X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 105

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 105

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว ลิ่นเฉิงโย่วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา

เขาหวั่นเกรงว่าตอนกระโดดข้ามหน้าต่างจะเกิดเสียงดังกุกกัก ก่อนจากไปจึงไม่ได้สั่งผีน้อยให้ล่าถอยไปด้วย แต่บอกวิธีส่งผีน้อยกับเถิงอวี้อี้แทน พร้อมกำชับนางว่าหลังเขาไปแล้วค่อยจัดการส่งพวกมันกลับ

คนทั้งสองเดินมาถึงริมหน้าต่าง ลิ่นเฉิงโย่วก็หันไปมองหน้าเถิงอวี้อี้พลางว่า “เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร”

“เข้าใจแล้ว” เมื่อครู่เถิงอวี้อี้ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี นางรีบเอ่ยทวนซ้ำวิธีการที่ว่านั้นรอบหนึ่ง

ลิ่นเฉิงโย่วหยุดคิดตามแล้วเอ่ยว่า “ประมาณนี้” ก่อนหรี่ตามองเถิงอวี้อี้พร้อมกล่าวต่อ “อู๋เหวย เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์นอกสำนัก* ของอารามชิงอวิ๋นไปครึ่งตัว ถึงเวลาเรียนรู้การร่ายอาคมเต๋าง่ายๆ พวกนี้เองเสียที หลังข้าออกไปจะรออยู่บนหลังคาสักพัก หากเจ้าทำได้ไม่เลว หมายความว่าเข้าใจหลักการพื้นฐานแล้ว อย่างนั้นครั้งหน้าข้าพาเจ้าไปขับไล่ภูตผี ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก หากยังทำได้ไม่ดีพอ หมายความว่ายังขาดประสบการณ์ ข้าก็กลัวว่าจะโดนคนถ่วงแข้งถ่วงขาเช่นกัน เรื่องที่จะพาเจ้าไปขับไล่ภูตผีคงต้องรอไปก่อน”

เถิงอวี้อี้ได้ยินประโยคนี้ก็รีบแสดงท่าทีขึงขังเต็มที่ “ซื่อจื่อคอยดูแล้วกัน”

ลิ่นเฉิงโย่วลอบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะปีนข้ามหน้าต่างออกไปอย่างรวดเร็ว

เวลาไม่คอยท่า เถิงอวี้อี้ใช้แท่งจุดไฟจุดยันต์ที่ลิ่นเฉิงโย่วทิ้งเอาไว้ให้ ริมฝีปากขยับพึมพำท่องคาถา ส่งผีน้อยที่อยู่ตรงหน้าต่างกลับไปก่อน แล้วค่อยส่งผีน้อยที่อยู่นอกประตูตามไป สุดท้ายก็ทำความสะอาดผงเรียกวิญญาณตรงหน้าประตูกับร่องหน้าต่างจนสะอาดเกลี้ยงเกลา

พอเถิงอวี้อี้จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นางก็ก้มศีรษะมองกระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือ กระดิ่งเสวียนอินไม่สั่นไหวเบาๆ อีกอย่างที่คิด ชี้ให้เห็นว่านางส่งเหล่าผีน้อยกลับไปได้สำเร็จแล้ว

นางรู้ดีว่าลิ่นเฉิงโย่วยังมิได้ไปไกล แทบอยากจะตะโกนออกไปนอกหน้าต่างด้วยความดีใจว่า ‘ข้าทำได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่’

ลิ่นเฉิงโย่วกลั้นลมหายใจหมอบอยู่บนหลังคาห้องนาง เห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะกระโดดทะยานร่างขึ้นไป ลอยลิ่วกลืนหายไปในความมืดยามค่ำคืน

 

ขณะเถิงอวี้อี้หวีผมล้างหน้า นางสัมผัสได้ถึงแววตาเคลือบแคลงจากญาติผู้พี่ที่มองมาเป็นระยะ รอจนพวกนางสองคนนอนลงบนเตียง ญาติผู้พี่ก็เอ่ยปากถามนางขึ้นมาจริงๆ

“เจ้ากับซื่อจื่อเคยขับไล่ภูตผีด้วยกันมาก่อนหรือ”

เถิงอวี้อี้พยักหน้า นางไม่อาจบอกญาติผู้พี่ได้ว่าตนเองทำเช่นนี้เพื่อสั่งสมบุญกุศล จำต้องตอบไปอย่างคลุมเครือว่า “นักพรตน้อยสองคนพาข้าไป พอดีช่วงนี้ข้าเคราะห์ร้ายเป็นประจำ รู้สึกว่าเรียนอาคมเต๋าเสริมบ้างจะต้องเป็นประโยชน์กับตนเองแน่ๆ จึงติดตามพวกเขาไปด้วย”

ตู้ถิงหลันใช้มือข้างหนึ่งรองใต้แก้มข้างขวาของตนเอง ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นจับมุมผ้าห่มให้ญาติผู้น้อง “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าลิ่นเฉิงโย่วชอบเจ้า”

เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไปทันใด

“เจ้าคิดดู หากเขาไม่ใส่ใจกับเรื่องของเจ้ามากเหลือเกิน พอได้ยินว่าที่สำนักศึกษามีเรื่องจะรีบร้อนมาได้อย่างไร”

เถิงอวี้อี้เผยอปากอย่างตื่นตระหนก “แต่นี่เป็นเรื่องที่พวกเราตกลงกันไว้ก่อนนะ เดิมทีลิ่นเฉิงโย่วก็เป็นคนที่รักษาสัญญาอยู่แล้ว…”

“พาเจ้าไปขับไล่ภูตผีก็เพราะต้องการทำตามสัญญา? เจ้าไม่รู้วิชาเต๋าสักหน่อย เขาพาเจ้าไปโดยไม่รังเกียจว่าจะเป็นภาระให้หรือ”

เถิงอวี้อี้ตะลึงงันไปแล้ว ในเวลาเดียวกันนั้นนางสัมผัสได้ว่าหัวใจสั่นไหวอย่างประหลาด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่อาจนับได้ว่าแปลกใหม่ ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดขึ้นกับหัวใจของนาง แต่ทุกครั้งจะคงอยู่เพียงช่วงสั้นๆ ชั่วพริบตาเดียวก็จะเลือนหายไป

นางเหม่อลอยไปพักใหญ่ แล้วเอ่ยขัดจังหวะญาติผู้พี่ “สาเหตุที่ครั้งนั้นพวกเขาพาข้าไปขับไล่ภูตผีก็เพื่อช่วยข้าทดสอบกระดิ่งเสวียนอินว่าพลังฟื้นคืนหรือยัง จะว่าไปเรื่องนี้ยังเป็นเพราะข้าจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้วด้วย พอลิ่นเฉิงโย่วได้ยินว่ามีหัวขโมยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ข้า จึงอยากรู้ว่าหัวขโมยนั่นคือผู้ใด”

ตู้ถิงหลันยิ้มน้อยๆ “ข้างกายเจ้ามีหัวขโมยมาป้วนเปี้ยนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ตอนนี้เฉิงอ๋องกับพระชายาไม่อยู่ในฉางอัน กิจธุระต่างๆ ในวังเฉิงอ๋องต้องมีลิ่นเฉิงโย่วจัดการ ทุกวันนี้เขายังเป็นขุนนางอยู่ที่ศาลต้าหลี่ด้วย คดีที่ผ่านมือเขาล้วนเป็นคดีใหญ่ที่ซับซ้อน แต่ละวันเขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่วสารทิศ เดิมทีก็มีงานยุ่งล้นมือมากแล้ว หากไม่ใช่ว่าในใจให้ความสำคัญมาก จะจำเป็นต้องเจียดกำลังแรงกายมาคอยดูแลเจ้าหรือไม่เล่า”

เถิงอวี้อี้หยุดชะงักไปอีกครั้ง เพราะนางนึกไม่ถึงว่าคำพูดของญาติผู้พี่จะมีเหตุผลปานนี้

“ไม่ ไม่ใช่ เขาเคยบอกเองว่าเพราะรับอานม้าหยกม่วงจากข้าไปถึงได้ตกลงช่วยเหลือ”

ตู้ถิงหลันถอนหายใจ “ทุกปีวังเฉิงอ๋องได้รับสมบัติล้ำค่าจากทั่วหล้ามากมายนับไม่ถ้วน หากทุกครั้งที่รับของล้ำค่าชิ้นหนึ่งก็ต้องตอบตกลงช่วยเหลือครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วต้องช่วยเหลือคนไปมากเพียงใดแล้ว”

“ข้าแตกต่างจากคนพวกนั้นนะ ข้ากับลิ่นเฉิงโย่วยังมีเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ สนิทสนมถึงขั้นผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาแล้ว เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อบอกว่าครั้งนั้นหากไม่มีข้าช่วยเหลือ ทุกคนคงไม่มีทางปราบมารผีดิบได้ราบรื่นเช่นนั้น ต่อมาตอนกำจัดปีศาจรากษสโลหิตข้าก็มีความดีความชอบใหญ่หลวง ลิ่นเฉิงโย่วถูกผิดแยกแยะชัดเจน รู้ดีว่าเรื่องนี้ข้ามีบทบาทช่วยเหลือมากเพียงใด เวลานี้ข้าถูกคนวางแผนลอบทำร้าย ด้วยมิตรภาพแน่นแฟ้นปานนี้เขาไม่มีทางไม่แยแสข้า”

เถิงอวี้อี้ยังคงพูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุด ตู้ถิงหลันกลับรับฟังอยู่เงียบๆ รอให้ญาติผู้น้องกล่าวมารวดเดียวจนจบนางก็คลี่ยิ้มย้อนถามว่า “คำอธิบายพวกนี้เจ้าบอกกับตนเองในใจอยู่เสมอใช่หรือไม่”

เถิงอวี้อี้พูดไม่ออกไปชั่วขณะ แล้วตอบกลับอย่างฉะฉานทันควัน “พี่สาว ท่านลืมไปหรือว่าลิ่นเฉิงโย่วยังโดนพิษกู่ไร้รัก ท่านลองดูกู่ที่เจ้าคนชั้นต่ำหลูจ้าวอันใช้กับท่านว่าร้ายกาจถึงเพียงใดก็รู้แล้ว นอกจากร่างอาศัยจะเสี่ยงอันตรายเกือบตาย ไม่อย่างนั้นคงยากจะถอนพิษกู่ได้ พิษกู่ในร่างลิ่นเฉิงโย่วคิดว่ายิ่งถอนไม่ได้ง่ายๆ อีกอย่างต่อให้ถอนพิษกู่ได้สำเร็จ หากลิ่นเฉิงโย่วจะชอบพอใครจำเป็นต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยหรือ ทุกครั้งเขาจะบอกข้าว่าเขาเพียงช่วยเหลือเท่านั้น ย้ำซ้ำๆ กับข้าว่าไม่ต้องคิดมาก”

ตู้ถิงหลันไม่ตอบคำ เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่นางคิดไม่ตกที่สุดเช่นกัน

ลิ่นเฉิงโย่วมีใจชอบพอญาติผู้น้อง นางไม่มีทางมองผิดไปอย่างเด็ดขาด แต่ดูจากนิสัยเปิดเผยของลิ่นเฉิงโย่ว เขาชอบใครจะต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแน่ ที่ผ่านมาเขาทำอะไรหลายอย่างเพื่อญาติผู้น้อง ทว่ากลับไม่ยอมบอกแม้แต่ความในใจของตนเอง การวางตัวเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกสับสนโดยแท้ หรือว่าจะมีสิ่งใดแอบแฝงอยู่เบื้องหลังกัน

เถิงอวี้อี้เห็นญาติผู้พี่ไม่พูดไม่จา ก็เข้าใจว่าตนเองโน้มน้าวอีกฝ่ายได้สำเร็จแล้ว จึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงศีรษะ กล่าวเสียงอู้อี้อยู่ในผ้าห่ม “พี่สาว เข้านอนเถอะ”

ตู้ถิงหลันกลับเอ่ยขึ้นอีกว่า “คืนวันนั้นในเทศกาลอวี้ฝอลิ่นเฉิงโย่วนัดเจ้าออกไปพบ หลังเจ้ากลับมาบนศีรษะก็มีปิ่นระย้าเพิ่มขึ้นมาคู่หนึ่ง ตอนนั้นเพราะเกิดเรื่องกับอู่เซียง พี่สาวจึงไม่มีกะจิตกะใจจะซักถามเจ้า ตอนนี้พี่สาวอยากถามเจ้าสักคำ ปิ่นระย้าคู่นั้นเป็นของขวัญที่ลิ่นเฉิงโย่วมอบให้เจ้ากระมัง ในเมื่อตอบตกลงช่วยเหลือเจ้าแล้ว มีความจำเป็นอันใดถึงส่งเครื่องประดับราคาสูงลิ่วเช่นนี้ให้อีก”

“ข้าบอกไปแต่แรกแล้วว่าเพื่อตอบแทนน้ำใจ เขาบอกว่าไม่เคยชินกับการรับของขวัญวันเกิดล้ำค่าเท่านี้ ปิ่นระย้าคู่นั้นจึงถือว่าเป็นของขวัญตอบแทน”

“อ้อ เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้รับมา?”

เถิงอวี้อี้ฟังแล้วชักหมดความอดทน นางพลิกตัวหันหลังให้ญาติผู้พี่ “ข้าชอบแบบปิ่นระย้าชิ้นนั้นมาก มันไม่เหมาะสมนักหรือ ประเดี๋ยวข้าคืนเขาไปก็ได้”

ตู้ถิงหลันกลัวว่าญาติผู้น้องจะอึดอัดอยู่ในผ้าห่ม จึงพยายามดึงรั้งมุมผ้าห่มให้ศีรษะอีกฝ่ายโผล่ออกมา “เจ้ามาคุยกับพี่สาวดีๆ เจ้าก็สงสัยมาแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าลิ่นเฉิงโย่วชอบเจ้า”

เถิงอวี้อี้ทางหนึ่งห่อตนเองไว้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม ทางหนึ่งแค่นเสียงขึ้นจมูกอยู่ในผ้าห่ม “เขาไม่เคยบอกว่าชอบข้า จะว่าไปบุรุษในโลกนี้ก็ไร้น้ำใจเหมือนกันหมด หากตอนนี้เขาชอบข้า แต่ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนใจ หากเชื่อใจบุรุษเข้าแล้ว วันข้างหน้าคงได้เจ็บปวดร้าวราน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าลิ่นเฉิงโย่วอาจรู้สึกชอบข้าเลย แม้เขาจะชอบข้าจริงๆ ข้าก็ไม่ยอมรับหรอก ข้าคิดเอาไว้นานแล้ว ตลอดชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น”

มือของตู้ถิงหลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เชิงเทียนเปลวไฟมอดดับไปแล้ว ท่ามกลางความมืดมองเห็นเพียงเค้าโครงเลือนราง ‘หนอนตัวยาว’ ตรงหน้านางยังขยับขยุกขยิกไปมา ทว่านางกลับไม่รู้จะตอบกลับไปเช่นไร

ตอนท่านน้าจากโลกนี้ไปแม้นางจะไม่ได้อยู่ข้างกาย แต่ก็เคยได้ยินรายละเอียดเหตุการณ์ในตอนนั้นมาบ้าง ท่านน้านอนป่วยอยู่บนเตียง แต่ท่านน้าเขยรีบร้อนคุ้มกันสตรีแซ่อูผู้หนึ่งจากไปด้วยตนเอง กว่าท่านน้าเขยจะเร่งรุดกลับมาถึง สองสามีภรรยาก็ไม่ทันได้พบหน้ากันครั้งสุดท้ายแล้ว

ญาติผู้น้องมีปมในใจที่ไม่มีวันคลายออกเพราะเรื่องนี้ หลายปีที่ผ่านมาจึงทำตัวเย็นชากับท่านน้าเขยมาตลอด

เมื่อรวมกับก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่องของต้วนหนิงหย่วน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ญาติผู้น้องล้มเลิกความคิดจะแต่งงานไปอย่างสิ้นเชิง

ตู้ถิงหลันลอบถอนหายใจพลางผลักหัวไหล่ญาติผู้น้องเบาๆ “เจ้าโผล่หน้าออกมาเถอะ พี่สาวไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว”

เถิงอวี้อี้อึดอัดเกือบทนไม่ไหวพอดี นางยอมโผล่หน้าออกมาตามที่ญาติผู้พี่บอก เพียงแต่ดวงตาสองข้างยังคงปิดสนิท ปากบ่นพึมพำว่า “ข้าหลับไปแล้ว”

ตู้ถิงหลันจ้องมองใบหน้าในความมืดที่เห็นไม่ชัดเจน รู้สึกว่าเรื่องราวซับซ้อนจนไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร สุดท้ายทำได้เพียงตบผ้าห่มบอกญาติผู้น้องว่า “นอนเถอะๆ”

เมื่อมองดูการแสดงออกของญาติผู้น้องก็มิใช่ว่าจะไม่สนใจลิ่นเฉิงโย่วเลยเสียทีเดียว ลิ่นเฉิงโย่วจิตใจกว้างขวางเถรตรง เคยช่วยชีวิตญาติผู้น้องไม่รู้กี่ครั้งแล้ว คนทั้งสองผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากเพียงนี้ ใช่คนอย่างต้วนหนิงหย่วนผู้นั้นจะมาเทียบเคียงได้ที่ใดกัน ยิ่งใส่ใจมาก ท่าทีตอบสนองยิ่งชัดเจน ฉะนั้นญาติผู้น้องถึงได้รีบร้อนปฏิเสธ แล้วยังหยิบยกเหตุผลหลายต่อหลายอย่างว่าลิ่นเฉิงโย่วไม่มีทางชอบตนเองออกมาในคราวเดียว

ไหนจะปิ่นระย้าคู่นั้น ตั้งแต่เล็กมาญาติผู้น้องมีความรอบรู้ไม่ธรรมดา เปลี่ยนเป็นผู้อื่นมอบปิ่นระย้าคู่นั้นให้นาง คาดว่าคงคร้านจะชายตามองสักครั้งด้วยซ้ำ สาเหตุที่นางยอมรับไว้เช่นนี้เพียงเพราะผู้มอบของขวัญให้คือลิ่นเฉิงโย่ว

ทว่าญาติผู้น้องยังไม่ประสีประสาเรื่องระหว่างชายหญิง รวมทั้งยังมีปมในใจขมวดแน่นเหลือเกิน ต่อให้เข้าใจกระจ่างก็ไม่มีทางเปิดใจให้โดยง่าย

ตู้ถิงหลันกลัดกลุ้มกังวลใจ เรื่องทำนองนี้ไม่เปิดเผยก็แล้วไปเถิด ทันทีที่เปิดเผยออกมาจะต้องได้ข้อสรุปสักอย่าง ถึงเวลานั้นพวกเขาสองคนคงเข้าหน้ากันไม่ติดขึ้นมาบ้าง หากญาติผู้น้องของนางยังทำตัวจริงจังเกินกว่าเหตุ ไม่แน่อาจตัดขาดความสัมพันธ์กับลิ่นเฉิงโย่ว…

จากนั้นคิดถึงภาพเหตุการณ์ขณะพวกเขาอยู่ด้วยกันเมื่อครู่ ทั้งสองรู้ใจกันเป็นอย่างดี เวลาพูดคุยกันนั้นคนนอกหาจังหวะแทรกไม่ได้เลย

ช่างเถิด ถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้คนนอกก็ช่วยอะไรไม่ได้ ปล่อยให้พวกเขาไปทะเลาะกันเองแล้วกัน ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา บางทีปมที่ว่านี้คงจะคลายออกไปได้

วันรุ่งขึ้นลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้ไปที่ศาลต้าหลี่ แต่รอฟังข่าวอยู่ที่วังเฉิงอ๋อง หลังกินอาหารกลางวันเสร็จไม่นานควนหนูก็วิ่งมารายงานแล้ว

“ซื่อจื่อคาดการณ์แม่นยำดุจเทพ เมื่อวานตลอดทั้งวันทางฝั่งหลูจ้าวอันไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย วันนี้สำนักศึกษาเซียงเซี่ยงหยุดเรียนวันเทศกาลตวนอู่ ศิษย์แต่ละคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่นานเท่าไรหลูจ้าวอันก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้าลงหน้าพุ่มดอกชาตรงระเบียงทางเดิน “คนผู้นั้นเป็นใคร”

“ยายเฒ่าขายโจ๊กหวานผู้หนึ่งขอรับ” ควนหนูตอบ “หลายวันมานี้หลูจ้าวอันยุ่งกับการเตรียมตัวสอบจื้อจวี่ ไม่ค่อยได้ออกจากเรือนไปที่ใด ยายเฒ่าตะโกนขายโจ๊กสองคำ หลูจ้าวอันก็ออกมาแล้ว ละแวกนั้นมีคนพักอาศัยอยู่เต็มไปหมด หากยายเฒ่าตั้งใจค้าขายจริงๆ จะต้องเร่ขายนานกว่านี้สักสองสามชั่วยามสิ แต่พอหลูจ้าวอันซื้อโจ๊กเสร็จไม่นานยายเฒ่าก็เข็นรถจากไปแล้ว พวกเราหลายคนสะกดรอยตามไปตลอดทางจนออกจากประตูฟาง ยายเฒ่าผู้นี้กลับไม่เผยพิรุธออกมาเลย รอจนนางเข็นรถไปถึงถนนหย่งอันของหลี่เฉวียนฟาง ก็มีบ่าวไพร่จากครอบครัวชนชั้นสูงผู้หนึ่งออกมาซื้อโจ๊ก พอข้าน้อยจำได้ว่านั่นเป็นบ่าวไพร่ของใครก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง…”

ลิ่นเฉิงโย่วถาม “บ่าวไพร่ของผู้ใด”

ควนหนูพูดชื่อหนึ่งออกมา

ลิ่นเฉิงโย่วขมวดคิ้วมุ่น

“จะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว” ควนหนูลูบท้ายทอยที่เย็นวาบของตนเอง “ครั้งนั้นตอนซื่อจื่อฉลองวันเกิดยังเคยมาอวยพรถึงวังอ๋อง บ่าวไพร่ที่ซื้อโจ๊กคือสาวใช้อาวุโสมากความสามารถข้างกายคนผู้นี้เอง ข้าน้อยไม่มีทางจำผิดคน”

ความคิดแรกของลิ่นเฉิงโย่วก็คือ ‘จะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว’ เช่นกัน

เมื่อคืนเขากับเถิงอวี้อี้ระบุตัวเป้าหมายที่น่าสงสัยหลักๆ ออกมา แม้จะมีชื่อคนผู้นี้รวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ในใจพวกเขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ มาวันนี้พอได้ยินข่าวมีหรือจะไม่แปลกใจ

“เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นมา”

“สาวใช้เดินเข้ามาซื้อโจ๊ก ยายเฒ่าผู้นี้เล่นลูกไม้เดิม รอให้สาวใช้ซื้อโจ๊กเสร็จ รั้งรออยู่เพียงครู่เดียวก็เข็นรถจากไป ไม่นานยายเฒ่าก็กลับไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ต่อจากนั้นก็ไม่ได้โผล่ออกมาอีกเลย คนกลุ่มนี้ซ่อนตัวลึกลับมากทีเดียว ที่สำคัญยังลงมือได้อย่างแนบเนียนไร้ช่องโหว่ หากซื่อจื่อไม่ได้บอกว่าวันนี้จะต้องมีคนส่งของให้หลูจ้าวอัน ข้าน้อยก็คงไม่สนใจยายเฒ่าขายโจ๊กหวานผู้หนึ่ง ซื่อจื่อ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้พวกเขาจะส่งต่อสิ่งของกัน”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพียงคิดในใจว่า คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่มุ่งมั่นอยากเป็นฮองเฮา ต่อให้ถูกเฮ่าเยวี่ยส่านเหรินล่อลวงจนรู้จักวิชามาร จะมารู้ได้อย่างไรว่าหลูจ้าวอันก็เป็นพวกเดียวกันกับคนกลุ่มนี้ด้วย

หรือว่าผู้บงการเบื้องหลังต้องการช่วยเหลือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ ถึงได้จงใจปล่อยข่าวลือบางส่วนไปให้อีกฝ่ายล่วงรู้

ใช่แล้ว เมื่อใดที่คุณหนูผู้นี้ได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทสมดังปรารถนา สำหรับผู้บงการเบื้องหลังมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสียอะไร

กลอุบายสกปรกเหล่านั้นที่คุณหนูผู้นี้เคยวางแผนมา ผู้บงการเบื้องหลังรู้แจ้งแก่ใจดี เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเขาก็สามารถใช้จุดอ่อนนี้มาบังคับขู่เข็ญพระชายาองค์รัชทายาท

สตรีนางนี้อาจไม่รู้จักตัวตนของผู้บงการเบื้องหลัง และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร แต่เพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของตนเองจะต้องทำตามคำสั่งแต่โดยดีแน่

ขอเพียงควบคุมวังตะวันออกได้ ต่อไปไม่ว่าก่อกบฏหรือลอบปลงพระชนม์ก็จะราบรื่นยิ่งกว่าเดิม…

ดูสิ ความคิดของคนผู้นี้รอบคอบรัดกุมเพียงใด ยังไตร่ตรองถึงปัญหาเผื่อไปยาวไกลปานนั้นอีก

“เยี่ยมมาก” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “เลือกคนที่หัวไวมีฝีมือที่สุดมาสักหลายคน จะต้องจับตาดูยายเฒ่าผู้นี้ไม่ให้คลาดสายตา ในบ้านนางคงซุกซ่อนของดีอยู่ไม่น้อย ถึงเวลานั้นจะเป็นหลักฐานมัดตัวในการตัดสินโทษ รอให้ทางฝั่งข้าเตรียมการไปพอสมควรแล้ว ก็เข้าไปจับกุมคนมาโดยตรงเลยก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างในเมื่อรู้แล้วว่าคนที่วางแผนร้ายในสำนักศึกษาผู้นั้นคือใคร ทางข้าจะปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับผู้รับการคัดเลือกเป็นพระชายาองค์รัชทายาทออกไปเพิ่ม คุณหนูผู้นั้นได้ยินมากเข้าจะต้องอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ คนเราพอว้าวุ่นฟุ้งซ่านก็ทำผิดพลาดกันได้ง่าย สองสามวันนี้พวกเจ้าคอยติดตามนางดีๆ อย่าพลาดเบาะแสของคนผู้นี้ไปเด็ดขาด”

“ขอรับ” ควนหนูคิดทบทวนแล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดาย ‘หาง’ หลายคนที่จับได้ในคืนวันเทศกาลอวี้ฝอพิษกำเริบจนตาย ไม่มีหนทางให้ยืนยันฐานะแล้ว แต่อันธพาลไม่กี่คนที่ก่อนหน้านี้สะกดรอยตามซื่อจื่อ ข้าน้อยไปตรวจสอบตามคำสั่งซื่อจื่อแล้ว มีสองคนเคยเป็นนักโทษหลบหนีของราชสำนัก ข้าน้อยคาดเดาว่าพวกเขาแปดส่วนคือนักรบหน่วยกล้าตายที่เผิงเจิ้นเลี้ยงไว้ เพียงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงจับตาดูซื่อจื่อ”

“เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วแค่นเสียงเย้ยหยัน “คนกลุ่มนี้เพิ่งเริ่มจับตาดูข้าหลังปล่อยตัวจวงมู่น่ะสิ เผิงเจิ้นคาดไม่ถึงว่าจวงมู่จะหลุดปาก แต่ติดปัญหาว่าไม่สามารถปล้นคุกศาลต้าหลี่ได้อย่างเปิดเผย จำต้องสั่งคนให้ลอบสะกดรอยตาม ข่าวลือที่ว่าข้าไปหอไจซิงซื้อเครื่องประดับล้ำค่าก็เป็นคนสกุลเผิงปล่อยมา ส่วนพวก ‘หาง’ หลายคนที่สะกดรอยตามข้าในคืนวันเทศกาลอวี้ฝอ…”

บางทีอาจเป็นผู้บงการเบื้องหลังหลูจ้าวอันผู้นั้นส่งมา แต่อาจเป็นคนที่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นว่าจ้างมาก็ได้เช่นกัน คนพวกนั้นตามเขามาตลอดทาง กลับเปิดเผยร่องรอยของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้เพียงเพราะอยากเร่งให้เขากับเติ้งเหวยหลี่พบหน้ากัน ถึงแม้คืนนั้นจะไม่เป็นไปตามแผน หลังจากนี้ก็จะใช้วิธีอื่นมาสร้างสถานการณ์ปลอมๆ ว่าเขากับเติ้งเหวยหลี่ลอบนัดพบกัน โชคดีว่าคืนนั้นปล่อยให้พวกเขาทำได้สำเร็จ พวกหางเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ดังนั้นทันทีที่โดนจับจึงพิษกำเริบจนตาย

พอคิดมาถึงตรงนี้จู่ๆ ภายในใจลิ่นเฉิงโย่วเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

เขาเคยครุ่นคิดในใจมานับครั้งไม่ถ้วนว่าผู้บงการเบื้องหลังเฮ่าเยวี่ยส่านเหรินเป็นใคร ตามความเห็นของเขาคนผู้นั้นอาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจแถบหัวเมืองที่คิดไม่ซื่อเช่นเดียวกับสกุลเผิง อาจเป็นสายลับของอาณาจักรสักแห่งที่จับจ้องจงหยวนตาเป็นมันส่งมา อาจเป็นองค์ชายแคว้นศักดินาสักองค์ หรืออาจเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักสักคนที่แค้นเคืองเพราะถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา

กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นเพราะเป้าหมายใด อีกฝ่ายนอกจากมีกำลังทรัพย์และกำลังคน ยังต้องมีเล่ห์เหลี่ยมและกลยุทธ์ที่ล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา

ทว่ายิ่งเขาตรวจสอบยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่เพียงเท่านั้น คนผู้นี้คล้ายว่าจะคุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเขาเป็นอย่างมากด้วย

“จริงสิ ตรวจสอบแน่ชัดหรือยังว่าตอนหลูจ้าวอันอยู่ในหยางโจวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ใดบ้าง”

“ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในหยางโจว คนกลุ่มนี้มักเดินทางมาท่องเที่ยวฉางอันกับลั่วหยางบ่อยๆ หากชื่นชมความสามารถของหลูจ้าวอันจริง เป็นไปได้สูงว่าจะแนะนำเขาให้รู้จักกับผู้สูงศักดิ์มากด้วยอำนาจในเมืองหลวง”

“ตรวจสอบคนกลุ่มนี้ให้ดี” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “โดยเฉพาะคนที่เคยมาฉางอันในช่วงเกือบหนึ่งปีมานี้ พวกบัณฑิตผู้ดีกลุ่มนี้มองผิวเผินถือสันโดษรักอิสระ แท้จริงแล้วอาจไปมาหาสู่กับกลุ่มอำนาจในเมืองหลวงบางกลุ่มอย่างลับๆ”

“ทราบแล้วขอรับ”

“ข้าจะออกไปข้างนอก เตรียมม้าให้ข้าเถอะ”

เขาต้องไปหาองค์รัชทายาทเพื่อสอบถามเรื่องหนึ่ง

นอกจากองค์รัชทายาท พรุ่งนี้เขายังต้องพบใครอีกคนหนึ่งด้วย

“แล้วก็พรุ่งนี้ต้องออกนอกเมืองไปล่าสัตว์ เจ้าช่วยจัดการให้ข้าพบคนผู้หนึ่งด้วย”

ควนหนูนิ่งอึ้งไป “ใครขอรับ”

“อู่หยวนลั่ว”

ในเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นที่อยู่ในสำนักศึกษาคือใครแล้ว เรื่องราวหลายอย่างก่อนหน้านี้สามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้ แต่เขายังรู้สึกว่ามีบางเรื่องเหนือความคาดหมายไปบ้าง จึงต้องยืนยันกับอู่หยวนลั่วต่อหน้าเสียหน่อย

อู่หยวนลั่วกับลิ่นเฉิงโย่วนั่งประจันหน้าดื่มน้ำชากันในร้านจวี๋ซวง

สีหน้าอู่หยวนลั่วย่ำแย่ยิ่งนัก อันที่จริงวันนี้เขาต้องตามเสด็จออกนอกเมืองไปล่าสัตว์ ไปได้ครึ่งทางก็ถูกลิ่นเฉิงโย่วขวางเอาไว้ เขายังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลิ่นเฉิงโย่วก็อ้างเหตุผลว่าต้องการตรวจสอบรายละเอียดคดี แล้วเชิญเขามาที่ร้านจวี๋ซวง

สถานที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังบังเอิญมานั่งตรงริมหน้าต่างอีก เขาคิดถึงภาพเหตุการณ์ตอนน้องสาวคนโตเกิดเรื่องในคืนนั้นก็แทบจะนั่งไม่ติดที่เลยสักชั่วขณะเดียว

แต่เขารู้ดีว่าหากไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงลิ่นเฉิงโย่วไม่มีทางนัดเขามาสถานที่เช่นนี้เด็ดขาด จึงกล้ำกลืนฝืนทนดื่มน้ำชาคำหนึ่ง ก่อนจะถามเสียงแหบแห้งว่า “นัดข้ามามีธุระอันใด”

ลิ่นเฉิงโย่วมองสำรวจอู่หยวนลั่ว ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็ซูบผอมไปไม่น้อย ในครอบครัวเกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ อู่หยวนลั่วในฐานะบุตรชายคนโตของสกุลอู่คงจะยุ่งจนหัวหมุน

หลังคาดการณ์ว่าปล่อยให้บรรยากาศอึมครึมเกือบจะคุกรุ่นแล้วเขาก็เอ่ยปากถามตรงประเด็น “บอกมาเถอะ คืนนั้นเหตุใดเจ้าถึงจงใจเข้าใกล้คุณหนูเถิง”

อู่หยวนลั่วไม่คิดว่าพอลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยปากก็จะถามเรื่องนี้ เขาจ้องมองลิ่นเฉิงโย่วครู่หนึ่งก็ตอบอย่างเฉยชา “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยหรือ”

เหลวไหล ต้องเกี่ยวข้องกับข้าอยู่แล้วสิ ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มหยัน “เจ้ารู้จักคุณหนูเถิงได้อย่างไร”

อู่หยวนลั่วเพ่งมองลิ่นเฉิงโย่วต่อ อยู่ๆ ก็คลี่ยิ้มพลางว่า “มิน่าเล่าวันนั้นบนเขาหลีซานเจ้าถึงได้หวังดีให้ยืมป้ายหยก ข้าน่าจะมองความรู้สึกที่เจ้ามีให้คุณหนูเถิงออกนานแล้ว เจ้ามีเจตนาก่อกวนก็เพราะกลัวว่าข้าจะเข้าใกล้นางกระมัง”

ลิ่นเฉิงโย่วมิได้เอ่ยตอบคำถามนี้ เพียงเอ่ยยิ้มๆ “อู่หยวนลั่ว คนเช่นเจ้าหยิ่งทะนงไม่เห็นใครในสายตามาแต่ไหนแต่ไร เหตุใดจู่ๆ มานึกสนใจคุณหนูเถิงได้ นางมาถึงฉางอันไม่นาน อย่างมากที่สุดเจ้าคงเคยเห็นรูปร่างหน้าตาของนาง ส่วนนิสัยใจคอจะเป็นอย่างไรเจ้ายังไม่เข้าใจชัดเจน ทำให้พอได้ขึ้นเขาหลีซานเจ้าก็อดใจรอไม่ไหว บอกให้น้องสาวช่วยเจ้าหาโอกาสใกล้ชิดนาง”

อู่หยวนลั่วแค่นเสียงหัวเราะ “ศาลต้าหลี่งานยุ่งมากไม่ใช่หรือ หากเจ้าเพียงอยากสอบถามเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ข้าไม่มีเวลามานั่งเป็นเพื่อนหรอก”

“จะน่าเบื่อหรือไม่เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ” รอยยิ้มลิ่นเฉิงโย่วเลือนหาย “ให้ข้าคาดเดาเล่นๆ เจ้าคงได้ยินคนพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าท้อใช่หรือไม่ เขาวงกตของอารามนักพรตหญิงอวี้เจินชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า คุณหนูเถิงไปเที่ยวเล่นที่อารามเป็นครั้งแรก ตามหลักแล้วไม่น่าจะคุ้นเคยกับปริศนาในอาราม แต่นางกลับแก้ปริศนาของไน่จ้งแล้วพาสหายหลบหนีเอาชีวิตรอดได้สำเร็จ เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วจะต้องอยากรู้เรื่องของเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบผู้นี้แน่”

อู่หยวนลั่วนิ่งเงียบไป ทว่าสีหน้าของเขาบอกทุกอย่างหมดแล้ว

“ฉางอันไม่เคยขาดคุณหนูผู้เลอโฉมงามสง่า อู่หยวนลั่ว เจ้าเติบโตท่ามกลางความงามวิจิตรมาตั้งแต่เล็ก เมื่อพบเจอเด็กสาวลักษณะเช่นนี้จะรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ ทว่าคุณหนูเถิงกลับแตกต่างออกไปแล้ว สิ่งที่นางทำในวันนั้นทำให้เจ้าต้องมองนางใหม่ เจ้ามีฉายาว่าเด็กอัจฉริยะ แต่ปฏิภาณไหวพริบของเด็กสาวผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเลย หลังจากนั้นเจ้ายังได้ยินเรื่องราวหลายอย่างเกี่ยวกับนางจากคำบอกเล่าของใครบางคน จึงยิ่งมีใจใฝ่หาคุณหนูเถิงมากขึ้นไปอีก ต่อมาไม่นานในที่สุดเจ้าก็มีโอกาสได้เข้าใกล้นางจึงลงมือ”

อู่หยวนลั่วยิ้มบางๆ “หญิงสาวงามแช่มช้อย ชายหนุ่มล้วนหมายปอง ลิ่นเฉิงโย่ว เจ้าก็สนใจคุณหนูเถิงเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลัน “ครั้งนั้นตอนอยู่บนเขาหลีซานเจ้าจึงหาข้ออ้างเข้ามาใกล้ชิดคุณหนูเถิง ตกลงเป็นความคิดของเจ้าหรือว่า…”

ทันใดนั้นอู่หยวนลั่วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาใคร่ครวญชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“ตอบข้ามาตามตรงเถอะ”

แม้อู่หยวนลั่วจะมีข้อกังขาในใจเต็มไปหมด แต่ก็ยังตอบคำถามอยู่ดี

ลิ่นเฉิงโย่วนิ่งงัน หากไม่ได้หาข้อพิสูจน์กับคนที่เกี่ยวข้อง ใครก็คงไม่คาดคิดว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้

“ยังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากรู้เช่นกัน จะบอกได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงรักอู่เซียงน้องสาวคนโตมากกว่า”

พอฟังคำอธิบายของอู่หยวนลั่วจบ ในใจลิ่นเฉิงโย่วก็มีคำตอบแล้ว

“เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนช่วงสองสามวันก่อนเทศกาลอวี้ฝอ รวมถึงหลังพี่น้องของเจ้าออกมาจากจวนในคืนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เล่ามาตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”

เหล่าศิษย์เดินออกจากสำนักศึกษา องค์รัชทายาทถวายอารักขาฮองเฮาเสด็จมาถึงสำนักศึกษาพอดี

ระหว่างที่พวกนางทยอยขึ้นรถม้าตามลำดับ องค์รัชทายาทเดิมทีสายตามองตรงไม่ว่อกแว่ก ทว่าพอตู้ถิงหลันเดินมา อยู่ๆ องค์รัชทายาทกลับหันมามองนาง

ถึงจะเป็นการชำเลืองมองเพียงแวบเดียว แต่สายตาแฝงรอยยิ้มที่มองสำรวจนั้นทำให้คนอยากจะมองข้ามก็ทำได้ยากเย็น

เถิงอวี้อี้มองเห็นชัดเจน นางก้มศีรษะเดินขึ้นรถม้าไปกับสหายหลายคน รถม้าคันนี้ราชสำนักสั่งทำเพื่อสำนักศึกษาเซียงเซี่ยงโดยเฉพาะ ภายในกว้างขวางและแข็งแรงกว่ารถม้าทั่วไปมาก

ตอนแรกบรรดาสหายร่วมเรียนไม่ได้พูดอะไร ความผิดปกติขององค์รัชทายาททุกคนต่างสังเกตเห็นชัดเจนถ้วนหน้า ติดขัดว่าตู้ถิงหลันกับเถิงอวี้อี้อยู่ตรงนี้ด้วยจึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างเปิดเผย

ผ่านไปไม่นานหลิ่วซื่อเหนียงก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ท่านอาจารย์ใหญ่หลิวบอกว่าครั้งนั้นบนเขาหลีซานความจริงจะจัดงานล่าสัตว์กับการแข่งจีจวี ปรากฏว่าบนเขากลับมีสิ่งชั่วร้ายบุกมา จำต้องรีบร้อนลงจากเขา ฝ่าบาททรงรู้สึกว่ายังไม่สนุกเต็มที่ ดังนั้นวันนี้จึงเรียกผู้คนมากมายตามเสด็จ ประจวบเหมาะว่าการสอบจื้อจวี่ของราชสำนักใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว เพื่อคัดเลือกบัณฑิตผู้มีความสามารถด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทจึงมีพระราชโองการให้ยอดบัณฑิตที่สอบผ่านวิชาจิ้นซื่อในปีนี้ตามเสด็จด้วย”

“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่หลิวยังบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ปราดเปรื่องทั้งสิ้น ประเดี๋ยวฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้พวกเขาแต่งกลอน แต่ละบทจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ท่านอาจารย์ใหญ่ยังกำชับพวกเราหลายครั้งว่าให้ตั้งใจฟังให้ดี บอกว่าพวกเราอาจจะได้ความรู้เรื่องการแต่งกลอนเพิ่มเติม จริงสิ ถึงตอนนั้นท่านอาจารย์ใหญ่ต้องให้คนมาคัดลอกในงานเลี้ยงทันที พวกเราจะเสนอใครมาทำหน้าที่คนคัดลอกดีเล่า”

เด็กสาวทั้งหลายเอ่ยหยอกล้อ “เติ้งเหวยหลี่ดีหรือไม่ เทียบกันเรื่องความจำใครจะสู้นางได้บ้าง ขนาดเรื่องที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้วยังจำได้อยู่เลย”

เติ้งเหวยหลี่เอียงตัวล้มใส่เถิงอวี้อี้ “พวกเจ้าไปหาคนอื่นเถอะ ข้าความจำดีใช้ได้ แต่ข้าเขียนหนังสือช้ากว่าคนอื่นตั้งมาก” นางพูดแล้วก็ผลักเถิงอวี้อี้ “พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็เคืองนัก เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ ตอนเด็กๆ เจ้าเคยมาฉางอันนะ จนถึงวันนี้ข้ายังจำได้เลยว่าตอนนั้นเจ้า…”

จู่ๆ หลี่ไหวกู้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เอ๊ะ ไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเราจะได้ออกไปเที่ยวกี่วัน”

“ประมาณวันมะรืนก็ได้กลับเข้าเมืองแล้ว” เฉินเอ้อร์เหนียงเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่ข้ารู้สึกกังวลอยู่นะ สำนักศึกษาเปิดเรียนมาสักพักแล้ว ฮองเฮาใส่พระทัยเรื่องบทเรียนของพวกเราถึงเพียงนั้น เพื่อให้พระองค์วางพระทัย ท่านอาจารย์ใหญ่จะต้องทดสอบการทบทวนบทเรียนของศิษย์ทุกคนต่อหน้าธารกำนัลแน่ แต่ไม่รู้ว่าคืนนี้ท่านอาจารย์ใหญ่จะสุ่มเลือกใครน่ะสิ”

“อาอวี้กับเหวยหลี่ไม่ชอบตอบคำถามทั้งคู่” หลิ่วซื่อเหนียงสะกิดเจิ้งซวงอิ๋นเบาๆ “หากข้าเป็นท่านอาจารย์ใหญ่จะต้องเลือกเจ้ามาเชิดหน้าชูตาสำนักศึกษาแน่ เทียบกันเรื่องวิชาความรู้ ในหมู่สหายร่วมเรียนไม่มีใครเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าแล้ว”

“ก็ไม่แน่หรอก” คุณหนูใหญ่เผิงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “อย่าลืมว่ายังมีคุณหนูตู้อีกคน วิชาความรู้ของคุณหนูตู้ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง ยังมีอู่ฉี่ก็ไม่จัดว่าแย่ ช่วงหลายวันมานี้ท่านอาจารย์ใหญ่หลิวเลือกความเรียงบางส่วนของอู่ฉี่ส่งเข้าวังไปเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างอย่าลืมว่าครั้งก่อนตอนอยู่ที่คฤหาสน์เล่อเต้าฮองเฮายังตรัสชื่นชมชื่อ ‘ทั่นหลี’ สองคำนี้ของอู่ฉี่ว่ามีพลังฮึกเหิม”

เจิ้งซวงอิ๋นยังรู้สึกละอายใจต่อสองพี่น้องสกุลอู่เพราะพี่ชายคนโตของนางถอนหมั้นโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่เลย ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ “พวกเจ้าอย่าพูดถึงนางเลย นางวันๆ หดหู่เศร้าหมอง ทุกครั้งเวลาอาจารย์ใหญ่เรียกนางลุกขึ้นตอบคำถามก็เพียงกัดฟันตอบไปเท่านั้น ”

เมื่อมาถึงพระราชนิเวศน์ลี่อวิ๋น เหล่าขันทีกับนางกำนัลก็พาศิษย์จากสำนักศึกษาแยกย้ายกันไปยังห้องพักที่ได้รับการจัดสรรไว้

พอทางนี้เพิ่งเก็บข้าวของเรียบร้อย นางกำนัลก็มาแจ้งว่าอาหารเย็นเตรียมพร้อมแล้ว

ทุกคนรู้แก่ใจดีว่าคืนนี้ไม่มีทางเป็นงานเลี้ยงมื้อค่ำธรรมดาๆ ไปคราวนี้ไม่รู้จะเป็นหายนะหรือโชควาสนา ตอนออกเดินทางจึงหวาดวิตกอยู่บ้าง

เมื่อมาถึงตำหนักหย่งจยาสถานที่จัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้แล้ว ทุกคนต่างก็ตกตะลึงในความใหญ่โตโอ่อ่าของพระตำหนักนั้นจนทำให้คนวิงเวียนตาลายไปเล็กน้อย

หน้าตำหนักจุดเปลวไฟลุกโชติช่วง ภายในห้องโถงใหญ่แบ่งเป็นที่นั่งฝั่งบุรุษและที่นั่งฝั่งสตรี โชคดีว่าขณะกินอาหารฮ่องเต้กับฮองเฮาไม่ได้ตรัสถามอะไร ศิษย์สำนักศึกษาจึงพ้นด่านเคราะห์ไปได้ หลังกินอาหารเสร็จอย่างตัวสั่นงันงกก็มีขันทีกับนางกำนัลนำทางมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ชมการแสดงศิลปะของนักแสดงจากต่างแคว้นเช่นแคว้นอวี๋เถียน

ครั้งนี้ที่นั่งฝั่งบุรุษกับที่นั่งฝั่งสตรีใกล้กันมากกว่าเดิม

เถิงอวี้อี้เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นที่นั่งฝั่งบุรุษตรงข้ามกันได้แล้ว ประเดี๋ยวหนึ่งลิ่นเฉิงโย่วกับองค์รัชทายาทก็เดินคุยหยอกล้อกันเข้ามา เนื่องจากฮ่องเต้กับฮองเฮาไม่ได้ประทับอยู่ด้วย บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย

นายหญิงตราตั้งหลายคนซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งแขกคนสำคัญกำลังคุยเล่นกับอาจารย์ใหญ่หลิว อาจารย์ใหญ่หลิวคุยไปก็เหลียวมองลูกศิษย์ไป ก่อนลดเสียงลงเอ่ยว่า “คุณหนูเจิ้ง คุณหนูเติ้ง คุณหนูรองอู่ คุณหนูตู้ ล้วนเป็นเด็กที่มีภูมิความรู้ไม่เลวเลย…”

นางยังกล่าวไม่จบประโยค อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น ที่แท้มีคนโดนสุราหกรดชายกระโปรงอย่างไม่ทันตั้งตัว

เป็นคุณหนูรองเผิงนั่นเอง เถิงอวี้อี้มองตามทิศทางที่คุณหนูรองเผิงเพิ่งจดจ้องไปถึงพบว่าฉุนอันจวิ้นอ๋องมาถึงแล้ว

คุณหนูใหญ่เผิงหวั่นเกรงว่าจะเสียมารยาท จึงกล่าวตำหนิน้องสาวเบาๆ ด้วยความตกใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังตัวเช่นนี้”

คุณหนูรองเผิงมองจอกสุราในมือตนเองอย่างงุนงง “ข้าก็ไม่รู้…”

คุณหนูใหญ่เผิงกลัวว่าจะมีคนมองออกว่าน้องสาวคิดอะไรอยู่ จึงรีบกระซิบสั่งว่า “ฉวยโอกาสที่งานชุมนุมกวียังไม่เริ่ม รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย”

คุณหนูรองเผิงพาสาวใช้เดินออกไปจากงานด้วยความอับอาย

ทางฝั่งนายหญิงตราตั้งหลายคนไล่ถามชื่อศิษย์ไปทีละคน ไม่นานก็ถามมาถึงตู้ถิงหลัน “ข้าจำเด็กผู้นี้ได้ นางคือบุตรสาวของตู้อวี้จือ”

อาจารย์ใหญ่หลิวมองตู้ถิงหลันอย่างชื่นชม “เด็กผู้นี้นิสัยสุภาพอ่อนโยน ความเรียงก็เขียนได้ไม่เลว”

บรรดาฮูหยินดูเหมือนจะเริ่มสนใจขึ้นมา “ปีนี้คุณหนูตู้อายุเท่าไรแล้ว”

ทว่าในตอนนี้เองสาวใช้ข้างกายคุณหนูรองเผิงเดินชนกับคนผู้หนึ่งเข้า คนผู้นั้นสวมหมวกผ้าชุดคลุมยาว ท่าทางคล้ายจะมาร่วมงานเลี้ยง

คนที่นั่งอยู่ทางฝั่งบุรุษยิ้มพลางเอ่ยว่า “บัณฑิตหลูมาถึงแล้ว”

เด็กสาวทั้งหลายพอได้ยินว่าเป็นจ้วงหยวน ของปีนี้ต่างก็อดเหลียวมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ในบรรดาเด็กสาวเหล่านี้มีเพียงเจิ้งซวงอิ๋นกับตู้ถิงหลันที่สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง

“ได้ยินว่าเวลานี้ในฉางอันมีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยมีใจให้บัณฑิตหลู พวกท่านดูสิ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาเขียนความเรียงได้ดีเยี่ยม เพียงรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ก็โดดเด่นพอแล้ว”

“บัณฑิตหลู เมื่อสักครู่เจ้าออกจากงานเลี้ยงไปนานเพียงนั้น คงไม่ได้มีเด็กสาวคนใดขวางเจ้าไว้เพื่อมอบกระดาษคัดบทกวีให้อีกกระมัง”

หลูจ้าวอันไม่เอ่ยตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ขณะกำลังง่วนอยู่กับการประสานมือคารวะตอบ ไม่ระวังจึงถูกสาวใช้ของคุณหนูรองเผิงชนเข้าจนของสิ่งหนึ่งร่วงหล่นจากแขนเสื้อ ของสิ่งนั้นเผยโฉมให้เห็นชัดเจนใต้แสงเทียนสว่างเรืองรอง เป็นกระดาษคัดบทกวีม้วนหนึ่ง

คุณหนูรองเผิงนิ่งอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของนาง สหายร่วมเรียนหลายคนก็ก้มมองกระดาษคัดบทกวีบนพื้นอย่างสงสัย

มีคนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “นั่นไม่ใช่กระดาษเขียนหนังสือที่สำนักศึกษาของพวกเราแจกจ่ายให้ใช้เหมือนๆ กันหรือ”

นับตั้งแต่เข้าเรียนวันแรกเป็นต้นมาอาจารย์ใหญ่หลิวก็ไม่อนุญาตให้บรรดาศิษย์ใช้กระดาษเขียวเหลือบทองหรือกระดาษดอกท้อที่นำมาจากจวนอีก แต่อนุญาตให้ใช้กระดาษกับหมึกของสำนักศึกษาเท่านั้น

ในที่นั่งฝั่งบุรุษมีพวกชอบก้าวก่ายเรื่องชาวบ้านชะเง้อคอยาวมองไปข้างหน้า “เอ๋? ลายมือบรรจงงดงามนัก ลงชื่อว่าตู้…”

ทุกคนต่างตะลึงงัน เพราะชื่อลงท้ายด้านล่างของกระดาษเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ตู้ถิงหลัน’ สามคำนี้

องค์รัชทายาทเห็นดังนั้นก็เหลือบมองไปทางคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉยชา

สหายร่วมเรียนในสำนักศึกษามึนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทยอยส่งสายตาประหลาดใจไปหาตู้ถิงหลัน

หลูจ้าวอันรีบร้อนจะเก็บกระดาษคัดบทกวีเข้าในอกเสื้อ กลับมีคนชิงนำหน้าไปก้าวหนึ่ง เก็บกระดาษม้วนนั้นบนพื้นขึ้นก่อน

“บนโลกมีเรื่องบังเอิญปานนี้ได้อย่างไรกัน เมื่อวานซืนมีคนร้องทุกข์ว่าทำของหาย คืนนี้หัวขโมยก็เอามาคืนถึงที่ด้วยตนเองเสียแล้ว”

หลูจ้าวอันพลันเงยหน้า รอยยิ้มแข็งค้างไปโดยไม่รู้ตัว

ลิ่นเฉิงโย่วส่งยิ้มให้เขา “บัณฑิตหลู มาทักทายท่านอาจารย์ตาของข้าสักหน่อยแล้วกัน”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขาก็มีขันทีประกาศก้อง “ฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จแล้ว” และยังประกาศต่อ “ท่านนักพรตชิงซวีจื่อมาถึงแล้ว”

ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นฮ่องเต้ที่ทรงประคองนักพรตชิงซวีจื่อเข้ามาด้วยพระองค์เองพอดี

 

* ศิษย์นอกสำนัก ในที่นี้หมายถึงศิษย์ของนักพรตที่พักอาศัยในบ้านตนเอง ไม่ได้โกนหัวบวชและอาศัยอยู่ในอาราม

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: