บทที่สิบสาม
ทุกคนต่างมองมาที่เฉิงชิงเสวี่ย สายตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ต่างทอดถอนใจในชะตาชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานของนาง แม้แต่เด็กสาวหลายคนที่ฝีมือการเย็บปักถักร้อยไม่ดีต่างก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ พวกนางไม่อาจเข้ามาอยู่ในจวนกั๋วกง ยังมีบ้านอื่นต้องการ แต่เฉิงชิงเสวี่ยไม่เหมือนกัน เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ครึ่งปี ต้องผ่านมือคนค้าทาสมาแล้วนับไม่ถ้วน ต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ลำบากไม่น้อยกว่าจะมีคนพึงพอใจในตัวนาง พลาดจากนี้ไปแล้ว เกรงว่าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
หลวนอวิ๋นชูก็มองตามทุกคนไป กลับเห็นเพียงเฉิงชิงเสวี่ยมีสีหน้าหม่นหมอง จากนั้นก็ยืดอกขึ้น ยังคงยืนตรงอย่างหยิ่งผยองดุจนกกระสาเซียน
ไม่ใช่ไม่เสียใจ แต่ต้องทนกับความสะเทือนใจเช่นนี้มามากเกินไป นางลืมความเจ็บปวดไปนานแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง เฉิงชิงเสวี่ยรับรู้ได้ว่าหลวนอวิ๋นชูมีความชื่นชมนางอยู่มาก ได้รับความหวังมาเพียงครู่เดียวก็ต้องสูญเสียไปในบัดดล มากน้อยก็รู้สึกผิดหวัง ด้วยเหตุนี้จึงได้ปรากฏสีหน้าหม่นหมองออกมาวูบหนึ่ง เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมา เฉิงชิงเสวี่ยก็ยิ้มออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย
มองใบหน้าที่ยิ้มเศร้าวังเวง หลวนอวิ๋นชูใจสั่นสะท้าน คนที่เข้มแข็งยืนหยัดต่อสู้ด้วยความทรหดอดทนเช่นนี้ นางจะยอมปล่อยมือไปง่ายๆ ได้อย่างไร!
“ข้าก็คิดว่าพ่อบ้านเฮ่อจะพูดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวผู้นี้ เรื่องนี้ข้าต้องอธิบายสักหน่อย”
หลวนอวิ๋นชูกล่าวจบก็ดื่มน้ำชาคำแล้วคำเล่า กระทั่งในห้องโถงเงียบสงบลง เพิ่งวางถ้วยชาลงนางก็กวาดสายตาผ่านหน้าทุกคนไปช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ทุกเรื่องให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบเป็นเรื่องดี แต่ไม่อาจทำอย่างตายตัวไม่พลิกแพลง รักษากฎระเบียบสุดชีวิต เด็กสาวผู้นี้ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น ทว่าทุกคนก็ได้ยินแล้ว ค่าตัวของนางเพิ่งจะห้าตำลึง ราคาถูกเพียงนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องพูดเช่นนี้”
หลวนอวิ๋นชูพูดพลางหันไปกล่าวกับหลี่หวา
“หลี่มามา เจ้าดูสิ ถ้าในบรรดาเด็กสาวของเจ้าเหล่านี้ยังมีคนที่ค่าตัวต่ำเช่นนี้อีก ข้าจะรับไว้ทั้งหมดเป็นกรณีพิเศษ เรือนข้ากว้างขวางเพียงนั้น ย่อมต้องมีสาวใช้คอยกวาดพื้นหาบน้ำหลายคน ข้ายังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ ไม่อาจใช้สิ่งของหรูหราสีฉูดฉาด ปีหนึ่งจะมีงานเย็บปักถักร้อยให้ทำสักเท่าใดกันเชียว จำเป็นต้องให้บ่าวไพร่ทั้งเรือนเป็นงานเย็บปักถักร้อยด้วยหรือ”
“ท่านคัดคนเก่งๆ ของข้าไปหมดแล้ว ข้ายังคิดจะขอเงินรางวัลพิเศษจากท่านด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าท่านยังจะต่อรองราคากับข้าอีก” ในดวงตามีแววชื่นชมอยู่หลายส่วน รอยยิ้มของหลี่หวาก็สดใสขึ้นมา “วันนี้ข้าจะไม่พูดมาก นอกจากชิงเสวี่ยแล้ว ค่าตัวของคนอื่นๆ ไม่ลดแม้แต่เหวินเดียว”
นายหญิงน้อยแห่งจวนกั๋วกงผู้สง่าผ่าเผยซื้อตัวบ่าวไพร่ชาวแคว้นหลีที่เป็นนักโทษของทางการเพียงเพราะเห็นแก่ค่าตัวที่ถูกลงไม่กี่ตำลึง เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกไป จวนกั๋วกงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!
เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างสิ้นเชิง ถึงกับพูดอย่างเปิดเผยว่าเห็นแก่ค่าตัวที่ราคาถูกจึงทำลายกฎเกณฑ์ เอาแต่ทิ้งไพ่ไม่ดีออกมา หลี่หวาก็ถึงกับให้ความร่วมมือสอดประสานคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ สีหน้าของพ่อบ้านเฮ่อเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ยืนอยู่ตรงนั้นตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
รู้ดีว่าถ้าคล้อยตามคำพูดของหลวนอวิ๋นชู ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับเรื่องเงินทองก็เพียงส่งผลกระทบต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของจวนกั๋วกง แต่เฉิงชิงเสวี่ยไม่เหมือนกัน นางเป็นนักโทษทางการ เป็นคนแคว้นหลี ไม่อาจรับไว้เป็นอันขาด
พ่อบ้านเฮ่อนิ่งเงียบไปอยู่นานแล้วกัดฟันเอยขึ้น
“ในจวนไม่ขาดแคลนเงิน สะใภ้สี่เพียงเลือกให้ดีก็พอ มีคำกล่าวโดยทั่วไปบอกของดีย่อมไม่ถูก ของถูกย่อมไม่ดี!”
น้ำเสียงแข็งกระด้างหนักแน่นดังกังวาน
ในห้องโถงเงียบสงัดลงทันที ได้ยินเพียงเสียงหายใจหนักๆ ของพ่อบ้านเฮ่อ
มองใบหน้าบึ้งตึงของคนทั้งสองแล้ว หลี่หวาเองก็สีหน้าแปรเปลี่ยน การค้าขายที่ดีชิ้นหนึ่ง อย่าต้องมาพังพินาศเพราะเฉิงชิงเสวี่ยเป็นอันขาด ยามนี้กระทั่งความคิดที่จะโขกศีรษะกราบกรานก็เกิดขึ้นมาในใจของหลี่หวาแล้ว เพียงขอให้พวกเขาจะเป็นคนไหนก็ได้ยอมอ่อนข้อสักก้าวหนึ่ง นางจะพาเฉิงชิงเสวี่ยกลับไปทันที
เพียงแต่นางไหนเลยยังจะกล้าสอดปาก
จะอย่างไรหลวนอวิ๋นชูก็เป็นเจ้านายคนหนึ่ง ถึงกับถูกบ่าวไพร่พูดจาสั่งสอนต่อหน้าผู้คน จวนกั๋วกงแห่งนี้นับว่ามีกฎระเบียบเสียจริง
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองพ่อบ้านเฮ่อด้วยแววตาน่าเกรงขาม เมื่อสบกับดวงตาที่กดข่มคุกคามคู่นั้น หลวนอวิ๋นชูพลันฉุกคิด เขาคิดจะยั่วยุให้นางโกรธ จะได้ถือโอกาสนี้ไปหาคนมาช่วย
ไหนเลยจะทำสำเร็จง่ายดายเช่นนั้น วันนี้นางจะต้องรบสู้กับเขา บีบบังคับให้เขาเซ็นสัญญาซื้อตัวเฉิงชิงเสวี่ยในที่นี้ให้จงได้ ทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ถ้ายังไม่เซ็นสัญญา วันนี้คนที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้อย่าหวังจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!
“โบราณว่าไว้ กินข้าวทุกเมล็ด กินอาหารทุกมื้อ พึงคิดว่ากว่าจะได้มาไม่ง่าย” หลวนอวิ๋นชูมองพ่อบ้านเฮ่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างที่สุด “พ่อบ้านเฮ่อกล่าวได้ถูกต้อง จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนเงิน แต่เงินเหล่านี้หาใช่มีลมพัดหอบมา”
“สะใภ้สี่…”
“ซื้อของต้องเน้นของดีราคาถูก เด็กสาวผู้นี้ร่างกายแข็งแรง ต้องมีกำลังดีแน่นอน ทำงานขึ้นมาหนึ่งคนเทียบได้กับสองคน ในเรือนลู่ย่วนสาวใช้ที่ทำงานใช้แรงเหล่านั้นก็ล้วนแต่ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น นางทำไม่เป็นก็เป็นเรื่องปกติ เช่นนี้เมื่อมาคำนวณดูแล้ว ซื้อนางไว้เท่ากับใช้เงินไปเพียงครึ่งเดียว ซื้อของได้ถึงสองเท่า” หลวนอวิ๋นชูกวาดสายตาไปยังทุกคนช้าๆ “พวกเจ้าฟังให้ดี ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ มีใครลุกขึ้นมาบอกไม่ใช่ ก็จงกล้าทดสอบฝีมือกับนาง ภายในเวลาหนึ่งเค่อ ดูว่าใครหาบน้ำได้มากกว่ากัน ถ้านางแพ้แล้ว ข้าจะส่งคืนตัวนางทันที”
หลวนอวิ๋นชูลากเสียงยาวพลางยิ้มน้อยๆ มองพ่อบ้านเฮ่อ
เป็นล่อหรือเป็นม้า จูงออกไปวิ่งดูก็รู้
เจ้าไม่ใช่บอกของดีย่อมไม่ถูกหรือ เช่นนั้นเราก็เอาสินค้ามาเปรียบเทียบกัน ดูว่าเฉิงชิงเสวี่ยใช่สินค้าที่มีค่าเกินราคาหรือไม่!
ตะโกนท้าทายอยู่นาน ในห้องโถงพลันเงียบกริบไร้สุ้มเสียง เห็นหลวนอวิ๋นชูกวาดสายตามองมา ทุกคนต่างขดตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างรู้ตัวดี
เดิมคิดจะยั่วโมโหหลวนอวิ๋นชูให้ไล่ตนออกไปและถือโอกาสไปตามนายหญิงใหญ่มา คิดไม่ถึงว่านางกลับยิ้มแย้มและใช้วิธีไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา ซึ่งเขาก็ได้แต่มองตาปริบๆ โต้แย้งไม่ออก แผลงฤทธิ์ไม่ได้ พ่อบ้านเฮ่อคล้ายกินหวงเหลียน ลงไปครึ่งชั่ง ขมจนเหงื่อเย็นไหลชุ่ม สีหน้าเหลืองดุจเทียนไข
“คิดว่าสะใภ้สี่เข้าใจผิดแล้ว ที่บ่าวพูดไม่ใช่เรื่องนี้ เฉิงชิงเสวี่ยถูกสักหน้า…” เสียงของพ่อบ้านเฮ่อสิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้ว “แต่ไรมาจวนเราซื้อบ่าวไพร่ ประการแรกก็คือวงศ์ตระกูลไม่มีจุดด่างพร้อย สะใภ้สี่โปรดใคร่ครวญให้รอบคอบ”
“อ้อ ที่แท้พ่อบ้านเฮ่อหมายถึงเรื่องนี้หรอกหรือ” หลวนอวิ๋นชูพลันตระหนักรู้ หันไปมองเฉิงชิงเสวี่ยแวบหนึ่ง “บิดาของนางเป็นพ่อค้าเกลือ ไม่นับว่าเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย ฐานะเช่นนี้ก็นับว่าไม่มีจุดด่างพร้อย”
พ่อบ้านเฮ่อมองประเมินเฉิงชิงเสวี่ยอีกครั้ง เด็กสาวผู้นี้ดูแล้วก็ไม่ใช่คนฉลาดเฉียบแหลมสักเท่าไร ที่แท้แล้วหลวนอวิ๋นชูชอบนางที่ตรงไหน บิดาของนางเป็นนักโทษประหารคนหนึ่ง ฐานะเช่นนี้ถ้านับว่าไร้จุดด่างพร้อย เช่นนั้นก็ไม่มีใครมีจุดด่างพร้อยแล้ว! ทว่าพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ลักลอบขนเกลือไปขายก็ไม่จัดว่าเป็นพวก ‘จี้ปล้นข่มขืน’ ตระกูล ‘ไม่มีจุดด่างพร้อย’ ที่พูดถึงในกลุ่มคนค้าทาสก็หมายถึงการ ‘จี้ปล้นข่มขืน’
หาไม่หลี่หวาก็คงไม่กล้าพาคนมาที่จวนกั๋วกงอย่างเปิดเผย
ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็หาทางโต้แย้งคำพูดของหลวนอวิ๋นชูไม่ได้จริงๆ พ่อบ้านเฮ่อสุขุมเยือกเย็นลงมา รู้ว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงลดท่าทีแข็งกร้าวลง กล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“ท่านพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ตามมุมมองของท่าน ฐานะของเฉิงชิงเสวี่ยยังนับว่าไร้จุดด่างพร้อย เพียงแต่…นักโทษของทางการ…ไม่อาจซื้อ”
“พ่อบ้านเฮ่อจะบอกว่า…” ดวงตางามช้อนขึ้นเล็กน้อย หลวนอวิ๋นชูใบหน้ามีแววฉงน “นักโทษของทางการในเมืองหลวนเฉิงไม่อนุญาตให้ซื้อขาย?”
“คนที่ไม่อาจซื้อขาย ข้าจะกล้าพามาที่จวนท่านหรือ” หลี่หวาร้องเสียงแหลมขึ้นมา “สะใภ้สี่อย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด แพร่งพรายออกไปเท่ากับทุบทำลายชื่อเสียงข้า” แล้วบอก “อีกอย่าง คนเหล่านี้ล้วนลงนามหนังสือสัญญากับทางการแล้ว จะทำอะไรคลุมเครือได้อย่างไร”
“…”
พ่อบ้านเฮ่อจนคำพูดไปทันที ในใจเกิดความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง
“ถ้าพูดเช่นนี้…ก็คือซื้อได้?”
หลวนอวิ๋นชูมองพ่อบ้านเฮ่ออย่างขอคำยืนยัน
“บ่าวไม่ได้บอกว่านักโทษของทางการไม่อนุญาตให้ซื้อขาย แต่บอกว่าจวนเราไม่อาจซื้อได้”
“พ่อบ้านเฮ่อจะบอกว่าในกฎหมายของแคว้นหลวนกำหนดไว้ จวนกั๋วกงไม่อาจซื้อนักโทษของทางการเช่นนั้นหรือ”
คำพูดประโยคเดียว พ่อบ้านเฮ่อเกือบเป็นลมหมดสติไป ในช่องอกคล้ายมีเส้นใยฝ้ายยัดอยู่เต็มไปหมด หายใจไม่ได้ ขืนพูดต่อไปเขาต้องกระอักโลหิตเป็นแน่
เห็นเขาไม่เอ่ยปาก หลวนอวิ๋นชูฉวยโอกาสถามขึ้น
“พ่อบ้านเฮ่อยังมีคำพูดอีกหรือไม่”
“สะใภ้สี่ยืนกรานจะซื้อ บ่าว…ไม่มีอะไรจะพูดขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เห็นด้วยแล้ว”
ไม่พูดก็ถือว่าเจ้าเห็นชอบโดยปริยาย!
“ดี ในเมื่อพ่อบ้านเฮ่อเห็นด้วยแล้ว เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ เวลาผ่านไปนานแล้ว สี่จวี๋ฝูหรงรีบคัดเลือกเถิด”
“สะใภ้สี่…”
เห็นหลวนอวิ๋นชูพูดเองเออเอง ดึงดันบอกว่าตนเห็นด้วยต่อหน้าทุกคน พ่อบ้านเฮ่อในใจรู้สึกร้อนใจเรียกสะใภ้สี่ออกมาคำหนึ่ง ถึงกับพูดอะไรต่อไม่ออก
“พ่อบ้านเฮ่อยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
เมื่อมองใบหน้าที่สงบนิ่งอย่างประหลาดของหลวนอวิ๋นชู ฉับพลันนั้นทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนางทั้งหมด คำถามที่เรียบง่ายก็เปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อน คล้ายเบื้องหลังของคำถามมีหลุมพรางขนาดใหญ่ซุกซ่อนอยู่ พ่อบ้านเฮ่อชะงักนิ่งไปด้วยความขลาดกลัว สั่นศีรษะบอก
“บ่าว…ไม่มีอะไร”
มุมปากหลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มสดใสดุจบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ พริบตาเดียวก็หลอมละลายน้ำแข็งอันหนาวเย็นภายในห้อง บรรยากาศที่ตึงเครียดไหลไปดุจสายน้ำไม่เหลือร่องรอย
หลี่หวาระบายลมหายใจยาว สายตาที่มองหลวนอวิ๋นชูมีแววขบคิดและเข้าใจขึ้นมาจางๆ
พูดกันว่าบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นี้ต้องเดือดร้อนเพราะชื่อเสียง เพียงเพราะสัญญาแต่งงานแผ่นเดียวที่รายละเอียดไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ถึงกับยินดีแต่งงานให้ต่งอ้ายที่ใกล้ตาย แต่งงานได้สามวันก็ต้องเป็นม่าย เดิมเข้าใจว่าเรียนหนังสือมากไปคนจึงคร่ำครึโง่เขลา ก็แค่คนที่แสวงหาลาภยศและคำสรรเสริญเยินยอผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าวันนี้ได้มาพบกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ไม่ใส่ใจชื่อเสียง ไม่ใส่ใจผลได้ผลเสีย กล้าเล่นลิ้นใช้ฝีปากคารมอย่างเจ้าเล่ห์ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ปัญญาชนคร่ำครึคนหนึ่งจะกระทำได้
น่าเสียดาย เป็นแม่ม่ายของจวนกั๋วกงใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย
หลี่หวาพลันเกิดความรู้สึกเคารพนับถือและเสียดายขึ้นมา นางกลืนคำพูดสรรเสริญเยินยอที่มาถึงปากกลับลงไป หันไปมองสี่จวี๋ฝูหรงคัดเลือกงานปัก
ทั้งสองคนเดิมฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยก็สูงกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวงานปักสิบกว่าชิ้นก็ถูกคัดเลือกจนเสร็จสิ้น ในมือของแต่ละคนยังถืออยู่คนละสามชิ้น ปรึกษาหารือกันอีกพักใหญ่ แล้วจึงตัดสินห้าคนสุดท้ายที่เหลือ นำขึ้นมาให้หลวนอวิ๋นชูผ่านตา หลวนอวิ๋นชูโบกมือเป็นอันผ่านการเห็นชอบแล้ว
สี่จวี๋กับฝูหรงมองสบตากันทีหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรมาก ถืองานปักมาตรงหน้าทุกคน ฝูหรงก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี ข้าจะเรียกชื่อที่อยู่บนงานปัก เรียกใครคนนั้นก็ออกมารับงานปักคืนไป แล้วไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง”
พูดจบก็หยิบงานปักขึ้นมาจากในถาด ฝูหรงเรียกชื่อไปทีละคน
“สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ ท่านดูว่าพอใจหรือไม่” มองเด็กสาวสิบเจ็ดคนที่เลือกออกมา หลี่หวาถามขึ้น “ต้องดูอีกหรือไม่”
หลวนอวิ๋นชูสั่นศีรษะ “เอาตามนี้เถิด!”
พ่อบ้านเฮ่อมองเฉิงชิงเสวี่ยที่ยืนตัวตรงหยิ่งผยองดุจนกกระสาเซียนอย่างไม่อาจยอมรับแวบหนึ่งแล้วสั่นศีรษะ
หลี่หวาก็มาที่เบื้องหน้าทุกคน สั่งสอนตักเตือนอย่างน่าฟังอีกครั้ง…ไม่มีอะไรมากไปกว่าสะใภ้สี่พึงพอใจในตัวพวกเจ้า นับเป็นบุญวาสนาของพวกเจ้า ต่อไปต้องตั้งใจปรนนิบัติสะใภ้สี่ให้ดีเหล่านี้เป็นต้น
อบรมสั่งสอนเสร็จหลี่หวาก็หมุนตัวกลับมา เดินไปด้านหน้าของโถง กลับไม่ได้ลงนั่ง ยืนอยู่ตรงนั้นมองหลวนอวิ๋นชูกับพ่อบ้านเฮ่อ “สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ ท่านดู…”
เลือกสาวใช้เสร็จสิ้นแล้ว เกี่ยวกับวิธีการซื้อขายบ่าวไพร่ในสมัยโบราณเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูไม่เข้าใจจริงๆ ไม่รู้ว่าถัดไปควรทำอะไร เห็นหลี่หวาถามก็หันไปมองพ่อบ้านเฮ่อ
“สายมากแล้ว เชิญสะใภ้สี่กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” พ่อบ้านเฮ่อมองตะวันที่นอกหน้าต่าง “ที่เหลือก็มอบให้เป็นหน้าที่ของบ่าว รอให้ทำเรื่องตามขั้นตอนต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว บ่าวจะรีบส่งคนไปที่เรือนลู่ย่วนทันที”
ทั้งไม่รู้หนังสือและไม่เข้าใจกฎหมายของแคว้นหลวน หลวนอวิ๋นชูก็อยากจะสะบัดแขนเสื้อจากไปให้พ่อบ้านเฮ่อไปจัดการแทนเช่นกัน
ทว่าตราบใดที่ยังไม่ได้ลงนามในหนังสือสัญญา เรื่องนี้ก็ยังไม่อาจวางใจ เรื่องที่นางซื้อเฉิงชิงเสวี่ยทำให้พ่อบ้านเฮ่อผู้นี้ทรมานใจประหนึ่งถูกขุดสุสานบรรพบุรุษอย่างไรอย่างนั้น ถ้านางสะบัดมือมอบอำนาจให้เขาจัดการจริง ยากจะบอกได้ว่าจะเป็นเป็ดต้มสุกลุกบินหนี* หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มทีละคำๆ
หลี่หวาเข้าใจความคิดของนางขึ้นมาทันที ก็ไม่นอบน้อมอ่อนข้อให้อีก หันไปกล่าวกับพ่อบ้านเฮ่อ
“ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ ยังคงทำตามกฎระเบียบเดิม นอกจากเฉิงชิงเสวี่ยแล้วก็ใช้ราคาค่าตัวเดิม ทำสัญญาส่วนตัวกันก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปยื่นขอหนังสือสัญญาซื้อขายที่จวนนายตลาด เปลี่ยนเป็นสัญญาของทางการแล้วจะรีบส่งมาให้ท่าน”
พ่อบ้านเจตนาถ่วงเวลา คิดจะให้หลวนอวิ๋นชูจากไป หลังจากเขาไปเรียนให้นายหญิงใหญ่ทราบแล้วค่อยทำสัญญากับหลี่หวา ถือโอกาสโยนเผือกร้อน ก็คือให้นายหญิงใหญ่ตัดสินใจ คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูคล้ายมองทะลุความคิดของเขา นั่งอย่างสุขุมมั่นคงอยู่ที่นี่ ไม่ขยับแม้แต่น้อย แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะดูเขาทำสัญญา
พ่อบ้านเฮ่อพลันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ซื้อนักโทษของทางการผู้นี้ไว้ หลวนอวิ๋นชูผู้นี้เยาว์วัยเกินไปแล้ว ไม่รู้ถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องราวหรือ
มองอย่างไรก็ไม่คล้ายว่านางไม่รู้เรื่องราว
“สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ ท่านว่า…”
เห็นพ่อบ้านเฮ่อไม่พูด หลี่หวาก็ไล่ถามอีก
“ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังเกตการณ์อีกสองวัน…” พ่อบ้านเฮ่อมองตรงไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหวาดระแวง ไม่กล้ามองหลวนอวิ๋นชู “รอเรียนนายหญิงใหญ่ทราบเรื่องแล้ว ค่อยเชิญท่านมาที่จวน ครั้งเดียวก็จัดการเรียบร้อย”
“ท่านป้าบอกแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ให้ข้าตัดสินใจเอง” หลวนอวิ๋นชูปฏิเสธข้อเสนอของพ่อบ้านเฮ่ออย่างไม่ลังเล นางมองไปที่หลี่หวา “หลี่มามา ทำตามกฎระเบียบเดิม ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น!”
“สะใภ้สี่ นี่…”
เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานนายหญิงใหญ่!
การซื้อนักโทษของทางการชาวแคว้นหลีที่มีรอยสักอยู่บนหน้าผากไม่ใช่เรื่องล้อเล่น พ่อบ้านเฮ่อหน้าแดงไปจนจรดโคนหู มองหลวนอวิ๋นชูอย่างอึ้งตะลึง ริมฝีปากสั่นระริก คำพูดประโยคเดียวถึงกับพูดได้ไม่ครบถ้วน
เขาคาดคิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
เขามองเฉิงชิงเสวี่ยอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง หลี่หวาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยท่าทางลำบากใจ
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อบ้านเฮ่อท่านก็รู้ ‘หนังสือข้อบังคับหน่วยนายตลาด’ มีข้อกำหนดไว้ ‘หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว คนที่มีโรคเก่าติดตัวอยู่ ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้’ ทำการค้ากันมาหลายปี ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของข้า ท่านก็รู้ดี เด็กสาวเหล่านี้ถ้ามีข้อบกพร่องอะไร ข้าไม่บ่ายเบี่ยงแน่”
“ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้?”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ หลวนอวิ๋นชูใจเต้นระรัวขึ้นมา หรือว่าไม่แตกต่างจากยุคสมัยปัจจุบัน สามารถเปลี่ยนคืนสินค้าได้
“สะใภ้สี่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับอาชีพนี้ ย่อมไม่รู้ แม้จะทำสัญญาของทางการแล้ว ถ้าท่านพบว่าสาวใช้ที่ซื้อตัวมีโรคเก่าติดตัวมาแต่เดิม เป็นโรคที่ไม่อาจบอกใครได้ ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้ ให้ไปที่จวนนายตลาดโดยตรงเพื่อขอยกเลิกสัญญาของทางการ เพียงแต่ขั้นตอนค่อนข้างจุกจิก ต้องมีการตรวจสอบยืนยันจากแม่หมอตำแยของนายตลาด เพื่อป้องกันผู้ซื้อใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง”
พูดจบหลี่หวาก็เอ่ยเสริมขึ้น
“ทว่าสะใภ้สี่วางใจ เด็กสาวที่พามาข้าได้ให้แม่หมอตำแยตรวจสอบก่อนแล้ว ถ้ามีโรคที่ไม่อาจบอกใครได้จะไม่ส่งมาที่เรือนท่านเด็ดขาด เว้นเสียแต่แม่หมอตำแยมองพลาดไป”
หลวนอวิ๋นชูกลับไม่คิดเช่นนี้ ด้วยอำนาจของจวนกั๋วกง การจะใช้เงินติดสินบนนายตลาดเสกสรรปั้นเท็จให้เฉิงชิงเสวี่ยมีโรคที่ไม่อาจบอกใครได้สักโรค ย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่ตนทุ่มเทลงไปไยมิใช่กลายเป็นสายน้ำที่ไหลผ่านไปหรือไร
‘ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้’ เพียงประโยคเดียว ทำให้จิตใจของหลวนอวิ๋นชูห่อเหี่ยวไปหมด นางเงียบไปทันใด
“ก็ดี ในเมื่อสะใภ้สี่ต้องการ เช่นนั้นก็ทำสัญญาเลยแล้วกัน”
มีคนดีใจก็มีคนกลัดกลุ้ม ชั่วขณะนั้นพ่อบ้านเฮ่อคิดได้แล้วถึงด่านสำคัญที่ต้องผ่าน จึงรับปากอย่างสบายใจ มุมปากยังมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ หลวนอวิ๋นชูเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ
พายุที่ตั้งเค้ามาพลันสลายไปไม่เหลือร่องรอยในพริบตาเดียว หลี่หวาแอบท่องอมิตาภพุทธอยู่ในใจคำหนึ่ง จากนั้นก็ปรึกษาหารือรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างกับหลวนอวิ๋นชูและพ่อบ้านเฮ่อ หลังจากกำหนดรายละเอียดทุกอย่างลงตัวแล้ว หลี่หวาก็หันไปทางหน้าประตูแล้วกวักมือ หญิงสูงวัยผู้หนึ่งที่ติดตามนางมารีบเดินออกไป ครู่เดียวก็ประคองหีบใบเล็กที่ประณีตงดงามเข้ามาใบหนึ่ง วางลงตรงหน้าหลวนอวิ๋นชู
หลี่หวาหยิบลูกกุญแจออกมาเปิดหีบ หยิบหนังสือสัญญาออกมาปึกหนึ่ง ตรวจสอบรายชื่อของเด็กสาว คัดเลือกไปพลางพูดไปพลาง
“สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องเสียเวลา หนังสือสัญญาเหล่านี้ข้าได้เขียนรายละเอียดไว้ก่อนแล้ว รวมถึงประวัติส่วนตัวของเด็กสาวเหล่านี้พร้อมชื่อ อายุ อีกทั้งสัญญาที่พวกนางลงนามสมัครใจขายตัวเป็นบ่าวด้วยตนเอง แม้แต่คนรับรองก็ลงนามไว้แล้ว ท่านลองดู มีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือไม่ ข้ามีหนังสือสัญญาที่ยังไม่ได้เขียนติดมาด้วย ลงนามตอนนี้ก็เหมือนกัน”
หลี่หวาพูดไปก็เลือกหนังสือสัญญาออกมาได้สิบกว่าคนแล้ว มองหลวนอวิ๋นชู แล้วก็มองพ่อบ้านเฮ่อ ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยื่นให้หลวนอวิ๋นชู
หลวนอวิ๋นชูงงงันไปเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปรับหนังสือสัญญามา พลิกดูอย่างจริงจัง นางเพิ่งเคยเห็นหนังสือสัญญาในสมัยโบราณเป็นครั้งแรก นางดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เสียดายในกระดาษมีตัวอักษรเขียนไว้เต็มไปหมด มีตราประทับ แต่นางอ่านไม่ออกเลยสักตัว
ใจเต้นตึกตักขึ้นมา นี่จะทำอย่างไรดี ย่อมไม่อาจลงชื่อส่งเดชกระมัง
แม้ในใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ใบหน้าหลวนอวิ๋นชูกลับสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน สายตามองระผ่านผู้คนไปทีละคน สุดท้ายก็มาหยุดที่ใบหน้าฝูหรง หลวนอวิ๋นชูพลันเกิดความคิดขึ้น กวักมือเรียกอีกฝ่ายเข้ามา
“มานี่”
“สะใภ้สี่ มีอะไรหรือเจ้าคะ”
หลวนอวิ๋นชูยื่นหนังสือสัญญาให้ฝูหรง
“อ่าน!”
“สะใภ้สี่ นี่…”
ไม่ใช่ไม่รู้หนังสือเสียหน่อย ภายใต้สายตาผู้คนที่จ้องมองอยู่เช่นนี้ สะใภ้สี่คิดจะทำอะไร
ให้นางอ่านสิ่งนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน นางออกจะขลาดกลัว
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้สนใจฝูหรง นางมองสิบเจ็ดคนที่ยืนกลั้นหายใจอยู่ที่ด้านล่างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนฟังให้ดี ฝูหรงอ่านถึงใคร คนนั้นก็ก้าวออกมาขานรับให้ทุกคนได้รู้จัก…พวกเจ้าเองก็ตั้งใจฟังด้วย ดูว่าเนื้อหาที่เขียนอยู่ในสัญญาตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ มีตรงไหนผิดไปก็ให้ทักท้วง”
หลี่หวาเองก็งงงัน นี่ช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่ นางทำอาชีพนี้มาหลายปี เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก ขณะกำลังงุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากได้ยินคำพูดช่วงท้ายก็ตระหนักรู้ขึ้นมาพลางมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความเคารพเลื่อมใส พยักหน้าแล้วกล่าวยิ้มๆ
“ยังคงเป็นสะใภ้สี่ที่รอบคอบ เช่นนี้ดียิ่ง ทั้งให้นางหนูทั้งหลายได้ฟังเข้าใจเนื้อหาของสัญญา พ่อบ้านก็ไม่ต้องผ่านตาอีก ประหยัดเวลา แล้วยังถือโอกาสได้ทำความรู้จักนางหนูเหล่านี้…ยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัวอย่างแท้จริง ข้าเองกลับคิดไม่ออก ไม่เสียทีที่เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค”
พ่อบ้านเฮ่อก็มีประกายชื่นชมปรากฏบนใบหน้า ผงกศีรษะไม่หยุด
ใช่คิดรอบคอบเสียที่ใดกัน ก็แค่ต้องการปิดบังความจริงเรื่องอ่านหนังสือไม่ออก ฟังคำสรรเสริญเยินยอไม่หยุดปากของหลี่หวา มองสบสายตาเลื่อมใสของทุกคน หลวนอวิ๋นชูก็หน้าแดงอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น
ฝูหรงจึงหยิบหนังสือสัญญาขึ้นมาฉบับหนึ่ง อ่านเสียงดัง
“ปีที่สิบสามแห่งฮ่องเต้โม่ตี้…”
ฉบับแรกเป็นของสวีฟาง เห็นอ่านถึงชื่อของนาง นางก็รีบก้าวออกมา หลังจากทำความเคารพไปรอบหนึ่งก็ยืนยืดอกเชิดหน้าอยู่กับที่ มองหลวนอวิ๋นชูอย่างประจบเอาใจ
เป็นเช่นที่หลี่หวาพูดไว้ หนังสือสัญญานี้เขียนไว้ละเอียดยิ่ง ที่ทำให้นางประหลาดใจคือด้านหลังมีคนลงนามรับรองถึงห้าคน รอจนฝูหรงอ่านจบหลวนอวิ๋นชูก็เงยหน้าขึ้นมองสวีฟาง
“ฟังชัดเจนแล้ว มีส่วนไหนไม่ตรงกับตัวเจ้าหรือไม่”
“เรียนสะใภ้สี่ ไม่มีเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้าถอยกลับไปเถิด”
พูดจบหลวนอวิ๋นชูหันไปมองพ่อบ้านเฮ่อ นางไม่รู้กฎหมายแคว้นหลวน ฝูหรงอ่านมาพักใหญ่นางก็เพียงฟังอย่างสนุกเท่านั้น เห็นว่าเนื้อหาครบถ้วน แต่ในสัญญามีส่วนที่ไม่สอดคล้องกับตัวบทกฎหมายหรือไม่ ยังต้องอาศัยพ่อบ้านเฮ่อ
เห็นนางมองมาพ่อบ้านเฮ่อก็เอ่ยปากขึ้น
“เรียนสะใภ้สี่ ที่ผ่านมาหนังสือสัญญาล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม”
“อืม”
หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ แล้วส่งสายตาให้ฝูหรง
ฝูหรงรีบยื่นหนังสือสัญญาให้พ่อบ้าน ให้เขาลงนาม
มองดูแวบหนึ่ง พ่อบ้านเฮ่อกลับไม่ได้ยื่นมือมารับ เงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชู บอกอย่างนอบน้อมถ่อมตน
“สะใภ้สี่อยู่ที่นี่ บ่าวจะกล้าข้ามหน้าข้ามตาได้อย่างไร”
เฉิงชิงเสวี่ยมีฐานะเป็นนักโทษของทางการ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่สบายใจ หลบเลี่ยงได้เป็นดีที่สุด จะได้ไม่ต้องถูกนายหญิงใหญ่บ่นว่า เมื่อมีความคิดนี้เกิดขึ้น พ่อบ้านเฮ่อจึงโยนเผือกร้อนออกไปเสียเลย หลวนอวิ๋นชูกลับไม่ได้คิดอะไรวกวนซับซ้อนเช่นเขา ตามประสบการณ์ในชาติก่อนนางก็เห็นว่าการลงนามประทับตราเป็นสิทธิทางกฎหมายอย่างหนึ่ง ถ้าจะมอบหมายให้ผู้อื่นทำแทนต้องมีหนังสือมอบอำนาจ
เวลานี้มีนางเป็นเจ้านายอยู่ ย่อมต้องลงนามด้วยตนเอง
เพียงแต่…นางเขียนหนังสือเป็นเสียที่ใดเล่า!
หลวนอวิ๋นชูนั่งอยู่กับที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ทว่าฝ่ามือมีเหงื่อออกชุ่ม
หลวนอวิ๋นชูตัดสินใจเด็ดขาด เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ เสียเลย ยกความน่าเกรงขามของผู้เป็นนายออกมาใช้
“ไม่ต้องพิถีพิถันมากเพียงนั้น เจ้าลงนามไปก็แล้วกัน”
ในน้ำเสียงแข็งกระด้างเจือความเด็ดขาดอยู่ขุมหนึ่ง พ่อบ้านเฮ่อแอบทอดถอนใจ รู้แต่แรกแล้วว่าความคิดนี้ไม่อาจปิดบังนางได้ เขาไม่กล้าพูดมากอีก รับคำอย่างนอบน้อม หยิบพู่กันขึ้นมา ตวัดขีดเขียนแยกลงนามในสัญญาแบบเดียวกันสามชุด แล้วส่งพู่กันให้หลี่หวา หลี่หวาเองก็ลงนามแล้ว
รับหนังสือสัญญาที่ลงนามแล้วมา หลวนอวิ๋นชูลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่ไม่ได้เผยพิรุธ นางแสร้งทำทีเป็นตรวจดูรอบหนึ่งแล้ววางลงบนโต๊ะ หันไปกล่าวกับฝูหรง
“อ่านต่อไป”
รู้ลู่ทางดีแล้ว ร่างของฝูหรงเหยียดตรงขึ้น เสียงก็ดังขึ้นมา อ่านได้คล่องขึ้น…
ไม่ต้องพูดถึงว่าคนมากตรวจสอบง่าย ยังมีหลายจุดที่เขียนผิดพลาดถูกผู้คนชี้ออกมา ต้องแก้ไขเดี๋ยวนั้น เรื่องนี้ทุกคนต่างชมเชยวิธีการของหลวนอวิ๋นชูกันไม่ขาดปาก นางเองก็คิดไม่ถึง เชาวน์ปัญญาที่เกิดขึ้นมาในขณะร้อนใจ ถึงกับกลายเป็นสิ่งที่พ่อบ้านเฮ่อใช้สืบต่อมาตั้งแต่นั้น กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการซื้อบ่าวไพร่ของจวนกั๋วกง แน่นอน…นี่ย่อมเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
มีระเบียบข้อบังคับแล้ว ทำงานขึ้นมาก็ราบรื่น เพียงชั่วเวลาหนึ่งเค่อหนังสือสัญญาสิบเจ็ดชุดก็ลงนามเสร็จเรียบร้อย รอหนังสือสัญญาชุดสุดท้ายหมึกแห้งแล้ว หลี่หวาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฝุ่นตกตะกอนนอนพื้น* แม้จะมีอุปสรรคมาก แต่อย่างไรการซื้อขายนี้ก็สำเร็จแล้ว จัดหนังสือสัญญาเรียบร้อย เอาเก็บกลับเข้าไปในหีบใส่กุญแจ หลี่หวาจึงเงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชู
“ตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ทำกันเองนี้ต้องเอาไปเปลี่ยนเป็นสัญญาของทางการที่จวนนายตลาด จึงจะนับว่าถูกต้องตามกฎหมาย วันสองวันนี้ข้าจะหาเวลาไป รอเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วก็จะส่งมาให้ท่านทันที ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมาว่าเรื่องเงินกัน สะใภ้สี่ ท่าน…ยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่”
“อืม…” หลวนอวิ๋นชูย่นคิ้วน้อยๆ “เปลี่ยนสัญญาของทางการต้องใช้เวลาเท่าไร”
“ไปจวนนายตลาดเพื่อเปลี่ยนสัญญาของทางการ ไม่เพียงซื้อขายสองฝ่าย คนรับรองก็ต้องมาด้วย ยังต้องจ่ายค่าต่างๆ อีก จุกจิกหยุมหยิมยิ่ง บางครั้งคนซื้อ คนขาย คนรับรองทั้งสามฝ่ายมาพร้อมแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเสร็จเรื่อง คนทั่วไปต้องวันสองวันจึงจะทำเสร็จ” พูดถึงเรื่องเปลี่ยนสัญญาของทางการ หลี่หวาก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “ทว่าประการแรกข้าติดต่อจนชำนาญแล้ว ประการที่สองลูกค้าของข้าล้วนเป็นตระกูลที่มีเงินและอำนาจในเมืองหลวนเฉิง พวกเขาจึงให้หน้าข้าหลายส่วน สิบเจ็ดคนนี้ ข้าไปจัดการด้วยตนเองราวหนึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้ว”
“ดี…” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะด้วยความปีติยินดี ตัดบทคำคุยโวโอ้อวดของหลี่หวา “เช่นนั้นก็รบกวนหลี่มามาเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง เปลี่ยนสัญญาของทางการเสียวันนี้เลย พรุ่งนี้เช้าก็ส่งมาได้เลย”
หลี่หวาเป็นคนค้าทาสมานานหลายปี ไม่เคยเห็นคนซื้อรีบร้อนยิ่งกว่าคนขาย ที่กำลังคุยโอ้อวดน้ำลายแตกฟองพลันหยุดปาก มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความฉงน เห็นนางสีหน้าจริงจังจึงรับปากทันที
“ได้สิ เอาตามที่สะใภ้สี่สั่ง วันนี้ข้าก็จะไม่เสียเวลาอยู่ต่อแล้ว จะไปจวนนายตลาดเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เช้าก็เอาสัญญาของทางการมาส่งให้ท่าน ท่านว่าเป็นอย่างไร”
หลี่หวาพูดพลางมองไปที่พ่อบ้านเฮ่อ ฐานะของเขาในจวนกั๋วกงหาได้ต่ำต้อย หวังว่าเขาอย่าได้ตั้งแง่อะไรในเวลานี้เป็นอันขาด
สีหน้าของพ่อบ้านเฮ่อประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ริมฝีปากขยับแล้วขยับอีก ทำท่าจะพูดหลายครั้ง สุดท้ายยังคงข่มกลั้นไว้ เห็นหลี่หวามองเขาจึงเอ่ยปากขึ้น
“เช่นนั้นก็ลำบากหลี่มามาแล้ว”
พ่อบ้านเฮ่อมองเงาด้านหลังของหลี่มามาที่หายลับไปอย่างทึ่มทื่อ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าหนังสือสัญญาได้ลงนามกันเสร็จสิ้นไปแล้ว เดินกลับมาในห้องโถง เห็นหลวนอวิ๋นชูยังนั่งดื่มน้ำชาอย่างไม่รีบไม่ร้อนจึงเอ่ยปากขึ้น
“สะใภ้สี่ยุ่งมาตลอดช่วงเช้าแล้ว คงเหนื่อยเต็มที รีบกลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ”
“แล้วคนเหล่านี้…”
คนซื้อมาเรียบร้อยแล้ว ทว่ากฎระเบียบสำหรับคนมาใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งหน้าที่การงานในจวนมีอะไรบ้าง หลวนอวิ๋นชูกลับไม่รู้อะไรเลย ด้วยเหตุนี้จึงนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่รอเขา
“เรียนสะใภ้สี่ ว่ากันตามเหตุผลคนเหล่านี้สมควรต้องผ่านการอบรมสักหลายวันก่อน แต่สะใภ้ใหญ่เร่งรัด คนของหลี่มามาความประพฤติกิริยามารยาทก็ไม่เลว ครั้งนี้ก็ไม่ต้องแล้ว บ่าวเพียงให้พวกนางลงบันทึกในสมุดทะเบียน วัดร่างกายเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายก็จะส่งไปให้ท่าน”
“วัดร่างกาย?”
“บ่าวไพร่ที่มาใหม่ล้วนต้องวัดร่างกายก่อน จดขนาดตัวไว้ ต่อไปจะได้สั่งตัดเครื่องแบบได้ในคราเดียว”
พูดตามตรงก็คือ…จะได้ใส่ชุดทำงานเหมือนๆ กัน
หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เช่นนั้นก็ลำบากพ่อบ้านเฮ่อแล้ว”
“สะใภ้สี่…”
หลวนอวิ๋นชูเพิ่งลุกขึ้นมาก็ถูกพ่อบ้านเฮ่อเรียกไว้ นางจึงกลับลงนั่งแล้วถามขึ้น
“พ่อบ้านเฮ่อยังมีอะไรหรือ”
“สะใภ้สี่โปรดกำหนดขั้นของสาวใช้เหล่านี้ก่อน บ่าวจะได้บันทึกไปพร้อมกัน”
คำพูดพอออกจากปากภายในห้องโถงก็มีเสียงดังขึ้นมาทันที ในดวงตาของทุกคนเปล่งประกายวิบวับ ต่างเฝ้าปรารถนาให้สาวใช้รุ่นใหญ่ผู้นั้นเป็นตน มีเพียงเฉิงชิงเสวี่ยที่สีหน้าเฉยเมย เข้ามาอยู่ในจวนกั๋วกงได้ก็นับว่าเกินความคาดหมายแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่นางไม่กล้าเพ้อฝัน
หลวนอวิ๋นชูกวาดตามองเฉิงชิงเสวี่ยแวบหนึ่ง นึกในใจ ดันทุรังรับนางไว้ ถ้าให้เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งในทันที เกรงว่าพ่อบ้านเฮ่อจะต้องยับยั้งอีก คิดมาถึงตรงนี้ จึงกล่าวเสียงราบเรียบ
“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ข้ายังต้องสังเกตดูอีกสักระยะ”
“เช่นนั้นบ่าวจะเว้นว่างไว้ก่อน” พ่อบ้านเฮ่อพูดอย่างเอาใจ “ตอนส่งเบี้ยรายเดือนไป ท่านก็จัดการเอง”
“ได้”
หลวนอวิ๋นชูยิ้มแล้วพยักหน้า
เห็นสี่จวี๋เดินกลับเข้ามา หลวนอวิ๋นชูก็ย่นคิ้ว ก่อนหน้านี้สี่จวี๋กับพ่อบ้านเฮ่อออกไปส่งหลี่หวาด้วยกัน จนนางจัดการเรื่องต่างๆ กับพ่อบ้านเฮ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหตุใดเด็กสาวผู้นี้ยังมาอยู่ตรงนี้
“สะใภ้สี่จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ” สี่จวี๋เห็นหลวนอวิ๋นชูเดินออกมาก็ยิ้มแย้มเข้ามารับหน้า “บ่าวเพิ่งไปส่งหลี่มามา นางยังชมท่านไม่หยุดปาก บอกวันหน้าถ้ามีโอกาสจะต้องมาเยี่ยมเยียนท่านด้วยตนเอง”
หลี่หวาผู้นี้ทำการค้าทาส ขึ้นเหนือล่องใต้ มีประสบการณ์พบเห็นเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย หากตนคิดจะไปจากจวนกั๋วกงจำเป็นต้องคบหาสหายเช่นนี้สักหลายคน ได้ยินคำบอกเล่านี้หลวนอวิ๋นชูก็แอบคิดวางแผนอยู่ในใจ ใบหน้ากลับนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา
“คนทำการค้าอย่างพวกนางต้องอาศัยฝีปาก ชมคนขึ้นมาจากเต้าหู้ขาวราคาถูกก็พูดให้เป็นก้อนเลือดสองตำลึงได้ เจ้าก็อย่าไปเชื่อจริงจังนักเลย”
“บ่าวกลับรู้สึกว่านางพูดจากใจจริง”
“คารวะสะใภ้สี่”
จางหมัวมัวที่รออยู่หน้าประตูเห็นหลวนอวิ๋นชูออกมาก็กุลีกุจอเข้ามาคารวะ ขัดจังหวะการพูดของสี่จวี๋
“เจ้าพาพวกนางกลับไปก่อนเถิด” เห็นบ่าวไพร่แต่ละคนแล้ว หลวนอวิ๋นชูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปกล่าวกับสี่จวี๋ “ข้ากับฝูหรงจะเดินเล่นสักหน่อย”
“สะใภ้สี่ เอ่อ…”
ระยะทางยาวไกลเช่นนี้ไม่ใช่จะเดินกลับไปได้ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว
จางหมัวมัวงงงัน หันไปมองสี่จวี๋
สี่จวี๋รีบบอก “สะใภ้สี่ ที่นี่อยู่ห่างจากเรือนลู่ย่วนมากนัก ยามเที่ยงเช่นนี้ ท่านระวังจะเหนื่อยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” หลวนอวิ๋นชูไม่หยุดฝีเท้า หันไปโบกไม้โบกมือ “ข้ากับฝูหรงจะลองหาดูว่ามีเส้นทางใกล้หน่อยหรือไม่”
“จริงสิ” เห็นนางจะเลือกเส้นทางใกล้ ฝูหรงก็ชี้ไปข้างหน้า “จากตรงนี้ไปทางใต้ไม่ไกลนักมีซุ้มประตูเล็กๆ แห่งหนึ่ง สามารถเดินตัดจากทะเลสาบลั่วเยี่ยนกลับไปเรือนลู่ย่วนได้ เดินราวสองเค่อเท่านั้น”
“ประตูแห่งนั้นบ่าวก็รู้ แม้ระยะทางจะใกล้ กลับมีแขกจากข้างนอกกับพวกที่ปรึกษาเดินเข้าออกอยู่บ่อยๆ” สี่จวี๋ถลึงตาใส่ฝูหรงอย่างดุดันทีหนึ่ง “จางหมัวมัวรอมาตลอดช่วงเช้าแล้ว สะใภ้สี่ก็นั่งเกี้ยวเถิด”
หลวนอวิ๋นชูไม่พูดจา เดินลัดเลาะตามแนวร่มไม้ไปทางใต้ไม่แม้จะหันหน้ากลับมามอง
เดินไปได้หลายก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตามมาจากทางด้านหลัง หลวนอวิ๋นชูย่นคิ้วและหยุดลง ก็เห็นสี่จวี๋เดินนำเกี้ยวหอบแฮกๆ ไล่ตามมา
เห็นพวกนางหยุดเดิน สี่จวี๋ก็รีบสาวเท้าขึ้นมาบอก “สะใภ้สี่ ที่นี่อยู่ห่างจากเรือนลู่ย่วนมากเกินไป หรือไม่ก็ให้เกี้ยวเดินตามไป ท่านเดินเล่นสักพักแล้วค่อยขึ้นเกี้ยว ดีหรือไม่”
เฮ้อ! กลัวนางจะไม่สะดุดตามากพอหรือ นางเดินอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีคนหามเกี้ยวตามมา เช่นนี้ตลอดทางก็ได้แต่มองมาที่นางกันแล้ว
หลวนอวิ๋นชูยิ้มพลางมองสี่จวี๋ น้ำเสียงคล้ายปรึกษาหารือ
“เจ้าว่า…เช่นนี้ออกจะสะดุดตาผู้คนเกินไปหรือไม่”
“เอ่อ…”
ทำเช่นนี้ออกจากแปลกประหลาดไปหรือไม่ ระหว่างทางให้คนเห็นหลวนอวิ๋นชูปล่อยเกี้ยวไว้ไม่นั่ง กลับเดินไป ไม่รู้จะถูกนินทาตามหลังมาว่าอย่างไร
สี่จวี๋หน้าแดง อ้ำอึ้งไป
หลวนอวิ๋นชูฉวยจังหวะนี้พาฝูหรงเดินจากไปเงียบๆ
“ในเรือนคนมากปากมาก พาเจ้ามาเดินก็เพื่อจะพูดจากับเจ้าตามลำพัง”
ไม่ได้ยินเสียงจากข้างหลังแล้ว หลวนอวิ๋นชูจึงผ่อนฝีเท้าลง พูดเสียงเบา
“สะใภ้สี่…” ฝูหรงหยุดชะงักตามสัญชาตญาณ มองหลวนอวิ๋นชูอย่างตกตะลึง
หลวนอวิ๋นชูดึงแขนนางให้เดินต่อไป
“สี่จวี๋สี่หลันจะอย่างไรก็เป็นคนของนายหญิงใหญ่ ไม่อาจคาดหวังว่าพวกนางจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับข้า เวลานี้เปลี่ยนบ่าวไพร่แล้ว ต่อไปเจ้าจะต้องสิ้นเปลืองสมองให้มากสักหน่อย อย่าปล่อยให้พวกนางคล้อยตามสี่จวี๋สี่หลันไป”
“เรื่องนี้สะใภ้สี่ไม่พูด บ่าวก็มีแผนการในใจอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเลือกสาวใช้เมื่อครู่ นางทำให้ท่านลำบากใจไปเสียทุกทาง พูดถึงเมื่อเช้านี้ สิ่งที่นายหญิงใหญ่พูดถึงทั้งนอกและในคำพูด เรื่องเล็กเท่าเข็มในเรือนของเรา กระทั่งแม้แต่บ่าวเองยังไม่รู้ นายหญิงใหญ่กลับรู้อย่างกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือพวกนางสองคนแน่นอน บ่าวไม่ชอบที่พวกนางถือดีว่าเคยอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่มาก่อน ไม่ว่าทำอะไรก็เหมือนไม่เห็นท่านเป็นนาย”
พูดๆ อยู่ฝูหรงพลันหยุดชะงัก แอบชำเลืองตามองสีหน้าของหลวนอวิ๋นชูแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“จะอย่างไรก็เป็นคนของนายหญิงใหญ่ สะใภ้สี่ย่อมไม่สะดวกจะแข็งกร้าวกับพวกนางมากเกินไป”
“เรื่องนี้ข้ามีแผนการในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าเพียงรอบคอบระแวดระวังให้มากก็พอ”
ขณะกำลังพูดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น หลวนอวิ๋นชูเงยหน้ามองไป เห็นประตูเล็กอยู่ข้างหน้าไกลๆ เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังของประตูแห่งนั้น
“ฮ่าๆ! ยากนักจะได้พบน้องเหวินฮั่น ยินดีที่ได้พบ แม่ทัพใหญ่จะยกทัพไปตีแคว้นชื่อ ข้าได้ยินว่าอัครเสนาบดีเหยากำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมเสบียงอาหารและหญ้า น้องเหวินฮั่นเป็นศิษย์เอกของอัครเสนาบดีเหยา เหตุใดไม่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ถึงกับมีเวลาว่างมาเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน”
ลู่เซวียน! เขามาที่จวนกั๋วกง
(ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่มเดือน สิงหาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.