่ายามนี้ท่านน่าจะกลับมาแล้ว เลยตั้งใจมายืนรอท่านที่นี่”
กับคนที่เจียงชิงอวี้ชอบ นางยังคงรู้จักเจรจา ทว่ากับคนที่นางไม่ชอบ วาจาที่กล่าวออกมาก็ล้วนเป็นถ้อยคำถากถางดูแคลน
เจียงเทียนโย่วได้ยินก็ยินดียิ่ง รู้สึกว่าบุตรสาวของตนทั้งน่ารักทั้งกตัญญู จึงมีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า “ดีๆ นับว่าความเอ็นดูที่ข้ามีต่อเจ้ามิได้เสียเปล่า”
จากนั้นก็ถามนางอีกว่า “อยากได้อะไรหรือไม่ ขอแค่บอกออกมา ข้าจะให้ทุกอย่าง”
เจียงชิงอวี้นึกดู แต่ยังคงนึกไม่ออกว่าตอนนี้ควรขอสิ่งใด อีกทั้งในใจยังคิดถึงเรื่องที่เมิ่งอี๋เหนียงกำชับนางเมื่อครู่นี้จึงตอบว่า “รอข้านึกได้ว่าอยากได้อะไรค่อยมาบอกท่านนะเจ้าคะ ตอนนี้พวกเราไปหาอี๋เหนียงกันก่อนเถิด” พูดพลางจูงมือเจียงเทียนโย่วออกเดิน
รุ่ยเซียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ลอบถอนหายใจ
ที่สุดแล้วคุณหนูรองผู้นี้ก็ยังคงตรงไปตรงมาราวหนูวิ่งในกระบอกไม้ไผ่ลืมเรื่องที่เมิ่งอี๋เหนียงมอบหมายไปจนหมด ซ้ำยังเหมือนจะก่อเรื่องยุ่งอีกแล้ว
รุ่ยเซียงรีบก้าวออกมากล่าวยิ้มๆ “นายท่าน คุณหนูรอง ยามนี้อี๋เหนียงมิได้อยู่ที่เรือนอี๋ชุนเจ้าค่ะ”
เจียงชิงอวี้คิดในใจว่า…เจ้าพูดเหลวไหลอะไร อี๋เหนียงมิใช่อยู่ที่เรือนปี้อู๋หรือ
กำลังจะอ้าปากพูด เจียงเทียนโย่วกลับชิงถามออกมาก่อน “อี๋เหนียงอยู่ที่ใด”
รอให้นายท่านถามคำถามนี้อยู่พอดีเชียว
รุ่ยเซียงโล่งใจ รอยยิ้มบนหน้าดูมากขึ้นสองส่วน “เรียนนายท่าน ยามนี้อี๋เหนียงอยู่ที่เรือนปี้อู๋เจ้าค่ะ เรือนปี้อู๋เป็นเรือนที่จะให้คุณหนูสามพัก อี๋เหนียงกังวลว่าบ่าวไพร่จะเก็บกวาดไม่เรียบร้อย เมื่อกลางวันหลังให้ผู้ดูแลที่มารายงานการทำงานในโถงปรึกษางานแยกย้าย นางกลับไปกินอาหารอย่างเร่งรีบได้ไม่กี่คำ ยังไม่ทันได้พักก็รุดไปเรือนปี้อู๋ทันทีเพื่อคอยดูบ่าวไพร่เก็บกวาดด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
อันที่จริงเมิ่งอี๋เหนียงเพิ่งจะไปเมื่อครู่นี้เอง ทว่านางมีฐานะเป็นสาวใช้ อย่างไรก็ต้องพูดถึงเจ้านายของตนในทางที่ดี ทำให้เจ้านายพอใจแล้ว ตนเองก็จะได้ประโยชน์ไม่น้อย
ทางหนึ่งเจียงเทียนโย่วก็ทอดถอนใจว่าเมิ่งอี๋เหนียงดีต่อพวกฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจากใจจริง ทางหนึ่งก็ปวดใจที่เมิ่งอี๋เหนียงต้องทำงานตรากตรำ จึงจูงมือเจียงชิงอวี้พลางเอ่ยว่า “พวกเราไปดูอี๋เหนียงของเจ้าที่เรือนปี้อู๋กัน”
ครั้นมาถึงเรือนปี้อู๋ก็เห็นเมิ่งอี๋เหนียงกำลังร้องบอกให้สาวใช้นำจานประดับทำจากหยกเขียวสลักลายนกและดอกพุดตานซึ่งฐานวางทำจากไม้ประดู่ไปวางไว้บนชั้น
ได้ยินสาวใช้ที่ด้านนอกบอกว่านายท่านกับคุณหนูรองมา เมิ่งอี๋เหนียงจึงรีบหันมา เห็นเจียงเทียนโย่วก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเดินเข้ามาในห้องแล้ว
เจียงเทียนโย่วอายุสี่สิบต้นๆ เขาเป็นทหาร จึงมีบ้างบางคราที่อารมณ์ไม่ดีนัก อีกทั้งคิ้วดาบและดวงตาที่เป็นประกายก็ดูทรงพลังยิ่ง ยามนี้เดินเข้ามาอย่างองอาจผึ่งผายก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อาจหาญอยู่หลายส่วน
เมิ่งอี๋เหนียงยอบตัวคารวะเขา บนใบหน้าแย้มยิ้มอ่อนหวาน “นายท่าน กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เจียงเทียนโย่วกุมมือนางไว้พลางมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย “เมื่อครู่ได้ยินสาวใช้บอกว่าเจ้ายังไม่ทันได้กินอาหารกลางวันดีๆ ก็มาง่วนกับงานที่นี่แล้ว? กว่าพวกท่านแม่จะมาถึงก็อีกตั้งสองสามวัน เจ้าไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ สุขภาพของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” ก่อนถามนางอีกว่า “เหนื่อยหรือไม่”
ทั้งๆ ที่เป็นทหารหาญแท้ๆ กลับเอ่ยวาจาเอาใจใส่ผู้อื่นเป็น เมิ่งอี๋เหนียงพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ในครานั้นเมิ่งอี๋เหนียงพึงใจในตัวเจียงเทียนโย่วจากใจจริง นางจึงขึ้นเตียงเขาโดยปราศจากความลังเล ทั้งๆ ที่เขาอายุมากกว่านางถึงสิบกว่าปี ซ้ำยังเป็นพี่ชายบุญธรรมของนาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 ส.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.