X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน บทที่ 11-บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 11

“เจ้าคิดกระจ่างได้ย่อมดีที่สุด” ลู่เยี่ยนพูดแล้วก็ผลักมือของเสิ่นเจินที่จับชายเสื้อเขาเอาไว้ออกไป

ในตอนนี้เองหยางจงก็เคาะประตูจากข้างนอกพลางเอ่ยเรียก “ซื่อจื่อ”

“เข้ามา” ลู่เยี่ยนพูด

หยางจงเห็นเสิ่นเจินก็หยุดคำพูดเอาไว้ แต่ลู่เยี่ยนกลับไม่ได้คิดจะหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย พูดในทันทีว่า “พูดที่นี่ก็ได้”

หยางจงพยักหน้ากล่าว “หลังจากซื่อจื่อให้หลิวอวี๋เอาเงินส่งไปที่ร้านแลกเงิน ตอนแรกไม่มีเรื่องอะไร แต่สองวันนี้ไม่ว่าจะเป็นทางผิงคังฟางหรือว่าโรงเงิน เหลาสุรา โรงน้ำชาล้วนวิจารณ์กันถึงเรื่องนี้ ข้าน้อยคิดว่ามีคนจงใจใช้วิธีสกปรกสืบข่าวอยู่ขอรับ”

“หลิวอวี๋เล่า”

“ทำตามที่ซื่อจื่อสั่งไว้ ไปเมืองฉีโจวที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองหยางโจว” เสิ่นหงถูกส่งไปที่หยางโจว ส่วนหลิวอวี๋หลังจากเอาเงินไปคืนก็หลบที่ฉีโจวเพื่อบิดเบือนหูตาของคนอื่น

“นอกจากนี้แล้ว…เมื่อวานฮูหยินสกุลหลี่ยังไปร้านไป่เซียงที่ตลาดตะวันตก และก่อนฟ้ามืดยังไปที่คฤหาสน์ลู่หยวน” เสิ่นหร่านไปหาใครที่ร้านไป่เซียง คนในห้องนี้ย่อมรู้ดีแก่ใจ

พอฟังถึงตรงนี้หัวใจของเสิ่นเจินก็บีบตัวขึ้นมา

มือขาวเนียนของนางจับไปที่ขาโต๊ะและแอบออกแรงบีบ สวรรค์รู้ว่านางอยากถามสภาพการณ์ของหงเอ๋อร์ รวมถึงแจ้งความปลอดภัยให้พี่ใหญ่ได้รู้มากเพียงใด

แต่นางเอ่ยปากพูดไม่ได้

ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด หลังจากแยกกับหงเอ๋อร์ในวันนั้นหยางจงอยากให้นางจดจำคำพูดประโยคหนึ่งเอาไว้ ‘นอกจากการรักษาชีวิตคุณชายน้อยสกุลเสิ่นแล้ว วันหน้าห้ามเอ่ยปากขอร้องลู่เยี่ยนเรื่องใดอีก รวมถึงสอบถามเรื่องของสกุลเสิ่น ถ้าทำผิดกฎระเบียบ เช่นนั้นคุณหนูเสิ่นอาจจะต้องเดินออกจากคฤหาสน์เฉิงย่วนไป’

แต่วันนี้นางได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้วจะไม่ถามไม่ไถ่ได้อย่างไร

ปลายจมูกรู้สึกแสบ ภาพตรงหน้าของนางเลือนรางในทันที

ในตอนนี้เองลู่เยี่ยนราวกับรับรู้ถึงอะไรบางอย่างจึงยกมือทาบทรวงอกและขมวดคิ้วมองนางแวบหนึ่ง

เขายกมือขึ้นบีบปลายคางขาวเนียนของเสิ่นเจิน เอ่ยพูดอย่างช้าๆ “ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไร”

เสิ่นเจินพ่นลมหายใจออกยาวหนึ่งที พยายามเรียกน้ำตากลับลงไป

ในห้องอาบน้ำมีฉากบังตาขนาดใหญ่ทำจากไม้หนานมู่ลายทองสี่บาน ไอร้อนหนาทึบลอยจากล่างขึ้นบน หลังจากลู่เยี่ยนออกไปแล้วเสิ่นเจินก็นั่งลงในถังไม้ แช่น้ำอยู่ตลอดบ่าย

จนกระทั่งน้ำอุ่นเย็นลง จากที่เศร้าสลดอย่างยิ่งจนสงบนิ่งลงได้ ใช้เวลาเพียงช่วงบ่ายนี้เท่านั้น

นางค่อยๆ ลุกขึ้น ก้าวออกจากถังอาบน้ำและสวมเสื้อตัวหนึ่ง

โม่เยวี่ยในตอนนี้บังเอิญอยากถามเสิ่นเจินว่าต้องการเติมน้ำร้อนหรือไม่ แต่พอเข้าประตูมาก็ถูกภาพตรงหน้าทำให้หายใจติดขัด

ในตอนนี้นางจึงเข้าใจว่าเหตุใดซื่อจื่อที่แม้แต่อนุภรรยาก็ยังไม่มี จู่ๆ จึงหลบผู้คนมาเลี้ยงภรรยาลับผู้นี้

ขายาวขาวเนียนของนางคู่นั้นเหยียดตรง ช่วงเอวคอดเว้าลึก ส่งให้ทรวดทรงยิ่งดูระเหิดระหง กระดูกสะบักที่โผล่ให้เห็นรางๆ ราวกับแกะสลักมาอย่างประณีต ทำให้ได้ประจักษ์แก่สายตาว่าอะไรที่เรียกว่างดงามอ่อนช้อย

เสิ่นเจินกลับไปที่เตียงและนั่งกอดเข่า

แสงจันทร์สีเงินยวงลอดผ่านช่องหน้าต่างกระทบบนผิวเท้าของนาง ในที่สุดเสิ่นเจินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเช้านี้เขาจึงให้หยางจงพูดคำเหล่านั้นต่อหน้านาง

บางครั้งคนเราก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงชั่วข้ามคืน

บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีอะไรที่ไร้สาเหตุ และไม่มีชายคนใดจะมาค้างแรมห้องหญิงสาวอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน

แต่ซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงสูงศักดิ์ หากเขาต้องการอะไรจะไม่บังคับฝืนใจใคร และจะไม่ลดศักดิ์ศรีตนเองไปเอาใจใคร

นับประสาอะไรที่นางไม่ใช่ภรรยาไม่ใช่อนุภรรยา เป็นเพียงแค่ภรรยาลับเท่านั้น

พอคิดถึงตรงนี้เสิ่นเจินสองมือกำแน่นราวกับเกิดปัญญาขึ้นมาในทันที ย้อนคิดเรื่องทุกอย่างเมื่อวานนี้

แท้จริงแล้วเขาใช่ว่าจะไม่ได้ให้โอกาสนาง

ครั้งแรกเขาถามว่า ‘ตอนเจ้าอยู่จวนโหวก็สวมเสื้อชั้นนอกนอนหรือ’

ครั้งที่สองเขาถามอีกว่า ‘เจ้าจะนั่งแบบนี้ทั้งคืนหรือ’

ทำถึงสองครั้ง

น่าเสียดายที่เมื่อคืนนางไม่เข้าใจอะไรเลย คิดเพียงว่าให้ผ่านพ้นไปวันๆ เขาแค่นเสียงหัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วนอนหลับไป

ทั้งที่เขาไม่อนุญาตให้นางถามเรื่องสกุลเสิ่น แต่กลับจงใจให้หยางจงรายงานสภาพการณ์ในเมืองหลวงระยะนี้ต่อหน้านาง เขาทำแบบนี้ หนึ่งคืออยากให้นางมองสภาพการณ์ของตนเองตอนนี้ให้กระจ่าง สองคืออยากให้นางรู้ว่าเขาไม่ติดค้างอะไรสกุลเสิ่น นางไม่มีสิทธิ์ใดไปขอร้องให้เขาทำอะไรเช่นกัน

แต่สำหรับวันหน้าเขาจะทำอย่างไรนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับนาง

ตอนพลบค่ำ เมื่อลู่เยี่ยนเลิกงานและโค้งตัวเข้ารถม้า หยางจงก็ก้มหน้าถามว่า “ซื่อจื่อ วันนี้จะกลับจวน หรือไปที่คฤหาสน์เฉิงย่วนขอรับ”

ลู่เยี่ยนหลุบตาลง ยกนิ้วชี้แตะปาก “กลับจวน”

บางคนต้องปล่อยให้อยู่ลำพังจะได้รู้สึกตัว เรื่องไม่ยินดีนี้น่าสนใจอะไรเล่า เขาไม่ชอบบังคับฝืนใจคนเช่นกัน

แต่พอเขากลับจวนก็ไม่แปลกใจที่เห็นบุตรสาวสกุลเมิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่กับเวินซื่อนั่งเดินหมากอยู่ที่ศาลาริมสระอวิ๋นหลันในจวน ส่วนเมิ่งซู่ซียืนรับใช้อยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่าลู่ มองดูไกลๆ แล้วเป็นภาพที่ดูมีความสุขอย่างยิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งเป็นเมิ่งซู่ซีที่ช้อนตาขึ้นมองเห็นเขาก่อน นางโน้มตัวมากระตุกชายเสื้อของเวินซื่อพลางพูดเสียงเบาว่า “ท่านป้า ซื่อจื่อกลับมาแล้ว”

ระยะที่ผ่านมาลู่เยี่ยนเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเมิ่งซู่ซี ทุกคนล้วนมองเห็น ฮูหยินผู้เฒ่าลู่คิดว่าเรื่องดีของพวกเขาใกล้จะมาถึงจึงรีบกวักมือเรียก “เยี่ยนเกอเอ๋อร์ มานี่สิ”

ลู่เยี่ยนเดินเข้าไปหา พูดทักทายทีละคน

แววตาที่เมิ่งซู่ซีมองเขาแฝงความอ่อนโยนขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก

ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยนเกอเอ๋อร์ เมื่อวานเจ้าไปที่ใดมา”

ข้าหลวงค้างแรมนอกบ้านเป็นเรื่องปกติมาก หลังจากเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องเหล่านี้คนในบ้านจะถามน้อยมาก

พอได้ยินคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า “ท่านย่ามีเรื่องอยากพบหลานหรือขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่มองเมิ่งซู่ซีแวบหนึ่ง จากนั้นพูดว่า “เมื่อวานซู่ซีวาดภาพใหม่ภาพหนึ่ง รอเอาให้เจ้าดู ผลปรากฏว่าเจ้าไม่ได้กลับมา ย่าเห็นวันนี้นางสติไม่อยู่กับตัวจ้องแต่ประตูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง”

สิ้นเสียงพูดเมิ่งซู่ซีหน้าแดงในทันทีก่อนจะรีบพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าพูดล้อซู่ซีเล่นเลยเจ้าค่ะ ซื่อจื่อมีงานยุ่ง สามารถหาเวลามาชี้แนะข้าได้ ซู่ซีก็ซาบซึ้งมากแล้ว จะกล้ามารบกวนทุกวันได้อย่างไร”

“ได้ๆ เช่นนั้นดูท่าเป็นข้าที่พูดมากแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าลู่พูดด้วยรอยยิ้ม

เมิ่งซู่ซียิ้มเศร้าอยู่ด้านข้าง ท่าทางจนใจเหมือนต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน

จากนั้นก็มองลู่เยี่ยนอย่างจนหนทางแวบหนึ่ง

แสงอาทิตย์อัสดงตกกระทบบนใบหน้าด้านข้างของลู่เยี่ยน ไม่อาจไม่พูดว่ารูปโฉมของเขาน่าดูที่สุดที่นางเคยเห็นมา แววตาลึกล้ำ จมูกโด่งเป็นสัน ไม่มีจุดใดไม่สง่างาม ต่อให้ท่านแม่นางเคยบอกว่าบุรุษริมฝีปากบางรักใครไม่เป็น ค่อนข้างเย็นชา แต่ในสายตาของนาง เป็นความเย็นชาที่น่าหลงใหล

สองวันก่อนตอนนางเดินหมากกับเขา เห็นเขาสวมชุดขาว สองนิ้วคีบตัวหมากขาววางลงอย่างช้าๆ นางก็คิดว่าหากสามารถเป็นสามีภรรยากับคนแบบนี้ได้ นางก็ยินดีที่จะทุ่มเทไปกับความรู้สึกนี้

ในตอนที่เมิ่งซู่ซีคิดว่าลู่เยี่ยนจะช่วยพูดคลี่คลายสถานการณ์ให้นาง ลู่เยี่ยนกลับพูดว่า “วันนี้หลานรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ไม่รบกวนความสนุกของท่านย่ากับอาสะใภ้สามแล้ว”

เวินซื่อพูด “งานในที่ว่าการนี้ไม่สบายเลย เยี่ยนเกอเอ๋อร์เจ้าไปเถอะ”

แววตาของเมิ่งซู่ซีเศร้าสลด มองไปอีกทีก็เห็นเพียงแผ่นหลังของเขาแล้ว

ไม่อาจไม่พูดว่าสตรีเวลาถูกใจชายคนใดร่างกายก็จะก้มต่ำลงอย่างควบคุมไม่ได้ ต่อให้เป็นบุตรสาวสกุลเมิ่งที่เล่าเรียนตำรามาอย่างเต็มเปี่ยม มีชีวิตที่ไม่ธรรมดาก็ตาม ในตอนนี้ยังคงรู้สึกลนลานอยู่ดี กลัวว่าตนเองจะทำอะไรให้เขาไม่พอใจ

นางหันหน้าไปมองฮูหยินผู้เฒ่าลู่แวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ ข้าไปหาเขาสักนิดได้หรือไม่”

เดิมทีก็เป็นเด็กในบ้านตนเองทำหน้าตาเย็นชาใส่คนเขาก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ย่อมต้องแสร้งพูดอย่างโมโหว่า “ไปเถอะ ถ้าเขาพูดอะไรไม่น่าฟังเจ้ากลับมาบอกย่า ย่าจะสั่งสอนเขาแทนเจ้าเอง”

เมิ่งซู่ซียิ้มแล้วพูดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จากนั้นก็เดินตามออกไป

นางรีบเดินไปถึงห้องหนังสือของเขา จากนั้นเคาะประตูเบาๆ “ซื่อจื่ออยู่หรือไม่”

รออยู่ครู่หนึ่งนางก็เคาะประตูอีกครั้ง

ลู่เยี่ยนรู้สึกจนใจ ลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่กลับขวางประตูไว้ไม่ให้นางเข้ามาข้างใน “แม่นางเมิ่งมีธุระอะไรหรือ”

เมิ่งซู่ซีพูดเสียงเบา “เมื่อครู่ซู่ซีพูดอะไรทำให้ซื่อจื่อไม่พอใจหรือไม่”

ลู่เยี่ยนเหล่ตามองนาง พูดเสียงเบาว่า “ไม่มี แม่นางเมิ่งอย่าคิดมาก”

จากนั้นเขาก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้และพูดว่า “อีกอย่าง ในห้องหนังสือของข้านี้มีเอกสารทางการอยู่ไม่น้อย ปกติไม่ให้คนนอกเข้ามา วันหน้าขอให้แม่นางเมิ่งอย่ามาที่แห่งนี้อีก ต้องขออภัยด้วย”

เมิ่งซู่ซีกัดริมฝีปากล่างอย่างแรง

ลู่เยี่ยนเลิกคิ้วถามนาง “แม่นางเมิ่งยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”

เมิ่งซู่ซีพูดว่า “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ ซื่อจื่อรีบพักผ่อนเถอะ”

ประตูห้องหนังสือค่อยๆ ปิดลง

แต่ในตอนที่เขาหมุนตัว กลิ่นหอมจางๆ กลิ่นหนึ่งลอยมาเข้าจมูก เมิ่งซู่ซีตะลึงไปในทันที

เมื่อครู่มีคนมากและส่วนใหญ่เป็นหญิง นางจึงไม่ได้สังเกตอะไร แต่ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคน กลิ่นหอมนี้ไม่ใช่ของนาง เช่นนั้นก็เป็นของเขา

เขาจะมีกลิ่นหอมของสตรีได้อย่างไร

ลมยามเย็นแฝงความหนาวยะเยือกเอาไว้ หัวใจของเมิ่งซู่ซีเย็นยิ่งกว่าความเย็นนี้เสียอีก

บทที่ 12

ณ เรือนฝูเสวี่ย

เมิ่งซู่ซีมาพักชั่วคราวที่จวนเจิ้นกั๋วกงครั้งนี้ ข้างกายมีสาวใช้เพียงผู้เดียว เวินซื่อกลัวว่านางจะมีคนใช้งานไม่พอจึงตั้งใจส่งสองคนไปปรนนิบัติที่เรือนฝูเสวี่ย

บ่าวของเจิ้นกั๋วกงล้วนฉลาดเฉลียวทุกคน หลายวันนี้พวกนางล้วนลือกันว่าเวินซื่อรับหลานสาวผู้นี้มา วันหน้าอาจจะเป็นคนของบ้านใหญ่ ดังนั้นจึงปรนนิบัติอย่างเต็มที่ ไม่กล้าเลินเล่อหรือชักช้าแม้แต่น้อย

เมิ่งซู่ซีมีเรื่องจะพูดกับสาวใช้ของตนเองจึงยิ้มสดใสพูดกับพวกนางว่า “ฟ้ามืดแล้ว ที่ห้องข้าไม่จำเป็นต้องมีคนคอยปรนนิบัติมากมาย พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ ซีหนิงอยู่ปรนนิบัติข้าล้างมือล้างหน้าก็พอแล้ว”

สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน พวกนางอยากจะอยู่ต่อแต่ไม่กล้าพูดมา ครุ่นคิดสักครู่ก็จำต้องโค้งคำนับแล้วถอยออกไป

หลังจากคนออกไปแล้วซีหนิงก็อ้อมมาข้างหลังนาง ช่วยถอดปิ่นหยกขาวกับปิ่นทองที่ปักบนมวยผมออก ปล่อยผมที่เกล้าไว้ให้สยายลงมาแล้วบีบนวดไหล่ “คุณหนูมีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ”

เมิ่งซู่ซียกมือขึ้นปิดหน้าต่าง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ทางสาวใช้ในห้องของซื่อจื่อ เจ้าสืบอะไรมาได้หรือยัง”

ซีหนิงพยักหน้า “พี่สาวที่เรือนใหญ่เกรงใจบ่าวมาก มีบางเรื่องบ่าวยังไม่ได้ถาม พวกนางก็บอกบ่าวแล้วเจ้าค่ะ”

“ซื่อจื่อมีสาวใช้ห้องข้างหรืออนุภรรยาเหล่านี้หรือไม่” เมิ่งซู่ซีช้อนตาขึ้นถาม

ซีหนิงส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ” จากนั้นพูดเสียงเบาอีกว่า “บ่าวคิดว่าคุณหนูไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้ นิสัยขององค์หญิงใหญ่จิ้งอันท่านก็เห็นแล้ว จะยอมให้บ่าวไพร่เหิมเกริมได้อย่างไรเจ้าคะ และบ่าวก็ตั้งใจมองดูบ่าวหญิงที่ปรนนิบัติในห้องหนังสือซื่อจื่อ ทุกคนสำรวมอย่างมาก ไม่ใช่สาวใช้ที่คิดจะหว่านเสน่ห์ผู้เป็นนายอย่างนั้น”

เมิ่งซู่ซีพูดว่า “บนตัวพวกนาง…ใช้เครื่องหอมหรือไม่”

ซีหนิงยิ้ม “คุณหนูคิดอะไรเจ้าคะ บ่าวล้วนห้ามใช้เครื่องหอม ใครจะกล้าใช้เล่าเจ้าคะ”

ได้ยินดังนั้นเมิ่งซู่ซีสองมือกำหมัดแน่น นางมีความไวต่อพวกแป้งหอมเหล่านี้เป็นพิเศษตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน

นางใช้นิ้วชี้แตะหน้าผาก นวดคลึงพลางพูดเสียงแหบแห้ง “ถ้าในเรือนไม่มีใคร แต่มีข้างนอกเล่า”

เพิ่งสิ้นเสียงพูดซีหนิงก็ยื่นมือไปปิดปากของเมิ่งซู่ซีเอาไว้ “นายหญิงตัวน้อยของข้า ท่านพูดอะไรเจ้าคะ คำพูดแบบนี้พูดส่งเดชได้หรือเจ้าคะ”

เมิ่งซู่ซีคว้าข้อมือของนางเอาไว้ ก่อนจะดึงซีหนิงเข้ามาใกล้และกระซิบพูดพักใหญ่

สีหน้าของซีหนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “บ่าว บ่าวเห็นอารมณ์ของซื่อจื่อไม่สู้ดี ถ้าท่านหาคนสะกดรอยตามซื่อจื่อสุดท้ายกลับไม่พบอะไร ไม่เท่ากับได้ไม่คุ้มเสียหรือเจ้าคะ อีกอย่างตอนนี้ข้าหลวงของฉางอันล้วนชอบไปดื่มสุราที่ผิงคังฟาง ติดกลิ่นหอมมาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”

เมิ่งซู่ซีพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาเหล่านี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ถ้าเป็นความเข้าใจผิดนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อข้า เลี้ยงภรรยาลับไว้สองคน ปิดบังท่านแม่มาห้าปีเต็ม เจ้าหาสองคนที่ฉลาดคล่องแคล่วมาก็พอ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเป็นคนของข้า”

หลังจากผ่านวันหยุด ลู่เยี่ยนก็ไปเข้างานที่ที่ว่าการนครหลวงตามปกติ

เสียงกลองข้างนอกดังสนั่น สามีภรรยาคู่หนึ่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างนอก ยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้นอยู่นาน ปากก็ตะโกนไม่หยุดว่า “คืนน้องสาวข้า! คืนน้องสาวข้ามา!”

ลู่เยี่ยนถือพู่กันเขียนเอกสาร รองผู้ว่าการซุนเดินวนไปมาในห้อง จากตะวันออกไปตะวันตก วนไปมาหลายรอบ สุดท้ายทนไม่ไหวพูดขึ้น

“เหตุใดใต้เท้าลู่จึงไม่ร้อนใจบ้าง เมืองฉางอันระยะนี้ พูดให้น้อยก็มีหญิงสาวจากหกบ้านหายตัวไปแล้ว นอกจากศพผู้หญิงสองศพที่ไม่มีใครมาแจ้งความที่หาเจอในบ้านของหวังจ้าวแล้ว เรื่องอื่นไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วเรื่องต้องไปถึงฝ่าบาทแน่นอน”

“ใต้เท้าซุน ต่อให้เดินเป็นร้อยรอบ คดีนี้ก็ยังคลี่คลายไม่ได้อยู่ดี” ลู่เยี่ยนพูดอย่างสงบนิ่ง

ซุนซวี่สะอึกไป ลอบตำหนิอยู่ในใจว่า ใช่ ท่านต้องเรียกฝ่าบาทว่าเสด็จลุง ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงใด หมวกแพรโปร่งของท่านก็ไม่หลุดอยู่แล้วนี่*

ทางซุนซวี่เพิ่งจะส่ายหน้าก็มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา “ใต้เท้า มีข่าวดีขอรับ!”

“รีบว่ามา” รองผู้ว่าการซุนพูด

“มีคนพบบุตรสาวสกุลซ่งที่หายตัวไปที่เมืองซิงผิง นางถูกท่านหมอผู้หนึ่งช่วยเอาไว้ ยังไม่ตายขอรับ”

ลู่เยี่ยนกับซุนซวี่ประสานสายตากันแล้วลุกขึ้นในทันที

พวกเขาเดิมทีวันนี้คาดว่าจะสามารถสอบสวนได้ แต่พอไปถึงร้านหมอจึงพบว่าบุตรสาวสกุลซ่งผู้นี้บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล นอนหมดสติอยู่ สามีภรรยาสกุลซ่งกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้า

จนกระทั่งถึงยามเซินนางก็ยังไม่ฟื้น

รองผู้ว่าการซุนพูดกับลู่เยี่ยนอย่างจนใจว่า “ดูท่าคงต้องมาพรุ่งนี้อีกครั้งแล้ว”

 

เวลาพลบค่ำ หลังที่ว่าการเลิกงาน

ลู่เยี่ยนสวมเสื้อคลุมเดินออกจากที่ว่าการนครหลวง

เขาก้มหน้าคลึงหัวคิ้ว สั่งให้เตรียมรถม้า หลังจากขึ้นรถม้าแล้วก็เคลื่อนไปทางจวนเจิ้นกั๋วกง

เคลื่อนไปได้ครึ่งทางหยางจงก็พลิกเปิดม่านและพูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ สองวันแล้ว คนผู้นั้นยังตามอยู่เหมือนเดิมขอรับ”

ลู่เยี่ยนหน้าเครียด ในใจเกิดความรำคาญเพิ่มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

เริ่มแรก เขายังคิดว่าคนที่ลับๆ ล่อๆ นี้จะเกี่ยวกับคดี แต่ภายหลังได้ยินว่าสาวใช้ข้างกายบุตรสาวสกุลเมิ่งมักจะมาปรากฏตัวที่เรือนพักของเขา ทั้งยังสอบถามว่าเขามีสาวใช้ห้องข้างหรือไม่ จึงรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว

เขายังไม่ทันพยักหน้าเห็นด้วย ผู้อื่นก็คิดจะควบคุมเขาแล้ว

แต่มือนี้ยื่นมายาวเกินไปสักหน่อยหรือไม่

เขาเหล่มองไปข้างนอกอย่างช้าๆ จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “วันนี้ไปคฤหาสน์เฉิงย่วน แต่ไปวนรอบผิงคังฟางนั่นหนึ่งรอบแล้วค่อยเปลี่ยนรถม้า”

หยางจงพยักหน้ารับคำ ในใจบ่นว่า บุตรสาวสกุลเมิ่งนางนี้เหตุใดจึงทำเป็นฉลาดหนอ ซื่อจื่อกว่าจะคิดตกเรื่องการแต่งงานไม่ง่ายนัก ถูกนางทำแบบนี้เกรงว่านางคงหมดโอกาสได้แต่งให้ซื่อจื่ออย่างสิ้นเชิงแล้ว

สีท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีดำ ตอนลู่เยี่ยนไปถึงคฤหาสน์เฉิงย่วนต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

วันนี้ในเรือนจุดตะเกียงไว้ทั่ว หิมะหนาเป็นชั้นๆ บนหลังคาบ้านยังค่อยๆ ละลายภายใต้แสงสีแดงนี้

เขาเดินหน้าช้าๆ และผลักเปิดประตู

หญิงสาวที่เดิมทีควรจะอยู่ในห้องอย่างไม่เป็นสุข จู่ๆ ก็เปลี่ยนชุดใหม่ เสื้อนวมสีดอกท้อ กระโปรงหรูฉวิน* เนื้อแพรสีขาว ตอนเสียงประตูดังแอดนางกำลังส่องกระจกและใส่ต่างหูอยู่

แสงเทียนส่องสว่างตกกระทบใบหน้าขาวเนียนของนาง มุมปากนุ่มชมพูยกยิ้มเล็กน้อย ตอนที่นางมองมาทางเขา ราวกับภาพหญิงงามภาพหนึ่งอยู่ท่ามกลางหมอก นางกลอกตามองมา ดูสง่างามและสวยหยาดเยิ้มอย่างยิ่ง

เหมือนนาง แต่ก็คล้ายไม่ใช่นาง

ชายหนุ่มบนโลกนี้มีใครบ้างไม่รู้หลักการที่ว่าหญิงสาวแต่งตัวงดงามเพื่อคนที่ตนเองชื่นชอบ

ลู่เยี่ยนชะงักฝีเท้า เอียงตัวพิงขอบประตูมองสำรวจนาง เสื้อผ้าเรียบร้อยงดงาม สีหน้าเป็นปกติถึงขั้นยังแฝงความหยิ่งทะนงที่เขามักจะทำเป็นปกติ

สี่ตาประสานกัน เสิ่นเจินค่อยๆ ลุกขึ้น เดินมาข้างกายเขาและส่งเสียงเรียกอ่อนหวาน “ใต้เท้า”

เสียงของเสิ่นเจินมีความออดอ้อนเป็นธรรมชาติเพื่อให้ดูสง่างามเรียบร้อย ปกติมักจะจงใจกดเสียงต่ำ

วันนี้ปล่อยตามสบาย แค่เพียงการเรียก ‘ใต้เท้า’ เสียงเรียบนี้อาจทำให้อ่อนระทวยไปถึงกระดูกได้เลย

เป็นเพราะนางคิดตกแล้ว ในเมื่อต้องขอร้องเขา ต่อให้นางนิ่งอย่างไร หลบอย่างไร หากหลบจนเขาจากไปแล้วหงเอ๋อร์จะทำอย่างไรเล่า

สู้ยอมทำตามใจเขาดีกว่า เสิ่นเจินคิด

ลู่เยี่ยนเห็นนางไม่พูดอะไรต่อเสียทีจึงเดินผ่านตัวนาง ตรงเข้าไปข้างในและนั่งลงบนเตียงในทันที

เสิ่นเจินกัดริมฝีปากเบาๆ จากนั้นนั่งลงข้างกายเขา

แววตาลึกล้ำของลู่เยี่ยนมองสำรวจนาง ไม่เกี่ยวกับความปรารถนา เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น

ตามหลักแล้วเสิ่นเจินเติบโตในจวนโหวตั้งแต่เด็ก ได้พบราชนิกุลสูงศักดิ์ ขุนนางชั้นสูงมานับไม่ถ้วน ไม่ควรถูกท่าทีแบบนี้ทำให้ตกใจกลัวจึงจะถูก แต่สายตาของลู่เยี่ยนผู้นี้นางมองอะไรไม่ออกเลยจริงๆ

สิ่งที่มองไม่ทะลุปรุโปร่งก็เหมือนมีฝนฟ้าคะนองตกลงมาอย่างฉับพลัน เหมือนท้องทะเลที่ลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง เหมือนที่นางกลายมาเป็นภรรยาลับของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ย่อมต้องมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นบ้าง

ปลายนิ้วของเสิ่นเจินเพิ่งสั่นก็ถูกตนเองบีบเอาไว้จนแน่น

เขาจ้องมองนางอยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูด “บนตัวเจ้า เหตุใดถึงมีถุงหอมมากมายอย่างนั้น” ตรงหน้าอกหนึ่งใบ ตรงกระโปรงหนึ่งใบ บนเตียงนอนยังมีวางอีกหนึ่งใบ

ในที่สุดเขาก็เอ่ยถาม

เสิ่นเจินสูดหายใจเข้าลึก พูดด้วยเสียงที่เบามาก “ตัวข้ามีกลิ่นหอมจางๆ มาตั้งแต่เด็ก ท่านแม่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้จึงสอนข้าทำเครื่องหอม ข้าพกถุงหอมก็เพื่อปิดบังกลิ่นบนร่าง”

ได้ฟังคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนก็ย้อนคิด ที่พบนางระยะนี้ไม่มีเวลาใดที่นางไม่พกถุงหอมเลยจริงๆ แต่ไม่มากเหมือนเช่นในวันนี้

“อย่างนั้นหรือ” เขาถามเสียงเบา

นอกหน้าต่าง ลมเอื่อยโชยมาพัดม่านมุ้งไหวเบาๆ

เสิ่นเจินขยับเข้าไปใกล้เขาทีละนิด…ทีละนิด จากนั้นค่อยๆ ยกมือที่ขาวเนียนขึ้นมา งอนิ้วมือลงและขยับคอเสื้อเล็กน้อย

ลำคอขาวเนียนระหงแข็งเกร็ง รูปทรงเช่นนี้งดงามยิ่ง

ลู่เยี่ยนไม่ขยับ มองนางอยู่อย่างนั้น ราวกับเจ้าแห่งหมาป่าที่ไม่เคยหิวโหยรอให้เหยื่อมาศิโรราบด้วยตนเอง

สี่ตาประสานกัน เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

เสิ่นเจินเห็นลู่เยี่ยนไม่มีทีท่าจะยอมให้นางจึงจำต้องกัดฟันและขยับตัวเข้าไป นางแนบตัวไปบนชุดขุนนางสีม่วงเข้มตัวนั้น

ลู่เยี่ยนก้มหน้าลง แค่นเสียงหัวเราะเบาแทบไม่ได้ยินหนึ่งที จากนั้นจมูกโด่งเป็นสันตรงฝังลงไปที่ซอกคอของนางและพ่นไอชื้นบางๆ ลงไปบนนั้น

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: