บทที่ 58
เถิงเซ่าหยิบภาพเหมือนนั้นขึ้นมาพลางเดินย่ำวนไปวนมาอย่างเชื่องช้าใต้แสงโคมไฟ
เถิงอวี้อี้วางพู่กันลง พลันเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านใช้วิชาเต๋าเป็นหรือไม่เจ้าคะ”
เถิงเซ่ามีสีหน้างุนงง “เหตุใดอยู่ๆ เจ้าถึงถามเช่นนี้”
“ท่านพ่อเพียงบอกข้ามาว่าเป็นหรือไม่เป็นก็พอเจ้าค่ะ ข้าอยากสืบเรื่องเกี่ยวกับลัทธิเต๋าสักหน่อย”
เถิงเซ่ากล่าวตอบเสียงนุ่มนวล “พ่อย่อมใช้วิชาเต๋าไม่เป็นอยู่แล้ว”
เถิงอวี้อี้ลอบคิดในใจ สีหน้าท่านพ่อไม่คล้ายคนกำลังเสแสร้ง อย่างนั้นแล้วสุดท้ายผู้ใดใช้วิชามารช่วยข้ากัน
หลังจากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองจากปากเสี่ยวหยา นางนึกถึงญาติพี่น้องข้างกายครบทุกคนแล้ว รู้สึกว่าไม่น่าจะมีใครใช้วิชาเต๋านอกรีตอย่างนี้เป็น พอลองคิดไปคิดมามีเพียงบิดาของนางที่อาจมีโชคชะตาที่คาดไม่ถึงเพราะต้องนำทัพออกรบอยู่ตลอดก็เป็นได้
ทว่าเมื่อลองพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้วบิดาก็ไม่น่าจะทำเช่นนี้
“ข้ามักได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าผู้ใดรอดชีวิตจากเคราะห์กรรมหนักหนาล้วนแปดเปื้อนไอพลังมืดมนเบาบาง เพราะเคยไปท่องปรโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ๆ ข้าก็ฝันประหลาดทำนายอนาคตได้ คงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีไอพลังมืดมนติดตัว จะดึงดูดภูตผีปีศาจเข้าหาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว”
คำตอบนี้อธิบายแล้วว่าเหตุใดนางถึงพบเจอภูตผีปีศาจเป็นประจำ
“เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องไปพบเจ้าอาวาสหยวนเจวี๋ยท่านนั้นเลย ฝันประหลาดพวกนี้โผล่มาโดยไม่รู้สาเหตุ หากถูกเจ้าอาวาสหยวนเจวี๋ยมองออกใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ที่มาของคนเสื้อคลุมดำยังเป็นปริศนา ก่อนจะสืบฐานะของคนผู้นี้จนกระจ่างข้าไม่อยากให้มีข่าวลือแพร่งพรายออกไปถึงคนนอก ถึงเป็นภิกษุผู้มีบารมีสูงส่งแห่งวัดต้าอิ่นก็ไม่ได้”
เถิงเซ่ามีสีหน้าครุ่นคิดไม่พูดไม่จา ความกังวลของนางใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียหมด ทว่าช่วงนี้บุตรสาวพบเจอภูตผีปีศาจมามากเกินไปแล้ว ในฐานะบิดาเขาจะนิ่งดูดายได้อย่างไร
เถิงอวี้อี้กล่าวเสริม “ที่สำคัญเมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว เมื่อคืนเฉิงอ๋องซื่อจื่อถูกกระดิ่งสั่นเรียกรบกวน จึงวางค่ายกลทั้งในและนอกจวนให้โดยเฉพาะ เขาสืบทอดวิชาความรู้มาจากนักพรตชิงซวีจื่อ อาคมเต๋าสูงส่งเลิศล้ำ เมื่อมีค่ายกลนี้คอยปกป้อง ไยพวกเราต้องไปหาเจ้าอาวาสหยวนเจวี๋ยอีกเล่า คนรู้เพิ่มอีกคนว่าข้ามีบางอย่างผิดปกติ ก็หมายความว่าจะมีอันตรายยิ่งกว่าเดิม หากมีข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อข้าเล็ดลอดออกมาในเมืองหลวงเพราะเรื่องนี้ย่อม…”
เถิงเซ่ามิได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เขาสนใจเพียงความปลอดภัยของบุตรสาว หากผ่านไปหลายวันสถานการณ์ของบุตรสาวดีขึ้นก็แล้วไปเถิด แต่หากยังพบเจอภูตผีปีศาจไม่ขาดสาย ต่อให้เสี่ยงอันตรายเขาก็ต้องพาบุตรสาวไปวัดต้าอิ่นสักครั้ง
ประเดี๋ยวหนึ่งเขาก็ตัดสินใจได้ “พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่ปีนี้เมืองหลวงมีเรื่องสำคัญต้องเตรียมการป้องกัน วันใดวันหนึ่งเจ้าอาวาสหยวนเจวี๋ยอาจปิดด่านขึ้นมากะทันหัน ถึงตอนนั้นพวกเราอยากเจอเขา ก็อาจไม่มีโอกาสได้เจอแล้ว อย่างมากต้องรอไปอีกสักพัก หากยังไม่มีอะไรดีขึ้นพ่อจะรีบพาเจ้าไปวัดต้าอิ่นให้เร็วที่สุด”
เถิงอวี้อี้นิ่งอึ้งไป “เมืองหลวงมีเรื่องสำคัญต้องเตรียมการป้องกัน? ท่านพ่อพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
เถิงเซ่าไตร่ตรองชั่วครู่ เรื่องนี้กระทั่งขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่ยังไม่ทราบแน่ชัด หากมิใช่เพราะเมื่อครั้งยังหนุ่มเขากลับเมืองหลวงมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่หน่วยทหารองครักษ์ฝ่ายซ้าย ก็คงไม่มีทางล่วงรู้ความลับนี้ของราชวงศ์เข้าโดยบังเอิญ
เขาคิดถึงความฝันประหลาดที่บุตรสาวเล่ามา แล้วตระหนักได้ว่ามีเรื่องหนึ่งต้องถามให้กระจ่างประเดี๋ยวนี้
“เจ้าบอกพ่อมาก่อน ในเมื่อเจ้าฝันเห็นเผิงเจิ้นจะก่อกบฏ แล้วรู้หรือไม่ว่าเขาจะลงมือเมื่อใด”
เถิงอวี้อี้คิดคำนวณเวลา “ประมาณปีนี้ช่วงกลางปีก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ฝ่าบาทมีพระราชโองการลงมาอย่างเป็นทางการให้ยกทัพไปปราบปรามต้นเดือนสองปีหน้า”
ดวงตาเถิงเซ่าฉายแววประหลาดใจ
“เหตุใดท่านพ่อจึงถามเช่นนี้”
เถิงเซ่าพยักหน้ารับช้าๆ “ดูท่าเผิงเจิ้นคำนวณฤกษ์ยามการก่อกบฏมาดีแล้ว หากลงมือเสียในปีนี้ ก็ตรงกับช่วงที่ฝ่าบาทต้องเปิดค่ายกลรักษาพระอาการประชวร ในระหว่างนี้พระองค์ไม่อาจดูแลราชกิจได้ เผิงเจิ้นจะมีโอกาสก่อกบฏได้สำเร็จสูงกว่าช่วงอื่น”
เถิงอวี้อี้รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าฮ่องเต้มีอาการประชวรเรื้อรังด้วย “ฝ่าบาทประชวรเป็นโรคใดหรือเจ้าคะ”
เถิงเซ่ามีสีหน้าแปรเปลี่ยนเกินจะหยั่งถึง เขาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะหนังสือ “จำได้หรือไม่ว่าครั้งก่อนพ่อเคยเล่าให้เจ้าฟัง ก่อนฝ่าบาทจะทรงกราบบรรพชนหวนคืนฐานะเดิม พระองค์เติบโตมาในอารามชิงอวิ๋น”
“จำได้เจ้าค่ะ”
เถิงเซ่าเอ่ย “ฮุ่ยเฟยพระมารดาผู้ให้กำเนิดฝ่าบาทเป็นชายารองของฮ่องเต้องค์ก่อน เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้องค์ก่อนยิ่งนัก ตอนฮุ่ยเฟยตั้งครรภ์ฝ่าบาทฮ่องเต้องค์ก่อนยังไม่สืบราชบัลลังก์ พอรู้ข่าวว่าฮุ่ยเฟยตั้งครรภ์ ก็รีบกราบทูลขอพระราชโองการแต่งตั้งให้ฝ่าบาทเป็นว่าที่ซื่อจื่อของวังอ๋อง เรื่องนี้สร้างความริษยาแค้นเคืองให้กับอี๋เฟยชายารองอีกคนของฮ่องเต้องค์ก่อนมาก ตอนนั้นอี๋เฟยก็ตั้งครรภ์เช่นกัน เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้วนางจึงร่วมมือกับขันทีผู้หนึ่ง ใช้ความพยายามนับไม่ถ้วนในการวางแผนทำร้ายผู้อื่น
ช่วงที่ฮุ่ยเฟยกำลังคลอดบุตรถูกอี๋เฟยวางแผนทำร้ายจนจากไประหว่างคลอด แล้วคนของอี๋เฟยก็ห่อร่างฝ่าบาทที่เพิ่งลืมตาดูโลกอุ้มออกไปนอกวังอ๋อง ชั่วขณะที่กำลังจะฆ่าให้ตายนักพรตชิงซวีจื่อมาพบเข้าพอดี เดิมทีนักพรตชิงซวีจื่อก็เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของฮุ่ยเฟย เขาลงมือช่วยเหลือทันควันโดยปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของตนเอง หลังช่วยฝ่าบาทไว้ได้แล้วยังกลัวว่าจะถูกคนของอี๋เฟยไล่ล่าเอาชีวิต นับจากนั้นจึงปิดบังชื่อแซ่ พาฝ่าบาทเข้าไปอาศัยอยู่อย่างสันโดษในอารามชิงอวิ๋น
นักพรตชิงซวีจื่อตั้งชื่อให้ฝ่าบาทว่า ‘อาหาน’ เขาสอนวิชาเต๋าให้ฝ่าบาท ตั้งใจอุ้มชูเลี้ยงดูพระองค์อย่างดี พระชายาเฉิงอ๋องก็เป็นศิษย์อีกคนของนักพรตชิงซวีจื่อ เติบโตมาในอารามชิงอวิ๋นตั้งแต่เล็กเช่นกัน รักใคร่สนิทสนมกับฝ่าบาทดุจพี่น้อง
อี๋เฟยรู้ว่ามีคนช่วยบุตรของฮุ่ยเฟยไปได้ ก็ใช้ประโยชน์จากฮุ่ยเฟยที่ตายไปกับชะตาแปดอักษรของฝ่าบาทมาสร้าง ‘ค่ายกลเจ็ดพิฆาตผนึกทารก’ ที่โหดเหี้ยมร้ายกาจหาใดเปรียบ อาศัยแรงอาฆาตหลังฮุ่ยเฟยตายอย่างไม่เป็นธรรมมาควบคุมแก่นวิญญาณของฝ่าบาท เพราะสาเหตุนี้เองไม่ว่านักพรตชิงซวีจื่อจะอบรมสั่งสอนฝ่าบาทเช่นไร สติปัญญาของพระองค์ก็โง่เขลากว่าคนทั่วไปหลายเท่า”
เถิงอวี้ตกตะลึงพรึงเพริด ใช้มารดาสร้างค่ายกลเพื่อควบคุมบุตรชาย?!
ชะตากรรมที่ฮุ่ยเฟยกับฝ่าบาทสองแม่ลูกต้องเผชิญไม่เพียงสุดแสนจะรันทด อี๋เฟยผู้นี้จิตใจทำด้วยอะไรกันถึงคิดแผนการอำมหิตเพียงนี้ออกมาได้
“เรื่องนี้จนกระทั่งสิบแปดปีต่อจากนั้นถึงมีโอกาสพลิกผัน ปีนั้นนักพรตชิงซวีจื่อ เจ้าอาวาสหยวนเจวี๋ย และคู่สามีภรรยาเฉิงอ๋องร่วมมือกันตามหาตาค่ายกลที่อี๋เฟยสร้างขึ้นจนเจอในที่สุด พวกเขาปลดปล่อยวิญญาณอาฆาตของฮุ่ยเฟยที่หลงเข้าสู่ทางมาร และสืบสาวพบความจริงว่าในอดีตอี๋เฟยเป็นคนสั่งฆ่าฮุ่ยเฟยและฝ่าบาทสองแม่ลูกด้วย
ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงชิงชังอี๋เฟยเข้ากระดูกดำ นอกจากพระราชทานความตายให้นางแล้ว ยังถอดยศพระโอรสพระธิดาที่เกิดจากนาง อีกทั้งเมื่อทราบว่าเพราะผลกระทบร้ายแรงจากค่ายกลทำให้ฮุ่ยเฟยหลงเข้าสู่ทางมาร แม้ว่าปลดปล่อยดวงวิญญาณสำเร็จแล้ว ก็ไม่มีทางกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีก ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงทรงเชิญนักพรตชิงซวีจื่อเปิดค่ายกล สับเปลี่ยนดวงชะตาระหว่างฮุ่ยเฟยกับอี๋เฟย นับจากนั้นอี๋เฟยจึงไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดตลอดกาล ส่วนฮุ่ยเฟยสามารถกลับชาติมาเกิดได้อย่างราบรื่น”
เถิงอวี้อี้ยิ่งตกตะลึงกว่าเก่า ที่แท้ตั้งแต่เมื่อสิบแปดปีก่อนในเมืองฉางอันก็มีคนใช้วิชาจำพวก ‘สับเปลี่ยนดวงชะตา’ แล้ว มิหนำซ้ำผู้ที่ควบคุมค่ายกลสับเปลี่ยนดวงชะตาในขณะนั้นคือนักพรตชิงซวีจื่อ
หากเป็นไปตามนี้อารามชิงอวิ๋นจะเก็บคัมภีร์ลับเกี่ยวกับ ‘วิชาสับเปลี่ยนดวงชะตา’ ไว้บ้างหรือไม่
“ฝ่าบาททรงถูกค่ายกลเจ็ดพิฆาตผนึกทารกทำร้ายมาสิบแปดปี เมื่อค่ายกลถูกทำลายไปสติปัญญาถึงจะกลับมาเป็นปกติได้ แต่ปราณพิฆาตที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายจะกำเริบขึ้นมาทุกๆ สองสามปี โชคดีว่าแม้ฮุ่ยเฟยจะกลายเป็นมารร้ายไปแล้ว กลับจำได้ว่าอาหานที่อยู่ตรงหน้าคือบุตรชายของตนเอง ก่อนนางจะถูกปลดปล่อยวิญญาณจึงเป็นฝ่ายเรียกป้ายผนึกวิญญาณของตนเองออกมา ในเมื่อนางเป็น ‘มารร้าย’ ของตาค่ายกล มารร้ายเต็มใจมอบป้ายผนึกวิญญาณให้ ก็หมายความว่าค่ายกลเจ็ดพิฆาตผนึกทารกไม่ใช่ค่ายกล ‘ทำร้ายบุตร’ แล้ว แต่เป็นค่ายกล ‘ปกป้องบุตร’ ต่างหาก
ป้ายผนึกวิญญาณแบ่งออกเป็นสองชิ้น ชิ้นหนึ่งฝังเข้าไปในพระวรกายฝ่าบาท ส่วนอีกชิ้นฝังเข้าไปในร่างกายเฉิงอ๋อง ลิ่นเซี่ยวซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วยมีป้ายผนึกวิญญาณสองชิ้นปกป้อง ต่อให้ปราณพิฆาตในพระวรกายฝ่าบาทจะกำเริบขึ้นมาทุกๆ สองสามปี ก็ไม่กระทบกับสติปัญญาของพระองค์เลย ขอเพียงยามเปิดค่ายกลป้ายผนึกวิญญาณสองชิ้นรวมเป็นหนึ่ง ปราณพิฆาตก็จะสงบลงในทันที”
“หากป้ายผนึกวิญญาณอีกชิ้นอยู่ในร่างเฉิงอ๋อง…” เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญพลางเอ่ยว่า “หรือหมายความว่าทุกครั้งเวลาเปิดค่ายกลถอนพิษให้ฝ่าบาท เฉิงอ๋องก็ต้องอยู่ในค่ายกลด้วย?”
“ใช่แล้ว” เถิงเซ่าตอบ “ชั่วชีวิตนี้ฝ่าบาททรงขาดป้ายผนึกวิญญาณอีกชิ้นไปไม่ได้เลย หากเกินกำหนดเวลาไปแล้วยังไม่เปิดค่ายกล ปราณพิฆาตจะเป็นอันตรายต่อสติสัมปชัญญะของฝ่าบาท ลองเปลี่ยนเป็นผู้อื่นอาจมีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาแล้ว แต่เฉิงอ๋อง ลิ่นเซี่ยวเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ส่วนพระชายาเฉิงอ๋อง ฉวีซื่อยึดมั่นในคุณธรรมน้ำใจ ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาสองสามีภรรยาช่วยฝ่าบาทรักษาค่ายกลไม่เคยย่อหย่อน หลายปีมานี้โชคดีที่มีพวกเขาทุ่มเทปกป้องสุดกำลัง ฝ่าบาทถึงได้มีพระวรกายแข็งแรงไร้กังวล”
เถิงอวี้อี้ลอบตื่นตระหนกอยู่ในใจ มิน่าเล่าบุตรหลานขุนนางใหญ่หรือชนชั้นสูงคนใดในเมืองฉางอันก็มิอาจเทียบเคียงความสูงศักดิ์ของลิ่นเฉิงโย่วได้ ที่แท้ระหว่างฮ่องเต้กับเฉิงอ๋องสองสามีภรรยายังมีพันธะผูกมัดลึกล้ำถึงเพียงนี้อยู่ด้วย
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเพราะเหตุใดฝ่าบาทกับฮองเฮาถึงทรงรักใคร่เอ็นดูพวกลิ่นเฉิงโย่วสามพี่น้องเป็นหนักหนา นอกจากความผูกพันทางสายเลือดที่มีโดยกำเนิดแล้ว ยังมีความซาบซึ้งใจและการตอบแทนที่ศิษย์น้องของพระองค์กับสามีของนางคอยปกป้องดูแลมานานหลายปีด้วย”
เถิงอวี้อี้พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาเย็นชืดใกล้มือขึ้นมาดื่มบรรเทาอาการตกใจ
เถิงเซ่ายังกล่าวอีกว่า “เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรแพร่งพรายออกไป แต่ในปีนั้นตอนนักพรตชิงซวีจื่อกับเจ้าอาวาสหยวนเจวี๋ยปลดปล่อยดวงวิญญาณฮุ่ยเฟยมีขุนนางสำคัญหลายคนอยู่ในบริเวณพิธีด้วย ถึงแม้ทางราชสำนักจะเก็บเงียบสักเท่าไร ภายหลังก็ยังมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาบ้างอยู่ดี ลองคำนวณเวลาแล้วปีนี้คงถึงคราวต้องเปิดค่ายกลอีกครั้ง ส่วนฝ่าบาทจะทรงอาการกำเริบวันใดจนทุกวันนี้ยังเป็นปริศนา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก่อนถึงช่วงนั้นเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาจะต้องกลับมาฉางอันแน่ เผิงเจิ้นเลือกก่อกบฏในปีนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ ขอเพียงหาหนทางยับยั้งไม่ให้เฉิงอ๋องกับฝ่าบาทเปิดค่ายกลร่วมกัน ฝ่าบาทก็ไม่อาจบัญชาการศึกปราบกบฏได้แล้ว อย่างนั้นโอกาสคว้าชัยชนะของเผิงเจิ้นจะสูงลิ่วตามไปด้วย”
เถิงอวี้อี้คิดทบทวน ดูท่าเผิงเจิ้นจะต้องวางแผนเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ชาติก่อนในเมืองฉางอันถึงได้มีพวกกบฏที่รู้วิชามารโผล่มาเกลื่อนเมืองอย่างกะทันหัน โชคดีที่นางบอกเรื่องนี้กับบิดาเรียบร้อย ต่อจากนี้บิดาคงจะเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังจำได้ว่าชาติก่อนฝ่าบาทไม่เพียงพระวรกายสมบูรณ์แข็งแรง ยังทรงบัญชาการศึกปราบกบฏด้วยพระองค์เอง เห็นได้ชัดว่าสุดท้ายแผนการชั่วของเผิงเจิ้นไม่ประสบความสำเร็จ
นางกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมาอีก
ครั้งนั้นเพราะลิ่นเฉิงโย่วผนึกกระบี่เสี่ยวหยาของนาง ทำให้นางต้องพบเจอฝันร้ายแสนยาวนานเหลือเกิน ในความฝันนางไม่เพียงเผชิญหน้ากับเรื่องราวมากมายสารพัดก่อนตนเองจะตายซ้ำสอง ยังฝันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามปีหลังจากนั้นด้วย
จำได้ว่าวิญญาณเร่ร่อนของนางล่องลอยอยู่ในศาลเจ้าบูชาบิดา พบเจอขันทีเข้ามาทำความสะอาดจำนวนไม่น้อย ระหว่างเหล่าขันทีพูดคุยเล่นกันจู่ๆ ก็มีคนวิ่งเข้ามาแจ้งข่าว บอกว่าขณะลิ่นเฉิงโย่วประจันหน้ากับกองทัพฝ่ายถู่ปัวอยู่ที่เมืองฟูฟางมิได้ระวังตัวถูกสายลับลอบยิงธนูทำร้าย แม้ลิ่นเฉิงโย่วจะจับกุมสายลับผู้นั้นได้คาหนังคาเขา แต่ลูกธนูอาบยาพิษร้ายแรง พิษออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วฉับไวยิ่ง ลิ่นเฉิงโย่วตระหนักดีว่าตนเองคงไม่รอด จึงสั่งกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับนักพรตชิงซวีจื่อ
ปรากฏว่าข่าวยังถูกส่งกลับมาถึงเมืองฉางอันอยู่ดี เฉิงอ๋องกับนักพรตชิงซวีจื่อจิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย เร่งเดินทางข้ามคืนมุ่งหน้าไปเมืองฟูฟางแล้ว…
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้วหัวใจเถิงอวี้อี้พลันเต้นระรัวร้อนรน เรื่องราวถัดจากนั้นนางไม่รู้อะไรสักอย่าง เพราะในไม่ช้าก็ถูกน้ำเสียงบ่งบอกความสูงวัยของใครบางคนปลุกให้ตื่นขึ้นมา
ไม่รู้เลยว่าภายหลังลิ่นเฉิงโย่วเป็นเช่นไรบ้าง ตอนแรกนางนึกว่านี่เป็นเพียงความฝัน ถึงอย่างไรตอนนางมีชีวิตอยู่มิได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด และนางก็คิดไม่ออกว่าในเมืองหลวงจะมีใครเกลียดชังลิ่นเฉิงโย่วถึงขั้นอยากเอาชีวิตเขา ทว่าเวลานี้ลองใคร่ครวญดู ภาพเหตุการณ์ที่เห็นในศาลเจ้าจะเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าหรือไม่
พอคิดคำนวณจากวันเวลา สามปีหลังจากนี้ประจวบเหมาะว่าเป็นช่วงที่ฮ่องเต้ทรงอาการกำเริบ สถานที่ยังเป็นเมืองฟูฟางอันไกลโพ้น และเฉิงอ๋องกับนักพรตชิงซวีจื่อต้องออกจากเมืองฉางอันไปช่วยลิ่นเฉิงโย่ว
สมมติว่าเกิดเหตุร้ายกับลิ่นเฉิงโย่ว เฉิงอ๋องกับนักพรตชิงซวีจื่อจะสามารถเร่งกลับมาร่วมเปิดค่ายกลทันการณ์หรือไม่ก็ตอบได้ยาก หากเป็นไปตามนี้ปราณพิฆาตในพระวรกายฮ่องเต้จะต้องโจมตีสติสัมปชัญญะของพระองค์
ทันทีที่ประมุขแห่งแผ่นดินล้มลง ราชสำนักจะระส่ำระสาย
นางจึงรีบเล่าความฝันนี้ให้บิดาฟัง “ราชสำนักปราบกบฏได้เรียบร้อย พรรคพวกของเผิงเจิ้นถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก กองทัพซั่วฟางโจมตีกองทัพใหญ่ฝ่ายถู่ปัวจนล่าถอยกลับไปอย่างราบรื่น เฉิงอ๋องซื่อจื่อช่วยเหลือเมืองฟูฟางที่ตกอยู่ในวงล้อมสำเร็จ ข่าวการคว้าชัยชนะกระจายไปทั่วสารทิศ ปรากฏว่าในตอนนั้นเองอยู่ๆ ก็มีคนลอบทำร้ายเฉิงอ๋องซื่อจื่อ หากบังเอิญว่าตรงกับตอนฝ่าบาททรงอาการกำเริบ เฉิงอ๋องกับนักพรตชิงซวีจื่ออาจกลับมาไม่ทันเวลาก็ได้”
เถิงเซ่าตื่นตกใจตามคาด “จะเป็นสายลับที่พวกถู่ปัวส่งมาหรือไม่”
“ในความฝันข้าได้ยินมารางๆ ว่าสายลับผู้นั้นอยู่ในกองทัพของลิ่นเฉิงโย่วมาสักระยะแล้ว ตอนสายลับลอบทำร้ายลิ่นเฉิงโย่วดูเหมือนไม่ว่าใครก็ไม่ทันได้ตั้งตัวทั้งนั้น”
ประดุจคลื่นน้ำใหญ่มหึมาโหมซัดสาดในใจเถิงเซ่า ทหารระดับล่างนายหนึ่งอยู่ๆ ก็ลอบทำร้ายจอมทัพ จะต้องมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังแน่นอน
หากลอบทำร้ายลิ่นเฉิงโย่วสำเร็จ ย่อมดึงตัวเฉิงอ๋องกับนักพรตชิงซวีจื่อออกจากเมืองฉางอันมาได้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพใหญ่ของราชสำนักเคลื่อนพลออกไปปราบกบฏบ้าง รักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนบ้าง จึงเป็นช่วงที่กำลังทหารของเมืองหลวงว่างลงพอดี
แผนการนี้เรียกว่าปาหินก้อนเดียวได้นกสามตัวโดยแท้ หากความฝันนี้ของบุตรสาวจะกลายเป็นจริง เช่นนั้นนอกจากเผิงเจิ้นแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในราชสำนักยังมีคนคิดก่อกบฏอยู่อีก
เผิงเจิ้นอยู่ในที่แจ้ง ส่วนคนผู้นั้นอยู่ในที่ลับ
เถิงเซ่าไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเดินวนกลับไปกลับมา แม้ว่ายามนี้เขาจะเชื่อคำพูดของบุตรสาวหมดใจ แต่จำเป็นต้องใช้เวลามาจัดระเบียบความคิดให้แจ่มชัด
“ทางเฉิงอ๋อง ประเดี๋ยวพ่อจะส่งคนไปเตือน เฉิงอ๋องเป็นคนระวังรอบคอบ หลังรู้เรื่องจะต้องเตรียมการป้องกันเต็มที่” เถิงเซ่ากล่าว
เถิงอวี้อี้ถอนหายใจโล่งอก
“พอเฉิงอ๋องได้ข่าว ทางราชสำนักก็จะเตรียมความพร้อมไปด้วย แต่ตอนนี้รู้เพียงว่าเผิงเจิ้นมีใจคิดทรยศ ส่วนอีกคนที่อยู่หลังม่านพ่อจะลงมือตรวจสอบให้เร็วที่สุด”
เถิงอวี้อี้เอ่ยอย่างร้อนรน “คนผู้นั้นวางแผนการเช่นนี้ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมหรือกลยุทธ์ล้วนไม่อาจดูเบาได้ ท่านพ่อ ท่าน…”
“พ่อรู้แก่ใจดี” เถิงเซ่ามองบุตรสาวอย่างปลาบปลื้มใจ บุตรสาวตัวสูงเกือบเท่าหัวไหล่เขาโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว บิดาและบุตรสาวพูดคุยกันเรื่องเภทภัยร้ายแรงในความฝันมานานสองนานแท้ๆ ในฐานะบิดาเขากลับรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาหยิบภาพเหมือนม้วนนั้นขึ้นมา “ดึกมากแล้ว กลับไปนอนก่อนเถอะ เรื่องที่เจ้าพูดมามีความสำคัญมาก คืนนี้พ่อขอคิดทบทวนดูให้ดีสักหน่อย”
บทสนทนาระหว่างพ่อลูกคราวนี้ต่อเนื่องยืดยาวกว่าสองชั่วยาม กระทั่งเถิงอวี้อี้กลับเรือนของตนเองเวลาก็ล่วงเลยเข้าช่วงกลางดึกแล้ว
น่าแปลกใจว่าเถิงอวี้อี้ไม่รู้สึกอ่อนเพลียสักนิด ความลับที่ไม่อาจเปิดเผยในใจเหล่านั้นพบที่ไปของมันจนได้ แววตาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของบิดาทำให้นางรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ดวงวิญญาณที่โดดเดี่ยวยามค่ำคืนอันมืดมิดอีกแล้ว ความคิดในสมองของนางไม่ต้องตึงเครียดตลอดเวลา อย่างน้อยก็ไม่ต้องหวาดวิตกว่าจะมีคนมาลอบสังหารดั่งในความฝันโดยไม่อาจป้องกันได้อีก
หัวใจนางมีพลังเต็มเปี่ยม ความรู้สึกสงบนิ่ง พอผล็อยหลับไป ก็อิ่มเอมฝันหวานอย่างที่ไม่เคยเป็น
ไม่รู้ว่านางนอนหลับไปนานเท่าใด ความรู้สึกคันยุบยิบตรงปลายจมูกปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา
“รีบตื่นได้แล้ว เจ้าแมลงขี้เกียจตัวนี้” เสียงกลั้วหัวเราะของญาติผู้พี่ดังอยู่ข้างหู
เถิงอวี้อี้ลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ภาพเบื้องหน้าคือดวงตาใสกระจ่างอ่อนโยนคู่หนึ่ง นางพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน “พี่สาว ท่านอย่ามากวนสิ ให้ข้านอนต่ออีกสักครู่นะ”
“ยังจะนอนอีก ท่านนักพรตน้อยมาถึงแล้ว” ตู้ถิงหลันฉุดร่างน้องสาวออกมาจากกองผ้าห่ม
ความง่วงงุนของเถิงอวี้อี้หายวับไปทันใด แล้วรีบลุกลงจากเตียงมาแต่งเนื้อแต่งตัว
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรอเถิงอวี้อี้อยู่ในสวนดอกไม้ มองเห็นเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันเดินเข้ามา ก็ร้องทักด้วยความดีใจ “คุณหนูเถิง คุณหนูตู้”
เถิงอวี้อี้ยิ้มกว้างไม่ยอมหุบ “ต้องขออภัยด้วย ข้านอนตื่นสาย รบกวนพวกท่านต้องคอยเสียนาน ลุงเฉิงเตรียมอาหารเสร็จแล้ว พวกเราไปที่ห้องโถงบุปผาก่อนเถอะ”
นี่เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้เมื่อวานนี้ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพยักหน้ารับอย่างชื่นบาน ไม่รู้ว่าคุณหนูเถิงมีเรื่องน่ายินดีอะไร ท่าทางถึงได้ดูสดชื่นปลอดโปร่ง
พวกเขาส่งกล่องไม้เคลือบเงาในอกเสื้อให้เถิงอวี้อี้ “กล่องใบนี้ให้คุณหนูเถิงขอรับ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.