X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน บทที่ 5-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 5

ราชวงศ์จิ้นชาวเมืองใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี ที่ผ่านมาล้วนชอบการรวมกลุ่มดื่มสุรากัน

ตอนพวกลู่เยี่ยนมาถึงย่านหนานฉวี่ในผิงคังฟางท้องฟ้ายังสว่างอยู่ พอเดินเข้าประตูก็เห็นบัณฑิตหนุ่มมากมายกำลังพูดกันอย่างหลงใหลถึงเงาร่างอรชรหลังม่านบัง

ซุนซวี่เป็นแขกประจำของที่นี่ แม่เล้าเห็นเขามาแล้วก็เบียดออกมาจากกลุ่มคนแล้วเดินเข้ามาทักทายทันที

“นายท่านทั้งหลายมาแล้วหรือ”

เสียงนี้ทำให้หญิงสาวชั้นสองพากันหันมองไปทางประตู

ท่ามกลางแผงโคมแดงมีชายหนุ่มผู้หนึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษในกลุ่มคนหนาแน่น

เขาสวมเสื้อตัวยาวสีฟ้านวล คลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำ ผมครอบด้วยเกี้ยวหยก แขวนพู่ห้อยข้างเอว ทั่วร่างฉายความสูงศักดิ์เอาไว้อย่างเห็นได้ชัด

แขกหายากแบบนี้ทำให้หญิงสาวที่ผ่านโลกมามากเหล่านั้นเกิดความสนใจเช่นกัน

สายตาของแม่เล้าแหลมเพียงใด นางเพียงกวาดตามองก็รู้แล้วว่าแขกท่านนี้ไม่ธรรมดา นางแย้มยิ้มงดงามพลางพูดว่า “ขอถามนายท่านทั้งหลาย วันนี้จะนั่งในโถงหรือจัดที่ส่วนตัวเจ้าคะ”

พูดให้เข้าใจง่ายก็คือถามว่าวันนี้มาชื่นชมเสียงเพลงการร่ายรำหรือมาหาหญิงสาวหลับนอนด้วย

ซุนซวี่ลูบปลายจมูก หากเป็นช่วงปกติส่วนมากเขาจะกอดหญิงงามเข้าสู่ความฝัน แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน อย่างไรเสียใต้เท้าลู่ออกมาดื่มสุรากับพวกเขาเป็นครั้งแรกก็ต้องฟังความต้องการของคนเขาก่อน จึงเอ่ยถามว่า “พี่ลู่อยากนั่งที่ใดหรือ”

ลู่เยี่ยนสีหน้าดังเดิม สายตาจ้องตรงไปที่แม่เล้าแล้วพูดว่า “คณิกาอันดับหนึ่งวันนี้อยู่หรือไม่”

คำพูดนี้ออกมา ดวงตาของผู้ว่าการเจิ้งกับซุนซวี่ก็เบิกโตขึ้นเท่าตัว

พวกเขาสองคนคิดไม่ถึงเลยว่าซื่อจื่อที่สูงศักดิ์ผู้นี้เป็นคนที่รู้จักหาความสำราญ

คณิกาอันดับหนึ่งของหอเวินเซียงมีนามว่าอวิ๋นจือ ไม่เพียงแต่งกลอนได้ดี การร่ายรำยังเรียกได้ว่าเป็นเลิศ ในเมืองลือกันว่าหากได้ดื่มสุราในอ้อมกอดของนาง ไม่มีชายใดที่สามารถควบคุมตนเองได้เลย

พอได้ยินลู่เยี่ยนเลือกอวิ๋นจือ แม่เล้ามีสีหน้ายินดี คิดว่าเขามาเพราะชื่อเสียง จึงรีบพูดกับสาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่ง “ไปเรียกอวิ๋นจือลงมา บอกว่ามีแขกทรงเกียรติ”

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในเรือนเล็ก เพิ่งนั่งลง เหล่าสาวใช้ก็ยกอุปกรณ์ดื่มสุราที่ประณีตงดงามรวมทั้งกับแกล้มหลากหลายชนิดมาให้

เสียงบรรเลงพิณผีผาผ่านไปช่วงหนึ่งก็เห็นสาวงามอรชรหลายนางพลิกเปิดม่านไม้ไผ่ เดินนวยนาดเข้ามาช้าๆ

หลังจากพวกนางนั่งลง พวกเขาก็เริ่มการละเล่นวงสุรา

หญิงสาวเหล่านี้แต่ละคนล้วนชำนาญเรื่องการสร้างความรื่นรมย์ยามราตรี ไม่เพียงช่างพูดฉอเลาะ ยังมีอารมณ์ขัน มักจะพูดคำแฝงความหมายล่อแหลม ทำให้ภายในห้องเกิดความครึกครื้นขึ้นมาทันที

ภายในห้องแสงเทียนสีแดงพลิ้วไหว อวิ๋นจือมองดูชายหนุ่มที่มีสีหน้างามสง่าข้างกาย ในใจแอบชื่นชอบ จึงเป็นฝ่ายรุกเพิ่มขึ้นหลายส่วน

นางขยับเข้าใกล้ข้างกายเขา ตั้งใจพ่นลมพูดข้างหูของเขา “ถ้านายท่านไม่ชอบเล่นสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นข้าจะร่ายรำให้ท่านดูดีหรือไม่”

ตามหลักหากได้ยินคำพูดนี้แล้ว ต่อให้เป็นต้นไม้เหล็กแก่ก็ยังออกดอกได้ แต่ใต้เท้าลู่ผู้นี้ติ่งหูไม่แดงแม้แต่น้อย

เขาเพียงแค่จ้องมองดวงตาของอวิ๋นจือแน่วนิ่ง

ลู่เยี่ยนมีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง มองดูแล้วเหมือนคนเจ้าชู้หลายใจ แต่พอดูอย่างละเอียดก็จะพบว่าในนั้นล้วนเป็นความเคยชินและความหยิ่งทะนงของเหล่าคนตระกูลสูงศักดิ์

ความไร้หัวใจยากจะปกปิด ความห่างเหินเห็นได้ชัด แต่ด้วยดวงตาคู่นี้เพียงชั่วครู่ก็ทำให้หัวใจของอวิ๋นจือที่หล่อหลอมมานานดวงนี้ถูกดึงวิญญาณไปสามส่วน

อวิ๋นจือยกมือไปเทสุราหนึ่งจอกยื่นให้เขา พูดด้วยแววตาหยาดเยิ้ม “การร่ายรำนี้จบลง ถ้านายท่านพอใจก็ดื่มจอกนี้ให้ ได้หรือไม่เจ้าคะ”

ลู่เยี่ยนรับจอกสุรามา เหลือบมองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดจา

อวิ๋นจือยิ้มสดใสลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก นางใช้สายตาจิกมองเขา อยากจะใช้ความสามารถทุกอย่างที่มีร่ายรำต่อหน้าเขา

แต่ทุกครั้งที่นางพยายามหนึ่งส่วน แววตาของลู่เยี่ยนก็จะเคร่งเครียดขึ้นหนึ่งส่วน

เพียงไม่นานความอดทนก็หมดลง

ลู่เยี่ยนลอบบีบจอกสุราในมือ รำคาญใจอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามองดูคณิกาอันดับหนึ่งชื่อดังที่สุดในผิงคังฟางเมืองฉางอันโยกย้ายร่ายรำแล้ว กลับไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย

ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อยจริงๆ

ไม่เหมือนกับตอนที่พบหน้าคุณหนูสามสกุลเสิ่นเลย

เขาวางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดังกึก

อวิ๋นจือเห็นท่าทางของเขา คิดว่าเขาไม่พอใจ ข้อมือที่กำลังร่ายรำชะงักไปทันที นางจ้องมองลู่เยี่ยนอย่างตกใจและพูดว่า “ข้าร่ายรำได้ไม่ดีหรือเจ้าคะ”

ลู่เยี่ยนหันไปมองสองคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน รู้สึกไม่ดีหากจะกลับก่อน จึงยกจอกสุราขึ้น ดื่มรวดเดียวจนหมดและพูดกับอวิ๋นจือว่า “ไม่ใช่ เจ้าร่ายรำต่อไป”

ได้ยินดังนั้นอวิ๋นจือก็ใบหน้าแดงก่ำ หัวใจรู้สึกปวดร้าว นางมองออกว่าเขาไม่รู้สึกสนใจตนเองเลยแม้แต่น้อย

นับดูแล้ว วันนี้เรียกได้ว่าตั้งแต่นางเป็นคณิกาอันดับหนึ่งมา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียหน้าแบบนี้

ร่ายรำจบหนึ่งเพลง อวิ๋นจือก็ไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก แต่กลับเทสุราให้เขาอย่างเงียบๆ

เขายกสุราขึ้นดื่มสองจอกอย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมนัก

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ข้างนอกมีเสียงลมดังขึ้น พัดจนประตูหน้าต่างกระทบเสียงดัง ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกหนาวเย็น

ความมึนเมาจากสุราได้ที่ ผู้ว่าการเจิ้งหน้าแดง แววตาฉ่ำปรือ พูดยานคางว่า “เหตุใดหิมะจึงตกอีกแล้ว”

ซุนซวี่มองออกไปข้างนอกและพูดสำทับว่า “ในเมื่อหิมะตก พวกเราก็ค้างคืนที่นี่เถอะ ไม่เช่นนั้นอีกครู่ถึงเวลาห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาล ทางก็เดินได้ยาก”

ผู้ว่าการเจิ้งพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นทั้งสามคนจึงลุกขึ้น

ไม่รู้ว่าเพราะสุราเมื่อวานมีปัญหา หรือระหว่างทางกลับถูกลมแรง

ตอนที่ลู่เยี่ยนตื่นมาจึงปวดหัวแทบแตก ใต้ตาคล้ำ แม้แต่คอก็กลายเป็นแหบแห้ง

เขายกมือขึ้นกุมที่ลูกกระเดือก ในหัวปรากฏภาพความฝันยามค่ำคืนขึ้นมาทันใด

จากนั้นเขาก็หัวเราะด้วยความโกรธ

เมื่อคืนเขาเห็นใบหน้าของคณิกาอันดับหนึ่งกลายเป็นใบหน้าของนาง ทั้งที่เป็นการร่ายรำแบบเดียวกัน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงเปลี่ยนความรู้สึกไปในทันที

ราวกับน้ำเปล่ารสจืดถ้วยหนึ่งกลายเป็นเหล้าแรงที่บาดคอ

เขาลุ่มหลงมัวเมาจนขาดสติแล้วจริงๆ

วันนี้เป็นวันหยุด ลู่เยี่ยนไปคารวะทักทายท่านย่าแล้วก็นั่งอยู่ลำพังในห้องหนังสือ กระแอมไอเบาๆ อยู่บ่อยครั้ง ขอบตารู้สึกบวม แม้แต่หนังสือในมือก็อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว

เห็นดังนั้นหยางจงก็รีบยกชาร้อนถ้วยหนึ่งมาให้เขา

ลู่เยี่ยนรับมา เอียงฝาถ้วยชา เพิ่งเม้มจิบหนึ่งอึกก็ได้ยินหยางจงพูดว่า “ชานี้องค์หญิงใหญ่เพิ่งซื้อกลับมาจากร้านชาสกุลเมิ่งที่ตลาดตะวันตกขอรับ”

ลู่เยี่ยนเดิมทีดื่มอย่างสบายใจ พอได้ยินคำว่า ‘ตลาดตะวันตก’ น้ำชาผ่านลำคอแล้วเขาปรับลมหายใจไม่ทัน ไออย่างแรงไม่หยุด สำลักจนตาแดงในทันที

ไม่อาจไม่พูดว่าเวลาคิดถึงใครสักคนขึ้นมาก็เหมือนการไอ ต่อให้พยายามอดกลั้นแต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่

หลังจากลู่เยี่ยนลูบแผ่นอกหยุดไอแล้ว เขาก็รู้ในทันทีว่า จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

เขาวางฝาปิดถ้วยชาในมือลงบนปากถ้วยอย่างแรง พูดเสียงแหบแห้งว่า “เตรียมรถ ข้าจะไปที่ตลาดตะวันตกสักหน่อย”

 

หิมะเมื่อวานยังไม่หยุดตก พื้นถนนเกาะเป็นน้ำแข็ง มีบางร้านปิดประตูกันตั้งแต่เช้า

พอไปถึงหน้าร้านไป่เซียง ฝีเท้าของลู่เยี่ยนก็ชะงักลงทันใด

เกล็ดหิมะตกกระทบบนผิวร่มไม่หยุดส่งเสียงดังแหมะๆ หยางจงเงยหน้าขึ้นมอง ในใจก็รู้สึกตกใจ

เหตุใดจึงมีคนมาอุดหน้าประตูร้านไป่เซียงอีกแล้วเล่า

ซ่งเจี่ยนพิงขอบประตู พูดกับเสิ่นเจินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ถ้าคุณหนูสามยอมจูบข้าสักครั้ง ข้าก็จะซื้อแป้งสีชาดตรงหน้าหีบนี้ไปให้หมด เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเป็นหยิ่งทะนง ข้ารู้ว่าเจ้าขาดเงิน”

ซ่งเจี่ยนเป็นบุตรชายคนเดียวของซ่งโม่พ่อค้าผู้มีอันจะกิน เป็นคุณชายผู้ร่ำรวยที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง

ชิงซีขวางหน้าเสิ่นเจินเอาไว้ “คุณหนูพวกเราไม่ทำการค้ากับคนอย่างเจ้า”

ซ่งเจี่ยนหัวเราะเยาะไม่หยุด “คนอย่างข้า? ข้าเป็นคนอย่างไรหรือ” พูดจบเขาก็โบกมือใส่ชิงซีแล้วพูดว่า “รีบไสหัวไป เจ้ามีสิทธิ์พูดเสียที่ไหน”

เขาผลักชิงซีออกแล้วบังคับดึงตัวเสิ่นเจินเข้ามาในอ้อมกอด “น้องสาวคนดี เจ้าให้พี่จูบสักที พี่จะเพิ่มราคาให้เจ้าหนึ่งเท่าตัว ราคานี้เจ้าจะหาใครมาซื้อได้อีกเล่า”

เสิ่นเจินเตรียมป้องกันไว้อยู่แล้ว พอถูกเขาแตะต้องนางก็ดึงปิ่นมุกบนหัวลงมาแทงไปที่เขาในทันที

ซ่งเจี่ยนเอามือบัง แต่ยังคงถูกนางแทงเข้าที่หลังมือ

ผมดำขลับของเสิ่นเจินสยายลงมา ถูกลมพัดปลิวไหว

อยู่ท่ามกลางพื้นหิมะขาวโพลนแบบนี้ นางราวกับเทพเซียนไร้พลังพิเศษที่หลงเข้ามาในโลกมนุษย์

แววตาแดงก่ำแต่ฉายความเด็ดเดี่ยวนั้นดับไฟโกรธของซ่งเจี่ยนลงได้ในทันที

เขาพูดเกลี้ยกล่อมอย่างดี “เสิ่นเจิน วันนี้คือวันที่แปดแล้ว ข้าทะนุถนอมเจ้า แต่คนของร้านแลกเงินสกุลจินนั่นอาจจะไม่ เจ้าดื้อรั้นแบบนี้ รอถึงวันที่สิบ เจ้ากับน้องชายเจ้าคนนั้นต้องเดือดร้อนกันหมด ถึงตอนนั้นเจ้าคงได้แต่ร้องไห้ หนี้สินของสกุลเสิ่นมีเพียงข้าที่จ่ายไหว นอกจากข้าแล้ว เจ้าจะขอร้องใครได้อีกเล่า”

พูดจบเขาก็มือบอน ยื่นมือไปพันเส้นผมปอยหนึ่งของนางขึ้นมา

แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันหายไปหลังก้อนเมฆยามเซินเจ็ดเค่อลู่เยี่ยนคว้าแย่งเอาร่มในมือของหยางจงมากุมเอาไว้แน่น ข้อนิ้วค่อยๆ ซีดขาว

เขาก้าวยาวเข้าไปคว้าหลังคอของซ่งเจี่ยนเอาไว้แล้วออกแรงกระชาก

ด้วยพื้นลื่นมาก ซ่งเจี่ยนถอยหลังจนตัวเอียงก่อนจะล้มลงบนพื้นหิมะข้างนอกด้วยความตกใจ

ซ่งเจี่ยนยังไม่ทันเห็นชัดว่าใครทำร้ายเขาก็ได้ยินเสียงประตูของร้านไป่เซียงปิดดังปัง

เขายันตัวลุกขึ้น ด้านหนึ่งตะโกนด่า อีกด้านหนึ่งสั่งให้คนติดตามข้างกายพังประตูเข้าไป แต่ยังไม่ทันตะโกนจบก็ถูกหยางจงอุดปากเอาไว้

ลู่เยี่ยนปิดประตูแล้วก็ประสานสายตากับเสิ่นเจิน เขามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหยิ่งทะนง

ทันใดนั้นแววตาก็ไปหยุดอยู่ที่ถุงหอมสีขาวตรงข้างเอวนาง บนถุงหอมปักอักษรคำว่า ‘เจิน’ ไว้อย่างชัดเจน

ของในความฝันล้วนมาปรากฏต่อสายตาเขาในตอนนี้

มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นทันใด เป็นรอยยิ้มที่ยอมรับในชะตา

บางทีสวรรค์คงกำลังบอกเขาเป็นนัย ความฝันประหลาดเหล่านั้นและเรื่องชาติก่อนที่นักพรตพูดล้วนเป็นความจริง

เขาปิดปากไม่พูดจา แต่เอาเงินที่ติดตัวเทครืนลงบนโต๊ะ มองตาของเสิ่นเจินและพูดเสียงแหบแห้งว่า “เงินเหล่านี้ข้าซื้อหนึ่งหีบ พอหรือไม่”

เสิ่นเจินตะลึงอยู่กับที่ รู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันใด

นางไม่เคยต้องก้มหัวให้กับเงินที่จ่ายเพราะความเห็นใจของใคร

แต่วันนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา ศักดิ์ศรีบุตรสาวภรรยาเอกจวนโหวของนางเทียบกับเงินตรงหน้า มันเทียบกันไม่ได้เลย

สัญญาขายตัวนั้นนางลงชื่อไม่ได้ เสิ่นหงเองก็ลงชื่อไม่ได้

นางก้มหน้าลงทันที กัดริมฝีปากกลั้นน้ำตาเอาไว้ นิ้วขาวเนียนเขี่ยเงินบนโต๊ะไม่หยุด พูดเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าให้มากเกินไปแล้ว เงินเหล่านี้เพียงพอแล้ว”

ลู่เยี่ยนที่ฉลาดหลักแหลมจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจนางคิดอะไร

“ครั้งก่อนข้าหยิบพัดเล่มหนึ่งของเจ้าติดมือไป ถ้าข้าดูไม่ผิดภาพศาลาริมน้ำจวินอันบนพัดเป็นของฉุนจื๋อเซียนเซิง* ฝีมือการวาดของเขาควรค่ากับเงินเหล่านี้” เขามองเสิ่นเจินแล้วพูดต่อ “พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนมาเอาของ”

ลู่เยี่ยนหมุนตัว มือเพิ่งจับลงบนวงแหวนประตูเสิ่นเจินก็เดินตามมาและพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณใต้เท้าลู่”

แผ่นหลังของเขาชะงักเกร็ง พูดเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้า”

ไม่ต้องขอบคุณข้า

เสิ่นเจิน เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าจริงๆ

ข้าลู่เยี่ยนหากต้องการตัวเจ้าจะไร้ยางอายยิ่งกว่าพวกเขามากนัก

บทที่ 6

หลังจากจวนอวิ๋นหยางโหวถูกทางการค้นปิดจวนแล้วพวกเสิ่นเจินก็ย้ายมายังเจาสิงฟางที่อยู่ทางใต้สุดของเมืองฉางอัน คนที่อาศัยที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนสามัญธรรมดา นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีค่าเช่าถูกที่สุดแล้ว

ตอนที่เสิ่นเจินกลับเรือน เสิ่นหงกำลังถือถ้วยดื่มยาอยู่

อันหมัวมัวด้านหนึ่งลูบแผ่นหลังของเขา ด้านหนึ่งพูดว่า “นายน้อยของบ่าว พวกเราไม่รีบร้อน ท่านช้าหน่อย ช้าหน่อยเถิด”

เสิ่นหงเช็ดมุมปาก ช้อนตาขึ้น ในดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที “พี่สามกลับมาแล้ว!”

เสิ่นเจินเดินเข้าไปลูบผมของเสิ่นหงอย่างเอ็นดู

เสิ่นหงฉลาดเฉลียวมาแต่เด็ก แต่กลับร่างกายอ่อนแอมีโรคมากตั้งแต่เกิด ทุกครั้งที่ถึงฤดูหนาวก็จะกลายเป็นโถยาใบเล็ก เช้ากลางวันเย็นไม่เคยขาดยาสักมื้อ เหลือก็แค่กินยาแทนอาหารเท่านั้น

เสิ่นเจินยกมือบีบใบหน้าผอมเซียวของเขาและพูดว่า “ดื่มยาแล้วก็ห่มผ้านอนให้มากสักหน่อย”

เรือนพักที่พวกนางอยู่เล็กแคบมาก ทั้งเรือนมีเพียงสองห้องและไม่กั้นเสียง นับจากเข้าฤดูใบไม้ร่วงนางจะได้ยินเสียงไอเบาๆ เป็นช่วงๆ แทบจะทุกวัน

ต่อให้หลับตาลงนางก็ยังนึกภาพได้ถึงท่าทางที่เสิ่นหงโค้งตัว สองมือเล็กปิดปากเอาไว้

พอคิดถึงตรงนี้เสิ่นเจินก็ช่วยห่มผ้าให้เขา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “นอนเถอะ”

เสิ่นหงเชื่อฟังคำของพี่สามผู้นี้มาตลอดจึงหลับตาลงทันที แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก การแกล้งนอนยังทำได้ไม่แนบเนียน หนังตาของเขาขยับ ขนตายาวเหยียดสั่นไม่หยุดราวกับปีกผีเสื้อ

เสิ่นเจินเพียงเห็นก็รู้ทันที ยื่นมือไปวางไว้บนไหล่ของเขา น้ำเสียงราวกับพี่ใหญ่พูดกับนางในวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน “พี่รอเจ้านอนหลับแล้วค่อยออกไป ไม่ต้องรีบร้อน”

ได้ยินดังนั้นหัวคิ้วของเสิ่นหงก็คลายออก พลิกตัวมาจับนิ้วมือนิ้วหนึ่งของเสิ่นเจินเอาไว้

รอจนเสิ่นหงหลับ ผ่อนเสียงลมหายใจอ่อนแรงนั้นออกมาแล้ว อันหมัวมัวก็บีบมือของเสิ่นเจิน “คุณหนูตามบ่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”

พอเข้าไปในห้องด้านข้างแล้วอันหมัวมัวก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสใบหนึ่งออกมาและพูดช้าๆ ว่า “นี่เป็นของที่คุณหนูใหญ่ให้คนส่งมาให้ตอนเที่ยง คุณหนูลองดูเถิดเจ้าค่ะ”

เสิ่นเจินรับมาเปิดออกช้าๆ จากนั้นเลือดในกายราวกับแข็งตัว

นางเหมือนได้ยินเสียงสายพิณที่ขึงอยู่ในใจของนางมาตลอดหนึ่งเดือนนี้ขาดออกเสียงดังตึง

เครื่องทองเงินหยกในกล่องนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี นี่เป็นสินส่วนตัวบางส่วนของพี่ใหญ่ มองไปมองมา น้ำตาของเสิ่นเจินก็หยดแหมะๆ ลงมา

อันหมัวมัวมองท่าทางร้องไห้น้ำตาไหลเงียบๆ ของเสิ่นเจินแล้วความเจ็บปวดขมขื่นใจยากจะปกปิดได้ มองดูเครื่องประดับที่ฮูหยินท่านโหวเป็นคนเลือกกับมือเหล่านั้นแล้วก็นึกถึงเมื่อสามปีก่อน ปีที่ฮูหยินท่านโหวล่วงลับไป

ในปีนั้นจวนอวิ๋นหยางโหวเหมือนถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงำ

ต้นปี คุณหนูใหญ่เสิ่นหร่านตกแม่น้ำ ถูกหลี่ตี้บุตรชายตระกูลยากจนช่วยขึ้นมาและถูกบังคับให้แต่งงานเข้าสกุลหลี่ ปลายปี ตอนที่คุณหนูรองเสิ่นเหยาเจรจาการแต่งงาน ถูกองค์ชายรองเผ่าหุยหูหมายตาเข้า พระบัญชาฮ่องเต้ยากจะขัดขืน จำต้องแต่งงานไปไกลยังต่างแดน

หลังจากนั้นฮูหยินท่านโหวก็ป่วยเป็นโรคปัจจุบัน จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

อันหมัวมัวนับจากอายุสิบห้าปีก็มาปรนนิบัติข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว สามสิบปีมานี้นางได้เห็นประจักษ์แก่ตาว่าแต่ละก้าวของสกุลเสิ่นเป็นอย่างไร กลายเป็นตระกูลขุนนางมีอำนาจร่ำรวยในแผ่นดินต้าจิ้น

แต่ใครจะคิดว่าเพียงไม่ระวังก็เกิดภัยทำให้ครอบครัวพังพินาศ

นางย่อตัวลงกอดเสิ่นเจินไว้ในอ้อมกอด ขยับริมฝีปากไปข้างหูอีกฝ่ายและกระซิบพูดว่า “คุณหนูใหญ่ให้บ่าวบอกท่านว่าต่อให้เอาของทั้งหมดไปจำนำก็คืนเงินเหล่านั้นไม่หมด เช่นนั้นสู้ไม่คืนดีกว่า”

เสิ่นเจินช้อนตาขึ้น พูดเสียงสั่นเครือว่า “พี่ใหญ่ได้พูดอะไรอีกหรือไม่”

อันหมัวมัวพยักหน้า ยกมือทำท่า ‘ชู่ว์’ ให้นางแล้วพูดต่อไปว่า “คืนพรุ่งนี้คุณหนูใหญ่จะส่งพวกท่านสองพี่น้องออกจากฉางอัน ของที่ซ่อนอยู่ใต้หีบนี้เป็นทะเบียนเรือนฉบับหนึ่ง รอพวกท่านไปถึงประตูเมือง จำไว้ว่าให้ไปพบทหารผู้หนึ่งแซ่สวี ท่านโหวมีบุญคุณต่อเขา เป็นคนที่ไว้ใจได้ ที่หางตาของเขามีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง สังเกตได้ง่ายมาก”

เสิ่นเจินเบิกตาโตอย่างตกใจ

แม้ว่านางจะเดินมาสุดทางของความยากจนแล้ว แต่กลับไม่เคยคิดจะหลบหนี อย่างไรเสียคนที่จับตาดูนางไว้ก็มีมาก เหมือนที่พูดกันว่าข้างหน้ามีหมาป่า ข้างหลังมีเสือ นางจะหนีพ้นได้อย่างไร

อันหมัวมัวมองความคิดของนางออกจึงกระซิบข้างหูต่อไปว่า “ถึงตอนนั้นบ่าวจะจุดไฟเผาที่เรือนชั้นหน้า ขวางไม่ให้คนเข้ามาในเรือน ส่วนชิงซีจะแต่งตัวเป็นคุณหนูอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ ท่านกับหงเอ๋อร์ฉวยโอกาสตอนชุลมุนหนีออกไปตามโพรงที่ขุดไว้ พอออกจากเมืองแล้วอย่าหันกลับมาอีก ชั่วชีวิตนี้อย่ากลับมาที่ฉางอันอีก”

ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกผิดปกติ เสิ่นเจินรีบพูดว่า “แล้วหมัวมัวเล่า แล้วชิงซีเล่า”

“บ่าวกับชิงซีเดิมทีก็เป็นบ่าว ต่อให้คนของทางการมาก็ไม่ทำอะไรพวกเรา อย่างมากก็แค่ส่งพวกเราให้พวกค้าแรงงานส่งไปขายอีกครั้งเท่านั้น แต่คุณหนูกับหงเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน ใบจำนองแผ่นนั้นเดิมทีมีความผิดปกติ พวกเราไม่ได้พบท่านโหว ไม่มีทางรู้รายละเอียดเรื่องนี้เลย ถ้าลงชื่อในสัญญาขายตัวในตอนนี้นั่นไม่ต่างอะไรกับการส่งแพะเข้าปากเสือ”

เสิ่นเจินยื่นมือไปกุมแขนของอันหมัวมัวเอาไว้ กำลังจะเอ่ยปากพูด อันหมัวมัวก็ส่ายหน้าให้นาง

ทุกประโยคที่เสิ่นเจินอยากจะพูด อันหมัวมัวล้วนเดาได้

อันหมัวมัวยื่นมือมาลูบคิ้วที่ได้รูปงดงามของเสิ่นเจินพลางยิ้มด้วยขอบตาแดง

เด็กผู้นี้เป็นคนที่นางดูแลมาจนเติบใหญ่ จากทารกร้องไห้งอแงจนเติบโตเป็นสาวงาม

สิบหกปีช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน นางตัดใจไม่ได้เลยจริงๆ

อันหมัวมัวมองนางอยู่นานราวกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว “บ่าวรู้ว่าคุณหนูสามเป็นคนอ่อนแอ วันหน้า ตอนที่ทนต่อไปไม่ไหวก็คิดถึงหงเอ๋อร์เข้าไว้นะเจ้าคะ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเสิ่นเจินก็โผเข้าหาอันหมัวมัว ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

 

วันที่เก้าเดือนสิบ ยามเฉิน

เสิ่นเจินยังคงไปดูแลกิจการที่ร้านไป่เซียงตามปกติ ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ผ่านมา

ถึงเวลาราวตอนเที่ยงมีบ่าวสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินผู้หนึ่งเดินเข้ามา โค้งคำนับหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อของข้าให้ข้ามารับผงหอมขอรับ”

ได้ยินดังนั้นเสิ่นเจินก็รีบลุกขึ้น “ใต้เท้าลู่เป็นคนสั่งใช่หรือไม่”

บ่าวผู้นั้นพยักหน้าเอ่ยตอบ “ขอรับ”

เสิ่นเจินเดินเข้าไปสองก้าว ยื่นผงหอมหีบหนึ่งที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ให้เขา “นี่ เป็นหีบใบนี้” พูดจบนางก็หยิบภาพภาพหนึ่งออกมาจากในตู้ที่อยู่ด้านข้างเสียบไว้ในร่องหีบ

นี่เป็นภาพผลงานของฉุนจื๋อเซียนเซิง เดิมทีล้วนจะเอาไปจำนำทั้งสิ้น

วันนี้นางจะไปจากฉางอันแล้ว ของในร้านนี้ในเมื่อเอาไปด้วยไม่ได้ สู้ทิ้งไว้ให้ใต้เท้าที่เคยช่วยนางไว้ครั้งหนึ่งผู้นี้ดีกว่า

หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ร้านไป่เซียงก็มีแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเยือน

เสิ่นหลันสวมเสื้อนวมยาวลากพื้นสีแดง พันคอด้วยผ้าพันคอขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวงาช้าง เป็นการแต่งกายของหญิงสูงศักดิ์ในเมือง

นางก้าวเข้าประตูมา จากนั้นใช้มือขวาพลิกเปิดผ้าบางที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้

“ท่านอามาได้อย่างไร” เสิ่นเจินลุกขึ้นถาม

เสิ่นหลันเดินเข้าไปหา นั่งลงบนม้านั่งสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้แดงสลักลายดอกกล้วยไม้ฝังมุกที่อยู่ตรงหน้าเสิ่นเจิน ขมวดคิ้วพูดว่า “เจินเอ๋อร์ พรุ่งนี้วันที่สิบแล้ว เจ้าจะลงชื่อในสัญญาขายตัวเพื่อใช้หนี้จริงหรือ เจ้ารู้หรือไม่ ลงชื่อในสัญญาขายตัวแล้วจะถูกส่งไปที่ใด! เจ้ายินดีจะขายตนเอง แต่ไม่ยินดีจะเชื่ออาหรือ”

เสิ่นเจินก้มหน้าหลุบตา นางรู้ว่ายิ่งมาถึงเวลานี้ยิ่งต้องพูดปลอบท่านอา

นางกำหมัด แสร้งพูดอย่างลำบากใจ “เจินเอ๋อร์รู้ว่าท่านอาต้องแอบด่าในใจว่าข้าไม่รู้จักดีชั่ว แต่ว่าท่านอา เถิงอ๋องกับท่านพ่อไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ข้ากลัวเขาจริงๆ” นางพูดพลางเอามือปิดปาก

หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเสิ่นเจินคงไม่กล้าเชื่อเลยว่าตนเองจะมีพรสวรรค์ในการแสดงละครเช่นนี้

เสิ่นหลันฟังออกถึงความหมายในคำพูดของนาง รีบพูดขึ้นว่า “เด็กโง่ มีอาอยู่ เจ้าจะกลัวเรื่องเหล่านี้ด้วยเหตุใด ถ้าเจ้าถูกรังแกจริงอาจะมองดูเฉยๆ ได้อย่างนั้นหรือ เจินเอ๋อร์ ถ้าเจ้าติดตามเถิงอ๋อง ไม่เพียงแค่อา ยังมีจวนซู่หนิงป๋อทั้งจวนล้วนจะรุกถอยพร้อมกับเจ้า เจ้าอย่าคิดอะไรส่งเดช เข้าใจหรือไม่”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสิ่นเจินก้มหน้าลง พูดเสียงราวยุงบินว่า “ถ้าท่านอาสามารถปกป้องหงเอ๋อร์ได้ เจินเอ๋อร์ไม่ว่าอะไรก็ฟังคำของท่านอา”

ได้ยินคำพูดนี้เสิ่นหลันก็รู้สึกโล่งอกในที่สุด พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หงเอ๋อร์เป็นหลานชายแท้ๆ ของอาเช่นกัน รอผ่านพ้นพรุ่งนี้อาจะรับเขาไปพักที่จวนซู่หนิงป๋อ จะดูแลเขาให้ดีอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าอยากพบเขา บอกกับอาสักคำก็พอ”

เสิ่นเจินมองดูใบหน้าจริงใจของเสิ่นหลัน หัวใจเย็นวูบไปทั้งดวง

คำพูดนี้พูดจนภายนอกดูดี แต่ความจริงแล้วพวกเขาก็อยากจะกักตัวเสิ่นหงเอาไว้ในจวนซู่หนิงป๋อเพื่อใช้สิ่งนี้มาข่มขู่นางเท่านั้นเอง

เสิ่นเจินรู้ว่าหากคืนนี้หนีไปไม่ได้ เช่นนั้นนางกับหงเอ๋อร์ จะกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงจริงๆ ทำได้เพียงปล่อยให้ผู้อื่นแล่เฉือน

เวลาพลบค่ำ สีท้องฟ้ามืดดำมากขึ้น

ชิงซีด้านหนึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสิ่นเจินกับเสิ่นหง อีกด้านหนึ่งพูดกำชับเสียงเบาว่า “หลังจากคุณหนูจากไปแล้วต้องจำไว้ให้ดี อย่าเดินทางหลวงและอย่าเดินทางน้ำ ที่พำนักสุดท้าย ไม่ว่าใครก็ห้ามบอกนะเจ้าคะ”

สิ้นเสียงพูด ข้างนอกก็มีเสียงลั่นกลองดังต่อเนื่องไม่หยุด

เมื่อเสียงกลองดังเข้าหูก็หมายความว่าการห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาลใกล้จะเริ่มแล้ว

การห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาลในเมืองฉางอันเข้มงวดมาก ตลาดช่วงเช้าหยุดพัก ทางประตูซุ่นเทียนก็จะใช้เสียงกลองยามพลบค่ำนี้เร่งให้คนเดินเท้ารีบกลับบ้าน หลังจากเสียงกลองที่ดังต่อเนื่องยาวนานหยุดลง ไม่เพียงบนถนนจะห้ามให้คนเดินเท้า ประตูเมืองก็จะปิดลงเช่นกัน

ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้นั่นเอง

อันหมัวมัวคลุมเสื้อนอก สยายผมยาว จุดกลักไฟสองอัน แล้วเดินออกจากห้องไปช้าๆ

ท้องฟ้ามืดดำ รอบด้านมืดสนิทไปทั่ว อันหมัวมัวเคลื่อนไหวแคล่วคล่องโยนกลักจุดไฟไปในกองฟืนเล็กและหญ้าแห้งที่ประตูเรือนชั้นหน้า เสียงดังสวบ เปลวไฟลุกขึ้น ส่องสว่างไปทั่วเรือนในทันที

อีกด้านหนึ่ง เสิ่นเจินจูงมือน้อยของเสิ่นหงโค้งตัวมุดออกมาทางโพรงดิน

เสิ่นเจินไม่กล้าหันกลับไป วิ่งไปทางประตูเมืองอย่างสุดชีวิต ถึงแม้นางจะหันหลังให้เรือน แต่ก็เหมือนมองเห็นเปลวไฟร้อนแรงนั้นได้

พอวิ่งไปได้ครึ่งทางเสิ่นหงก็ไอขึ้นมาอย่างแรง เสิ่นเจินหยุดฝีเท้า ลูบหลังของเสิ่นหง “จะหยุดสักครู่หรือไม่”

“พี่สาม ข้ายังทนได้”

เสิ่นเจินขยับเสื้อผ้าบนตัวของเขาให้แน่นขึ้นพลางพูดเสียงเบาว่า “ตอนวิ่งอย่าใช้ปากหายใจ พยายามใช้จมูก ถ้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็บีบมือพี่สาม เข้าใจหรือไม่”

เสิ่นหงพยักหน้าตอบ

เจาสิงฟางอยู่ไม่ห่างจากประตูอันฮว่า ทั้งสองคนหลบๆ ซ่อนๆ มาตลอดทาง กว่าจะมาถึงประตูเมืองได้ไม่ง่ายนัก แต่อย่างไรก็ไม่เห็นทหารที่หางตามีรอยแผลเป็นผู้นั้นเลย

เสิ่นเจินร้อนใจขึ้นทุกที ทนไม่ไหวมองไปรอบด้าน ความไม่สบายใจมากขึ้นทุกขณะ

ในตอนนี้เองเสียงฝีเท้าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของนางในทันใด เสิ่นเจินหันหน้ามองไปเห็นชายหนุ่มแต่งกายชุดทหารเมืองหลายคนยืนตระหง่านอยู่หลังตัวนาง

ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งลมหนาวพัดมา พัดต้องบนตัวนางราวกับมีดบาดขวานจาม

ท้องฟ้ามืดดำ เกล็ดหิมะบางเบาตกลงมาจากท้องฟ้าสีหมึกด้วยความเร็ว ตกลงบนใบหน้าของนางให้ความรู้สึกหนาวเย็นและหนักอึ้ง ละลายเป็นน้ำ คล้ายน้ำตาอย่างมาก

เห็นเพียงคนผู้นั้นพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินผ่านกลุ่มคนมาตรงหน้านางอย่างไม่รีบไม่ร้อน

สายตาของเขายังดูอึมครึมลึกล้ำเหมือนที่ผ่านมา

เขามองเสิ่นเจินอย่างทรงอำนาจและไร้ความสงสาร ริมฝีปากบางขยับเบาๆ “คุณหนูสาม นี่จะไปที่ใดหรือ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: