X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 106

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 106

ทุกคนในงานเลี้ยงทยอยหมอบกราบและโขกศีรษะ

องค์รัชทายาทลุกออกจากที่นั่งไปต้อนรับพระบิดาและพระมารดา

หลูจ้าวอันก้มกราบจรดพื้น ใบหน้าซีดเผือดดุจกระดาษทองไปนานแล้ว

ฮ่องเต้ตรัสว่า “ลุกขึ้นได้” แล้วประคองนักพรตชิงซวีจื่อไปยังที่นั่งตำแหน่งประธาน พอประทับนั่งแล้วก็ตรัสถามลิ่นเฉิงโย่วด้วยสุรเสียงนุ่มนวล “ได้ยินว่ามีขโมยอาละวาด ตกลงว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”

นักพรตชิงซวีจื่อปรายตามองหลูจ้าวอันด้วยแววตาแฝงความหมายลึกซึ้ง

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มแย้มกราบทูล “เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ยาวนัก ทรงโปรดอนุญาตให้หลานทูลรายงานอย่างละเอียดด้วยเถิด”

ฮ่องเต้กับฮองเฮาแย้มพระสรวลแล้วทอดพระเนตรมองกันและกัน “คืนนี้บรรยากาศสนุกครึกครื้นอย่างหาได้ยาก คิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องเล่าให้ฟังอีก เยี่ยมมาก ฟังเรื่องนี้จบแล้วค่อยฟังคนหนุ่มอย่างพวกเจ้าประชันกลอนกันก็ไม่สาย”

ลิ่นเฉิงโย่วจึงเอ่ยปาก “เรื่องนี้คงต้องเริ่มเล่าจากวันเทศกาลตวนอู่ ในวันเทศกาลตวนอู่นั้นท่านตู้แห่งสำนักการศึกษามาร้องทุกข์ถึงศาลต้าหลี่ กล่าวว่าคืนก่อนคุณหนูตู้บุตรสาวของตนทำของบางอย่างหายในสำนักศึกษา จึงฝากให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด ผู้รับผิดชอบทำคดีนี้คือหัวหน้าของหม่อมฉันเองพ่ะย่ะค่ะ…เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน เหยียนว่านชุน” พอเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมาก็หันไปยังมุมที่ไม่สะดุดสายตามุมหนึ่งของที่นั่งในงานเลี้ยง “เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน รบกวนท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ในขณะนั้นด้วย”

มีคนขานรับแล้วยืนขึ้นมา เป็นเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนนั่นเอง

ในวันนี้มีขุนนางหนุ่มจำนวนไม่น้อยตามคุ้มกันขบวนเสด็จมาด้วย เหยียนว่านชุนเป็นหนึ่งในบรรดาขุนนางเหล่านั้น เขาแฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนโดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักนิด

“เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เหยียนว่านชุนเอ่ย “เมื่อวานนี้ท่านตู้มาร้องทุกข์ว่าบุตรสาวทำกระดาษคัดบทกวีหายสองแผ่นในสำนักศึกษา ผู้รับผิดชอบเขียนคำร้องคดีนี้บังเอิญว่าเป็นกระหม่อมผู้แซ่เหยียน”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตอบรับ “ตอนท่านตู้มาร้องทุกข์ได้บอกหรือไม่ว่าคุณหนูตู้ทำกระดาษคัดบทกวีบทใดหายไป”

เหยียนว่านชุนตอบโดยไม่ลังเล “บทหนึ่งคือ ‘ลำนำแคว้นเป้ย บทพญาไก่ฟ้า’ จาก ‘คัมภีร์กวี’ ส่วนอีกบทหนึ่งคือ ‘โคลงจักจั่น’ ”

บริเวณที่นั่งแขกเหรื่อเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย เนื่องจากทุกคนมองเห็นเต็มสองตาว่าม้วนกระดาษคัดบทกวีที่หล่นออกมาจากแขนเสื้อหลูจ้าวอัน กลอนแผ่นที่อยู่ด้านบนสุดก็คือ ‘โคลงจักจั่น’ ที่มีชื่อของคุณหนูตู้เขียนกำกับไว้

เพื่อให้ทุกคนมองเห็นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ลิ่นเฉิงโย่วจึงจงใจให้ขันทีชูกระดาษคัดบทกวีขึ้นสูง จนกระทั่งทุกคนมองเห็นกันถ้วนทั่วพอสมควรแล้วถึงได้สั่งคนให้นำไปถวายแด่ฮ่องเต้กับฮองเฮา

เขายิ้มแย้มพลางว่า “หัวขโมยผู้นี้ระวังรอบคอบเหลือเกิน ไม่ขโมยเครื่องประดับของล้ำค่า แล้วก็ไม่ขโมยของใช้ส่วนตัวชิ้นเล็กๆ เพราะนางรู้ดีว่าของเหล่านี้คุณหนูตู้จะหยิบมาใช้ทุกวัน หากมีชิ้นใดหายไปจะรู้ตัวในทันที กระดาษคัดบทกวีกลับแตกต่างออกไป จากคำบอกเล่าของท่านตู้ แต่ละวันคุณหนูตู้จะคัดลอกพระสูตรกับบทกลอน พอเขียนเสร็จแล้วก็วางทิ้งไว้บนโต๊ะหนังสือ เคยเขียนไปทั้งหมดกี่บทตัวนางเองใช่ว่าจะจำได้ หรือต่อให้จำได้ก็ไม่มีทางมาตรวจสอบนับจำนวนทุกวัน กว่าคุณหนูตู้จะสังเกตเห็นว่ามีกระดาษคัดบทกวีหายไป ทางนี้ก็วางกลอุบายไปเรียบร้อย ถึงตอนนั้นทั้งที่คุณหนูตู้รู้แก่ใจดีว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งลับหลังก็ไม่อาจแก้ต่างได้แล้ว

มาถึงคืนนี้หัวขโมยรู้สึกว่าเวลาสุกงอมดีแล้ว จึงตั้งใจเลือกโอกาสที่มีผู้คนมากมายและแสงไฟสว่างจ้าแสร้งทำเป็นไม่ระวังเผลอทำกระดาษคัดบทกวีร่วงลงต่อหน้าทุกคน ขอเพียงใครก็ตามที่อยู่ในงานเลี้ยงมองเห็นกระดาษสองแผ่นนั้นก็พากันนึกว่าคุณหนูตู้เป็นคนมอบให้ อย่างนี้แล้วก็จะใส่ความว่าคุณหนูตู้กับเขาแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน” ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มกว้าง “บัณฑิตหลู ข้าพูดถูกต้องใช่หรือไม่”

บรรดาศิษย์สำนักเซียงเซี่ยงเข้าใจความนัยคดเคี้ยวที่แฝงอยู่แล้ว ต่างจ้องมองหลูจ้าวอันด้วยสายตาโกรธเคือง คนผู้นี้ลงมือได้อำมหิตยิ่ง ถึงขั้นกล้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้มาลอบทำร้ายสหายของพวกนาง

ตอนแรกหลูจ้าวอันตกตะลึง จากนั้นก็ปฏิเสธเสียงหลงทันทีว่า “เกรงว่าซื่อจื่อคงเข้าใจผิดแน่ ข้าผู้แซ่หลูไม่เคยเห็นกระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนี้มาก่อน ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนเดินเข้ามาข้าผู้แซ่หลูถูกคนผู้หนึ่งชนเข้า เป็นไปได้หรือไม่ว่าในตอนนั้นจะโดนเล่นเล่ห์ใส่ร้ายแล้ว”

บรรยากาศเงียบสงัดลงฉับพลัน ทุกคนต่างเบนสายตามายังคุณหนูรองเผิงกับสาวใช้ข้างกายของนาง จะว่าไปก็บังเอิญเสียจริง หากมิใช่เพราะสาวใช้ข้างกายคุณหนูรองเผิงชนเข้ากับหลูจ้าวอัน กระดาษคัดบทกวีเหล่านั้นคงไม่ร่วงหล่นลงมาต่อหน้าทุกคน

หลูจ้าวอันคล้ายว่ามีท่าทีโกรธแค้น คุกเข่าลงต่อเบื้องพระพักตร์ด้วยใบหน้าซีดขาว “ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมผู้แซ่หลูขอบังอาจแก้ต่างให้ตนเองสักคำพ่ะย่ะค่ะ”

ตึงๆๆ

เขาโขกศีรษะอยู่สามครั้ง สองมือก็วางราบไปกับพื้นแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมผู้แซ่หลูแม้จะถือกำเนิดในครอบครัวที่ยากจน ทว่าประเสริฐนักหนาที่ได้เกิดในแผ่นดินของกษัตริย์ผู้ทรงเมตตาและยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อฝ่าบาททรงคัดเลือกผู้มีความสามารถ ‘แสวงหาผู้เลิศล้ำพรั่งพร้อมคุณธรรม มิเคยมองข้ามผู้มีฐานะต่ำต้อย’ พอเข้าร่วมการสอบขุนนาง กระหม่อมผู้แซ่หลูโชคดีอย่างไม่คาดคิดที่ได้เป็นศิษย์แห่งโอรสสวรรค์* ตั้งแต่สอบไล่ได้เป็นที่หนึ่ง กระหม่อมผู้แซ่หลูเป็นกังวลเหลือเกินว่าจะผิดต่อพระมหากรุณาธิคุณ จึงมุมานะบากบั่นไม่เคยย่อหย่อน ไม่กล้าประมาทหลงเดินทางผิด แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดระยะนี้มักมีคนใส่ร้ายป้ายสีความประพฤติของกระหม่อมผู้แซ่หลูลับหลังบ่อยครั้ง ในค่ำคืนนี้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมาก็ยิ่งเหยียบย่ำซ้ำเติมให้ตกอยู่ในสภาพเลวร้ายลงไปอีก กระหม่อมผู้แซ่หลูกล้ายืนยันว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นกระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนี้เลย เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในแอบแฝง ขอให้ฝ่าบาททรงสอบสวนหาข้อเท็จจริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เขากล่าววาจาฉะฉานทรงพลัง ผู้คนซึ่งเคยมองเขาด้วยสายตาโกรธแค้นเหล่านั้นหลังฟังคำอธิบายยาวเหยียดเหล่านี้ก็อดลังเลขึ้นมาไม่ได้ หลูจ้าวอันพรสวรรค์เชิงอักษรเลิศล้ำเกินใครในฉางอัน อีกทั้งปีนี้ยังสอบจิ้นซื่อได้เป็นอันดับหนึ่ง หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คนผู้นี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะแสดงความสามารถโดดเด่นในการสอบจื้อจวี่ของราชสำนักถัดจากนี้แน่

หากว่ามีคนริษยาหลูจ้าวอัน หรืออาจจะมีคนที่ไม่อยากให้ราชสำนักเลือกคนเก่งเช่นเขา เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนเจตนาใส่ร้ายเขา และสาวใช้สกุลเผิงคนที่ชนหลูจ้าวอันนั้นก็น่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

คุณหนูรองเผิงสัมผัสได้ถึงสายตาพุ่งตรงมาจากทุกทิศทุกทาง นางโกรธจัดใบหน้าแดงก่ำ ยกมือขึ้นชี้ไปที่หลูจ้าวอันอย่างเดือดดาล “เจ้าพูดเหลวไหล! กระดาษคัดบทกวีพวกนี้ร่วงมาจากแขนเสื้อแท้ๆ อย่าคิดจะใส่ร้ายคนอื่น”

หลูจ้าวอันน้ำเสียงก้องกังวาน “ข้าผู้แซ่หลูไม่กล้าพูดพร่ำเพ้อเจ้อ แต่ก่อนจะเข้ามาในงานเลี้ยงในตัวข้าไม่ได้มีกระดาษคัดบทกวีสองแผ่นเพิ่มขึ้นมาเลย”

เลือดลมทั่วร่างคุณหนูรองเผิงแล่นริ้วขึ้นมาถึงในอก ทว่าเพราะอายุยังน้อยเกินไป ยามอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ฮองเฮาและต่อหน้าเหล่าขุนนางกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

คุณหนูใหญ่เผิงนั่งอยู่ในที่ของตนเอง รู้สึกทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว พอเห็นว่าชั่วพริบตาเดียวน้องสาวก็ถูกหลูจ้าวอันปั่นหัวจนตกหลุมพราง ขณะกำลังจะลุกขึ้นแก้ต่างให้น้องสาวกลับมีคนชิงลุกขึ้นมาจากที่นั่งก่อนนาง “ฮองเฮาทรงพิจารณาด้วยเพคะ เมื่อครู่คุณหนูรองเผิงตอนแรกยังนั่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงลุกออกจากงานเลี้ยงกะทันหัน คิดว่าจะต้องมีนัยบางอย่างแน่”

นางก็คือนางข้าหลวงไป๋ หนึ่งในสี่นางข้าหลวงของสำนักศึกษา

คุณหนูใหญ่เผิงจึงรีบร้อนคุกเข่าถวายบังคมฮองเฮาตาม “ทูลฮองเฮา น้องสาวหม่อมฉันอยู่ๆ ก็ถูกคนชนจนน้ำหกรดมุมกระโปรงเปียกชุ่ม จึงต้องลุกออกจากงานไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนเกิดเรื่องไม่รู้เลยว่าจะต้องพบเจอผู้ใด ถูกใครชนเข้ายิ่งเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมโยนความผิดให้ หากหม่อมฉันจำไม่ผิด เพราะมีคนมาชนแขนน้องสาว นางถึงได้ทำสุราหกเพคะ”

สาวใช้ผู้นั้นทรุดฮวบลงกับพื้นดั่งโคลนเหลวไปนานแล้ว ก่อนจะเอ่ยปากทั้งที่ตัวสั่นงันงกว่า “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ…” จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันขวับมองไปยังที่นั่งในงานเลี้ยง “ข้าน้อยนึกออกแล้ว เพราะ…เพราะมีคุณหนูผู้หนึ่งไม่ทันระวังมาชนครั้งหนึ่ง ข้าน้อยไม่ได้ยืนทรงตัวให้ดีถึงได้พลาดท่าชนแขนคุณหนูรองเผิงเจ้าค่ะ”

สาวใช้เอ่ยประโยคนี้พลางกวาดสายตามองหาสะเปะสะปะไร้จุดหมาย จนมองไปเห็นคนผู้หนึ่ง สายตาพลันชะงักค้าง

“เป็นนาง” สาวใช้กลืนน้ำลายอย่างตื่นตะลึง “ข้าน้อยนึกออกแล้ว เป็นคุณหนูรองอู่มาชนข้าน้อยเจ้าค่ะ”

อู่ฉี่มีสีหน้าตกใจยิ่งกว่าสาวใช้ผู้นี้เสียอีก นางเผยอปากเอ่ยถามอย่างอึ้งๆ “ข้าน่ะหรือ”

สาวใช้พยักหน้ารับอย่างประหม่า “ข้าน้อยไม่ได้จำผิด เป็นท่าน คุณหนูรองอู่”

สายตาสหายร่วมเรียนทั้งหลายมองตรงไปอย่างพร้อมเพรียง

สาวใช้เนื้อตัวสั่นเทา “ตอนนั้นท่านกำลังโยนก้อนกระดาษเล่นกับคนอื่น แต่อยู่ๆ กลับมาชนข้าน้อยอย่างแรงเลยเจ้าค่ะ”

สหายร่วมเรียนเริ่มแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างเงียบๆ

เรื่องนี้ทุกคนล้วนจำได้ หลังจากเดินเข้ามานั่งในงานเลี้ยง เนื่องจากฮ่องเต้กับฮองเฮายังไม่ปรากฏพระองค์เสียที ท่านอาจารย์ใหญ่ก็เอาแต่สนใจพูดคุยกับนายหญิงตราตั้งหลายคนตรงที่นั่งด้านบน พวกนางหลายคนนิสัยร่าเริงสดใส ก็อดใจไม่อยู่แอบเล่นกันเงียบๆ ขึ้นมา อู่ฉี่เล่นอย่างสนุกสนานเป็นที่สุด ประจวบเหมาะว่านั่งอยู่ข้างคุณหนูรองเผิงนี่เอง

อู่ฉี่มึนงงไปชั่วขณะ นางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “นี่…นี่มันปรักปรำกันแท้ๆ ก่อนหน้านี้ข้ากับคุณหนูเติ้งเอาก้อนกระดาษมาเล่นสนุกกันอยู่ก็จริง ข้ากลับจำไม่ได้เลยว่าเคยชนเจ้าด้วย”

เติ้งเหวยหลี่เบื้อใบ้ไปครู่หนึ่ง อยากจะแก้ต่างให้ตนเอง แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริง ทว่านางยิ่งครุ่นคิดยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แววตาที่พินิจมองอู่ฉี่อีกครั้งจึงซับซ้อนขึ้นไม่น้อย

สาวใช้ผู้นั้นร้อนใจจนขอบตาแดงก่ำ นางเงยหน้ามองคุณหนูรองเผิงพลางเอ่ยว่า “คุณหนู คนอื่นไม่เชื่อ แต่ท่านต้องเชื่อข้าน้อยนะเจ้าคะ ข้าน้อยถูกคุณหนูรองอู่ชนเข้าถึงได้เสียหลักมาชนแขนท่าน”

อู่ฉี่เบิกตากว้างทันใด “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ข้า…เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยสักนิดเล่า ที่สำคัญระหว่างข้ากับคุณหนูรองเผิงมีสาวใช้ผู้นี้ยืนคั่นกลางอยู่ ต่อให้เผลอไปชนเข้า คุณหนูรองเผิงจะพลาดทำสุราหกได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นเจ้าลองทบทวนดูให้ดีอีกสักหน่อยหรือไม่”

ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้คือเรื่องที่สกุลเผิงทำอย่าได้โยนใส่ศีรษะนาง

ทุกคนยิ่งฟังยิ่งเลอะเลือนกันไปใหญ่

คุณหนูใหญ่เผิงกับคุณหนูรองเผิงถลึงตามองอู่ฉี่อย่างเคียดแค้น ยิ่งซักไซ้ลงลึกไปเท่าไร คนที่โดนลากเข้ามาพัวพันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เอะอะโวยวายจนท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องคลุมเครือแน่ เลวร้ายที่สุดคืออาศัยเพียงคำให้การของสาวใช้บ้านตนเองไม่มีทางพิสูจน์ได้เลยว่าจอกสุรามีคนจงใจมาชนให้หก

ในช่วงเวลาที่กำลังวุ่นวายนี้มีคนปรบมือเสียงดังขึ้นมา “เยี่ยมๆๆ มิน่าเล่าถึงสามารถวางกลอุบายแยบยลไร้รอยตะเข็บปานนี้ได้ เพราะอาศัยทักษะการพูดพล่ามไปเรื่อยนี่เอง เพียงพอให้หลอกใครหลายคนได้แล้ว”

คนที่เอ่ยปากขึ้นมาก็คือลิ่นเฉิงโย่ว

ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว

ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ยิ้มเอ่ยต่อ “ไม่ต้องพูดถึงว่ากระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนี้อยู่ในมือหลูจ้าวอันตอนใด เอาเป็นว่าเริ่มจากภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ ใช่แล้ว ในงานเลี้ยงเสียงดังเอะอะน่าดู เพราะสาเหตุนี้คนผู้นั้นถึงได้กล้าบิดเบือนข้อเท็จจริง บังเอิญว่าศาลต้าหลี่มีเป้าหมายน่าสงสัยอยู่แต่แรก ดังนั้นทุกการกระทำความเคลื่อนไหวของคนบางส่วนจึงเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน รบกวนท่านเล่าให้ฟังสักหน่อยว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”

เหยียนว่านชุนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “หลังข้าผู้แซ่เหยียนเข้าสู่งานเลี้ยงก็จับตาดูผู้ต้องสงสัยรายนั้นมาตลอด ตอนเกิดเรื่องในมือคุณหนูเผิงถือจอกสุราอยู่ มีสาวใช้ยืนรอปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ตอนคุณหนูเผิงยกจอกสุราขึ้นมาดื่มนั้นมีแผ่นหลังของใครคนหนึ่งกระแทกร่างสาวใช้อย่างแรง สุราจึงหกออกมาเพราะสาวใช้ไปชนคุณหนูเผิง แต่เพราะจวิ้นอ๋องมาถึงแล้ว คนที่อยู่ในงานต่างยุ่งอยู่กับการลุกขึ้นคารวะ เมื่อเกิดความวุ่นวายคุณหนูเผิงกับสาวใช้จึงไม่สนใจซักถามเรื่องนี้อีก หลังจากนั้นคุณหนูเผิงก็รีบร้อนลุกจากงานเลี้ยงไปจัดการเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย สาวใช้ประคองคุณหนูเผิงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะคำนวณเวลาเอาไว้อย่างแม่นยำเหลือเกิน ถึงแม้ภายหลังจะมีการซักไซ้เอาคำตอบก็เป็นเพียงเรื่องคลุมเครือไปเรียบร้อย โชคดีที่ข้าผู้แซ่เหยียนมองเห็นชัดเจนทีเดียว คนที่ชนกับสาวใช้สกุลเผิงในตอนนั้น…” เขามองไปทางอู่ฉี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม “ก็คือคุณหนูอู่”

อู่ฉี่สีหน้าฉายแววงุนงงเต็มเปี่ยม

เหยียนว่านชุนกล่าวต่อ “เพราะว่าถูกท่านชนเข้าเช่นนี้ คุณหนูรองเผิงกับสาวใช้จึงจำต้องลุกออกไป ตอนสาวใช้เดินไปนั้นยังชนเข้ากับหลูจ้าวอันที่เร่งเดินทางมาถึงงานเลี้ยง จะประจวบเหมาะอะไรปานนี้ หลูจ้าวอันก็ทำกระดาษคัดบทกวีพวกนั้นร่วงหล่นต่อหน้าทุกคนพอดี…”

คุณหนูใหญ่เผิงกับคุณหนูรองเผิงคาดไม่ถึงว่าจะมีคนเป็นพยานตอนเกิดเรื่องได้ อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นถึงขุนนางศาลต้าหลี่ จึงเบื้อใบ้ไปชั่วขณะ

ลิ่นเฉิงโย่วมองหน้าอู่ฉี่ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงใช่หรือไม่ เป็นเจ้านั่นล่ะที่ชน ไม่ใช่ใครอื่น เรื่องนี้จะไปกล่าวโทษคนรอบข้างไม่ได้”

อู่ฉี่พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ก่อนยิ้มเจื่อนๆ อย่างจนปัญญา “ขออภัยด้วย ต้องโทษที่ข้าความจำไม่ค่อยดี หรือบางทีคงเล่นสนุกสาแก่ใจเกินไป ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองไปชนใครเข้า คุณหนูรองเผิง เมื่อครู่ข้าก็สับสนไปหมด อารามรีบร้อนจึงไม่ได้สังเกตให้ดี ข้าขออภัยเจ้าด้วยแล้วกันนะ”

คุณหนูรองเผิงมีท่าทีเย็นชาไม่ตอบคำ คนรอบข้างกลับเชื่อถือคำพูดของอู่ฉี่ไปมากกว่าครึ่ง อย่างไรเสียคำให้การของเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนก็พิสูจน์ได้เพียงว่าอู่ฉี่เคยชนสาวใช้สกุลเผิงจริง แต่ไม่อาจตัดสินได้ว่าอู่ฉี่เจตนาหรือไม่ได้เจตนา

จะว่าไปเวลาเล่นสนุกอย่างมีความสุข ใครจะมาสนว่าตนเองไปชนใครเข้า ฉะนั้นสายตาโกรธแค้นของนางจึงไปพุ่งตรงไปยังหลูจ้าวอันอีกครั้ง หากมิใช่เพราะคนผู้นี้จงใจพูดจาบ่ายเบี่ยง เผิงจิ่นซิ่วกับอู่ฉี่จะถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ได้อย่างไร

ลิ่นเฉิงโย่วพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “คุณหนูอู่ความจำไม่ค่อยดี เรื่องนี้ก็ไม่อาจตำหนิอะไรได้ แต่ว่าเมื่อมีคำให้การของเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียน อย่างน้อยก็สามารถอธิบายได้ว่าคุณหนูรองเผิงไม่ได้มีเจตนาจะออกจากงานเลี้ยง คนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยสักนิดจะยัดกระดาษคัดบทกวีใส่ในมือบัณฑิตหลูได้อย่างไร บัณฑิตหลู เจ้ายังยืนกรานว่าสาวใช้สกุลเผิงยัดกระดาษคัดบทกวีใส่แขนเสื้อเจ้าอีกหรือไม่”

หลูจ้าวอันยืดหลังตรง ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “กระหม่อมผู้แซ่หลูไม่เคยบอกว่าเป็นฝีมือของสาวใช้ผู้นั้นมาตั้งแต่ต้น ส่วนเรื่องที่ว่ากระหม่อมไม่เคยเห็นกระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนี้มาก่อนเป็นความจริง บางทีอาจมีคนฉวยโอกาสตอนกำลังวุ่นวายมายัดใส่แขนเสื้อกระหม่อมก็เป็นได้ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่วราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าหลูจ้าวอันจะกล่าวเช่นนี้ “ได้ เจ้าไม่เคยเห็นกระดาษคัดบทกวีสองแผ่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะเคยเห็นหน้านาง” เขากล่าวพลางกวักมือเรียก “พาเข้ามาเถอะ”

เหล่าองครักษ์จินอู๋ควบคุมตัวยายเฒ่าสวมชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบผู้หนึ่งเข้ามา ยายเฒ่าถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา และมีเศษผ้าอุดปากเอาไว้ด้วย

ด้านหลังยายเฒ่ามีชาวบ้านธรรมดาเดินตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง

ถัดไปอีกเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่ ในมือเจ้าหน้าที่ยกหีบใส่ของมาด้วยหลายใบ ไม่รู้ว่าภายในหีบเก็บสิ่งใดเอาไว้

ลิ่นเฉิงโย่วชี้ไปทางยายเฒ่าพร้อมถามหลูจ้าวอันว่า “เจ้ารู้จักนางหรือไม่”

หลูจ้าวอันส่ายหน้าอย่างเฉยชา “ไม่รู้จัก”

ลิ่นเฉิงโย่วมองชาวบ้านหลายคนทางซ้ายมือ “เขาบอกว่าไม่รู้จักยายเฒ่าผู้นี้ พวกเจ้าเป็นเพื่อนบ้านของคุณชายหลู อย่างนั้นช่วยเตือนความจำคุณชายหลูสักหน่อยเป็นไร”

ชาวบ้านเหล่านั้นหมอบกราบจรดพื้นไม่กล้าเงยหน้า แต่กลับเอ่ยตอบว่า “คุณชายหลู ท่านจะไม่รู้จักนางได้อย่างไร นี่คือยายเฒ่าหวังที่ขายโจ๊กหวาน คนที่มาขายโจ๊กหวานในตรอกของพวกเราบ่อยๆ อย่างไรเล่า ทุกครั้งเวลายายเฒ่าหวังมาถึงท่านจะต้องออกมาซื้อโจ๊กชามหนึ่ง จำได้ว่าเมื่อวานซืนท่านยังซื้อโจ๊กอยู่เลย”

หลูจ้าวอันแสดงท่าทีจดจำได้โดยพลัน “อ้อ ที่แท้ก็ยายเฒ่าหวัง ขออภัยที่ข้าสายตาเลอะเลือน เห็นนางถูกมัดไว้เช่นนี้จึงจำไม่ได้ ซื่อจื่อ นี่เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือ…”

ลิ่นเฉิงโย่วกลับเอ่ยตัดบท “เอาล่ะ ทางฝั่งคุณชายหลูยืนยันเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ได้เวลายืนยันอีกคนแล้ว” เขากล่าวพร้อมมองไปที่ชาวบ้านหลายคนทางขวามือ เห็นพวกเขาตัวสั่นงันงก จึงย่อตัวลงเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัว ประเดี๋ยวพวกเจ้าจะต้องยืนยันตัวคนผู้หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาพูดคุยกันดีๆ เถอะ”

ชาวบ้านเช็ดเหงื่อเย็นเยียบ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา

“พวกเจ้าอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับถนนหย่งอันในหลี่เฉวียนฟางใช่หรือไม่”

พวกเขาพยักหน้าอย่างเชื่องช้า

“เคยเห็นยายเฒ่าผู้นี้หรือไม่”

“เคยเห็นขอรับ นางจะมาขายโจ๊กหวานในตรอกของพวกเราเป็นประจำ”

“เงยหน้าขึ้นมาเพ่งมองให้ละเอียด ทางนั้นมีคนที่พวกเจ้าคุ้นตาบ้างหรือไม่”

ชาวบ้านเหล่านี้มองไปข้างหน้าตามทิศทางที่ลิ่นเฉิงโย่วชี้บอก ไม่นานก็ยืนยันตัวคนผู้หนึ่งได้ “มีขอรับ นางชื่อเจี่ยวเอ๋อร์”

“เหตุใดถึงจำนางได้เล่า”

“นางออกมาซื้อของเป็นประจำ ของที่ซื้อมากที่สุดคือโจ๊กหวานนี่ล่ะ”

“นางคือสาวใช้ของใคร”

“คุณ…คุณหนูรองอู่”

“วันเทศกาลตวนอู่เจี่ยวเอ๋อร์ออกมาซื้อโจ๊กหวานหรือไม่”

หลายคนพยักหน้าอีกครั้ง “มาซื้อขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงอุทานแล้วถามว่า “จำได้แม่นยำถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“เพราะโจ๊กหวานของยายเฒ่าหวังไม่ได้รสชาติดีอะไร มิหนำซ้ำนางเป็นถึงสาวใช้ของคุณหนูบุตรสาวขุนนางใหญ่ เทศกาลตวนอู่ในจวนมีของอร่อยถมเถไป ตามหลักแล้วไม่น่าจะสนใจโจ๊กหวานชามหนึ่งได้”

พอถามจบแล้วลิ่นเฉิงโย่วก็หันมาบอกกับทุกคนว่า “หลายวันที่ผ่านมานี้หลูจ้าวอันเตรียมตัวสอบจนแทบไม่ออกจากบ้าน เทศกาลตวนอู่ก็เช่นกัน ในตอนนั้นเขาเพียงออกมาซื้อโจ๊กสองชามตอนยายเฒ่าหวังมาขาย และหลังจากที่เขาซื้อโจ๊กไปไม่นานยายเฒ่าหวังก็เข็นรถจากไปแล้ว ตลอดเส้นทางยายเฒ่าผู้นี้ไม่เคยหยุดพัก จนกระทั่งเดินมาถึงละแวกบ้านคุณหนูรองอู่ถึงค่อยหยุดลงแล้วขายโจ๊กต่อ ประเดี๋ยวเดียวเจี่ยวเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายคุณหนูรองอู่ก็ออกมาซื้อโจ๊ก พอขายเสร็จยายเฒ่าก็รีบเข็นรถจากไปเหมือนเดิม เรื่องนี้เพื่อนบ้านทั้งสองฝั่งล้วนเป็นพยานได้

ที่น่าสนใจคือตามรายงานของเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ซึ่งจับตาดูหลูจ้าวอัน ยายเฒ่าหวังที่มองภายนอกดูคล้ายมีชีวิตลำบากยากแค้นผู้นี้ตลอดวันขายโจ๊กไปสามสิบเจ็ดชามเท่านั้น แต่ระยะทางจากอี้หนิงฟางที่หลูจ้าวอันอาศัยอยู่จนถึงตรงกลางของถนนหย่งอันที่คุณหนูรองอู่อาศัยอยู่ อย่างน้อยมีปากทางถนนที่คึกคักห้าแห่ง ยายเฒ่าหวังร้องขายโจ๊กแต่กลับไม่เคยหยุดฝีเท้าตรงที่ใดเลย ต้นทางคือบ้านหลูจ้าวอัน ปลายทางเป็นจวนสกุลอู่

ตอนแรกคุณหนูตู้ทำกระดาษคัดบทกวีหายไป ต่อมากระดาษพวกนี้ก็มาอยู่ในมือหลูจ้าวอัน รวมกับยายเฒ่าหวังผู้นี้ที่เข็นรถผ่านพื้นที่สองฟางเต็มๆ แต่ความจริงขายโจ๊กไปเพียง ‘สามสิบเจ็ดชาม’ เท่านั้น ข้าจึงมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูรองอู่ นางรับหน้าที่ขโมยกระดาษคัดบทกวี ส่วนยายเฒ่าหวังรับหน้าที่ส่งต่อมันให้หลูจ้าวอัน”

หลูจ้าวอันกล่าวด้วยความคับแค้นใจ “เหลวไหล! เหลวไหลสิ้นดี ข้าผู้แซ่หลูแม้จะซื้อโจ๊กหวานมาแล้วหลายครั้งกลับไม่เคยพูดคุยกับยายเฒ่าหวังผู้นี้มาก่อน อาศัยเพียงข้อนี้ก็ดึงดันว่าข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ข้าผู้แซ่หลูไม่กล้ายอมรับหรอก”

อู่ฉี่ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้นะ เจี่ยวเอ๋อร์ ตอนอยู่ข้างนอกเจ้าเคยซื้อโจ๊กหวานหรือไม่”

สาวใช้ผู้นั้นรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยเคยซื้อหลายครั้งจริง แต่ไม่ได้มองหน้ายายเฒ่าผู้นี้ให้ชัดๆ ด้วยซ้ำ นี่คือการปั้นน้ำเป็นตัวแท้ๆ เลย…ไม่สิ ข้าน้อยหมายความว่าอาจจะมีคนจงใจโยนความผิดให้พวกเราหรือไม่เจ้าคะ”

“โยนความผิด?” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยเย้ยหยัน “ทางอี้หนิงฟางคนที่ออกมาซื้อโจ๊กทุกครั้งคือตัวหลูจ้าวอันเอง ทางถนนหย่งอันคนที่ออกมาซื้อโจ๊กทุกครั้งคือสาวใช้คนสนิทข้างกายคุณหนูรองอู่ ไม่มีใครบังคับให้พวกเจ้าไปซื้อสักหน่อย ทุกอย่างเป็นความสมัครใจของพวกเจ้าเอง ที่สำคัญไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง แล้วก็ไม่ใช่เพียงวันสองวัน หลังข้าทำความเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่มีทางโยนความผิดให้กันได้เด็ดขาด คืนนั้นจึงสั่งการให้คนจับตาดูยายเฒ่าหวัง ส่วนอีกทางหนึ่งก็ส่งคนไปเฝ้าบริเวณใกล้เคียงจวนสกุลอู่ มาถึงเช้าวันนี้ฟ้ายังไม่ทันสางเจี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่กับคุณหนูรองอู่ก็ลอบออกจากจวน มาถึงใต้ต้นอู๋ถงนอกกำแพงฝั่งตะวันออกของวัดใกล้ๆ ก็หยิบของห่อหนึ่งยัดเข้าไปในโพรงของต้นไม้ เจี่ยวเอ๋อร์เดินจากไปไม่นานยายเฒ่าหวังก็คลำทางมาในความมืดสลัว ฉวยโอกาสที่รอบๆ ไม่มีคนอยู่หยิบของห่อนั้นออกมาแล้วเดินกลับไป

วันนี้หลูจ้าวอันกับคุณหนูรองอู่ต่างตามเสด็จออกนอกเมือง เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าไม่ได้สั่งคนให้จับกุมเจี่ยวเอ๋อร์ แต่สั่งคนจับกุมยายเฒ่าหวังทันที ยายเฒ่าหวังยังไม่ได้หยิบของที่ซ่อนเอาไว้ห่อนั้นออกมา ข้างในเป็นทองคำก้อนหนึ่ง”

ลิ่นเฉิงโย่วแย้มยิ้มและแจกแจงต่อ

“เจ้าบอกว่าไม่รู้จักยายเฒ่าหวัง กลับให้เจี่ยวเอ๋อร์สาวใช้ของเจ้าเอาทองคำไปให้ยายเฒ่าผู้นี้แต่เช้าตรู่ ตอนนี้ได้มาทั้งคนทั้งของแล้ว ข้าก็อยากฟังเช่นกันว่าเจ้ายังจะเล่นลิ้นว่าอย่างไรอีก”

อู่ฉี่ตกตะลึงอ้าปากค้าง “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ” นางหันขวับไปหาเจี่ยวเอ๋อร์ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

เจี่ยวเอ๋อร์หน้าซีดดั่งขี้เถ้ามอด นางก้มหน้าคุกเข่าลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ลิ่นเฉิงโย่วสั่งเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ให้ไปนำตัวเจี่ยวเอ๋อร์ออกมา ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “เห็นชัดเจนหรือยังว่านายของเจ้าเป็นคนเช่นไร ประเดี๋ยวต่อไปนางจะอ้างว่าเจ้าเป็นคนขโมยทองคำก้อนนั้นมา ส่วนตนเองไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย บงการให้เจ้าทำเรื่องสกปรกตั้งมากมายเพียงนี้ พอหันหลังกลับก็ผลักไสเจ้าออกไป ไม่รู้สึกใจหายบ้างหรือ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่ายังจะทุ่มเทชีวิตเพื่อนาง”

เจี่ยวเอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น

“ตามกฎหมายของราชวงศ์เรา หากผู้สมรู้ร่วมคิดยอมสารภาพรายละเอียดการก่อคดีออกมาโดยสมัครใจอาจตัดสินลงโทษสถานเบาได้ เจ้าก็รู้ดีว่านางจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต รอจนนางโยนความผิดทั้งหมดมาให้เจ้าผู้เดียว เจ้าคงหนีโทษตายไม่พ้นแล้ว ลองคิดถึงวิชามารเหล่านั้นที่นางเรียนมาสิ ลึกลับน่าพิศวงเพียงใด ไม่ทันไรก็ทำให้คนจิตวิญญาณไม่ครบส่วนได้ เจ้าไม่กลัวว่าตนเองจะมีจุดจบเช่นเดียวกับคุณหนูใหญ่อู่…”

เจี่ยวเอ๋อร์สะดุ้งเฮือกฉับพลัน “พูดแล้วๆ ทองคำ ทองคำก้อนนั้นคุณหนูรองเป็นคนสั่งข้าน้อยมอบให้ยายเฒ่าหวังเจ้าค่ะ”

ภายในงานเลี้ยงเกิดเสียงดังฮือฮาขึ้นทันใด

 

* เนื่องจากการสอบเตี้ยนซื่อหรือการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง บางครั้งก็ลงมากำกับการสอบด้วย ผู้ที่สอบผ่านระดับนี้จึงเรียกว่า ‘ศิษย์แห่งโอรสสวรรค์’

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: