X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 60

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 60

ลิ่นเฉิงโย่วกับเหยียนว่านชุนเดินตามกันออกมาจากคุก

เหยียนว่านชุนขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “ไม่คิดว่าพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว คนผู้นี้จะยังไม่ยอมเปิดปาก”

ลิ่นเฉิงโย่วกลับยังสงบเยือกเย็น คนเราจะแสร้งปั้นหน้าหลอกลวงอย่างไร ดวงตามักเผยพิรุธออกมาเสมอ สายตาของจวงมู่เมื่อครู่กำลังบอกเขาว่าถึงแม้ยังไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด อย่างน้อยจิตใจก็เริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว ต่อจากนี้เพียงเติมเชื้อไฟเพิ่มก็สิ้นเรื่อง

“รออีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งสุราอาหารมาให้จวงมู่ เอาให้เขาดมกลิ่นแล้วเก็บกลับไปเสีย คอยผลัดกันมาอย่างนี้ อย่าปล่อยให้เขาอยู่ว่างๆ เป็นอันขาด”

เหยียนว่านชุนยังคลางแคลงใจ “คนผู้นี้หัวแข็งเป็นก้อนหิน วิธีเช่นนี้จะได้ผลหรือ”

“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร” ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มร่า “เวลาคนเราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะตาย สุราอาหารไม่มีทางทำให้เขาหวั่นไหวได้ แต่วันใดอยากมีชีวิตอยู่ต่อขึ้นมา พอได้เผชิญหน้ากับสุราอาหารรสเลิศเหล่านี้อีกครั้งจะเป็นช่วงที่ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าคิดว่าอย่างมากที่สุดคงทนได้ถึงคืนนี้ เขาต้องให้คนมาตามข้าแน่”

เหยียนว่านชุนได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันไป

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวขึ้นว่า “จริงสิ พี่เหยียน ข้าต้องออกไปข้างนอกเสียหน่อย”

“ไปจวนหรงอันป๋อใช่หรือไม่ รอประเดี๋ยวนะ ข้ากลับห้องพักไปเปลี่ยนชุดก่อน” เหยียนว่านชุนถูใบหน้าของตนไปมา พยายามเรียกสติตนเองให้สดชื่นแจ่มใสขึ้น

ลิ่นเฉิงโย่วชะงักฝีเท้า “พี่เหยียนยุ่งกับงานมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”

เหยียนว่านชุนโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร คดีนี้มีส่วนที่น่าปวดหัวตั้งมากมาย มีคนช่วยตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกคน ก็จะมีโอกาสพบเบาะแสเพิ่มมากขึ้นนะ”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้สานต่อบทสนทนา เหยียนว่านชุนนิสัยขยันขันแข็งและซื่อตรง มักใช้เวลาอยู่ในที่ว่าการต่อเนื่องหลายวันเพื่อสืบคดีอยู่บ่อยๆ หากยังขัดขวางไม่ยอมให้ไปใช่ว่าจะทำได้สำเร็จ เขาจึงเอ่ยยิ้มๆ “คดีนี้เกี่ยวข้องกับวิชามารและภูตผีปีศาจ คนธรรมดาไม่แน่ว่าจะมองพิรุธออก ข้าเชิญนักพรตอารามตงหมิงไปดูที่ตรอกชุนอันด้วยกันกับข้าแล้ว พี่เหยียนไม่จำเป็นต้องไปด้วยก็ได้ หลังไปตรอกชุนอันเสร็จแล้วข้ายังต้องไปหามุขมนตรีเจิ้งด้วย”

“มุขมนตรีเจิ้ง?”

“ซูลี่เหนียงเป็นสตรีที่มุขมนตรีเจิ้งเลี้ยงดูอยู่นอกจวน ชะตาแปดอักษรของนางรวมถึงเรื่องราวในอดีตตอนอยู่ที่บ้านเกิดไม่มีใครรู้รายละเอียดแน่ชัด อย่างน้อยมุขมนตรีเจิ้งคงรู้มากกว่าคนอื่น” ลิ่นเฉิงโย่วว่าต่อ “หลังคนร้ายฆ่าคนในถงโจวแล้ว ก็รีบกลับมาก่อคดีที่ฉางอัน เป้าหมายแรกที่ลงมือบังเอิญว่าเป็นซูลี่เหนียง ข้าต้องตรวจสอบให้กระจ่างว่าเพราะเหตุใดคนร้ายถึงเลือกนาง”

ทั้งสองเรื่องนี้ต้องให้ลิ่นเฉิงโย่วไปด้วยตนเองถึงจัดการได้ราบรื่น คนนอกอยากช่วยก็ไม่รู้จะยื่นมือเข้าแทรกตรงที่ใด เหยียนว่านชุนยิ้มเจื่อนกำลังจะเอ่ยตอบ เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ผู้หนึ่งพลันเดินเข้ามาหาพอดี “เจ้าหน้าที่สืบสวนลิ่น สองนักพรตน้อยมาถึงแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วเดินออกจากศาลต้าหลี่ มองเห็นรถม้าของอารามชิงอวิ๋นอยู่หน้าประตูจริงดังคาด

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยืนอยู่ข้างรถม้า ส่วนข้างกายพวกเขายังมีหนุ่มน้อยแปลกหน้าอยู่อีกคน

“ศิษย์พี่” เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อวิ่งเข้ามาใกล้ เขย่งเท้ากระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค

ตู้เซ่าถัง? ลิ่นเฉิงโย่วมองสำรวจหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

ตู้เซ่าถังรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทว่าพอนึกถึงสิ่งที่พี่อวี้สั่งกำชับเอาไว้ เขาก็ลอบยืดหลังขึ้นมาเงียบๆ ก่อนกระแอมกระไอให้คอโล่ง แล้วประสานมือคารวะลิ่นเฉิงโย่ว “ข้า…ข้าน้อยผู้แซ่ถังมีเรื่องด่วนอยากพบซื่อจื่อ ขอเชิญซื่อจื่อมาคุยกันทางนี้สักครู่ขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วตระหนักดีว่ามีบางอย่างผิดปกติ “อย่างนั้นขึ้นไปคุยบนรถม้าเถอะ”

ไหนเลยจะรู้ว่าพอเลิกผ้าม่านรถม้ากลับมองเห็นกล่องอาหารกินพื้นที่ไปครึ่งคันรถ วางเรียงซ้อนกันเป็นกล่องๆ จนเต็มเบาะฝั่งหนึ่งไปเลยทีเดียว

“นี่มันอะไรกัน” ลิ่นเฉิงโย่วหันกลับไปปรายตามองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกำลังหวาดหวั่นใจอยู่บ้างเพราะแอบรับของขวัญจากเถิงอวี้อี้มาโดยพลการ ได้ยินดังนั้นก็ฝืนยิ้มอย่างลำบากใจ “ขนมที่คุณหนูเถิงให้พวกเรามา”

ชี่จื้อรีบกล่าวเสริมว่า “คุณหนูเถิงกินขนมซานชิงของพวกเราแล้วชอบมาก จึงยืนกรานจะมอบของขวัญตอบแทนให้ได้ ข้ากับเจวี๋ยเซิ่งไม่รับไว้ก็เกรงใจแย่เลยขอรับ…”

ลิ่นเฉิงโย่วจ้องมองขนมกองนั้นเงียบๆ คาดเดาได้อยู่แล้วว่าเถิงอวี้อี้เป็นคนให้มา ของขวัญตอบแทนมากปานนี้ไม่มีทางเตรียมให้ในตอนเช้าได้ทันหรอก คงรู้ว่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อชอบกินขนม จึงตั้งใจจะให้พวกเขาแต่แรกแล้ว แต่ให้มามากถึงเพียงนี้ในคราวเดียวไม่กลัวว่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อจะกินจนจุกท้องหรือ

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อหวั่นเกรงว่าศิษย์พี่จะตำหนิตนเอง กำลังร้อนใจเตรียมถ้อยคำมาแก้ต่าง ลิ่นเฉิงโย่วกลับปล่อยผ้าม่านลง ก่อนส่งยิ้มพร้อมกล่าวกับตู้เซ่าถังว่า “คุณชายถัง มาคุยกันทางนี้เถอะ”

พอเดินไปถึงมุมเงียบสงัดไร้ผู้คน ตู้เซ่าถังก็เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างละเอียดไม่มีตกหล่น

ลิ่นเฉิงโย่วตะลึงงัน สาเหตุที่เขากล้ายืนยันว่าหูจี้เจินจะต้องถูกคนลอบทำร้ายแน่เป็นเพราะมีเพียงวิชามารเท่านั้นที่ทำให้คนอยู่ๆ ก็สูญเสียหนึ่งวิญญาณหนึ่งจิตไปได้ ทว่าไปสอบถามญาติพี่น้องกับมิตรสหายของหูจี้เจินมาครบแล้ว พวกเขาต่างบอกว่าหูจี้เจินคล้ายคลึงกับหูติ้งเป่าบิดาของเขามาก นิสัยอบอุ่นและซื่อตรง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร เมื่อสอบถามว่าระยะนี้หูจี้เจินมีสิ่งใดผิดปกติไปบ้างหรือไม่ บรรดาสหายของหูจี้เจินจึงเอ่ยถึงหลูจ้าวอันเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย

สหายหลายคนบอกว่าก่อนหน้านี้สักพักหนึ่งหูจี้เจินเคยเคารพนับถือหลูจ้าวอันสุดหัวจิตหัวใจ แต่ภายหลังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยามเห็นหน้าหลูจ้าวอันอีกครั้งกลับถลึงตาจ้องมองอย่างขุ่นเคือง ดูท่าทางราวกับมีความแค้นต่อหลูจ้าวอันขึ้นมาในคืนเดียวกระนั้น

ประจวบเหมาะว่าเขาไล่สืบเรื่องของหลูจ้าวอันมาตลอดตั้งแต่เรื่องปีศาจต้นไม้ จึงสืบเสาะค้นหาไปตามเบาะแสนี้ แล้วบังเอิญว่าช่วงหนึ่งชั่วยามที่เกิดเรื่องกับหูจี้เจิน หลูจ้าวอันก็ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอิงกั๋วกงใกล้ๆ กัน มิหนำซ้ำหลังเกิดเรื่องควนหนูก็สั่งให้คนไปลอบสอบถามมาแล้ว ไม่ว่าบ่าวไพร่ในจวนอิงกั๋วกงหรือแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงวันนั้นล้วนไม่กล้ายืนยันว่าหลูจ้าวอันอยู่ในงานตลอดหรือไม่

หากวันนั้นคนที่ทำร้ายหูจี้เจินคือหลูจ้าวอัน แล้วอีกคนหนึ่งเป็นใครกันเล่า หลูจ้าวอันมาถึงเมืองฉางอันไม่นาน คาดว่าคงมีสหายสนิทไม่กี่คน แล้วคนเช่นเขาจะปรึกษาหารือ ‘เรื่องใหญ่โต’ กับใครได้…ที่สำคัญดูเหมือนเรื่องนี้จะเปิดเผยไม่ได้ด้วย เมื่อใดมีคนมาพบเห็น เขาก็จำเป็นต้องฆ่าปิดปากอย่างไม่ลังเล

ลิ่นเฉิงโย่วคิดใคร่ครวญหลายตลบ ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในใจ หรือว่าจะเอารายชื่อแขกที่ไปร่วมงานเลี้ยงจวนอิงกั๋วกงวันนั้นมาตรวจดูซ้ำอีกรอบดี

เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว มองหน้าตู้เซ่าถังพร้อมเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายถังมากที่ตั้งใจมาบอกเรื่องนี้กับข้า คงต้องเตือนสติคุณชายถังสักประโยคหนึ่ง หลูจ้าวอันผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งถึง วันหน้าอย่าได้สืบเรื่องของเขาต่อหน้าผู้อื่นเลย หากนึกอะไรขึ้นมาได้หรือไปได้ยินอะไรมา เจ้าสั่งให้คนส่งข่าวมาหาข้าอย่างลับๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ตู้เซ่าถังเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ เดิมเขาก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ อยู่แล้ว ทว่าพอได้ยินประโยคนี้จึงซับเหงื่ออีกรอบและพยักหน้าตอบรับ

ลิ่นเฉิงโย่วหันไปมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ “พวกเจ้าสองคนอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำใช่หรือไม่”

เจวี๋ยเซิ่งตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ความจริงก็ยุ่งเล็กน้อยขอรับ เดิมทีจะไปกินอาหารที่หอซานไห่กับคุณหนูเถิง แต่นางได้รับเทียบเชิญกะทันหัน เปลี่ยนไปร่วมชมบุปผาที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจินกับคุณหนูตู้แทนแล้ว พวกเราจึงออกมาจากจวนสกุลเถิง ตั้งใจว่าจะเอาขนมไปเก็บที่อารามก่อนค่อยมาหาศิษย์พี่”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “ช่างเถอะ อย่ามัวแต่คิดถึงขนมของพวกเจ้าเลย พาคุณชายถังกลับจวนไปก่อน แล้วค่อยไปหาควนหนู ข้ามีเรื่องจะฝากบอก วันนี้จะให้เขาพาพวกเจ้าไปด้วย ขนมก็วางไว้ที่วังเฉิงอ๋องก่อน ตอนกลางคืนค่อยส่งกลับอารามไปก็ได้”

พอลิ่นเฉิงโย่วกล่าวจบ ก็สั่งคนไปจูงม้ามา

เจวี๋ยเซิ่งเดินตามมาด้านหลังพลางเอ่ยถาม “ศิษย์ต้องไปสืบคดีใช่หรือไม่”

ชี่จื้อกลับไปที่รถม้าหยิบขนมมากล่องหนึ่ง แล้ววิ่งเข้ามาส่งให้ลิ่นเฉิงโย่ว “ศิษย์พี่ยังไม่ได้กินอาหารเช้าใช่หรือไม่ขอรับ เอากล่องนี้ไปเถอะ เวลาหิวจะได้มีอะไรรองท้อง”

“ข้ากินอาหารเช้าแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วพลิกตัวขึ้นหลังม้า “จะว่าไปข้าไม่ชอบกินขนมพวกนี้สักเท่าไร”

เขาตอบก่อนจะขี่ม้าจากไปอย่างว่องไว ทว่าม้าวิ่งไปได้ไม่ไกลก็ย้อนกลับมาเยาะย่างอยู่หน้ารถม้า ก่อนจะดึงรั้งสายบังเหียนม้า แล้วกล่าวกับเจวี๋ยเซิ่งและชี่จื้อที่กำลังจะขึ้นรถว่า “เอามาสิ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อสบตากันอย่างงุนงง “อะไรหรือขอรับ”

“ขนมอย่างไรเล่า สอบสวนนักโทษมาตลอดช่วงเช้า เริ่มจะหิวขึ้นมาอีกแล้ว”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออุทานเชิงรับรู้คำหนึ่ง ก่อนก้าวขึ้นรถม้าไปหอบขนมออกมาหลายกล่องอย่างเชื่อฟัง

ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบมองจากบนหลังม้า “เปิดกล่องให้ข้าดูสักหน่อย”

“นี่คือขนมน้ำค้างหยก นี่คือขนมแป้งนุ่มโท่วฮวาฉือ นี่คือขนมระฆังทอง* นี่คือขนมเปี๊ยะอบเนย…แต่ละอย่างรสชาติอร่อยทั้งนั้น ศิษย์พี่ ท่านอยากกินกล่องไหนดีเล่า”

“แค่สี่อย่างเองหรือ” ลิ่นเฉิงโย่วกวาดสายตามองรถม้า “ไม่มีอย่างอื่นแล้ว?”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อนิ่งอึ้งไป “ไม่มีแล้วขอรับ สี่อย่างนี้เป็นขนมที่ข้ากับชี่จื้อชอบกินที่สุด คุณหนูเถิงจึงให้แม่ครัวเตรียมไว้ไม่กี่อย่าง”

ไม่มีขนมกลีบบุปผาจริงดังคาด…

ลิ่นเฉิงโย่วครุ่นคิด ทว่าไม่มีก็ช่างปะไร เขาเพียงอยากรู้ขึ้นมาเท่านั้น วันนั้นเถิงอวี้อี้บอกว่าขนมที่อร่อยที่สุดในเจียงหนานก็คือขนมกลีบบุปผาฝีมือนาง สุดท้ายแล้วเป็นคำคุยโวหรือว่ามีเค้าความจริงกันแน่

เกรงว่าจะเป็นคำคุยโวมากกว่ากระมัง

“เอาเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วว่า “ขนมสามสี่อย่างนี้รสชาติเลี่ยนเกินไป พวกเจ้าเก็บเอาไว้กินเองแล้วกัน นักพรตเจี้ยนเทียนกับนักพรตเจี้ยนเซียนยังรอศิษย์พี่อยู่ที่หอซิ่งฮวา ไปกินอาหารเช้าที่นั่นก็ไม่เลว ข้าไปก่อนแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมว่าต้องรีบไปหาควนหนู”

เขากล่าวพร้อมกระตุกสายบังเหียนม้า ก่อนที่หนึ่งคนหนึ่งอาชาจะหายลับไปทางท้ายตรอกอย่างรวดเร็ว

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยืนอยู่ที่เดิมอย่างเลื่อนลอยพร้อมกล่องไม้เคลือบเงาในอ้อมแขน รออยู่พักหนึ่งไม่เห็นศิษย์พี่ย้อนกลับมา ถึงตระหนักได้ว่าครั้งนี้ศิษย์พี่ควบม้าจากไปจริงๆ แล้ว

 

อารามนักพรตหญิงอวี้เจินตั้งอยู่ภายในฝู่ซิงฟาง ห่างจากวังฉุนอันจวิ้นอ๋องกับที่อยู่ใหม่ของอารามชิงอวิ๋นไม่ไกลนัก

กล่าวกันว่าอารามใกล้เคียงคืออารามชิงอวิ๋น หลังกำแพงฝั่งตะวันตกก็คือวังจวิ้นอ๋อง

เมื่อมาถึงหน้าประตูอารามนักพรตหญิงอวี้เจิน สองสาวพี่น้องแหวกผ้าม่านรถมองออกไปด้านนอก ก็เห็นว่าหน้าประตูมีรถคันงามม้าพ่วงพี ผ้าม่านหลากสีสดใสดั่งหมู่เมฆบนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่ามีสตรีสูงศักดิ์มาเยือนจำนวนไม่น้อย

เถิงอวี้อี้ยกมือขึ้นเคาะผนังรถม้า “ตวนฝู”

ตวนฝูที่อยู่นอกรถเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูวางใจได้”

เถิงอวี้อี้ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ อารามนักพรตหญิงอาจไม่ยอมให้บ่าวไพร่ติดตามเข้าไปด้านใน หากตวนฝูไม่อาจติดตามข้างกายนางอย่างเปิดเผย ก็ต้องคิดหาหนทางอื่น นางรู้ดีว่าถึงการป้องกันจะแน่นหนาสักเพียงใด ก็ไม่เกินความสามารถของตวนฝู จึงเตือนเขาเอาไว้ก่อน เพียงเพราะอยากให้เขากับองครักษ์ที่เหลือเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ

หน้าประตูมีนักพรตหญิงรออยู่ไม่กี่คน เมื่อมองเห็นองครักษ์ข้างกายเถิงอวี้อี้แล้วต่างก็แสดงสีหน้าลำบากใจจริงอย่างที่คิดไว้ แม้วาจานุ่มนวลอ้อมค้อมแต่มีเจตนาปฏิเสธชัดเจนยิ่ง

เถิงอวี้อี้เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่เป็นไร ข้าให้พวกเขารออยู่ข้างนอกได้”

นางว่าแล้วขยิบตาให้ตวนฝู สั่งเขาให้นำองครักษ์ถอยห่างออกไปอยู่ด้านข้าง นักพรตหญิงเห็นดังนั้นถึงนำสองพี่น้องเดินเข้าไปในอาราม

เถิงอวี้อี้เดินไปพลางเหลียวมองรอบด้านไปพลาง มองเห็นเสาสีเขียวดั่งหยกงามกับสลักไม้ค้ำยันชายคาสีทอง ต้นสนสูงใหญ่เสียดฟ้า ดอกไม้ใบหญ้าละลานตา กลิ่นอายสดชื่นอบอวลไปทั่วลานกว้าง สมกับเป็นเขตแดนอันเงียบสงบของลัทธิเต๋าอย่างแท้จริง

สถานที่แห่งนี้กลับเหมือนในความทรงจำของนางไม่มีผิดเพี้ยน จำได้ว่าชาติก่อนตอนมาอารามนักพรตหญิงอวี้เจินครั้งแรก ก็เพราะตอบรับคำเชิญมาร่วมงานชุมนุมกวีที่ฮองเฮาทรงจัดขึ้น มาถึงอารามนักพรตหญิงอวี้เจินแล้วถึงรู้ว่างานชุมนุมกวีแต่ในนามที่มีการประชันบทกวีชมบุปผา แท้จริงแล้วเป็นการเลือกคู่ครองให้บุตรหลานเชื้อพระวงศ์

ในครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกที่นางได้พบฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋อง รวมถึงขณะเดินผ่านสวนดอกไม้ยังเห็นลิ่นเฉิงโย่วกับองค์รัชทายาท และบรรดาบุตรหลานเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ

นางไตร่ตรองเลือกเฟ้นอยู่ในใจพักใหญ่ รู้สึกว่าลิ่นเฉิงโย่วนับว่าไม่เลวทีเดียว ประกอบกับเพิ่งถอนหมั้นกับต้วนหนิงหย่วนมาไม่นาน จึงตัดสินใจอาศัยโอกาสนี้เลือกคู่ครองที่หมายปองให้ตนเอง ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจแสดงความสามารถ เผยฝีมืออันโดดเด่นเหนือผู้ใดในงานชุมนุมกวี

ความพยายามครั้งนี้ไม่สูญเปล่า หลังจากนั้นฮองเฮากับพระชายาเฉิงอ๋องก็หยิบภาพเหมือนของนางไปสอบถามลิ่นเฉิงโย่ว

เดิมทีนางมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม ไม่คาดคิดว่ากลับแลกมาด้วยคำว่า ‘ไม่แต่ง’ อย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อยของลิ่นเฉิงโย่ว

พอคิดถึงเรื่องนี้เถิงอวี้อี้ก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วส่ายหน้า ผิดพลาด ผิดพลาดอย่างแท้จริง ยังดีที่ชาตินี้ไม่มีใครรู้เรื่อง มิฉะนั้นคงอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก

หากนางรู้แต่แรกว่าลิ่นเฉิงโย่วถูกพิษกู่แปลกพิสดารนั่น ในวันนั้นจะไม่มีทางไปร่วมสนุกอย่างเด็ดขาด ต่อให้เขาไม่ได้โดนพิษกู่ ด้วยนิสัยหยิ่งผยองของเขาแม้แต่เทพธิดานางสวรรค์อาจไม่ถูกตาต้องใจด้วยซ้ำ ความฝันนั้นช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ได้พอดี กระทั่งสามปีต่อมาลิ่นเฉิงโย่วยังไม่แต่งภรรยา ชัดเจนว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ตามหา ‘เทพธิดานางสวรรค์’ ที่ตนเองพึงใจไม่พบ

ตู้ถิงหลันสังเกตเห็นมานานแล้วว่าเถิงอวี้อี้ท่าทางผิดแปลกไป เพราะนางประเดี๋ยวส่ายหน้าประเดี๋ยวถอนหายใจ จึงอดเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”

“อย่าพูดถึงมันเลย” เถิงอวี้อี้ถอนหายใจ “ข้านึกถึงเรื่องโง่เขลาเรื่องหนึ่งที่เคยทำเมื่อก่อนนี้เจ้าค่ะ”

ตู้ถิงหลันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าเคยทำเรื่องโง่เขลา เล่าให้พี่สาวฟังได้หรือไม่ ตกลงมันคือเรื่องอะไรกัน”

“ช่างเถอะๆ” เถิงอวี้อี้โบกมือปฏิเสธท่าเดียว “เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร พี่สาว ท่านอย่าถามอีกเลย”

ระหว่างที่พวกนางพูดคุยกันก็เดินมาถึงห้องโถงอวิ๋นฮุ่ยในสวนฝั่งตะวันตก สองสาวพี่น้องย่างเท้าเข้าประตูวงจันทร์* ไป นักพรตหญิงที่เป็นผู้นำทางยิ้มบางๆ “ไม่กี่วันมานี้ดอกไม้ในอารามบานสะพรั่ง มีฮูหยินกับคุณหนูทั้งหลายมาชมดอกไม้ทุกวัน วันนี้คงเพราะคุณหนูรองอู่เป็นคนจัดงานชมดอกไม้ขึ้นถึงได้มีคุณหนูมาเยือนมากเป็นพิเศษ”

 

* ขนมระฆังทอง ทำมาจากแป้ง น้ำตาล เนย ผสมกันแล้วปั้นเป็นรูประฆัง ก่อนจะนำไปอบ คล้ายคลึงกับคุกกี้

* ประตูวงจันทร์ คือประตูที่เจาะเป็นรูปวงกลม

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 .. 66 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: