X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 55 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด

 นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 55 ฟั่นจยาหลัวเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว

ประสิทธิภาพในการนำทีมของซ่งรุ่ยไม่ได้ด้อยไปกว่าจวงเจิน เพราะมีเขาคอยสั่งการอยู่ข้างๆ ทำให้ทุกคนค้นหาทิศทางการสืบสวนได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นต่างคนต่างก็ไปทำงานของตัวเอง เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบไปรวบรวมเงินด้วยการเอาเรื่องนี้ไปคร่ำครวญกับบรรดาเพื่อนสนิทหลายคนด้วยท่าทางโอเวอร์

และเพราะการเล่นใหญ่ของเขา ทำให้หลายคนไม่ค่อยเชื่อ เข้าใจว่าเขาดื่มเยอะแล้วมาล้อเล่นเลยโทรไปคอนเฟิร์มกับจงฮุ่ยลู่ และอีกฝ่ายย่อมต้องร้องไห้ฟูมฟาย ทำให้ทุกคนวางตัวไม่ถูก เงินห้าสิบล้าน ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทชนิดตายแทนกันได้ ใครมันจะหยิบออกมาง่ายๆ

การรวบรวมเงินที่ไม่สะดวกราบรื่น ทำให้เสิ่นโหย่วเฉวียนได้ประจักษ์ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของ ‘เพื่อนสนิท’ ทั้งหลาย สองชั่วโมงผ่านไป ภายใต้การดูแลของตำรวจเขาได้เปลี่ยนเป็นรถอีกคัน เพื่อเดินทางไปที่สำนักย่อยเขตใต้อย่างลับๆ ในระหว่างนั้นตำรวจที่ไปเก็บรวบรวมข้อมูลต่างเดินทางกลับมา ดูเหมือนคดีจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ซ่งรุ่ยแปะรูปถ่ายหนึ่งใบบนกระดานไวท์บอร์ด เอ่ยถาม “คุณเสิ่นครับ นี่เป็นรูปที่เจอในแอ็กลับบนเวยป๋อของจงฮุ่ยลู่ ตอนนั้นเธอไปพักร้อนที่บาหลี คุณรู้จักคนที่อยู่ในรูปนี้หรือเปล่า”

เสิ่นโหย่วเฉวียนเพ่งมองอย่างละเอียดอยู่นาน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงงุนงง “คุณพูดถึงคนไหน” นี่เป็นภาพวิวที่ถ่ายผ่านกระจก นอกหน้าต่างเป็นหาดสีเหลืองทองกับท้องทะเลสีคราม บนชายหาดและในทะเลเต็มไปด้วยฝูงชนที่มาพักร้อน แออัด เบียดเสียดกัน มองผาดๆ เป็นเรื่องยากมากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นใคร

ซ่งรุ่ยชี้ไปที่รอยต่อระหว่างแสงกับเงา แล้วเอ่ย “ดูที่ตำแหน่งย้อนแสง อย่ามองออกไปนอกหน้าต่าง”

เมื่อนั้นเสิ่นโหย่วเฉวียนถึงสังเกตเห็นว่ามีรูปของคนถ่ายสะท้อนอยู่บนหน้าต่างแบบสวิง ถึงจะดูเลือนรางแต่ยังพอมองเห็นทรวดทรงอรชรของผู้หญิงกับรูปร่างกำยำของผู้ชายได้ เสียดายที่ภาพนี้ถ่ายตรงช่วงใต้คอของพวกเขาลงมา ทำให้ศีรษะและใบหน้าของเจ้าของเรือนร่างไม่ปรากฏอยู่ในภาพ

“ผู้หญิงคนนี้คือจงฮุ่ยลู่!” เสิ่นโหย่วเฉวียนฟันธง “พวกคุณดู ตรงไหปลาร้าของเธอมีไฝหนึ่งเม็ด ผมจำไฝเม็ดนี้ได้” ต่อมาเขาพบรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น เสิ่นโหย่วเฉวียนชี้ไปที่รอยสักรูปดวงอาทิตย์บนไหล่ซ้ายของผู้ชาย “เขาคือหลงเฉิงเซิง คนขับรถของผม! มิน่า ช่วงที่จงฮุ่ยลู่ไปพักร้อนที่บาหลี หลงเฉิงเซิงถึงได้ลาพักร้อนกลับบ้าน ที่แท้พวกเขาก็ไปมั่วกัน!”

อันที่จริงตำรวจระบุตัวตนของคนในรูปได้ก่อนแล้ว ถึงค่อยเอามาให้เสิ่นโหย่วเฉวียนยืนยัน

ซ่งรุ่ยพยักหน้าแต่ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ เขามองผ่านเสิ่นโหย่วเฉวียนที่หอบหายใจหนักๆ ด้วยท่าทางใกล้จะระเบิดไปแล้วพูดต่อ “ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดทำให้พวกเราพบว่าระยะนี้ไม่มีรถหรือบุคคลน่าสงสัยไปอยู่ในละแวกโรงเรียนอนุบาล ผู้หญิงที่ลักพาตัวเสิ่นอวี้เหรารวมถึงรถที่ใช้เป็นยานพาหนะไม่เคยโผล่แถวโรงเรียนเลย กระดูกเชิงกรานของเธอแอ่นไปข้างหน้าเวลาเดินขาก็เลยกาง อีกอย่างขากรรไกรของเธอก็หดตัวอย่างรุนแรง รูปร่างกับท่าทางการเดินมีเอกลักษณ์มาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ร่องรอยของเราย่อมต้องสังเกตเห็นเธอ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์นี้ไม่สอดคล้องกับหลักฐานที่เรามีอยู่ตอนนี้”

ทุกคนรีบหยิบปากกา เตรียมจดประเด็นสำคัญ

“คำบอกเล่าของคุณเสิ่นทำให้เรารู้ว่าคนร้ายทำการตรวจสอบทุกคนในบ้านสกุลเสิ่นอย่างละเอียด ในเมื่อเธอตัดสินใจลงมือลักพาตัวเด็กจากโรงเรียนอนุบาลโดยมีการจัดเตรียมเส้นทางและยานพาหนะเอาไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงไม่ไปดูลาดเลาที่โรงเรียนก่อนเลย”

“เธออาจคุ้นเคยกับบริเวณรอบๆ โรงเรียนอนุบาลดีเลยไม่จำเป็นต้องดูลาดเลา” หลิวเทายกมือพูด

ซ่งรุ่ยผงกศีรษะทันที “ถูกต้อง ผมก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้แบบนี้ พวกคุณดูสิ นี่คือคลิปวันที่เกิดการลักพาตัว คนร้ายขับรถเข้าไปในจุดบอดของกล้องวงจรปิดในลานจอดรถแบบไม่เก็บค่าบริการของโรงเรียน ถ้าไม่เคยดูลาดเลาแล้วเธอรู้ได้ยังไงว่ามุมนี้อยู่ในจุดที่กล้องวงจรปิดถ่ายไปไม่ถึง หรืออาศัยดวง?”

“น่าจะมีคนบอกเธอ และคนคนนี้จะต้องคุ้นเคยกับโรงเรียนอนุบาลอิงไฉดีมาก” ตำรวจนายหนึ่งวิเคราะห์

ซ่งรุ่ยผงกศีรษะ “เบาะแสต่างๆ ฟ้องว่านี่น่าจะเป็นฝีมือของคนใน เนื่องจากไม่มีการดูลาดเลา แต่คนร้ายกลับรู้เวลาเลิกเรียนของโรงเรียนอนุบาล รู้จุดบอดของกล้องวงจรปิด และรู้สถานภาพทางการเงินของสกุลเสิ่นเป็นอย่างดี เงินห้าสิบล้านไม่มากและไม่น้อย อยู่ในลิมิตที่คุณเสิ่นสามารถรับได้ งั้นคนในคนนี้คือใคร”

ทุกคนหันไปมองเสิ่นโหย่วเฉวียนด้วยดวงตาเป็นประกาย

เสิ่นโหย่วเฉวียนที่กำลังเดือดดาลพูดทันที “หลงเฉิงเซิงแน่ๆ! เขาไปรับเด็กๆ ตอนเลิกเรียนแทนผมอยู่บ่อยๆ และรู้สถานภาพทางการเงินของผมดี นอกจากนี้เขายังเป็นผีพนัน ก่อนหน้านี้เวลาเสียพนันเขาชอบมายืมเงินผม ผมเห็นเขาทำงานดีมากเลยให้ยืมไปบ่อยๆ แต่ระยะนี้ไม่รู้ทำไม จู่ๆ เขาขอผมทีเดียวสองล้าน! ครั้งนั้นผมเดือดจริงๆ รู้สึกว่าเขาโลภจนน่าเกลียดเลยไม่ให้เขายืม แถมยังขู่ว่าจะไล่เขาออก! แรงจูงใจของเขาสูงมาก ต้องเป็นเขาแน่!”

ซ่งรุ่ยขยับกรอบแว่นบนสันจมูก พูดด้วยน้ำเสียงเห็นพ้องต้องกัน “เราเช็กสถานภาพทางการเงินของหลงเฉิงเซิงแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเสียพนันที่เอ้าไห่ก้อนโตจนขึ้นแบล็กลิสต์ของกาสิโน อยู่ในช่วงกำลังร้อนเงินนอกระบบ แรงจูงใจของเขาสูงมากจริงๆ แต่…” ซ่งรุ่ยปรายตามองเสิ่นโหย่วเฉวียนแวบหนึ่ง พูดเสียงเนิบ “ภรรยาของคุณก็น่าสงสัยเหมือนกัน”

“จงฮุ่ยลู่? เป็นไปไม่ได้! เธอรักเสิ่นอวี้เหรามาก” เสิ่นโหย่วเฉวียนค้านตามสัญชาตญาณ

แต่ซ่งรุ่ยกลับสวนว่า “จากคำบอกเล่าของคุณเสิ่น ผมว่าพฤติกรรมของจงฮุ่ยลู่ผิดปกติมาก ข้อแรก ช่วงที่คนร้ายยังไม่โทรมาขู่ เธอกลับบอกคุณเสิ่นไปอย่างมั่นใจมากๆ ว่าเด็กถูกลักพาตัว คนเป็นแม่ พอเกิดเรื่องก็คิดไปในทางร้ายที่สุดแบบนี้ มันไม่แปลกเกินไปหรือ ข้อสอง เธอคัดค้าน ไม่ยอมให้คุณแจ้งตำรวจอย่างรุนแรง แน่นอนว่ามันแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่แม่มีต่อลูก แต่คำค้านของเธอไม่สมเหตุสมผล พอคุณเสิ่นเสนอให้ขายทรัพย์สินกับบริษัทเพื่อรวบรวมเงิน เธอกลับไม่พูดเลยสักคำ มันเพราะอะไรกัน ในฐานะแม่ที่กำลังร้อนใจเหมือนไฟผลาญ เธออาจไม่ยอมแจ้งตำรวจ แต่การที่ไม่ยอมรวบรวมเงินด้วย พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ย้อนแย้งกันไปหน่อยหรือ พวกคุณอาจพูดได้ว่าเธอเห็นแก่ตัว ตัดใจหยิบเงินตัวเองออกมาไม่ได้ แต่ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเทียบกับความเป็นห่วงแทบขาดใจที่เธอแสดงออกเมื่อตอนก่อนหน้า เธอร้อนใจจริงหรือร้อนใจปลอม แค่มองปราดเดียวก็รู้ไม่ใช่หรือ”

ทุกคนขบคิดอย่างละเอียดแล้วเผลอผงกศีรษะ

ตำรวจหญิงนายหนึ่งพูดซื่อๆ “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะต้องขายของที่พอขายได้ในมือตัวเองออกไปก่อน มีหรือจะนั่งคอยเงินผัวอยู่ที่บ้านเฉยๆ เวลาแบบนี้ทุกคนในครอบครัวน่าจะสามัคคีกันทำงานเพื่อรวบรวมเงินให้เร็วที่สุดไม่ใช่เหรอ เพราะถ้ารวบรวมเงินได้ครบจำนวน ลูกก็จะได้กลับมาเร็วขึ้น ไม่ดีหรอกหรือไง จงฮุ่ยลู่ร้อนใจแต่กลับไม่ทำอะไรเลย พฤติกรรมแบบนี้มันประหลาดมาก”

เสิ่นโหย่วเฉวียนพยายามสะกดไฟโทสะในใจไว้ พูดเสียงฝาดเฝื่อน “ด็อกเตอร์ซ่งรุ่ยครับ คุณไม่ต้องพูดแล้ว ผมไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของจงฮุ่ยลู่จริงๆ ตอนนั้นสมองผมสับสนมาก ความหมายของคุณคือการลักพาตัวครั้งนี้อาจเป็นแผนที่เกิดจากการร่วมมือกันของหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่หรือครับ หลงเฉิงเซิงจะใช่พ่อของเสิ่นอวี้เหราหรือเปล่า เขาจะทำลงได้ไง”

ซ่งรุ่ยแปะภาพถ่ายสองใบลงบนกระดานไวท์บอร์ด พูดเสียงเนิบ “เวลานี้เราคงไม่อาจยืนยันตัวจริงๆ ของคนร้ายได้ ทุกอย่างเป็นแค่สมมติฐานที่ได้จากหลักฐานที่มีอยู่ตอนนี้ แต่สำหรับคำถามที่คุณเสิ่นถามเมื่อกี้ ผมน่าจะพอมีคำตอบให้คุณ”

เสิ่นโหย่วเฉวียนมองภาพถ่ายสองใบแล้วพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง เพราะภาพหนึ่งเป็นภาพที่เสิ่นอวี้เหราเพิ่งถ่ายไปเมื่อเร็วๆ นี้ เด็กชายมองกล้องพลางหัวเราะร่า จมูกโด่งเป็นสัน ปากน้อยๆ สีแดงสดใส หน้ารูปไข่ คางแหลม ท่าทางน่ารักมาก ส่วนอีกภาพเห็นได้ชัดมากว่าเป็นภาพเก่า สีสันฟ้องถึงอายุอันยาวนาน แต่เด็กผู้ชายที่ยิ้มให้กล้องแบบเดียวกันคนนั้นกลับมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเสิ่นอวี้เหราอย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด

เสิ่นโหย่วเฉวียนจ้องภาพถ่ายสองใบที่มีอายุห่างกันหลายสิบปีเป็นเวลานาน ราวกับเข้าใจเรื่องบางอย่างแล้ว

ซ่งรุ่ยตอกย้ำสมมติฐานของเขา “นี่เป็นภาพถ่ายสมัยเด็กของหลงเฉิงเซิง ไม่เหมือนกับตัวเขาตอนนี้เลยใช่มั้ยครับ”

ใช่ หลงเฉิงเซิงตอนโตรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ผิวคร้ามแดด การเคี้ยวหมากเป็นระยะเวลาหลายปีทำให้รูปหน้าเปลี่ยนเป็นกว้างขึ้น ดูแมนมาก ถ้าไม่มีรูปถ่ายสมัยเด็กเก็บภาพเก่าๆ ของเขาไว้ ตีให้ตาย เสิ่นโหย่วเฉวียนก็คิดไปไม่ถึงว่าตอนเด็กอีกฝ่ายจะมีหน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงแสนสวยแบบนี้ ถ้าได้เห็นภาพนี้เร็วกว่านี้ น่ากลัวว่าเสิ่นโหย่วเฉวียนคงสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับหลงเฉิงเซิงตั้งแต่แรกแล้ว

“พวกเขาหลอกผมมาตลอด! พวกเขาหลอกลวงเหมือนเห็นผมเป็นลิง!” เสิ่นโหย่วเฉวียนเคยเข้าใจว่านาทีที่ได้รับเอกสารการพิสูจน์คือช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความเจ็บปวดในตอนนี้จะมีมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ตอนที่เขามุมานะบากบั่นเพื่อชีวิตที่สุขสบายของคนในครอบครัว คนที่เขาเชื่อใจที่สุดสองคนแอบมั่วกันลับหลังเขา ซ้ำยังให้กำเนิดมารหัวขนออกมาหนึ่งคน ให้เขาช่วยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ถึงขั้นมองเมินลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง ครอบครัวของพวกเขาสามคนทำตัวเหมือนปลิงที่คอยสูบเลือดเขาอย่างตะกละตะกลาม เหมือนกองโจรที่แอบหยิบดาบมาเตรียมแล่เนื้อเถือหนังเขา

เสิ่นโหย่วเฉวียนปิดหน้า ค่อยๆ ฟุบตัวลงไปบนโต๊ะ ร้องโหยหวนเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกขัง

คนในหน่วยเฉพาะกิจพากันเบือนหน้ามองไปทางอื่นด้วยความรู้สึกสงสาร ทว่าซ่งรุ่ยกลับพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คุณเสิ่นครับ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเสียใจ จากคำบอกเล่าของคุณ หลังเด็กถูกลักพาตัว ในฐานะพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเด็ก หลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่กลับไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากมาย ตรงกันข้าม พวกเขาห้ามคุณแจ้งตำรวจและไล่ต้อนให้คุณขายทรัพย์สินเพื่อเอาไปไถ่ตัวคน ทำให้พวกเขาดูน่าสงสัยมากเป็นพิเศษ จงฮุ่ยลู่กับหลงเฉิงเซิงรู้เรื่องที่คุณมาแจ้งความที่กรมตำรวจหรือเปล่า ถ้าคดีนี้เป็นแผนของพวกเขาจริง ผมก็มีเหตุผลพอที่จะเชื่อได้ว่าแก๊งของพวกเขามีกันอย่างน้อยสี่คน สองคนคอยจับตาดูคุณอยู่ที่บ้านสกุลเสิ่น คนหนึ่งรับตัวเด็กไปและคอยควบคุมตัว ส่วนอีกคนโทรมาขู่เอาเงินค่าไถ่ พวกเขาแบ่งงานกันชัดเจน วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ เห็นได้ว่ามีการเตรียมพร้อม พวกเราจำเป็นต้องรับมืออย่างระมัดระวัง เพราะถ้าหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่รู้ว่าคุณแจ้งความ พวกเขาจะต้องโทรหรือส่งข้อความไปบอกให้พรรคพวกพาเด็กไปที่อื่นทันที หรือไม่ก็เปลี่ยนแผน ถึงตอนนั้นเราจะคลี่คลายคดีนี้ได้ยากยิ่งขึ้น และไม่รู้ด้วยว่าเด็กจะเป็นหรือตาย”

ซ่งรุ่ยนิ่งไปพักหนึ่ง น้ำเสียงทวีความเยียบเย็นมากกว่าเดิม “ถึงหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่จะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเสิ่นอวี้เหรา แต่ตอนนี้พวกเขาล้วนอยู่ที่บ้านสกุลเสิ่น ไม่ได้อยู่กับเด็ก ส่วนคนที่คอยคุมเด็กไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา จึงไม่มีเหตุผลที่จะแยแสความเป็นความตายของเสิ่นอวี้เหรา และคนที่มีส่วนกับการลักพาตัวไม่มีทางเป็นคนดี ถ้าพวกเขารู้ว่าคุณแจ้งความก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะไม่แยแสความรู้สึกของหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่ ลงมือฆ่าตัวประกันทันที ทำให้พวกเราเสียเปรียบมาก!”

ตำรวจทุกนายเครียดขึ้น ทุกคนต่างหันมามองเสิ่นโหย่วเฉวียน

ทว่าเสิ่นโหย่วเฉวียนกลับพูดเสียงเบาว่า “เรื่องนี้พวกคุณสบายใจได้ ตอนออกจากบ้านคุณฟั่นกำชับผมถึงสามรอบว่าห้ามให้คนในบ้านรู้เรื่องที่ผมแจ้งความเด็ดขาด ตอนนี้หลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่เข้าใจว่าผมกำลังรวบรวมเงินอยู่ข้างนอก”

ทุกคนถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ซ่งรุ่ยอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก “ผมน่าจะคิดได้ ในเมื่อฟั่นจยาหลัวแนะนำให้คุณมาแจ้งความ เขาย่อมต้องวางแผนทั้งหมดให้คุณอย่างดี”

เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบผงกศีรษะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันและจริงใจ “ครับ ทุกอย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นไปตามแผนของคุณฟั่น ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขากำชับทุกเรื่องล้วนเป็นประโยชน์ต่อผม ทำให้ผมรอดพ้นจากกับดักการเสียลูกแบบไม่มีวันได้คืนไปได้อันแล้วอันเล่า คุณฟั่นเก่งมากจริงๆ!”

พูดถึงฟั่นจยาหลัว บรรยากาศภายในห้องประชุมก็ผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คำทำนายของเขาทำให้ทุกคนมีความมั่นใจมากว่าจะสามารถพาเด็กกลับมาได้อย่างปลอดภัย ความเชื่อนี้เป็นเรื่องประหลาดและปราศจากเหตุผล

ซ่งรุ่ยขยับกรอบแว่น สุดท้ายเขาก็พูดเรื่องที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีออกมา “ดวงของคุณเสิ่นดีมาก”

เขาไม่ใช่คนแรกที่พูดกับเสิ่นโหย่วเฉวียนแบบนี้ อันที่จริงพอคนในกรมตำรวจรู้เรื่องระหว่างเขากับฟั่นจยาหลัว และเรื่องคดีลักพาตัวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเขาต่างอุทานออกมาแบบเดียวกัน

ขอบตาของเสิ่นโหย่วเฉวียนแดงเรื่อขึ้นมาทันที เขาพูดเสียงสะอื้น “ครับ น่ากลัวว่าคราวนี้ผมคงใช้โชคทั้งชีวิตไปหมดถึงได้เจอกับผู้สูงส่ง แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นผู้สูงส่งสำหรับผมเช่นกัน จากนี้ผมต้องขอรบกวนทุกคนให้ช่วยเสิ่นอวี้เหราออกมาด้วย ผมขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ!” เขาโค้งคำนับ กล่าวขอบคุณไม่หยุด ทำเอาทุกคนแสบจมูก แม้เสิ่นโหย่วเฉวียนจะไม่สามารถตัดใจจ่ายเงินห้าสิบล้านไปได้ แต่การที่เขาวิ่งพล่านเพื่อช่วยเด็กคนหนึ่งหลังรู้ชาติกำเนิดของอีกฝ่ายแบบนี้ ถือว่ามีมนุษยธรรมที่สุดแล้ว

ยิ่งพอย้อนกลับไปมองพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเด็ก จะเห็นได้ว่าห่างไกลกันชนิดเอามาเทียบกันไม่ได้…

เมื่อเห็นว่าบทสนทนาออกห่างจากประเด็นไปไกล ซ่งรุ่ยก็ใช้ข้อนิ้วเคาะกระดานไวท์บอร์ด พูดต่อว่า “เวลานี้เรายังไม่มีหลักฐานที่สามารถระบุได้ว่าหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่เป็นผู้ก่อเหตุ มือถือของพวกเขาไม่มีการติดต่อกับเบอร์แปลก บัตรเครดิตไม่มีการใช้จ่ายที่ผิดปกติ เห็นได้ว่าพวกเขามีวิธีหลบเลี่ยงการสืบสวนดีมาก เราต้องหาวิธีหยั่งเชิงพวกเขาและสืบหาร่องรอยของเด็ก คุณเสิ่นครับ เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคุณ”

เสิ่นโหย่วเฉวียนรีบให้คำมั่น “พวกคุณมีแผนอะไรครับ ผมจะทำตามที่พวกคุณบอกแน่นอน!”

ซ่งรุ่ยพอใจในการให้ความร่วมมือของอีกฝ่ายมาก เขาแจกจ่ายแผนที่ทำไว้อย่างดีมาตั้งแต่ต้นให้ทุกคน คนละหนึ่งชุด พอทุกคนได้รับ ‘บท’ ของตัวเองก็พยายามศึกษาคำพูดและบทบาทข้างในนั้นอย่างจริงจัง ยุ่งกันจนฟ้าเริ่มสว่างถึงค่อยตั้งขบวนรถตรงไปที่บ้านสกุลเสิ่น

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 3 .. 64

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: