บทนำ
“อย่าไปบอกใคร รู้กันอยู่แค่กลุ่มเรานะ”
หลังจากสิ้นสุดคำกล่าวกำชับของหัวหน้าทีม (เม้าท์) ประจำแผนก ลูกทีมชั้นดีต่างรีบชูนิ้วเป็นสัญลักษณ์โอเค ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาที่สุดแสนจะมีอรรถรสประจำวันเปรียบดังข่าวเด็ดต้นชั่วโมง สายตาของหัวหน้าทีม (เม้าท์) เหล่มองหัวหน้าทีมประจำแผนกตัวจริงเสียงจริงอย่างระแวดระวังก่อนจะกลับมามองเหล่าลูกทีมตัวจ้อยที่รอคอยข่าวเด็ดอย่างใจจดใจจ่อ
“เขาว่ากันว่าเจ๊ทอยได้ทอยสมชื่อว่ะ” สาวหัวโจกช่างเจรจาทั้งเรื่องจริงและไม่จริงจนได้รับตำแหน่งหัวหน้าทีมเอ่ย โดยมีลูกทีมหมายเลขหนึ่งรีบแทรกขึ้นทันทีด้วยความใคร่รู้ขั้นสุด
“ยังไง เล่าเร็วๆ สิเจ๊ อย่ามาทำกั๊ก”
เจ้าหล่อนต้นเรื่องทำท่าเอียงคอแล้วยักไหล่พลางมองไปยังเหล่าสมุนผู้คลั่งไคล้ข่าวก๊อสซิปประจำบริษัทด้วยสายตาประหนึ่งผู้เหนือกว่าในจุดสูงสุดของพีระมิด ก่อนจะค่อยๆ ทำเป็นกระมิดกระเมี้ยนตอบอย่างเสียไม่ได้
“ก็พี่สพลหัวหน้าทีมเซลส์อีกสาขานั่นไง ได้กันกับเจ๊ทอยแล้วจ้า เม้าท์ให้แซ่ดไปทั้งสาขานู้นแล้ว นี่พวกเราช้ามากรู้ป่ะ” สิ้นสุดประโยคแซ่บจากหัวหน้าทีม ทั้งทีมเม้าท์ต่างทำตาโตลุกวาว บางคนหันไปมองคนในข่าวด้วยอาการกึ่งริษยากึ่งหมั่นไส้อย่างอัตโนมัติ
“โหพี่ แบบนี้ไม่เม้าท์ไหวเหรอ ตัวท็อปสาขาภาคกลางเลยนะคะคู้ณ”
“ใจคอนางจะกวาดตัวท็อปของทุกสาขาเลยป่ะ เป็นข่าวกับผู้ชายรายเดือนขนาดนี้ หนนี้ก็เป็นของเล่นพี่สพลเขาอีกล่ะสิ”
“คอยดูกันต่อไปจ้าว่าจะควงกันกี่วัน เฮ้ยแยกๆ เจ๊เดินมานู่นแล้ว”
ยังไม่ทันที่คนถูกกล่าวหาจะเดินมาถึง แผนกช่างเม้าท์ก็กระจายตัวกลับเข้าที่เรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความเร็วเสมือนถูกฝึกหลบกระสุนหลังบังเกอร์ในหน่วยคอมมานโดมาอย่างเชี่ยวชาญ
แต่นั่นแหละ โคตรจะพิรุธเลยสำหรับทยาดา
หญิงสาวกลอกตาเหลือบมองฝ้าเพดานของบริษัทอย่างเซ็งในอารมณ์ จะมีสักวันไหมที่เธอไม่ถูกนินทาเป็นเป้าสายตาอยู่แบบนี้
ตั้งแต่ทำงานที่บริษัทอินฟินิตี้โปรดักส์ในตำแหน่งพนักงานขายฝึกหัดตัวกระจ้อยจนทุกวันนี้เป็นหัวหน้าทีมเซลส์สำนักงานใหญ่ ทยาดาก็หนีไม่พ้นเป็นคนในประเด็นทุกทีโดยเฉพาะเรื่องคาวๆ เรื่องหวานๆ กับเขาไม่เคยจะมีหรอก!
เอาแค่ปัดมาสคาร่าหนางอนกว่าปกติก็โดนเม้าท์ว่าช่างอ่อยไปประมาณสามคืน ทำผมผิดทรงจากเดิมก็โดนแซวว่าไปหาเหยื่ออีกประมาณเจ็ดเดือน ลือกันไม่ถงไม่ถามเธอสักคำ แค่ตอนนี้ใช้หางตามองก็พอจะรู้ว่ามีใครแอบเบะปากใส่เธออยู่ อย่างน้อยๆ ก็สองคนแล้วล่ะเท่าที่เห็น ซึ่งตัวหญิงสาวเองก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่เป็นประเด็นเด็ดเจ็ดชั่วโคตรในยามเช้านี้
ไม่นานนักหรอกเดี๋ยวก็ได้รู้ เพราะสัจจะไม่มีในหมู่โจรฉันใด รู้แล้วเงียบไว้ก็ไม่มีในกลุ่มช่างเม้าท์ฉันนั้น
แล้วก็เป็นจริงตามเคย…
“ไอ้คนเล่ามันคายหมาออกจากปากหรือยัง ถึงได้กล้าเล่าอะไรแบบนี้ออกมาได้” นิสราวางแก้วน้ำกระแทกลงบนโต๊ะอาหารเต็มเหนี่ยวทันทีที่ได้ฟังนลินีเล่าสิ่งที่ลอยเกะกะเข้าหูมาตั้งแต่ก่อนพักเที่ยง
“ทอย แกจะเฉยต่อไปอีกเหรอ ฉันว่าเม้าท์กันหนักขึ้นทุกวันเลยนะ” นิสราถามเพื่อนร่วมงานที่ซี้กันที่สุดแล้วเท่าที่เคยทำงานมา
ทยาดาส่ายหน้าเป็นคำตอบพลางตักอาหารกลางวันเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับไม่สนใจ
“แม่พระจริงเว้ย บวชชีเมื่อไหร่จะไปถวายภัตตาหารเช้าเย็นเลยให้ตาย” นลินีบ่น
“ก็แค่หมามันเห่า อีกอย่างพวกแกก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ขี้เกียจใส่ใจชาวบ้านชาวช่องที่ดีแต่นินทาคนอื่น รำคาญ!”
ทยาดาพูดทั้งที่แก้มยังตุ่ยไปด้วยอาหารมื้อเที่ยง เธอไม่ค่อยสนเรื่องพรรค์นั้นจริงๆ ดังว่า เพราะแค่เวลาทำงานก็มีไม่มากพอที่จะมาให้ราคาเรื่องไร้สาระทำนองนี้อยู่แล้ว
กลิ่นเงินมันหอมหวานกว่ากลิ่นปากหลายพันเท่า นี่แหละคติประจำใจของเธอ
“เออ ก็จริง สามสิบแล้วยังไม่เคยคบใคร ทุกวันนี้ยังใช้การได้อยู่มั้ยวะ” เมล็ดข้าวแทบกระเด็นออกจากปากทยาดาทันทีที่ได้ยินนลินีพูด แล้วยังมีหน้าหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับนิสราราวเป็นเรื่องขบขัน
“นี่หนิง ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนฉันตั้งแต่ ม.ต้น ล่ะก็ แกโดนยันโครมติดกำแพงไปนานแล้วนะ” ทยาดาชี้หน้าข่มขู่เพื่อนสาว ทำเอานิสราหัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม
“ใครใช้ให้สเป็กสูงรอฟ้าประทานล่ะ แกคิดว่าเนื้อคู่แกจะเดินชนกันแล้วภาพสโลว์มาประคองกอดกันแบบในซีรี่ส์เกาหลีเหรอวะถามจริง”
ทยาดากลอกตามองบนเพดานอันกลายเป็นสัญลักษณ์แสดงความระอาของเธอไปแล้ว หญิงสาวยกน้ำขึ้นจิบอึกหนึ่งก่อนจะเตรียมตัวเทศนาในแบบที่เพื่อนสาวทั้งสองพูดตามได้แทบจะเป๊ะทั้งประโยค
“ถ้าคนมันจะมีเนื้อคู่ เดี๋ยวก็มาเองโดยที่ฉันไม่ต้องเสียเวลามาคบหาดูใจอะไรมากนักหรอก พวกที่เข้ามาจีบมองจากบนดาวอังคารก็รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร ไม่ใช่พวกขี้หลีเป็นทุนเดิมก็หวังผลประโยชน์กันทั้งนั้น” คนพูดเว้นหนึ่งจังหวะก่อนจะเปิดประโยคไม้ตาย
“ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนสวยๆ ก็ไม่ได้โง่” ประโยคสุดท้ายนี้ทั้งสามสาวพูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน เพราะมันเป็นประโยคติดตัวทยาดาจนเป็นสโลแกนไปแล้ว
แม้ภาพรวมใบหน้าของทยาดาจะออกหมวยเต็มขั้น แต่นั่นก็ยังทำให้เธอดูสวยโดดเด่นแปลกตากว่าคนไหนในสำนักงานใหญ่ อาจจะรวมไปถึงสาขาอื่นๆ ของบริษัทอีกด้วย เพราะยามที่ประชุมรวมทุกสาขาจะต้องมีหนุ่มสักคนสองคนเข้ามาขอทำความรู้จักเธอก่อนทุกที เรียกว่าไม่ต้องขอก็มา แต่ถ้าเลือกได้เธอขอให้ไม่ต้องมาเสียดีกว่า วุ่นวายชวนปวดหัวเหมือนกับตอนนี้ที่เป็นข่าวโคมลอยก็เพราะความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอจนถึงขั้นกุเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาของใครบางคน
ยามที่ยังต้องผ่อนรถผ่อนบ้าน เงินก็ยังสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเธอ ไม่มีเวลามาให้ค่าคนประเภทนี้หรอก
“แล้วจะเอายังไงกับพวกใช้หูรูดพูดแทนปากพวกนั้นดี” นิสราเอ่ยถาม ทำให้ทยาดายิ้มมุมปากสวนกลับแทบจะทันที
“ก็ถ้าไม่มียอดส่งก่อนสิ้นเดือน ก็เท่ากับว่าชวดค่าคอมฯ กินเงินเดือนประทังชีวิตไปพลางๆ ก็แล้วกันนะ กินของดีมากก็ปากดีมาก อดอยากกันซะบ้างจะได้รู้สำนึก” ทยาดาตาแข็งกร้าวขึ้นในทันใด จนเพื่อนสาวทั้งสองรีบลูบแขนด้วยความขนลุกขนพองยามที่เจ้าตัวทำหน้าทำตาแบบนี้
อำมหิตโหดเหี้ยมและเลือดเย็นแบบนี้แหละ ถึงได้ยืนหยัดขึ้นเป็นหัวหน้าเซลส์เบอร์หนึ่งประจำสำนักงานใหญ่มาสามปีซ้อน
ทยาดาใช้วิธีต้อนลูกค้าในมือคนเหล่านั้นให้มาสนใจในข้อเสนอและต่อรองกับเธอเป็นการส่วนตัว และก่อนที่เซลส์ทั้งหลายจะตัดสินใจอะไรต้องผ่านเธอก่อน เธอเองก็มักมีลูกล่อลูกชนที่เจนจัดจนลูกค้าหลายคนต้องเปลี่ยนใจเลิกคุยกับมดตัวกระจิริดเหล่านั้นมาต่อรองข้อเสนอกับเธอแทนแทบทั้งสิ้น นั่นเท่ากับว่าไม่มีใครที่จะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่น หรือถ้าได้ ก็เป็นแค่เศษเล็กน้อยที่เธอแบ่งให้มีส่วนในการขายด้วย ถือซะว่าเป็นบุญเป็นคุณ แต่หนนี้ทยาดาคิดว่าคงจะไม่ได้ เพราะเล่นใหญ่เล่นโตกันไปจนถึงว่าได้เสียกัน
จ้ะ เสียค่าคอมฯ ให้ฉันสักคนละเดือนสองเดือนก็แล้วกันนะ พวกปากดี!
ภายใต้ดวงตาเรียวเล็กแต่ดุดันที่พร้อมจะฆ่าให้ตายด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว กอปรกับการเชิดหน้าไม่สนใจคำนินทาใดๆ ทำให้บุคลิกของเธอดูร้ายกาจในสายตาผู้หญิงทั้งบริษัทอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะทั้งหน้าตา รูปร่าง และความเก๋าเกมในตำแหน่งของทยาดาคือจุดศูนย์รวมความน่าหมั่นไส้ในสายตาผู้หญิงด้วยกัน
แต่นั่นก็กลายเป็นภาพลักษณ์ที่น่าค้นหาสำหรับผู้ชายที่ยังไม่รู้จักนิสัยของเธอดีพอเสียด้วย
“พูดถึงเรื่องอีตาสพลอะไรนั่นแล้วนึกถึงเพื่อนเขานะ ที่สัมมนารอบที่ไปกระบี่แล้วดันเกิดเรื่องน่ะ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ หน้าด้านหน้าทน เกิดเรื่องกับเพื่อนขนาดนั้นยังมามัวจีบสาวหน้าตาเฉย” นิสราเปิดประเด็น นลินีเองก็สนใจในเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย
“คนไปสบายแล้วก็ปล่อยเขาไปดีเถอะ อย่าไปขุดคุ้ยเลย” ทยาดาเอ่ยตัดบท ยิ่งทำให้เพื่อนสาวทั้งสองอยากซักไซ้มากขึ้นไปอีก
“แกเป็นคนในประเด็น แล้วก็ยังเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับสองคนนั้นก่อนจะเกิดเรื่อง”
“แต่ฉันก็ไม่ได้อยู่ตอนเขาตาย โอเคไหม ฉันรู้เท่าที่พวกแกรู้” ทยาดาใช้สายตาดุดันให้เกิดประโยชน์ด้วยการถลึงตาใส่เพื่อนทีหนึ่งจนสองสาวยกมือยอมแพ้ไม่ถามอะไรต่อ
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เขาว่ากันว่าโดนแกหักอกเลยฟูมฟายไปฆ่าตัวตายนี่ ผีเขาเฮี้ยนนะเว้ยจะบอก” นิสราพูดขึ้นลอยๆ ส่งผลให้มือที่กำลังตักอาหารชะงักนิ่ง ทยาดาปรายตามองเพื่อนสาวอย่างตำหนิ แต่นลินีกลับหัวเราะชอบใจ
เพราะทยาดาผู้ไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด หมาหน้าซอยที่ว่าดุยังต้องยอมแพ้ หัวหน้าแผนกคนเก่าที่ตั้งแง่กับเธอยังโดนเหวี่ยงใส่ แม้แต่ลูกค้าที่ว่าเรื่องมากแค่ไหนก็เสร็จเธอทุกราย
แต่ดันมาตกม้าตายเพราะกลัวผีขึ้นสมอง!
“พูดอีกทีฉันจะตีปากแกไอ้นิด!”
ทยาดาชี้นิ้วคาดโทษเพื่อนสาว มือเรียวเล็กแสร้งทำท่าจะตีดังว่า ทว่าเสียงแจ้งเตือนจากกลุ่มแอพพลิเคชั่นแชตในโทรศัพท์ของนลินีดังขึ้นขัดจังหวะหยอกล้อตบตีกันระหว่างสามสาว
นลินีเปิดอ่านดูรวดเดียวแล้วก็ลุกพรวด
“จับได้แล้วว่ะ!” ทยาดากับนิสรามองเพื่อนที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“จับตัวคนปล่อยข่าวไอ้ทอยน่ะเหรอ” นิสราถาม
“เปล่า จับตัวคนโกงที่สาขาอีสานได้แล้ว แล้วก็…สุดสัปดาห์นัดประชุมหัวหน้าฝ่ายทุกแผนกเรื่องแต่งตั้งกรรมการลำดับที่หนึ่งคนใหม่ เขาพร้อมเข้าบริหารงานแทนทันทีสัปดาห์หน้า” หัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคลอย่างนลินีรายงานข่าวสารบริษัทให้เพื่อนทั้งสองทราบ
สามสาวจึงต้องรีบเร่งมือจบอาหารมื้อกลางวันให้เร็วที่สุด เพราะนั่นหมายความว่าอีกสองวันก่อนจะถึงวันประชุมพวกหล่อนต้องทำรายงานกองโตเพื่อขึ้นนำเสนอให้แก่เจ้านายคนใหม่อย่างเร่งด่วนชนิดไฟลนก้น
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.