บทที่ 61
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันยกชายกระโปรงเดินเข้าไปข้างใน ก็เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์งามหรูหราเต็มห้องตามคาด เมื่อแยกแยะอย่างละเอียดแล้วพบว่าส่วนใหญ่เป็นใบหน้าที่คุ้นตาทั้งสิ้น
อู่ฉี่ชอบสวมกระโปรงสีแดงมาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ยังสวมกระโปรงหรูฉวินทำจากผ้าแพรสีแดงทับทิม พอมองเห็นเถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันสองคนเดินเข้ามา นางก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยเสียงหัวเราะสดใส “มาสายเช่นนี้ ควรจะลงโทษพวกเจ้าเสียดีหรือไม่”
นางทำอะไรล้วนร่าเริงมีชีวิตชีวา น้ำเสียงก็กังวานใส ตู้ถิงหลันกับเถิงอวี้อี้คารวะพร้อมกัน ก่อนยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยว่า “ควรสิ ลงโทษดื่มสุราหรือแต่งบทกวีก็ได้ ไม่กล้าบิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด” จากนั้นก็หันไปหาทุกคน “รบกวนให้ทุกท่านคอยนานแล้ว”
เด็กสาวทั้งหลายทยอยส่งยิ้มแล้วคารวะตอบ
อู่ฉี่พาสองสาวพี่น้องเข้ามาหาทุกคนอย่างกระตือรือร้น “พวกเรากำลังปรึกษากันว่าจะชมดอกไม้หรือประชันบทกวีก่อนดี ตอนนี้เยี่ยมเลย พริบตาเดียวก็มีสตรีเปี่ยมพรสวรรค์มากันถึงสองคน ไม่อย่างนั้นพวกเรามาประชันบทกวีก่อนแล้วกัน พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร”
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันเข้านั่งประจำที่ ตำแหน่งที่นั่งข้างเคียงคือหลี่ไหวกู้นั่นเอง
มวยผมคู่สีดำขลับของหลี่ไหวกู้เสียบหวีหยกเลี่ยมทองไว้ ตรงกลางหน้าผากติดชุ่ยเตี้ยน ที่ริมฝีปากแต้มชาดเป็นสีเดียวกับผลอิงเถาที่สดฉ่ำปานจะหยาดหยด ขับเน้นให้นางบอบบางดั่งบุปผานุ่มนวลดั่งหยก
นางคลี่ยิ้มน้อยๆ “อาอวี้ พี่หลัน”
เถิงอวี้อี้ยิ้มจนตาหยี “ซานเหนียง”
หลี่ไหวกู้มองสำรวจเถิงอวี้อี้ “เมื่อวานอยากชวนเจ้าออกมาเที่ยวเล่น แต่บ่าวไพร่ในจวนบอกว่าเจ้าไม่ค่อยสบายออกไปข้างนอกไม่ได้ ข้ายังนึกว่าผื่นลมบนหน้าเจ้ายังไม่หายดี วันนี้กลับดูดีขึ้นมากแล้วนะ”
ตู้ถิงหลันกระแอมกระไอเบาๆ ไม่ใช่น้องสาวออกไปที่ใดไม่ได้ แต่เพราะปลอมตัวเป็น ‘คุณชายหวัง’ ไปเดินเตร็ดเตร่แถวตลาดตะวันตกต่างหาก เมื่อวานตอนเทียบเชิญจากหลี่ไหวกู้ส่งมาถึงนางเป็นคนให้ลุงเฉิงตอบกลับไปเช่นนั้น
เถิงอวี้อี้แสร้งเผยสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้เจ้ามาชวนข้าออกไปเที่ยวนี่เอง เมื่อวานตอนเช้าข้าตื่นขึ้นมาแล้วคล้ายจะเป็นหวัดจึงต้องนอนพักอยู่บนเตียง กำลังสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงบ่าวไพร่เข้ามารายงาน ไม่ทันได้ตั้งใจฟังให้ดี รบกวนให้เจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว หลังจากวันนั้นพอกินยาลูกกลอนหน้าหยก ผื่นลมบนหน้าก็ดีขึ้นแล้ว”
หลี่ไหวกู้แสดงสีหน้าห่วงใยเต็มเปี่ยม อยากจะพูดคุยต่อสักสองสามคำ อีกข้างหนึ่งของตู้ถิงหลันก็มีคนเอ่ยทักทาย “คุณหนูตู้ คุณหนูเถิง”
เถิงอวี้อี้หันหน้าไปมองตามเสียง “คุณหนูต้วน”
เด็กสาวผู้นี้ชื่อต้วนชิงอิง เป็นญาติผู้น้องของต้วนหนิงหย่วน นางมีนัยน์ตาหงส์ ผิวพรรณขาวสะอาด รูปลักษณ์สืบทอดความองอาจผึ่งผายของคนสกุลต้วน ใบหน้าจึงกว้างกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้าง แต่ไฝสีชาดเม็ดเล็กตรงหว่างคิ้วเม็ดนั้นช่วยเพิ่มความงามโดดเด่นให้กับเครื่องหน้าได้มากทีเดียว
เมื่อครั้งเยาว์วัยเถิงอวี้อี้เคยเห็นหน้าต้วนชิงอิงมาแล้วหลายครั้ง ในงานเลี้ยงวันเกิดพระสสุระหลิวครั้งที่ผ่านมาก็มาพบกันอีก เพียงเพราะสาเหตุเรื่องการถอนหมั้นระหว่างสกุลเถิงกับสกุลต้วน คนสกุลต้วนจึงไม่ปฏิบัติกับเถิงอวี้อี้อย่างมีน้ำใจไมตรีเหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะคนรุ่นเยาว์อย่างต้วนชิงอิง ก็พลันมีท่าทางกระอักกระอ่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน แม้ต้วนชิงอิงจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน แต่รอยยิ้มกลับดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าใดนัก
ปกติแล้วตู้ถิงหลันเป็นคนอัธยาศัยดี แต่เรื่องการถอนหมั้นของทั้งสองตระกูล การกระทำของคนสกุลต้วนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์โดยแท้ เดิมทีในใจนางรู้สึกขุ่นเคืองอยู่แล้ว เห็นดังนั้นก็เพียงยิ้มบางๆ ตอบรับ
เถิงอวี้อี้กลับไม่สะทกสะท้านสักนิด นางคารวะตอบอย่างเฉยชา แล้วเบนสายตาไปมองทุกคนในห้องโถง
มีคุณหนูผู้หนึ่งเอ่ยถาม “คุณหนูรองอู่ วันนี้เหตุใดพี่สาวเจ้าไม่มาเล่า”
อู่ฉี่เอ่ยยิ้มๆ “วันนี้ที่จวนยุ่งอยู่กับเรื่องการหมั้นหมายระหว่างพี่สาวกับคุณชายใหญ่เจิ้ง ระยะนี้ไม่ยอมให้พี่สาวออกจากจวน งานชมดอกไม้เดิมทีพี่สาวจะเป็นเจ้าภาพ ครั้งนี้จำเป็นต้องให้ข้ามาแทนแล้ว ในเมื่อทุกคนยินดีประชันบทกวี อย่างนั้นก็เตรียมพู่กันกับหมึกเถอะ”
ในห้องโถงมีคนผู้หนึ่งไม่ใคร่พอใจ “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบทกวีสักอย่าง พวกเจ้าร่ายของพวกเจ้าไปสิ ข้าจะงีบหลับอยู่ข้างๆ”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
เถิงอวี้อี้เหลียวมองไป ก็พบว่าเป็นหนึ่งในบุตรสาวฝาแฝดของเผิงเจิ้นคู่นั้น
เผิงฮวาเยวี่ยดึงตัวน้องสาวเอาไว้ ปิดปากเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “น้องสาวข้าเป็นคนพูดจาโผงผาง ทำให้ทุกคนตลกขบขันแล้ว แต่จิ่นซิ่วพูดคำนี้ไม่ผิดเลย หากเป็นการเตะลูกหนัง ไกวชิงช้า หรือเล่นจีจวี นางเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง เสียเพียงอย่างเดียวคือไม่ชอบเรียนหนังสือ จะให้นางจุ่มน้ำหมึกเขียนบทกวีลงกระดาษ กลัวว่าใช้เวลาทั้งวันก็เค้นออกมาไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว”
ฉับพลันนั้นมีคนหัวเราะพลางกล่าวสนับสนุน “วันนี้อากาศแจ่มใสยิ่งนัก ไยต้องมาทนอึดอัดอยู่ในห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยเพื่อแต่งบทกวี ตามความเห็นข้าไม่สู้ออกไปชมดอกไม้ดีกว่า ในป่าดอกท้อยังมีชิงช้าอันหนึ่งด้วย ตอนชมดอกไม้จะถือโอกาสไกวชิงช้าไปด้วยก็ได้”
เด็กสาวทั้งหลายยินดีจะออกไปเดินข้างนอก ฉะนั้นจึงเอ่ยปากสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกัน
อู่ฉี่ยิ้มแย้มพลางสั่งสาวใช้ให้จัดเตรียมขนม น้ำชา และผลไม้ จากนั้นค่อยเชื้อเชิญทุกคนย่างเท้าเดินไปทางป่าดอกท้อ
เมื่อเดินมาถึงกลางป่าดอกท้อคุณหนูทั้งหลายเดินเล่นชมดอกไม้พลางพูดคุยอย่างสนุกสนานรื่นรมย์ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยผ่านป่า ผ้าคลุมไหล่ที่คล้องพาดข้อพับแขนเด็กสาวแต่ละคนปลิวไสวไปในอากาศ สีสันงดงามสดใสเคียงคู่กลมกลืนกับแสงยามฤดูไม้ผลิ เทียบกับดอกท้อบนปลายกิ่งก้านยังเด่นสะดุดตามากกว่า
มีเด็กสาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ว่ากันว่าในอารามนักพรตหญิงอวี้เจินซุกซ่อนกลไกลี้ลับเอาไว้ ยามเผชิญกับภัยสงครามหรือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่สามารถอาศัยกลไกในอารามหลบหนีไปได้ แต่ข้ามาที่นี่ตั้งหลายหนแล้วยังมองหาอะไรไม่เจอเลย”
“อย่าลืมสิว่าอารามแห่งนี้เป็นอารามที่องค์หญิงอวี้เจินมีบัญชาให้ผู้สูงส่งของลัทธิเต๋ากว่าร้อยคนสร้างขึ้นเลยนะ หากมีใครเข้ามาเที่ยวชมแล้วมองเห็นช่องโหว่ได้ง่ายๆ มิเท่ากับว่าความทุ่มเทของผู้สูงส่งเหล่านั้นสูญเปล่าไปหมดหรอกหรือ”
อู่ฉี่เลือกตำแหน่งหนึ่งซึ่งเหมาะแก่การชมดอกไม้ที่สุด ค่อยสั่งการให้บรรดาสาวใช้กางกระโจมผ้าไหมสีสดและจัดวางเบาะที่นั่ง พลันได้ยินเจิ้งซวงอิ๋นเอ่ยว่า “เมื่อวานเจอเรื่องเช่นนั้นที่ตลาดตะวันตก ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่มาแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังมาจนได้ แต่วันนี้สีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานเยอะเลย”
เผิงฮวาเยวี่ยน้ำเสียงประหม่ากว่าเดิมเล็กน้อย “เมื่อวานทำให้พวกเจ้าต้องเห็นเรื่องน่าอายแล้ว พวกเรากับเสี่ยวเจียงซื่อฮูหยินของหรงอันป๋อซื่อจื่อนับว่าเป็นญาติห่างๆ ต่างแซ่สกุล ในอดีตเวลาพี่เจียงเจอหน้าท่านแม่ข้ามักจะเรียกว่าท่านน้าเสมอ หลายปีมานี้พวกเราอาศัยอยู่ในเขตไหวซีจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กับสกุลเจียงแล้ว แต่ไมตรีจิตระหว่างญาติพี่น้องยังอยู่ ดังนั้นพอได้ยินว่าพี่เจียงเกิดเรื่องพวกเราถึงได้ตกใจจนหมดสติไป”
เผิงจิ่นซิ่วทำปากยื่นพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ข้าพอได้ยินว่าพี่เจียงเกิดเรื่องนางร้องไห้เสียใจแทบแย่ หากไม่ใช่เพราะศพของพี่เจียงยังเก็บอยู่ที่ศาลต้าหลี่ คิดว่าวันนี้ต้องพาพวกเราไปไว้ร่วมอาลัยนางที่จวนหรงอันป๋อแล้ว ท่านแม่กลัวว่าพวกเราจะพลอยเสียใจไปด้วยถึงได้บังคับให้ออกมาเดินเที่ยว ไม่อย่างนั้นข้ากับพี่สาวคงได้อยู่ในจวนเป็นเพื่อนท่านแม่”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” พวกเจิ้งซวงอิ๋นพากันถอนหายใจด้วยความสงสาร
คุณหนูแซ่หลินผู้หนึ่งกล่าวอย่างหวาดหวั่นใจ “พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อตอนเช้าตรู่พลเฝ้าระวังมาสอบถามถึงจวนข้าว่ามีสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ต่อมาพอถามพี่ชายถึงรู้ว่าระยะนี้ฉางอันเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องผ่าท้องชิงทารกเช่นนี้สองสามคดีแล้ว”
“ที่สำคัญผู้ตายเป็นสตรีที่ตั้งครรภ์ทั้งหมดด้วย” คุณหนูอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ “เมื่อคืนพลเฝ้าระวังก็มาสอบถามที่จวนของพวกเราเช่นกัน บอกว่าหากในจวนมีสตรีตั้งครรภ์อยู่จะต้องรายงานทันที ทางการทำอย่างนี้เพราะกลัวว่าคนร้ายจะลงมือกับเหยื่อที่เป็นสตรีตั้งครรภ์อีกกระมัง”
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่เลือกแล้วเงยหน้าขึ้นมาพอดี จึงมองเห็นสองมือของต้วนชิงอิงขยุ้มผ้าคลุมไหล่แน่นจนข้อนิ้วมือเริ่มซีดขาว
คนรอบข้างก็สังเกตเห็นว่าต้วนชิงอิงท่าทางไม่ปกติ จึงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ชิงอิง เจ้าไม่สบายหรือ”
ต้วนชิงอิงกุมหน้าอกแล้วพยักหน้า “คดีนี้ทำให้ตกใจเข้าแล้ว ข้าไม่เข้าใจเลย บนโลกนี้มีคนโหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้ได้อย่างไร”
ในตอนนี้เองบรรดาสาวใช้ก็ยกถ้วยแก้วใส่ผลอิงเถาสดราดนมหมักเดินเข้ามา
อู่ฉี่มองออกนานแล้วว่าทุกคนล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร จึงอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ปล่อยให้ท้องว่างประเดี๋ยวจะชมดอกไม้ไม่สนุก พวกเรามากินอะไรกันสักหน่อยเถอะ”
เถิงอวี้อี้ได้ยินคำพูดเมื่อครู่แล้ว ก็ใคร่ครวญว่าอารามนักพรตหญิงแห่งนี้ซุกซ่อนกลไกลี้ลับอะไรไว้กันแน่ อีกอย่างตอนเช้ากินขนมซานชิงไปมาก จึงกินอะไรไม่ลงไปชั่วขณะ นางเหลียวซ้ายแลขวามองเห็นชิงช้าอยู่ด้านข้าง ก็ตัดสินใจได้ทันใด ลุกขึ้นเดินไปถึงตรงหน้าชิงช้า ก่อนคว้าเชือกแขวนสองฝั่งแล้วนั่งลง เพียงเขย่งปลายเท้าเบาๆ ชิงช้าก็พานางล่องลอยไปกับสายลมฤดูในใบไม้ผลิ
วันนี้นางสวมกระโปรงผ้าไหมเนื้อละเอียดจีบรอบปักลายดอกบัวสีฟ้านวล ข้อพับแขนคล้องพันผ้าคลุมไหล่สีฟ้าอมเขียวเอาไว้ สีสันอ่อนจางทั้งสองจับคู่รวมกันเป็นความนุ่มนวลกระจ่างตาที่น่าอัศจรรย์ใจ เด็กสาวแกว่งไกวร่างอยู่ท่ามกลางเงาบุปผา เผยโฉมเฉิดฉายดั่งดอกบัวกลางน้ำ
ทุกคนเห็นนางงดงามพราวเสน่ห์เป็นพิเศษ จึงอดถอนหายใจชื่นชมไม่ได้ “ช่างเป็นคนงามละมุนละไมเสียจริง คุณหนูเถิง ผ้าที่ใช้ตัดเสื้อผ้าชุดนี้ของท่านไม่ถือว่าเลอค่าหายาก แต่สีสันที่ใช้กับฝีเข็มมักพิเศษกว่าคนอื่นเสมอ”
เถิงอวี้อี้เอ่ยยิ้มๆ “หญิงปักผ้าหลายคนที่หยางโจวช่วยข้าวาดแบบลวดลาย หากพวกเจ้าชอบ ครั้งหน้าข้าจะนำภาพลายพวกนั้นมาให้ทุกคนดูนะ”
คุณหนูทั้งหลายเอ่ยหยอกเย้า “ไยต้องวุ่นวายปานนี้ แต่ละเดือนพวกเราจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ คุณหนูเถิงไม่ได้กลับฉางอันมาตั้งหลายปี ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าต้องชวนพวกเราไปเล่นสนุกที่จวนสกุลเถิงแล้ว”
ขณะเถิงอวี้อี้เตรียมเอ่ยตอบคำ อยู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งจ้องมองมา
นางชำเลืองเห็นทางหางตา แล้วรับปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คิดอยู่นานแล้วว่าจะเชิญทุกคนไปเล่นสนุกกันที่จวนข้า เอาไว้กลับไปข้าจะเขียนเทียบเชิญนะ”
นางกล่าวพลางแสร้งเหลือบตามองไปพอดี เห็นคุณหนูกลุ่มนั้นทางขวามือพูดคุยกันสนุกสนาน ประหนึ่งภาพเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตาของนาง
เถิงอวี้อี้เป็นยอดฝีมือด้านการไกวชิงช้าอยู่แล้ว นั่งไกวชิงช้าเฉยๆ รู้สึกว่ายังไม่สนุกถึงใจ จึงยืนขึ้นตรงกลางแผ่นไม้รองนั่งแล้วให้ตู้ถิงหลันช่วย เพิ่งออกแรงผลักไม่เท่าไรก็ไกวชิงช้าลอยสูงขึ้นไปในอากาศ การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของนางทำให้ปิ่นระย้าไข่มุกคู่นั้นสั่นไหวแกว่งไปแกว่งมาไม่หยุดหย่อน สะท้อนเงาของประกายแสงเจิดจ้าสองสายกระทบพวงแก้มขาวผุดผ่องของนาง
ทุกคนยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจละสายตา หลี่ไหวกู้คลี่ยิ้มหวานยามรับขลุ่ยเลาหนึ่งมาจากมือสาวใช้ ก่อนยกขลุ่ยขึ้นชิดริมฝีปากและเป่าบรรเลง เสียงขลุ่ยท่วงทำนองทุ้มนุ่มซับซ้อน พริบตาเดียวก็ดึงความสนใจของทุกคนไปเสียแล้ว
เจิ้งซวงอิ๋นฟังไปสองสามท่อนก็ผงกศีรษะ “ผู้คนกล่าวขานว่าเสียงขลุ่ยของสองพ่อลูกสกุลไป๋เลิศล้ำเหนือใครในแผ่นดิน ข้าว่าฝีมือการเป่าขลุ่ยของหลี่ซานเหนียงก็ไม่ด้อยไปกว่าคนสกุลไป๋เลย”
เจิ้งซวงอิ๋นแตกฉานด้านการดนตรีเป็นอย่างยิ่ง ค่อนข้างหยิ่งทะนงมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งนางยังมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าหลี่ไหวกู้เป่าขลุ่ยได้โดดเด่นเพียงใด ทุกคนจึงเงี่ยหูฟังเงียบๆ ด้วยจิตใจจดจ่อมีสมาธิกว่าเดิม
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงพิณไพเราะเสนาะหูดังมาจากด้านหลังกำแพงห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงพิณฟังดูแล้วเอ้อระเหยไร้กฎเกณฑ์ กลับกดข่มเสียงขลุ่ยไปอย่างไม่ตั้งใจ
ดูเหมือนหลี่ไหวกู้จะมีใจสู้ทว่าไร้กำลัง ไม่นานก็วางขลุ่ยลง “นี่คือ…”
คุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายช้อนสายตามองไปทางกำแพงทิศนั้น ก่อนเอ่ยตอบสีหน้าแดงระเรื่อ “อ๋า เสียงขลุ่ยไปรบกวนจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่ อย่าลืมสิว่าหลังกำแพงทิศตะวันตกก็คือวังจวิ้นอ๋อง บางทีคงจะรบกวนการพักผ่อนของจวิ้นอ๋องเข้าแล้ว เขาถึงได้ดีดพิณเป็นสัญญาณเตือน…”
ประจวบเหมาะว่ามีนักพรตหญิงอาวุโสหลายคนเดินมาส่งน้ำชา ได้ยินเข้าก็ตอบยิ้มๆ “ไม่เป็นไรเลย พวกเราก็เคาะเกราะไม้* สวดมนต์ เคาะระฆังในอารามเป็นประจำ จวิ้นอ๋องนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีนัก ไม่มีทางขุ่นเคืองเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เด็ดขาด ได้ยินว่าวันนี้จวิ้นอ๋องต้อนรับสหายจากต่างแดนอยู่ในจวน องค์รัชทายาทก็มาด้วย เสียงพิณนี้คงจะบรรเลงให้แขกเหรื่อฟัง”
ใบหน้ากลมเกลี้ยงของเผิงจิ่นซิ่วแดงก่ำ “ตอนข้ายังอยู่ที่เขตไหวซี ก็ได้ยินว่าจวิ้นอ๋องเชี่ยวชาญด้านทำนองเสียงสัมผัส วันนี้ได้ฟังเสียงพิณของเขา เห็นได้ชัดว่าสมคำเล่าลือโดยแท้”
อู่ฉี่เอ่ยปากเล่า “พูดถึงเรื่องนี้ ครั้งก่อนข้าเข้าวังไปเคยฟังองค์หญิงชางอี๋เล่าเรื่องชวนหัวร่อเรื่องหนึ่งมา เห็นว่ามีครั้งหนึ่งจวิ้นอ๋องไปดื่มสุราที่จวนของมุขมนตรีเจิ้ง ได้ยินเสียงคนเป่าขลุ่ยตี๋** จากอีกฟากกำแพง จวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นว่าคนผู้นั้นนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนแผ่นหิน มุขมนตรีเจิ้งไม่เชื่อ สั่งบ่าวไพร่ให้ไปสอบถามเพื่อนบ้านข้างเคียง ผลปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ จากเรื่องนี้เห็นชัดเจนว่าจวิ้นอ๋องมีความสามารถในการจดจำเสียงและแยกแยะท่วงทำนองเก่งกาจเพียงใด องค์หญิงชางอี๋ยังตรัสว่าทั่วเมืองฉางอันมีเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวที่ประชันกับเสียงพิณของจวิ้นอ๋องได้ นั่นก็คือขลุ่ยที่ทำจากหยกเลาหนึ่ง พวกเจ้าลองทายดูสิว่าผู้ที่สามารถเป่าขลุ่ยตี๋ประชันกับพิณจวิ้นอ๋องได้คือผู้ใด”
ดูท่ามีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยก็รู้เรื่องนี้ พวกนางเพียงยิ้มหวานหน้าแดง พอแววตาอู่ฉี่มองไล่เรียงจากซ้ายไปขวารอบหนึ่งกลับไม่เห็นใครตอบนางเลยสักคน
แม้เถิงอวี้อี้เล่นสนุกอยู่บนชิงช้า แต่ความสนใจก็ไปอยู่ทางนั้น พอได้ยินประโยคนี้แล้วอดงุนงงไม่ได้
จากนั้นจึงได้ยินนักพรตหญิงอาวุโสเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เป็นเฉิงอ๋องซื่อจื่อกระมัง ปกติซื่อจื่อน้อยจะมาเล่นที่วังจวิ้นอ๋องบ่อยๆ ฝีมือการเป่าขลุ่ยตี๋ทั้งทรงพลังและสง่างาม น่าเสียดายช่วงหนึ่งปีมานี้แทบไม่ได้ยินเสียงอีกเลย ได้ยินว่าซื่อจื่อน้อยไปเป็นขุนนางอยู่ในศาลต้าหลี่แล้ว ปกติงานยุ่งมากจึงไม่มีเวลามาเที่ยวเล่น”
ลิ่นเฉิงโย่ว?
เถิงอวี้อี้เคยเห็นลิ่นเฉิงโย่วถือขลุ่ยหยกมาก่อนตอนที่นางอยู่บนชายคาหอไฉ่เฟิ่ง เดิมทีนึกว่าเขาเอามาถือเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีความสามารถในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
สายตาเด็กสาวทั้งหลายมองไปทางกำแพงทิศตะวันตกอย่างห้ามไม่อยู่ น่าเสียดายฟังมาครู่หนึ่งแล้วกลับมีเพียงเสียงพิณดังอ้อยอิ่ง ไร้เสียงขลุ่ยตี๋ประสานเคลียคลอ
ตู้ถิงหลันเงยหน้ามองเถิงอวี้อี้แวบหนึ่ง น้องสาวมีทักษะการดีดพิณเป็นเลิศ จะต้องสัมผัสได้ถึงความยอดเยี่ยมของเสียงพิณนี้แน่ น่าเสียดายตั้งแต่ท่านน้าล้มป่วย น้องสาวแทบไม่เคยพูดคุยเรื่องท่วงทำนองดนตรีต่อหน้าใครอีกเลย นิสัยเช่นนี้ของน้องสาวแม้แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้
นางกล่าวเสียงนุ่มนวล “เครื่องดนตรีนอกจากพรสวรรค์กับการฝึกฝนแล้ว ยังต้องอาศัยกำลังภายในควบคุมลมหายใจ ข้าคิดว่าที่เสียงขลุ่ยตี๋ของเฉิงอ๋องซื่อจื่อสามารถประชันกับเสียงพิณของจวิ้นอ๋อง หนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ เมื่อครู่ซานเหนียงไล่ตามเสียงพิณไม่ทัน หากจะแพ้ก็แพ้กันที่กำลังภายใน แต่หากเอ่ยถึงฝีมือแล้วความจริงไม่ได้แม้แต่น้อย”
ทุกคนพลันนิ่งอึ้งไป
เจิ้งซวงอิ๋นเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างยิ่ง นึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนตู้ถิงหลันเป็นผู้คว้าอันดับหนึ่งไปได้ เมื่อมองหน้าตู้ถิงหลันอีกครั้งดวงตาจึงฉายแววเข้าใจและเลื่อมใสเพิ่มขึ้นหลายส่วน
หลี่ไหวกู้กล่าวอย่างถ่อมตน “ฝีมือต่ำต้อยของข้าย่อมไม่กล้าเทียบกับสองท่านนั้นอยู่แล้ว”
เถิงอวี้อี้ปรายตามองหลี่ไหวกู้ด้วยสายตาแฝงความนัยลึกซึ้ง สุดท้ายก็ออกแรงไกวชิงช้าต่อ นางค้นพบโดยบังเอิญว่านอกป่าดอกท้อยังมีต้นอิ๋นซิ่ง* สูงตระหง่านเสียดฟ้าสองต้น ยามคนอยู่ใต้ต้นไม้จะมองไม่เห็นพิรุธใด เวลานี้เมื่อระยะสายตาอยู่ในระดับสูงถึงมองออกว่าต้นอิ๋นซิ่งสองต้นหันเข้าหากันแต่ไกล กลับดูคล้าย…
เถิงอวี้อี้ร้องเอ๊ะในใจขึ้นมาคำหนึ่ง ใครต่อใครล้วนบอกกล่าวกันว่าการวางโครงสร้างของอารามนักพรตหญิงอวี้เจินซุกซ่อนกลไกลี้ลับไว้ หรือจะเป็นกลไกนี้…
ในตอนนี้เองมีคุณหนูหลายคนเดินเข้ามาต่อแถว แต่ละคนแหงนหน้าเร่งรัดเถิงอวี้อี้ “คุณหนูเถิง ถึงตาพวกเราเล่นบ้างแล้ว”
เถิงอวี้อี้ยิ้มกว้างแล้วกล่าวคำหนึ่งว่า “ได้”
จากนั้นนางก็จับเชือกแขวนไว้แน่น ก่อนกระโดดลงจากชิงช้า
ลิ่นเฉิงโย่วลงจากหลังม้าหน้าประตูหอซิ่งฮวา แล้วมุ่งหน้าตรงขึ้นไปบนชั้นสอง เดินหามาถึงห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ก็พบเจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนรออยู่ข้างในแล้ว
นักพรตเฒ่าทั้งสองลุกขึ้นมาปิดประตูด้วยท่าทางมีลับลมคมในพลางกระซิบบอกลิ่นเฉิงโย่วว่า “ของที่ซื่อจื่อต้องการอยู่ที่นี่หมดแล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วตลบชายเสื้อคลุมนั่งลง มองเห็นของกองใหญ่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ดูลักษณะค่อนข้างเก่าคร่ำคร่า ด้านบนสุดคือบันทึกเรื่องลี้ลับหลายเล่ม
เขาลองพลิกตำราคร่าวๆ “ทั้งหมดนี้จดบันทึกเกี่ยวกับทารกเดือนดับ?”
เจี้ยนเทียนชิงเอ่ยปากก่อน “ใช่แล้ว เมื่อใดหลอมรวมเป็นทารกเดือนดับขึ้นมาได้จะต้องมีหายนะร้ายแรงตามมาไม่สิ้นสุดแน่นอน ทารกปีศาจพวกนี้จิตใจบริสุทธิ์ หากจดจำว่าใครเป็นมารดาตนเองขึ้นมาแล้วจะต้อง…”
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มพลางกล่าวตัดบทนักพรตเฒ่า “เรื่องพวกนี้ที่ผู้อาวุโสพูดมาข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้าพลิกดูบันทึกที่เกี่ยวข้องมาหมดแล้ว ไม่มีตรงใดจดเอาไว้เลยว่าทารกเดือนดับส่งเสียงร้องไห้ได้ แต่จนถึงตอนนี้คดีฆาตกรรมต่อเนื่องผ่าท้องชิงทารกทั้งสามครั้งต่างมีคนได้ยินเสียงทารกร้องไห้ตอนเกิดเหตุ วันนี้เชิญผู้อาวุโสทั้งสองมา ก็เพราะอยากขอคำชี้แนะว่าเป็นเพราะสาเหตุใดกัน”
เจี้ยนเทียนนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก เจี้ยนเซียนกลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้อธิบายไม่ยากเลย เจ้าลองคิดดูสิ ในอดีตเวลาทารกเดือนดับออกอาละวาด ผู้อาวุโสรุ่นก่อนรู้หลังเกิดเรื่องทั้งสิ้น พวกเขายุ่งกับการปราบภูตผีปีศาจ จะรู้สภาพการณ์ตอนทารกเดือนดับออกจากร่างมารดาได้อย่างไร บางทีพวกเขาออกมาก็ร้องไห้ได้ทันทีเลย”
ลิ่นเฉิงโย่วยกมือขึ้นปิดบันทึกลี้ลับ “นอกจากประเด็นที่ว่าไป หลายคดีนี้ยังมีข้อสงสัยยากจะอธิบายหลายเรื่อง เพราะเหตุใดคดีแรกถึงเป็นที่ถงโจว แต่คดีที่สองก็กลับมาเกิดที่ฉางอันเล่า เมืองถงโจวไม่มีสตรีตั้งครรภ์หรือไร เหตุใดคนร้ายต้องวิ่งวุ่นกลับไปกลับมาสองเมืองด้วย”
“เอ่อ…”
ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ข้าพอจะรู้สาเหตุบ้างแล้ว เมื่อคืนข้าตรวจสอบบันทึกเส้นทางของถงโจว โรงเตี๊ยมแห่งนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างถงโจวกับฉางอัน ชื่อโรงเตี๊ยมจวีอัน พวกท่านลองทายดูสิว่าเพราะเหตุใดโรงเตี๊ยมแห่งนั้นถึงชื่อ ‘จวีอัน’ ”
“ชื่อนี้…” เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนหันมาสบตากัน “หรือว่าตั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล”
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยอธิบาย “ข้าถามผู้ช่วยหลิ่วที่มาจากถงโจวแล้ว เขาบอกว่าที่นั่นมีภูตผีปีศาจโผล่มาเป็นประจำ ส่วนเพราะสาเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ผู้ช่วยหลิ่วก็บอกต้นสายปลายเหตุไม่ถูก บอกได้เพียงว่าที่นี่เคยมีปีศาจอาละวาด ศาลเจ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงสร้างขึ้นเพื่อการนี้ ได้ยินว่าหลายปีก่อนยังสงบสุขไร้เรื่องราว ไม่กี่ปีมานี้พื้นที่ใกล้ๆ กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันหลายครั้ง บางคนร่วงหล่นจากหน้าผา บางคนตกหลังม้าตาย เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงตั้งชื่อว่า ‘จวีอัน’ เพื่อความเป็นสิริมงคล”
เจี้ยนเทียนลองไตร่ตรอง “เมื่อก่อนสงบสุขไร้เรื่องราว ไม่กี่ปีมานี้พื้นที่ใกล้ๆ กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันหลายครั้ง…คงไม่ใช่เพราะมีสิ่งชั่วร้ายอะไรโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินใช่หรือไม่”
เจี้ยนเซียนตื่นตระหนก “เรื่องนี้จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทั้งที่อยู่ในยุครุ่งเรืองร่มเย็นแท้ๆ เพราะเหตุใดถึงได้มีปีศาจโผล่มามากมายนัก”
ลิ่นเฉิงโย่วลูบไล้ถ้วยน้ำชาในมือ สายตากลับทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส บนถนนรถม้าสัญจรอึกทึกคึกคัก แม้ในห้องส่วนตัวจะเงียบสงบ ทว่าเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากชั้นล่างยังดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย…คดีแรกในถงโจวเกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยมจวีอัน พวกท่านไม่รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไปหรือ”
สองนักพรตถามอย่างประหลาดใจ “ซื่อจื่อหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นอย่างนั้นหรือ แต่เช่นนี้ก็ไม่ถูกสิ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเราอยู่ในที่เกิดเหตุกลับไม่รู้สึกถึงไอปีศาจหรือไอมาร ดูอย่างคู่สามีภรรยาที่ถงโจว เจ้าก็บอกแล้วว่าคนเป็นสามีถูกมีดฆ่าหมูเล่มหนึ่งแทงตาย ในเมื่อเป็นปีศาจฆ่าคน เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากปานนี้…”
จู่ๆ ลิ่นเฉิงโย่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากมีคนลอบช่วยเหลือปีศาจเล่า อย่าลืมสิ ปีศาจต้นไม้นั้นเป็นเพียงปีศาจน้อยที่มีพลังตบะเพียงร้อยปี นอกเสียจากจะมีโชคดีลอยมา ไม่อย่างนั้นไม่มีทางกลายเป็นมารอย่างรวดเร็วได้ มารผีดิบกับคุณชายเสื้อทองคำหลุดออกมาจากใต้ดินเดือนหนึ่งแล้วแท้ๆ หอไฉ่เฟิ่งกลับไม่เคยมีไอปีศาจแผ่กระจายไปทั่วเลย คืนนั้นข้าซักถามคุณชายเสื้อทองคำว่ามีใครช่วยพวกเขาออกจากค่ายกลหรือไม่ ท่าทางเขาดูลังเลราวกับมีบางอย่างจะพูดอย่างแน่นอน…ข้อสงสัยทั้งหมดที่ค้างคา จนถึงวันนี้ยังหาคำอธิบายไม่ได้เลย”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทีละนิด
“พอมาถึงคดีขโมยทารกในครรภ์สองสามคดีนี้ ข้อสงสัยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก” ลิ่นเฉิงโย่วยกการินน้ำชาให้ตนเอง “อย่าเพิ่งไปพูดว่าเหตุใดถึงมีคนทุ่มเทกายใจจะสร้างทารกเดือนดับขึ้นมา เพียงเสียงทารกร้องไห้ที่แปลกพิลึกตอนเกิดเหตุพวกนั้นก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อไปกันใหญ่ เมื่อคืนข้าพลิกอ่านคัมภีร์ร้อยปีศาจกับบันทึกเรื่องลี้ลับจนครบแล้ว หาเจอบันทึกเกี่ยวกับ ‘เสียงร่ำไห้ของทารกในครรภ์อ่อน’ ชื่อของบันทึกม้วนนั้นก็คือ ‘ไน่จ้ง’ ”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนลุกพรวดขึ้นมา “ไน่จ้ง? เป็นไปไม่ได้ เจ้าตัวนี้เป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งปวงที่ปกครองยักษ์และปีศาจรากษส”
ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้น “แต่พวกท่านอย่าลืมสิ ไน่จ้งชอบกินทารกในครรภ์อ่อนที่สุด…”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนเอ่ยแทรกลิ่นเฉิงโย่วทันควัน “หากไน่จ้งปรากฏตัวขึ้นจริงฉางอันไม่มีทางเงียบสงบอย่างตอนนี้แน่…ไม่ๆๆๆ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ อีกอย่างทารกเดือนดับไม่เหมือนกับทารกในครรภ์อ่อนทั่วไปนะ”
“หากใช้เพียงทารกเดือนดับมาอธิบายคดีฆาตกรรมต่อเนื่องผ่าท้องชิงทารกไม่กี่คดีนี้ ก็มีส่วนที่ไม่กระจ่างชัดมากเกินไป ถึงแม้คนรุ่นก่อนไม่มีโอกาสเห็นขั้นตอนการถือกำเนิดของทารกเดือนดับกับตา เวลาประลองอาคมกับมันหลังจากนั้นกลับได้ยินเสียงร้องไห้อยู่เสมอ พอลองพลิกหาในบันทึกเรื่องลี้ลับจนทั่วแล้ว ก็ยังหาส่วนที่เกี่ยวกับทารกเดือนดับร้องไห้ได้ไม่เจอเลย แต่หากลองสลับมุมมองความคิด เสียงร้องไห้ของทารกที่แปลกพิกลนั่นก็จะมีคำอธิบายแล้ว”
เจี้ยนเทียนน้ำเสียงคล้ายสายพิณที่ขึงจนตึงเปรี๊ยะ “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
“มีคนเอาทารกเดือนดับมาเป็นอาหารเซ่นไหวไน่จ้ง”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนอ้าปากค้าง
ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยต่อ “ในคัมภีร์ร้อยปีศาจกล่าวไว้ว่าทารกในครรภ์อ่อนคว้ามาครองได้ง่าย ทารกเดือนดับกลับยากเย็นนัก ความแตกต่างอยู่ที่มารดาผู้ให้กำเนิด มารดาของทารกเดือนดับมักมีแรงอาฆาตสูงเทียมฟ้า เพราะก่อนตายมองเห็นทารกถูกแยกจากร่างตนกับตา เดิมทีกลางกะโหลกศีรษะทารกในครรภ์อ่อนยังไม่ปิดสนิท พบแรงอาฆาตส่วนนี้พุ่งผ่านก่อนตัดสายสะดือ ถึงจะมีสติรับรู้ทันทีตอนหลุดจากครรภ์มารดา และกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในเวลาต่อมา”
เจี้ยนเซียนตบหน้าขาฉาดใหญ่ “หากบอกว่าทารกเดือนดับเป็นวิญญาณอาฆาต เขาก็มีเลือดมีเนื้อ จะบอกว่าเขาเป็นปีศาจ เขาก็มีพลังอินปกคลุมทั่วร่างอีก ซื่อจื่อ ทารกผีครึ่งอินครึ่งหยางเช่นนี้ไน่จ้งไม่มีทางชายตาแลหรอก แม้ไน่จ้งจะเป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งปวง กลับก่อกรรมทำชั่วอยู่แต่ในโลกมนุษย์ ไม่เคยกินผีร้ายวิญญาณอาฆาตเป็นอาหาร”
จู่ๆ ลิ่นเฉิงโย่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากถ่ายทอดพลังปราณหยางเฮือกสุดท้ายก่อนตายของมารดาเข้าสู่ร่างทารกเดือนดับเล่า ทุกอย่างก็จะแตกต่างออกไปแล้วใช่หรือไม่ ส่งมอบพลังหยางส่วนนี้ไม่เพียงทำให้ทารกในครรภ์อ่อนส่งเสียงร้องไห้ได้ ยังสามารถสะกดปราณพิฆาตพลังอินในร่างพวกเขาไว้ได้ชั่วคราว ไน่จ้งไม่รับรู้ถึงพลังอินในร่างทารกเดือนดับ ก็จะกินพวกเขาเข้าไปเสมือนเป็นทารกในครรภ์ปกติ แต่ทารกเดือนดับร่างหนึ่งมักจะเหนือกว่าทารกในครรภ์ปกติหนึ่งร้อยร่าง หลังไน่จ้งกินเข้าไปพลังจะเพิ่มพูนอย่างมหาศาล ข้ากำลังคิดว่าคนร้ายทำให้สตรีที่ตกเป็นเหยื่อครองสติเอาไว้ จะเป็นเพราะต้องการให้สตรีนางนั้นเก็บไอร้อนผ่าวเฮือกสุดท้ายไว้เพื่อจะได้มอบให้ทารกเดือนดับหรือไม่นั้น…”
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนยังคงมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด แต่ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าประโยคนี้สมเหตุสมผล เพราะต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดถึงมีคนทุ่มเทกายใจสร้างทารกเดือนดับ รวมถึงเพราะเหตุใดถึงมีเสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นในที่เกิดเหตุ
“แต่…แต่ว่า…” เจี้ยนเทียนเอ่ยด้วยเสียงแห้งผาก “บันทึกล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับไน่จ้งในบันทึกเรื่องลี้ลับก็ตั้งแต่ร้อยสองร้อยปีก่อนแล้ว อมนุษย์ระดับนี้อยู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นจะต้องมีสาเหตุสักอย่างแน่! ว่ากันว่าเจ้าแห่งภูตผีตนนี้ยากจะหาผู้ใดเทียม ชอบปลอมตัวเป็นภิกษุมากลั่นแกล้งมนุษย์ปุถุชนที่สุด จะใช้เขาวงกตกักขังคนเอาไว้ก่อน แล้วซักถามปัญหากับเหยื่ออย่างสุภาพมีมารยาท หากตอบได้ถูกต้อง บางทีอาจหนีรอดจากเขาวงกตไปได้ แต่บนโลกนี้จะมีคนฉลาดเยี่ยงนั้นสักกี่คนกัน เมื่อใดมันโผล่มาขวางทางไว้จะถูกกัดกินตายคาที่ ยิ่งกว่านั้นเจ้าอมนุษย์ที่ฟ้าดินไม่อาจอภัยได้เช่นนี้ก่อนมันปรากฏตัวจะต้องเกิดนิมิตประหลาด ใน ‘คัมภีร์ร้อยปีศาจ’ เขียนเอาไว้ว่าทุกคราก่อนไน่จ้งปรากฏตัว บนท้องนภาจักมีสายฟ้าคำรามก้อง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขาท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสนอกหน้าต่างก็มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบพาดผ่านกะทันหัน ตามด้วยเสียงคำรามดังกึกก้องเหนือศีรษะ
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนราวกับถูกสายฟ้านี้ผ่าลงกลางกระหม่อมพร้อมกัน ต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ
ลิ่นเฉิงโย่วหวาดหวั่นระคนสงสัยไม่คลาย จึงลุกขึ้นเดินไปยังริมหน้าต่างเพื่อสังเกตสายฟ้าประหลาด
เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนกระวนกระวายใจเกินระงับ รีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่างเช่นกัน
สายฟ้าแลบนั้นคดเคี้ยวเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งตรงไปทางกลางเมือง จากนั้นพลันสลายกลายเป็นกลุ่มควันเหม็นไหม้ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงกลางย่านตลาดร้านค้า
สถานที่แห่งนั้นอยู่ไม่ไกลเท่าไร เจี้ยนเทียนกับเจี้ยนเซียนชะเง้อคอยาวแยกแยะทิศทาง “นั่นมัน…อารามนักพรตหญิงอวี้เจินไม่ใช่หรือ”
ลิ่นเฉิงโย่วตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เขาหมุนกายวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรีบร้อนทันใด
* เกราะไม้ คือเครื่องเคาะจังหวะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง แกะสลักเป็นทรงกลม ภายในกลวง ใช้เคาะประกอบการสวดมนต์ ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ‘บั๊กฮื้อ’ แปลว่าปลาไม้ เพราะโดยมากจะแกะสลักเป็นรูปปลาซึ่งลืมตาอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ธรรมสื่อถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
** ขลุ่ยตี๋ หรือตี๋จื่อ คือขลุ่ยผิวชนิดหนึ่งของจีน
* ต้นอิ๋นซิ่ง หมายถึงต้นแปะก๊วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 ก.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.