X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งฉางอัน บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 7

ลู่เยี่ยนมองเสิ่นเจินอย่างทรงอำนาจและไร้ความสงสาร ริมฝีปากบางขยับเบาๆ “คุณหนูสาม นี่จะไปที่ใดหรือ”

สายตาของเขาแหลมคมเหลือเกิน ทำให้นางไม่อาจหลบหนีได้

“หงเอ๋อร์ หลับตาลง” เสิ่นเจินก้มหน้าลง พูดจบก็ใช้สองมือปิดหูของเสิ่นหง

ท่านพ่อสั่งสอนพวกเขามาแต่เล็กว่าห้ามโกหก ดังนั้นต่อให้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้นางยังคงไม่อยากให้เสิ่นหงได้ยินคำที่จะพูดต่อไปนี้

เสิ่นเจินแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง น้ำเสียงเรียบเฉย “เมื่อครู่ที่บ้านไฟไหม้ ข้าเห็นไฟแรงมาก ค่อยๆ ลามไปทั่ว จึงพาน้องชายวิ่งออกมาแจ้งทางการ”

นางรู้ว่าคำพูดของตนเองมีช่องโหว่มากมาย แต่ยังคงมีความหวังอยู่เล็กน้อย

หวังว่าเขาจะช่วยเหลือนางอีกครั้ง

ทว่าเพิ่งสิ้นเสียงพูดของนาง หยางจงก็คุมตัวทหารผู้หนึ่งเดินมา “หาคนเจอแล้วขอรับ”

เสิ่นเจินหันมองไปตามเสียง หลังจากเห็นรอยแผลเป็นที่หางตาของทหารผู้นั้นชัดเจนแล้วสีหน้าก็ซีดขาวในทันที ปลายนิ้วล้วนกำลังสั่นเทา

เสิ่นหงรู้สึกกลัวจึงพูดเสียงเบาว่า “พี่สาม พี่เป็นอะไร หงเอ๋อร์ลืมตาได้หรือยัง”

ลู่เยี่ยนมองนางด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้

ตามกฎหมายของราชวงศ์จิ้นแล้ว ทางการจับคน สามารถใช้เชือกป่านหรือโซ่ตรวนคุมตัวนักโทษได้ ทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหลบหนีไประหว่างทาง แต่เขาเห็นแก่หน้าของนางจึงเดินเข้าไปหาและคว้าสองมือของนางเอาไว้ด้วยแรงไม่หนักไม่เบา ก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า “คุณหนูสาม ยอมรับผิดหรือไม่”

 

เสิ่นเจินเดิมคิดว่าใต้เท้าลู่ผู้นี้จะคุมตัวนางกลับไปที่ว่าการ แต่ไม่คิดว่าเขากลับพานางเดินผ่านถนนหลักสองสาย เดินเข้าไปถึงคฤหาสน์หลังหนึ่งในตรอกลึกที่แม้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่โตนักแต่ดูงดงามเรียบหรู

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง บนป้ายขวางเหนือประตูที่แกะสลักจากไม้หงซานชิ้นนั้นสลักอักษรไว้ว่า ‘คฤหาสน์เฉิงย่วน’

ทางเล็กในคฤหาสน์คดเคี้ยว ต้นอู๋ถงและต้นกล้วยปลูกเรียงราย สระน้ำสะพานเล็ก ประตูหน้าต่างศาลาริมน้ำ ไม่มีสิ่งใดไม่ประณีต หากถึงฤดูใบไม้ผลิต้องมีภาพงาม ‘อู๋ถงแผ่กิ่งก้านงามไสว สระน้ำใสสะท้อนเงาจันทร์’ แน่นอน

แต่เสิ่นเจินตอนนี้ไม่ได้มาชมทิวทัศน์ นางมองสำรวจไปรอบด้าน ในใจเกิดความไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น

ทว่ามือของนางถูกเขาจับไว้แน่น ไม่อาจออกแรงอะไรได้เลย จำต้องเดินไปข้างหน้าตามฝีก้าวของเขา

จนกระทั่งถึงเรือนหลันเยวี่ยเขาก็หยุดฝีเท้า เหลือบมองเสิ่นหงแวบหนึ่งแล้วพูดกับหยางจงว่า “พาเขาไปที่ห้องฝั่งตะวันตกก่อน”

เสิ่นหงเป็นเด็กดีมาตลอด เด็กอายุห้าขวบ ตลอดทางไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย แต่พอเห็นว่าจะถูกคนพาตัวไปก็สะบัดเท้าเล็กๆ ขึ้นมาในทันที “พี่สามๆ พวกเขาจะพาไปที่ใด”

เสิ่นเจินรีบพูดปลอบขวัญ “ไม่เป็นไรหงเอ๋อร์ เจ้าตามใต้เท้าผู้นี้ไปก่อน พี่สามอีกครู่จะไปหาเจ้า”

เสิ่นหงสะบัดเท้าไม่หยุด

หยางจงรู้ว่านายของตนเองเกลียดการรบกับเด็กที่สุดจึงรีบช้อนตัวอุ้มเขาขึ้นมาและพูดเสียงเบาว่า “คุณชายน้อย อีกครู่หนึ่งท่านก็จะได้พบพี่สามของท่านแล้ว รอสักครู่เถอะ”

หลังจากหยางจงอุ้มเสิ่นหงไปแล้ว ลู่เยี่ยนก็พาเสิ่นเจินเข้าไปในเรือนหลันเยวี่ย

พอเข้าประตูเขาก็ปล่อยมือนางและจุดตะเกียง จากนั้นพูดเสียงเข้มว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครึ่งหนึ่ง พูดมา”

อาจเป็นเพราะรับราชการมานาน ท่าทีการพูดจึงเป็นไปโดยธรรมชาติ

ดังนั้นต่อให้ตอนนี้ข้างหลังตัวเขามีเตียงที่ทำจากไม้พะยูงหอมที่ดูน่านอนตัวหนึ่งก็ไม่ส่งผลกระทบต่อคนที่มีความผิดแปลกจากคนทั่วไปอย่างเขาแม้แต่น้อย

เสิ่นเจินกำหมัด ไม่รู้เลยว่าควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไร

ยอมรับผิดหรือ

ความผิดร้ายแรงแบบนี้นางจะยอมรับได้อย่างไร จะเถียงข้างๆ คูๆ ได้หรือ

ถูกเขาจับได้คาหนังคาเขาจะเถียงข้างๆ คูๆ อย่างไรได้

นางขมวดคิ้วครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ทนสายตาเหมือนโบยฟาดใส่นางของเขาไม่ไหวจริงๆ จำต้องพูดเสียงเบาว่า “เรื่องทั้งหมดในคืนนี้ข้าเป็นคนทำทุกอย่าง ข้ายอมรับ”

ได้ยินคำพูดนี้แล้วลู่เยี่ยนเหมือนยกมุมปากยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เรื่องทุกอย่างนั้นมีอะไรบ้าง ลองบอกมาสิ”

เสิ่นเจินกัดริมฝีปากตนเอง สองตาแดงแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลลงมา พูดเสียงเบาตอบคำถามของเขา “ติดค้างหนี้ ผิดสัญญา ไม่ยอมชดใช้ กลัวความผิด คิดหลบหนี”

พอถึงตรงนี้นางก็เหมือนกับทุ่มออกไปสุดตัว เอ่ยว่า “ในเมื่อใต้เท้าลู่จับข้าได้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่โต้เถียงอะไรอีก ถึงพรุ่งนี้ท่านก็ส่งข้าให้กับร้านแลกเงินสกุลจินก็แล้วกัน”

ลู่เยี่ยนหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ส่งไปที่ร้านแลกเงินหรือ”

เขาเดินช้าๆ มาถึงข้างกายนาง ยื่นมือเข้าไปในชุดกระโปรงของนาง ค้นทะเบียนเรือนใบหนึ่งออกมาจากข้างหลังนางอย่างแม่นยำไม่ผิดพลาด

เสิ่นเจินแววตาตื่นตระหนกรีบยื่นมือไปแย่งทันที แต่คนผู้นี้กลับชูขึ้นสูงทันใดไม่ยอมให้นางทำสำเร็จ

เพราะความสูงที่ได้เปรียบ ต่อให้เสิ่นเจินเขย่งปลายเท้าก็ยังคว้าไม่ถึง

ลู่เยี่ยนสะบัดแผ่นกระดาษ คลี่ออกตรงหน้านางแล้วพูดทีละคำว่า “ปลอมแปลงเอกสารทางการอย่างทะเบียนเรือน ลอบวางเพลิง ติดสินบนเจ้าหน้าที่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีความผิดสถานใด”

ตอนที่ฟังถึงตรงนี้เสิ่นเจินตื่นตระหนกโดยสิ้นเชิง

ในดวงตากระจ่างสุกใสราวลูกกวางน้อยคู่นั้นเต็มไปด้วยความลนลาน ตรงขมับก็มีเม็ดเหงื่อหยดเล็กๆ ผุดขึ้นมา

ที่แท้เขารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว

หากเขาสืบต่อไปอีก อันหมัวมัว พี่ใหญ่ ใครก็คงไม่รอด

ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นช้าๆ เหนือหัวของนาง “แค่เรื่องปลอมแปลงเอกสารทางการเรื่องเดียว โทษนี้ก็สามารถตัดสินเนรเทศไปไกลสองพันลี้* ได้แล้ว ถ้านับเรื่องอื่นๆ อีก ฆ่าให้ตายก็ไม่เกินไป”

คร่ำหวอดอยู่ในราชสำนักที่ยากจะคาดเดาอะไรได้มานานหลายปี เขารู้กระจ่างว่าคำพูดอย่างไรจะทำให้คนผู้หนึ่งสติแตกได้

นับประสาอะไรกับหญิงสาวอายุสิบหกปีผู้หนึ่ง

เสิ่นเจินถูกเขาพูดจนตัวอ่อน ในใจว้าวุ่นจนแทบจะยืนไม่อยู่ น้ำตาคลออยู่ตรงขอบตา

ลู่เยี่ยนยื่นมือมาดึงปลายคางของนางกลับมา บังคับให้นางมองตรงมาที่เขาและพูดด้วยแววตาร้อนแรงว่า “เสิ่นเจิน เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงพาเจ้ามาที่นี่”

เสิ่นเจินประสานกับแววตาบีบคั้นใจคนของเขา ในใจสับสนราวรัวกลอง

จริงสิ เหตุใดเขาไม่พานางไปที่ที่ว่าการนครหลวง แต่พามายังเรือนส่วนตัว

พอคิดถึงตรงนี้นางก็พบในทันใดว่าวันนี้เขาไม่ได้สวมใส่ชุดขุนนางสีม่วงเข้มตัวนั้น แต่เป็นเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่ง

นางเดาได้ทันทีว่าสายตาของเขาในตอนนี้กำลังบอกอะไรเป็นนัย

เสิ่นเจินสีหน้าซีดขาว มีคำตอบบางอย่างกำลังปรากฏในหัว แต่นางกลับไม่กล้าคิดลึกต่อไป ไม่กล้าแม้แต่น้อย

ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ลู่เยี่ยนชายหนุ่มที่มีจุดประสงค์อยู่แล้วย่อมไม่สนใจอะไร แต่เสิ่นเจินไม่เหมือนกัน นับจากเดาจุดประสงค์ของเขาได้นางก็ดมกลิ่นจันทน์หอมบนตัวเขาไม่ไหวอีกต่อไป

ข้างหลังนางก็คือผนังห้อง ไม่มีทางให้ถอยหนี ในช่วงคับขันนางยกสองมือเล็กๆ ขึ้นมายันไปบนแผ่นอกของเขา เรียกด้วยเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน “ใต้เท้า”

เสียงของนางเจ็บปวดสิ้นหวังและเต็มไปด้วยการขอร้อง

จากนั้นหยดน้ำตาของนาง…สุดท้ายก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

พอนางน้ำตาไหล ลู่เยี่ยนก็ขมวดหัวคิ้ว

หยดลงหนึ่งหยด หัวใจของเขาก็เหมือนถูกคนทุบไปด้วย

หยดลงมาอีกหนึ่งหยด หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บ

นับจากได้พบกับนาง เขาก็เป็นโรคประหลาดที่ทำให้รำคาญใจ แต่วันนี้ทำให้เขาพบกฎข้อหนึ่ง ดูเหมือนหากนางร้องไห้อย่างหนัก เช่นนั้นความเจ็บปวดของเขาก็จะรุนแรงขึ้นเล็กน้อย

ที่แท้นางก็ห้ามร้องไห้อย่างนั้นหรือ

เขาเงยหน้าขึ้นมองคานห้อง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและหัวเราะออกมา

ก็ได้ ลู่เยี่ยนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เขาอดทนรอนางอยู่นาน เห็นนางไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเสียงเย็นชาว่า “ถ้าเจ้ายังร้องไห้อีก พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปจับคนที่บ้านสกุลหลี่”

สกุลหลี่ที่พูดถึงคือบ้านของหลี่ตี้ พี่เขยของเสิ่นเจิน

เป็นจริงดังคาด คำพูดนี้ออกมา เสียงสะอื้นไห้ก็หยุดลงทันที

เสิ่นเจินบังคับตนเองให้สงบนิ่ง ห้ามทำให้เขารำคาญใจเด็ดขาด เก็บเสียงสะอื้นในคอกลับไป

ลำคอรู้สึกขมปร่า

ผ่านไปครู่หนึ่งลู่เยี่ยนเห็นไหล่ของนางไม่สั่นแล้วจึงเปิดหีบสองใบ ในหีบใส่เงินเอาไว้เต็ม

“เหล่านี้เป็นเงินแปดพันก้วน” ลู่เยี่ยนพูด

แปดพันก้วน เท่ากับหนี้ที่สกุลเสิ่นติดค้างไว้พอดี

เสิ่นเจินเงยหน้าขึ้น “ใต้เท้าลู่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”

ลู่เยี่ยนหยิบเทียนมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อมองสำรวจนางได้อย่างชัดเจน

“ข้างนอกมีการห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาล คืนนี้เจ้ากับข้าล้วนออกไปไม่ได้แล้ว มีเวลามากมาย ข้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าค่อยๆ คิดก็ได้”

เขาไม่ชอบให้ใครมาแสร้งโง่ทั้งที่เข้าใจต่อหน้าเขา เขาให้เงินนางก้อนใหญ่อย่างนั้นไม่ได้ให้เพื่อให้นางมาแกล้งโง่

เสิ่นเจินกัดริมฝีปากซ้ำไปมา

ทันใดนั้นนางก็พบว่าสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้กับการอยู่ในศาลไม่ต่างอะไรกันมากนัก

หากนางพูดผิด เขาอาจจะไม่ให้โอกาสนางเป็นครั้งที่สอง

เขาไม่เหมือนเถิงอ๋องและหลงจู๊ร้านแลกเงินสกุลจิน เขาไม่เพียงมีเงินและอำนาจในมือ เขายังมีชนักของนางอีกด้วย ก็เหมือนกับที่เขาพูดไปเมื่อครู่ เอกสารออกนอกเมืองนั้นใครเป็นคนเขียนเขารู้กระจ่าง จะตรวจสอบหรือไม่ล้วนอยู่ในความคิดของเขา

ไม่มีทางเลือกอื่นเลย

คิดถึงตรงนี้นางก็ยอมรับในโชคชะตาขึ้นมาทันใด

นางรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์จะยื่นเงื่อนไข แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจึงทำได้เพียงพูดออกไปว่า “ใต้เท้า น้องชายข้าอายุเพียงห้าขวบ เขาอยู่ห่างข้าไม่ได้…”

เสิ่นเจินยังพูดไม่จบก็ถูกเขาตัดบทเสียงเย็นชา “เสิ่นหงอยู่ในฉางอันไม่ได้”

เรื่องของสกุลเสิ่น การอยู่ในเมืองฉางอันเป็นปัญหายุ่งยากอย่างไม่ต้องสงสัย

ตามที่เขารู้มา สาเหตุที่อวิ๋นหยางโหวที่รับโทษอยู่ในคุกไม่ได้รับอนุญาตให้คนภายนอกเข้าเยี่ยม แท้จริงแล้วเพราะฮ่องเต้มีพระบัญชามาถึงใต้เท้าโจวแห่งศาลต้าหลี่

พระบัญชา เรื่องนี้น่าสนใจ

ขุนนางต้องโทษที่ถูกตัดสินจองจำสองปี ยึดตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ มีอะไรควรค่าให้ฮ่องเต้ลงมือรุนแรงแบบนี้อีก

จากเรื่องนี้ทำให้คิดถึงคนที่อยากจะยึดตัวเสิ่นเจินมาเป็นของตนเองในทันที พวกเขาทำเพื่อเงิน เพื่อตัณหา หรือเพื่ออย่างอื่นกันแน่ เป็นเรื่องที่น่าคิด

เขาถึงแม้จะเป็นเพราะภาพในความฝันที่วุ่นวายเหล่านั้นทำให้จำต้องคุ้มครองเสิ่นเจิน แต่ไม่มีทางทำเพื่อนางไปจนต้องทนรับความยุ่งยากมากกว่านี้อีก

เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่งพลางพูดช้าๆ ว่า “ในเมืองหลวงมีคนจับจ้องพวกเจ้ามากมาย ที่นี่ซ่อนคนสองคนไว้ไม่ได้ เสิ่นหงมีโรคประจำตัวต้องพบหมอตลอด เจ้าคิดว่าถ้าท่านหมอผู้หนึ่งเดินเข้าออกตรอกนี้ทุกวัน รอให้ผู้อื่นเดาว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน”

“ข้าจะส่งเขาไปเป็นศิษย์ของฉู่สวินเซียนเซิง” ฉู่สวินเซียนเซิงเป็นอาจารย์ชื่อดังของเมืองหยางโจว ถึงแม้สกุลเสิ่นจะเป็นสกุลเสิ่นในวันวานก็ไม่แน่ว่าจะเชิญมาได้

ได้ยินดังนั้นความกังวลสุดท้ายของเสิ่นเจินก็หมดลง แต่นางรู้ว่าโลกนี้ไม่มีขนมเปี๊ยะสอดไส้ตกลงมาจากฟ้า* ให้หรอก เรื่องดีทุกอย่างล้วนต้องมีสาเหตุ

“ใต้เท้าต้องการให้ข้าทำอะไรหรือ” เสิ่นเจินพูดอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม

ลู่เยี่ยนรู้สึกพอใจมากกับการรู้กาลเทศะของนางเช่นนี้ จึงพูดต่อไปว่า “ข้าเป็นคนไม่ชอบสตรีที่ร้องไห้ฟูมฟาย”

เสิ่นเจินตกตะลึง ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงพูดเช่นนี้ เมื่อครู่ที่นางน้ำตาไหลก็เป็นเพราะเขาทำให้ตกใจกลัวแท้ๆ

ลู่เยี่ยนกวาดตามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “จำได้หรือยัง”

เสิ่นเจินสูดหายใจเข้าอย่างตกใจ กลืนคำตัดพ้อลงไปทั้งหมด “ข้าจำได้แล้ว”

ลู่เยี่ยนส่งเสียงอืมรับ จากนั้นมองนางแล้วพูดว่า “รู้ว่าตนเองมีฐานะอะไรหรือไม่”

เสิ่นเจินรู้ฐานะของเขา และรู้ฐานะของตนเองเช่นกัน

ที่รู้กระจ่างยิ่งกว่านั้นก็คือมารดาของเขา องค์หญิงใหญ่จิ้งอันไม่มีทางให้เขารับอนุภรรยาก่อนที่จะแต่งภรรยาเอกเด็ดขาด

แบบนี้ก็ยิ่งดี

เสิ่นเจินหลุบตาลง เผยอปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงส่งเสียงพูดออกมา “เป็นภรรยาลับของใต้เท้า”

บทที่ 8

นอกห้อง แสงจันทร์สีเงินยวงจากจันทร์เสี้ยวรูปเคียวราวกับผืนผ้าที่คลี่คลุมลงไปบนหลังคากระเบื้องแต่ละแผ่นของคฤหาสน์เฉิงย่วน

รอบข้างเงียบสนิทไร้เสียง เงียบจนแม้แต่เสียงของแสงเทียนไหวพึ่บพั่บก็ยังได้ยิน

ตอนนี้ห่างจากการลั่นกลองยามเช้าอีกระยะหนึ่ง

ลู่เยี่ยนหลังจากกำชับเสิ่นเจินว่าไม่มีอะไรห้ามร้องไห้ มีอะไรก็ยิ่งห้ามร้องไห้แล้วก็ไม่ได้ทรมานตนเอง นอนลงพักผ่อนครู่หนึ่ง

เสิ่นเจินอยากไปหาเสิ่นหง แต่ไม่กล้ารบกวนการพักผ่อนของเขา จึงนั่งอยู่ด้านข้างเป็นเวลาถึงสองชั่วยาม ง่วงจนตัวโยกแทบล้มก็ไม่กล้าหลับตา

นางไม่ได้พักผ่อนอย่างดีติดต่อกันหลายวัน ตอนนี้แทบทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายเอียงลงด้านข้าง ล้มนั่งลงบนพื้นทันที ม้านั่งกลมก็ล้มคว่ำลงเช่นกัน

พอเกิดเสียงดังถึงเพียงนี้ลู่เยี่ยนย่อมต้องลืมตาขึ้น เขาหันมองไปทางนาง เห็นเพียงนางล้มลงบนพื้น ทว่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด

ท่าทางซื่อไร้เดียงสานี้น่าสงสารปนน่ารัก ต่อให้เป็นคนที่ไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อื่นอย่างลู่เยี่ยนยังเกิดจิตใจหวั่นไหว

เขาลุกขึ้นเดินมาข้างกายนาง ใช้นิ้วมือแตะไหล่ของนางพลางพูดเสียงเบาว่า “ลุกขึ้น”

ได้ยินเสียงชายหนุ่ม เสิ่นเจินก็ดึงสติคืนมาในทันที กลอกลูกตาที่แดงก่ำและดีดตัวขึ้นมาทันใด “ตะ…ใต้เท้า มีอะไรหรือ”

ลู่เยี่ยนเห็นนางเต็มไปด้วยความระวังตัวจึงแค่นเสียงสบถเย็นชาหนึ่งที

หาเรื่องเสียจริงที่ไปสนใจนาง

ในใจไม่พอใจ ย่อมมีสีหน้าที่ไม่ดี เขาคิดว่าตนเองพักผ่อนพอสมควรแล้วจึงเดินออกจากเรือนไปโดยไม่หันมามอง

เมื่อลู่เยี่ยนออกจากเรือนหลันเยวี่ยแล้วก็เดินตรงไปยังห้องฝั่งตะวันตก ยังไม่ทันผลักเปิดประตูก็ได้ยินเสียงไอระลอกหนึ่ง

พอเข้าไปในห้อง เขาก้มหน้าลง เสิ่นหงเงยหน้าขึ้น ความระแวดระวังในดวงตาของเจ้าตัวเล็กเหมือนกับพี่สาวไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นแค่มองก็รู้ว่าร้องไห้มา

ลู่เยี่ยนไม่ชอบเด็ก ไม่ว่าจะเป็นใคร และไม่ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะ ขอเพียงแค่อ้าปากได้เขาล้วนไม่ชอบ

ดังนั้นยังไม่รอให้เสิ่นหงเอ่ยปาก หยางจงก็สั่งคนให้ส่งเสิ่นหงไปที่เรือนหลันเยวี่ยแล้ว

ลู่เยี่ยนมองออกไปนอกหน้าต่างหน้าตาเคร่งขรึม สีหน้าเย็นชาพลางเอ่ยขึ้น “ทางเจาสิงฟางจัดการเสร็จหรือยัง”

หยางจงโค้งตัวตอบว่า “วางใจได้ขอรับ ไฟไหม้แค่เรือนชั้นหน้า คนของพวกเราดับไฟแล้ว บอกกับคนภายนอกว่าเป็นอุบัติเหตุไฟไหม้ ตอนนี้ยังไม่มีใครสงสัยขอรับ”

ลู่เยี่ยนพูดต่อ “คืนนี้วุ่นวายใหญ่โตแบบนี้ พรุ่งนี้ทางเถิงอ๋องกับซู่หนิงป๋อไม่มีทางไม่มีความเคลื่อนไหว เจ้าส่งคนจับตาดูต่อไป รายงานทุกหกชั่วยาม”

หยางจงรับคำ จากนั้นพูดอีกว่า “คุณชายเล็กสกุลเสิ่นเล่าขอรับ”

ลู่เยี่ยนครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดเสียงเข้มว่า “รอไม่ได้แล้ว พอฟ้าสางก็ส่งเขาออกเมืองหลวงไป”

เขาชะงักไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “เอาตัวสาวใช้สูงวัยกับสาวใช้ในเรือนนั้นส่งออกนอกเมืองไปพร้อมกัน”

เช้าวันต่อมา ณ ที่ว่าการนครหลวง

ลู่เยี่ยนเขียนเอกสารพลางฟังที่ปรึกษาใต้บังคับบัญชากล่าวรายงาน

“สิ่งที่ใต้เท้าคาดไว้วันก่อนไม่ผิดเลยจริงๆ นายท่านสกุลหวังแห่งอำเภอหลี่เฉวียนมีปัญหาจริงๆ เมื่อวานข้าน้อยส่งคนไปตรวจค้น พบว่าใต้บ่อน้ำมีศพผู้หญิงสองศพขอรับ”

“เป็นใครบ้าง ตรวจสอบกระจ่างหรือยัง”

“ตามคำของเจ้าหน้าที่ชันสูตร ศพหนึ่งคือคณิกาขับร้องของผิงคังฟาง แซ่หลัว จ่ายเงินค่าไถ่ตัวให้แก่แม่เล้าแล้ว อีกศพคืออนุภรรยาที่หวังจ้าวเพิ่งรับเข้ามาเมื่อปีก่อน ไม่มีร่องรอยว่าเขาฆ่าขอรับ” ที่ปรึกษาพูด

ได้ยินดังนั้นลู่เยี่ยนก็ชะงักไป ก่อนจะใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดว่า “ไม่ถูก กลิ่นซากศพในเรือนของเขาไม่ได้มีเพียงสองศพอย่างแน่นอน”

ความหมายในคำพูดของเขาคือ สองศพนี้ ศพหนึ่งคืออนุภรรยา ศพหนึ่งคือคณิกาขับร้อง ต่อให้หวังจ้าวมีนิสัยประหลาดอะไรหรือเล่นกับพวกนางจนตาย อีกทั้งในเมื่อจัดฉากเป็นการฆ่าตัวตายก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนไว้ในบริเวณเรือนเป็นเวลานานอย่างนั้น

ผลลัพธ์เช่นนี้ หากพูดว่าพวกเขาค้นเจอ สู้พูดว่าคนเขาจงใจวางไว้ตรงนั้นจะดีกว่า

ที่ปรึกษาเบิกตาโต ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบพูดทันที “ข้าน้อยจะไปตรวจสอบอีกครั้งเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ลู่เยี่ยนหลับตาลง ยกมือขึ้นคลึงขมับ เมื่อคืนพักผ่อนไม่พอและมาทำคดีอีกตลอดช่วงเช้า

จะไม่ให้คนได้พัก…

ในใจลู่เยี่ยนยังด่าไม่จบ หยางจงก็หิ้วกรงนกกรงหนึ่งเดินเข้ามา

“นกเอี้ยงที่ท่านต้องการซื้อมาแล้วขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องชอบแน่นอน”

วันนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลลู่ นกเอี้ยงตัวนี้เป็นของขวัญวันเกิดที่ลู่เยี่ยนเตรียมไว้

หลายวันก่อนนกแก้วที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ตายไป นางเสียใจอยู่นาน ลู่เยี่ยนจดจำใส่ใจ ไม่กล้าซื้อนกแก้วชนิดเดียวกันเกรงว่าทำให้นางเสียใจ จึงซื้อนกเอี้ยงที่สามารถร้องเพลงเสียงหวานได้มาแทน

เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า พอเลิกงานลู่เยี่ยนจึงกลับมาที่จวนเจิ้นกั๋วกงโดยเร็ว

พอเดินไปถึงหน้าประตูก็เห็นเวินซื่อฮูหยินของบ้านสามมายืนรับคนหน้าประตู จากนั้นจูงมือหญิงสาวที่เกล้าผมแบบสาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้าจวนไปพร้อมกัน

ลู่เยี่ยนขมวดคิ้วและพูดเสียงเบาว่า “ข้าจำได้ว่าท่านย่าเคยพูดว่าวันนี้จัดงานเลี้ยงภายใน ไม่เชิญคนนอก คนที่มานี่เป็นใครหรือ”

หยางจงตอบ “นั่นคือหลานสาวของฮูหยินนายท่านสาม เพราะบิดาถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจการมณฑลที่จิงโจว ดังนั้นจึงมาพักที่จวนระยะหนึ่ง วันนี้ตั้งใจมาอวยพรวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ”

ลู่เยี่ยนหรี่ตามองหยางจง “เจ้ารู้กระจ่างแบบนี้ เหตุใดจึงไม่บอกข้าล่วงหน้า”

หยางจงถูกเปิดโปงความคิดก็ยกมือลูบปลายจมูกพลางพูดเสียงเบาว่า “องค์หญิงใหญ่กำชับไว้ไม่ให้ข้าน้อยบอกท่านขอรับ”

ลู่เยี่ยนถอนหายใจยาว

อืม เอาอีกแล้วสินะ

เจิ้นกั๋วกงสกุลลู่สายนี้มีสามบ้าน เพราะฮูหยินผู้เฒ่าลู่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสามบ้านจึงไม่ได้แยกบ้านออกไป

นายท่านใหญ่สกุลลู่ลู่จวินแต่งงานกับน้องสาวร่วมอุทรของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่จิ้งอัน นายท่านรองสกุลลู่ลู่เฮ่อแต่งกับเซียวซื่อ บุตรสาวของราชเลขาธิการเสนาบดีฝ่ายขวา

ส่วนลู่ชั่นบุตรชายคนเล็กที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ปวดหัวที่สุดกลับไม่เชื่อฟังความคิดของคนในครอบครัว แต่งงานกับบุตรสาวพ่อค้า ก็คือเวินซื่อในวันนี้

สกุลเวินเป็นพ่อค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์จิ้นและเป็นคนที่มีหน้ามีตาผู้หนึ่ง ดังนั้นในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นลู่ชั่นเกิดใจหวั่นไหวในรักจริงๆ จึงยอมปล่อยตามใจเขา ในเมื่อตั้งใจจะแต่งแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องอะไรที่ไม่มีความสุข วันหน้าจะได้ไม่ต้องหมางใจกัน

แต่ว่าพี่น้องของสกุลเวินนี้ก็มีความสามารถเช่นกัน พี่สาวเพิ่งแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง น้องสาวก็แต่งให้กับขุนนางใหญ่ขั้นสามในราชสำนักแล้ว

คนเมื่อครู่ก็คือเมิ่งซู่ซี บุตรสาวของน้องสาวแท้ๆ ของเวินซื่อ

ตอนลู่เยี่ยนเดินเข้าประตูมา คนของบ้านสามสกุลลู่ล้วนมารวมตัวในโถงเอกกันแล้ว

พอทุกคนเห็นเขาเข้ามาบรรยากาศในห้องก็คึกคักขึ้นมาเล็กน้อย

เขาเดินเข้าไปและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สือเยี่ยนคารวะท่านย่า ขอให้ท่านย่าสุขภาพแข็งแรง มีรอยยิ้มเป็นประจำ”

ระหว่างที่เขาพูด นกเอี้ยงในมือของเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา เสียงนั่นไพเราะเป็นพิเศษ

พอมองเห็นนกเอี้ยงในมือของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบรับมาหยอกเล่นอยู่หลายที

ทางนี้กำลังพูดอยู่ก็ได้ยินเสียงม่านขยับ หญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งสวมเสื้อนวมสีดอกบัว กระโปรงยาวลากพื้นสีทองเดินออกมา

หญิงงามสดใสราวดวงตะวันร้อนแรงผู้นี้ก็คือองค์หญิงใหญ่จิ้งอัน

วันเวลามีใจเอนเอียงไปที่นาง ทั้งที่แต่งงานมายี่สิบกว่าปีแล้วใบหน้ากลับยังหยุดอยู่ในสิบปีก่อน มีเพียงอากัปกิริยามีเสน่ห์ที่หญิงสาวทั่วไปไม่มีเพิ่มขึ้นหลายส่วน

นางเดินไปข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า จงใจหมุนข้อมือของตนเองพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสื้อตัวนี้ลูกเป็นคนปักเอง ท่านแม่อย่ารังเกียจเลย”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่เห็นท่าทางงดงามของนางก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “ฝีมือของเจ้าดีที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ชอบจิ้งอัน ไม่ใช่เพราะนางเป็นองค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์ แต่เพราะนิสัยที่เสมอต้นเสมอปลายเป็นสิบปีของนาง

ตอนที่องค์หญิงใหญ่จิ้งอันแต่งมาที่บ้านสกุลลู่ ท่วงท่าที่แสดงในทุกวันล้วนดูสูงศักดิ์ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ยังดี นับได้ว่ามีความนับถือกตัญญู แต่ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน พูดไม่ถูกหูสองประโยคก็ชักสีหน้าใส่กันทันที ไม่ยอมเก็บอาการเลยแม้แต่น้อย

แต่นางเป็นน้องสาวที่ฮ่องเต้ทรงโปรดที่สุด ใครจะกล้าพูดจาฉุนเฉียวใส่นางเล่า

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่อดสงสารบุตรชายคนโตไม่ได้ กลัวว่าวันใดวันหนึ่งเขาอาจจะต้องรองรับอารมณ์จากคนของราชวงศ์

จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป ฮูหยินผู้เฒ่าลู่จึงเข้าใจว่าองค์หญิงใหญ่จิ้งอันเป็นคนแบบใดกันแน่

ตอนแรกที่เวินซื่อออกไปเลี้ยงรับแขกนอกบ้านมักจะมีคนชอบเอาฐานะบุตรสาวพ่อค้าของนางมาพูดล้อเล่นอยู่บ้าง เวินซื่อกลัวว่าบรรยากาศจะอึดอัดจึงไม่กล้าส่งเสียง พยายามอดทนไว้ บังเอิญครั้งหนึ่งถูกองค์หญิงใหญ่ได้ยินเข้า นางชักสีหน้าในทันที ขว้างถ้วยน้ำชาและดึงตัวเวินซื่อหมุนตัวเดินจากไป

บรรยากาศรอบข้างราวกับเย็นเป็นน้ำแข็ง

ระหว่างทางกลับองค์หญิงใหญ่จิ้งอันไม่ลืมที่จะตำหนินาง ‘น้องสามเป็นสามีภรรยากับเจ้ามานานหลายปี ไม่เคยพูดจารุนแรงแม้แต่ประโยคเดียว เหตุใดเจ้าออกมาข้างนอกยังต้องทนรับอารมณ์คนอื่นอีก เรื่องแบบนี้อดทนหนึ่งครั้งก็มีครั้งที่สอง เจ้าจะอดทนไปทุกครั้งเลยหรือ’

เวินซื่อไม่ตอบ ลังเลใจอยู่นานก่อนจะพูดอ้ำอึ้งว่า ‘ข้าก็กลัวว่าจะอึดอัด…’

ได้ยินคำพูดนี้แล้วองค์หญิงใหญ่ก็ขมวดคิ้วเรียว แค่นเสียงหัวเราะเยาะทีหนึ่งแล้วพูดว่า ‘น้องสะใภ้สาม ข้าจะบอกเจ้า ขอเพียงเจ้าไม่กลัวอึดอัด คนที่อึดอัดก็จะเป็นคนอื่น’

ภายหลังคำพูดนี้ไปเข้าหูของฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้นางหัวเราะอยู่นาน มิหนำซ้ำคืนวันนั้นกินข้าวเพิ่มขึ้นครึ่งชาม

หลังจากวันนั้นนางจึงยอมรับคำพูดของบุตรชายประโยคนั้นที่ว่านิสัยของจิ้งอันแม้จะเรียกไม่ได้ว่าอ่อนโยนเข้าอกเข้าใจ แต่การปฏิบัติต่อทุกคนในครอบครัวล้วนมีความจริงใจ สิ่งนี้สำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น

ทุกคนนั่งประจำที่ เสียงบรรเลงดนตรีโบราณดังขึ้น

ไม่นานอาหารก็มาครบ ทว่าทุกคนพากันหยุดตะเกียบและดูการแสดงของคณะละคร

ดนตรีเพลงหนึ่งจบลง หญิงสาวที่งดงามก็ถอยออกไปแล้วเปลี่ยนชุดประหลาดเข้ามาในห้อง บนตัวสวมเสื้อคลุมผ่าหน้า แขนเสื้อข้างหนึ่งยาวข้างหนึ่งสั้น การแต่งหน้าก็เช่นกัน ซีกหนึ่งวาดหน้าแต้มจุดไปทั่ว อีกซีกสะอาดสะอ้าน

ทุกคนกำลังรู้สึกแปลกใหม่ พากันพูดวิจารณ์

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นองค์หญิงใหญ่จิ้งอันกับลู่เยี่ยน ทั้งสองคนสายตาซับซ้อน หัวคิ้วขมวดแน่น แม้แต่มุมปากก็เม้มอย่างไม่รู้ตัว พอเห็นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็พ่นหัวเราะออกมา

เซียวซื่อฮูหยินใหญ่ของบ้านรองเห็นอีกฝ่ายหัวเราะก็รีบถามว่า “ท่านแม่หัวเราะอะไรหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าลู่ฉวยโอกาสตอนที่ท่าทางของทั้งสองคนยังไม่เปลี่ยนแปลงรีบกระซิบพูดกับเซียวซื่อ

เซียวซื่อฟังแล้วหันมองไป เห็นองค์หญิงใหญ่จิ้งอันกับบุตรชายของนางมีท่าทางเดียวกันนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที

แม่ลูกคู่นี้ปกติเป็นคนช่างเลือกและปรนนิบัติได้ยาก ในจวนเจิ้นกั๋วกงไม่มีใครไม่รู้

ตอนนี้สายตาของเซียวซื่อเลื่อนไปอยู่ที่ตัวของเมิ่งซู่ซีก่อนจะกระซิบพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ลูกคิดว่ายายหนูสกุลเมิ่งนั่นหน้าตาไม่เลว ไม่มีที่ติอะไรเลย”

ฮูหยินผู้เฒ่ามองตามไปไกลแวบหนึ่ง

ต้องบอกว่าใบหน้าของบุตรสาวสกุลเมิ่งนั่นน่ารักอย่างมาก ดวงตาโตคู่หนึ่งราวกับผลองุ่นที่ล้างน้ำมาแล้ว ทั้งดำและสุกใส ปลายจมูกกลมมน เวลายิ้มเผยให้เห็นแผงฟันขาวสะอาด ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีอย่างห้ามไม่อยู่

หญิงสกุลเวินเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงมาในตอนนี้มีจุดประสงค์อะไรทุกคนล้วนรู้ดี

แต่ขอเพียงลู่เยี่ยนถูกใจได้ก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าไปเรียกนางมาที่นี่ ข้าจะพูดคุยกับนางสักหน่อย”

เซียวซื่อรับคำว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเดินไปแตะไหล่ของอีกฝ่ายทีหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ย่อมชอบหญิงสาวอายุน้อย นางกุมมือของเมิ่งซู่ซี มองสำรวจอย่างละเอียด จากนั้นจึงเรียกลู่เยี่ยนเข้ามาหา

เสียงดนตรีด้านข้างไม่ได้หยุดลง คำที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดกับเขาไม่ได้ยินแม้แต่ประโยคเดียว ด้วยความจนใจจึงจำต้องโน้มตัวขยับหูเข้าไปใกล้

เมิ่งซู่ซีอยู่ใกล้ฮูหยินผู้เฒ่าที่สุด เห็นตัวเขาโน้มมาข้างหน้า ใบหน้าก็แดงขึ้นมาทันที

ท่าทางหญิงสาวทำอะไรไม่ถูกนี้ย่อมอยู่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าลู่และองค์หญิงใหญ่

 

กลางคืนหลังเลิกงานเวินซื่อก็เรียกเมิ่งซู่ซีมาที่ห้องของนาง

“ซีซี เมื่อครู่เจ้าได้พบซื่อจื่อแล้วใช่หรือไม่”

ใบหน้าเล็กของเมิ่งซู่ซีแดงในทันที ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า “ท่าน…ท่านป้า”

เวินซื่อกุมมือของนาง พูดอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “องค์หญิงใหญ่จิ้งอันมีฐานะอะไรคิดว่าแม่เจ้าคงกำชับไว้แล้ว ป้ากับนางอยู่ร่วมกันมายี่สิบกว่าปี พอเข้าใจตัวนางอยู่บ้าง ถ้าเจ้าคิดจะแต่งเข้ามาในสกุลลู่จริงก็เชื่อป้า อย่าปิดกั้นตนเองเกินไป สองวันนี้หากองค์หญิงใหญ่พูดคุยกับเจ้า นางถามอะไรเจ้า เจ้าก็ตอบไป พูดตามตรงไม่อ้อมค้อมดีที่สุด”

“ท่านป้าวางใจได้ ถ้าองค์หญิงใหญ่มาถามอะไร ซู่ซีต้องตอบตามตรงแน่นอน ไม่อ้อมค้อมเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

เวินซื่อบีบปลายจมูกของนางทีหนึ่ง “เจ้าเหมือนแม่เจ้า ล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียว”

เมิ่งซู่ซีเขย่ามือของผู้เป็นป้าแสดงอาการเง้างอนเล็กน้อย

“เอาล่ะ พูดจบป้าก็วางใจแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ ถ้าเจ้าขาดอะไรก็มาบอกป้า ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของตนเอง”

หลังจากเวินซื่อปิดประตูออกไปแล้วรอยยิ้มในดวงตาของเมิ่งซู่ซีก็หายไปในทันที

ความขวยเขินของหญิงสาวเหล่านั้นหายไปจนสิ้น

นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูตนเองในกระจก ยกมุมปากขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะตนเอง

ป้าของนางชะตาดี แต่งเข้ามาในครอบครัวอย่างบ้านสกุลลู่จึงมองโลกในแง่ดีตามไปด้วย

แม้แต่คำว่าพูดตามตรงไม่อ้อมค้อมแบบนั้นก็กล้าพูด

ท่านแม่ไม่มีบุตรชาย อยู่ในบ้านสกุลเมิ่งต้องคอยเอาอกเอาใจผู้อื่น บุตรสาวของอี๋เหนียงถึงขั้นปีนขึ้นมาบนหัวนางแล้ว

หากครั้งนี้ไม่ได้รับความพอใจจากองค์หญิงใหญ่ แต่งเข้าบ้านสกุลลู่ได้อย่างราบรื่น พอกลับถึงจิงโจวแล้วคงต้องแต่งงานกับคนที่บิดาเลือกให้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: