X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกเร้นชะตา

ทดลองอ่าน หยกเร้นชะตา บทที่ 90.1-90.2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 90.1 ตำหนักบูรพาผิดคุณธรรม

จวบจนน้ำเอ่อท่วมสองตา ฉู่จิ่นเหยาถึงได้รู้สึกว่าตนเองตกน้ำอย่างไม่เป็นธรรม

พอฝูงชนวุ่นวายนางก็ให้คนเตรียมป้องกันแล้ว พวกหลิงหลงและเจี๋ยเกิ่งจับตามองด้านหลังอย่างไม่ละสายตา ป้องกันไว้ไม่ให้มีใครฉวยโอกาสลงมือทำร้าย แต่คิดไม่ถึงว่าอุบัติภัยจะไม่ได้เกิดที่ด้านหลัง แต่มาจากด้านหน้า เหลียนผินถูกคนผลักลงน้ำ ในชั่วพริบตาที่นางจะตกลงไปได้คว้าจับฉู่จิ่นเหยาไว้ด้วยพลังมหาศาลจากความต้องการที่จะเอาชีวิตรอด ฉู่จิ่นเหยาไม่ได้เตรียมตัว ถูกเหลียนผินจับจนซวนเซ ถึงกับตกน้ำไปด้วยกัน

ทว่านี่ยังไม่จบ แม้ฉู่จิ่นเหยาจะพลอยเดือดร้อนโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่จะดีจะชั่วนางก็ว่ายน้ำเป็น ยามอยู่ในน้ำยังไม่ถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก หากเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ในเมืองไท่หยวนที่เกิดและเติบโตมาในท้องที่ย่อมไม่มีทางว่ายน้ำเป็น ทว่าฉู่จิ่นเหยาเติบโตมาในหมู่บ้านบนเขาตั้งแต่เล็ก หน้าหมู่บ้านของนางมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ฉู่จิ่นเหยาจึงได้ทักษะรักษาชีวิตเพิ่มมาเองโดยไม่มีใครสอน

น่าเสียดายที่นางควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เหลียนผินที่อยู่ด้านข้างกลับทำไม่ได้ เหลียนผินกรีดร้องพลางออกแรงตีน้ำ มือเท้าพันรัดสิ่งที่คว้าได้ไว้แน่น ฉู่จิ่นเหยาถูกนางทำเอาหมดปัญญา ได้แต่ออกแรงตะโกนบอกเหลียนผิน

“เหลียนผิน ปล่อยมือก่อน ข้าว่ายน้ำเป็น จะพาเจ้าว่ายกลับไป!”

แต่คนจะจมน้ำย่อมไม่ได้ยินว่าผู้อื่นกำลังบอกอะไร มือเท้าของฉู่จิ่นเหยาล้วนถูกเหลียนผินพันรัดแน่น นางถึงกับค่อยๆ รู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำแล้วเช่นกัน เคราะห์ดีที่ซีเน่ยเตรียมบ่าวหญิงสูงวัยและนางกำนัลที่ว่ายน้ำเป็นไว้ตลอดเวลา เพียงไม่นานก็มีเสียงกระโดดน้ำดังมาจากที่ต่างๆ ส่วนพวกหลิงหลงร้องตะโกนอยู่บนฝั่งด้วยความร้อนใจ

“พระชายา!”

นางกำนัลผู้หนึ่งดึงตัวเหลียนผินออกไป ไม่มีอีกคนคอยพันรัดมือเท้าตนเองไว้แน่น ฉู่จิ่นเหยาถึงค่อยรู้สึกว่าหายใจได้เต็มปอด นางกำนัลพาฉู่จิ่นเหยาว่ายไปยังฝั่ง พอสัมผัสพื้นดินหลิงหลงก็กางเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคลุมร่างฉู่จิ่นเหยาไว้อย่างแน่นหนา

น้ำในฤดูใบไม้ผลิยังคงเย็นเฉียบ ฉู่จิ่นเหยาลงไปอยู่ในน้ำมาคราหนึ่ง บัดนี้กำลังสั่นไปทั้งร่าง ใบหน้านางขาวซีด บอกกับคนรอบๆ โดยฝืนคงความกระตือรือร้นไว้

“ไม่เป็นไร ข้ายังสบายดี”

พวกหลิงหลงเห็นว่านอกจากได้รับความตกใจแล้ว ชายารัชทายาทไม่ได้มีอาการบาดเจ็บอื่นใด ถึงได้โล่งใจเล็กน้อย ทว่าอีกคนไม่ได้โชคดีเช่นนี้ ขณะที่เหลียนผินถูกช่วยขึ้นมา ใบหน้าอีกฝ่ายไร้สีเลือด หมดสติไปแล้ว มิหนำซ้ำนางยังตั้งครรภ์อยู่ สภาพไม่สู้ดีจริงๆ

เสี่ยวฉีฮองเฮาเห็นเรื่องทั้งหมดนี้แล้วก็ใบหน้าคล้ำเขียว เกิดไฟไหม้กลางวันแสกๆ มิหนำซ้ำชายารัชทายาทกับเหลียนผินตกน้ำ บัดนี้สนมเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งครรภ์ยังสลบไสลไม่ได้สติ นี่มิพ้นเป็นความผิดที่นางปกครองตำหนักในได้ไม่ดี เสี่ยวฉีฮองเฮาตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไม่สบอารมณ์

“ยังมัวยืนทึ่มทื่อทำอะไรอยู่ รีบตามหมอหลวง หามเกี้ยวมา!”

ฉู่จิ่นเหยาห่อร่างในเสื้อคลุม ดวงตามองไปทางเหลียนผิน เหลียนผินสลบไสลไม่ได้สติ นางกำนัลรอบๆ บ้างร้องไห้บ้างอึ้งงันไปไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เรียกได้ว่าสับสนวุ่นวายไปหมด ดวงตาฉู่จิ่นเหยากวาดผ่านคนทั้งหลาย ยามเพิ่งเกิดอุบัติภัยจะมองพิรุธออกได้ง่ายที่สุด เป็นผู้ใดต้องการทำร้ายเหลียนผินกัน

ฉู่จิ่นเหยามุ่งมั่นกับการมอง หลิงหลงทำได้เพียงกระซิบบอกข้างหูฉู่จิ่นเหยาเบาๆ “พระชายา น้ำเดือนสี่เย็นยะเยือก เกี้ยวกำลังมาแล้ว ทรงอดทนอีกสักครู่นะเพคะ”

“ข้าทนไหว” ฉู่จิ่นเหยายังพูดไม่ทันจบดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุกเข่ากล่าวถวายบังคมเป็นการใหญ่ ฉู่จิ่นเหยากระชับเสื้อคลุมหันหน้ากลับไปก็เห็นฉินอี๋ก้าวยาวๆ มาทางนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เหล่าสตรีริมฝั่งตกตะลึงเล็กน้อย รีบคุกเข่าลง “ถวายบังคมรัชทายาท”

ฉินอี๋ไม่แม้แต่จะสนใจ เดินตรงมาหาฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเหยาไม่มีเวลาให้สนใจว่าตนเองแต่งกายไม่เรียบร้อย นางทำท่าจะคารวะ แต่กลับถูกฉินอี๋รั้งไว้

“ตกน้ำได้อย่างไร” ฉินอี๋จับมือฉู่จิ่นเหยา ถูกความเย็นบนนิ้วมือนางทำเอาตกใจ สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันควัน ตวัดมองบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ อย่างเยียบเย็น ฉินอี๋ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว แต่บนหน้าผากบรรดาคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านหลังกลับมีเหงื่อผุดขึ้นมา พวกหลิงหลงกับเจี๋ยเกิ่งยิ่งไม่กล้าแก้ตัว ก้มหน้าคุกเข่าลง ฉู่จิ่นเหยาจับมือฉินอี๋ไว้ ออกแรงน้อยๆ เตือนให้เขาตระหนักถึงสถานที่ในขณะนี้

“รัชทายาท หม่อมฉันไม่เป็นไร วันนี้โทษพวกนางไม่ได้ พวกเรากลับกันก่อนเถิดเพคะ”

สายตาของฉินอี๋ยังคงคมปลาบ ฉู่จิ่นเหยาออกแรงดึงมือเขาอีกเล็กน้อย ในดวงตาฉายแวววิงวอน ฉินอี๋ถึงค่อยสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ เพียงปรายตามองบ่าวไพร่บนพื้นก่อนเอ่ยขึ้น

“กลับไปค่อยว่ากัน”

เวลานี้เสี่ยวหลินจื่อวิ่งมาพอดี ค้อมกายรายงานว่า “รัชทายาท พระชายา เกี้ยวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอี๋พยักหน้าเบาๆ อุ้มฉู่จิ่นเหยาขึ้นมาโดยไม่รอให้นางมีอาการตอบสนอง ฉู่จิ่นเหยาถูกทำเอาตกใจ จับอกเสื้อฉินอี๋ไว้โดยพลัน หลังได้สติกลับมานางก็ทั้งร้อนใจและเขินอาย

“รัชทายาท วางหม่อมฉันลงเร็วเข้าเพคะ ที่นี่มีฮูหยินอยู่มากมาย! อยู่ต่อหน้าผู้คน พระองค์…พระองค์ทำเช่นนี้วันหน้าจะให้หม่อมฉันสร้างบารมีและพบหน้าผู้คนได้อย่างไร”

“ไยถึงเริ่มสั่นแล้วเล่า” ฉินอี๋ขมวดคิ้ว ส่งสายตาให้เสี่ยวหลินจื่อ “เอาเสื้อคลุมมาอีกตัว”

เสี่ยวหลินจื่อรีบสั่งให้คนหยิบเสื้อคลุมของรัชทายาทมา ฉินอี๋ใช้เสื้อคลุมห่อร่างฉู่จิ่นเหยาขณะที่ยังอยู่ในท่าทางเดิม สอดมุมผ้าไว้แน่นหนา ฉู่จิ่นเหยาถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง หากมิใช่นางกับเขาอยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง ฉู่จิ่นเหยาก็แทบจะสงสัยแล้วว่าฉินอี๋ไม่ได้ยินที่นางพูดโดยสิ้นเชิง นางต้องการเป็นชายารัชทายาทที่สง่างามเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรี คราวนี้เละเทะไม่เป็นท่าแล้ว

ฉู่จิ่นเหยาจึงถูกอุ้มไปขึ้นเกี้ยวอย่างยอมแพ้เช่นนี้ ยังดีที่พอขึ้นเกี้ยวก็มิดชิดขึ้นมาก ยามนี้นางยังถูกห่อร่างอยู่ในเสื้อคลุมของฉินอี๋ นางไม่อยากถูกมองไปตลอดทางจริงๆ

 

พอเกี้ยวเพิ่งหยุดลง ฉู่จิ่นเหยาจะต่อต้านก็ไม่เป็นผล นางถูกฉินอี๋อุ้มกลับเข้าตำหนักบูรพาอีกครั้ง ตำหนักฉือชิ่งได้รับข่าวอยู่ก่อนแล้ว น้ำร้อนต้มไว้เรียบร้อย หากมิใช่เพราะฉู่จิ่นเหยายืนกรานคัดค้าน ฉินอี๋คงอุ้มนางไปวางลงในถังอาบน้ำโดยตรง

แช่น้ำเย็นมาพักใหญ่ ระหว่างทางก็ถูกลมหนาวพัดอีกนานปานนั้น ฉู่จิ่นเหยาหนาวจนสั่นเทาไปทั้งร่างแล้ว จวบจนได้ลงแช่ในน้ำที่สะอาดและอุ่นร้อน นางถึงได้รู้สึกว่าตนเองฟื้นคืนชีพอีกครั้ง นางแช่อย่างสบายอยู่ครู่หนึ่งก่อน สระผมจนสะอาด จากนั้นถึงได้คลุมร่างด้วยชุดตัวกลางเดินออกมา

นอกห้องอาบน้ำ พวกกงหมัวมัวเตรียมยาขับความเย็นไว้แล้ว ฉินอี๋กำลังรออยู่ข้างนอก พอเห็นฉู่จิ่นเหยาออกมาก็กวักมือบอกให้นางมาดื่ม

ยาขับความเย็นเพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ กลิ่นฉุนจมูก ฉู่จิ่นเหยาดื่มจนหมดอย่างฝืนทนกับรสชาติประหลาดนั้น ฉินอี๋มองดูนางดื่ม เห็นนางทั้งขมวดคิ้วพลางอมพุทราเชื่อมก็ปวดใจอย่างยิ่ง

สตรีที่เขาพะเน้าพะนอตามใจ ไม่เคยพูดให้ระคายน้ำใจแม้เพียงคำเดียว ไยถึงถูกผู้อื่นทรมานจนเป็นเช่นนี้ หลังยกถ้วยยาออกไปแล้ว หลิงหลงกับกงหมัวมัวก็ถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ฉินอี๋อังหน้าผากนางก่อน จากนั้นก็กุมมือฉู่จิ่นเหยาไว้ เห็นนางตัวอุ่นขึ้นแล้วถึงได้มีแก่ใจถามเรื่องในวันนี้

“เจ้าตกลงไปในน้ำได้อย่างไร”

พูดถึงเรื่องนี้ฉู่จิ่นเหยาก็ถอนหายใจ “หม่อมฉันคอยระวังอยู่ตลอด แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าผู้อื่นไม่ได้ลงมือกับหม่อมฉัน แต่กลับไปผลักเหลียนผินแทน เหลียนผินกับหม่อมฉันยืนอยู่ใกล้กัน พอนางตกน้ำจึงคว้าคนใกล้ตัวไว้ทันที หม่อมฉันมัวแต่ป้องกันด้านหลัง คิดไม่ถึงว่าจะถูกเหลียนผินกระชากจากด้านหน้า พอเป็นเช่นนี้หม่อมฉันจึงตกลงไปด้วย อันที่จริงหม่อมฉันว่ายน้ำเป็น หากมิใช่ถูกเหลียนผินพันรัด หม่อมฉันต้องแช่อยู่ในน้ำนานเพียงนั้นหรือ”

ฉินอี๋ฟังแล้วไม่รู้เช่นกันว่าควรพูดอะไร เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วพูดอย่างจนใจยิ่ง “สตรีมากคนช่างยุ่งยากโดยแท้ ไม่รู้เช่นกันว่าเขารับเข้ามาไว้ข้างหลังมากมายปานนี้ ทั้งวันเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันไปมา มีประโยชน์อันใด”

ฉู่จิ่นเหยายิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อ ฉินอี๋เป็นรัชทายาท เขาต่อว่าฮ่องเต้ได้ แต่นางกลับทำไม่ได้ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งความอยากรู้อยากเห็นของฉู่จิ่นเหยาก็ชนะ นางเห็นในห้องไม่มีใครจึงกระซิบถามฉินอี๋

“รัชทายาท พระองค์คิดว่าวันนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่”

“หืม?”

“ก็นางกำนัลผู้นั้นบนเรือวันนี้ ร่ายรำอยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้โดยอธิบายสาเหตุไม่ได้เล่า มิหนำซ้ำไฟนั้นก็แปลกประหลาด อยู่ในน้ำยังลุกไหม้อยู่สักพักกว่าจะดับ แล้วเรื่องของเหลียนผิน นางเป็นอย่างไรแล้ว”

“เรื่องนี้ต้องถามคนที่วางแผนจุดไฟ” ฉินอี๋ชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ส่วนเหลียนผินนางน่าจะแค่พลอยเดือดร้อนไปด้วย”

คำตอบนี้มีเรื่องราวแฝงอยู่มากเหลือเกิน ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้ว่าควรประหลาดใจกับเรื่องใดดี “พระองค์หมายความว่าเรื่องไฟไหม้วันนี้มีคนจงใจทำหรือ ส่วนเหลียนผินถูกคนฉวยโอกาสผลักเอาเท่านั้น นี่…หม่อมฉันไม่รู้แล้วว่าควรบอกว่าใครเคราะห์ร้ายกว่ากัน”

เห็นได้ชัดว่าฉินอี๋กำลังขบคิดอยู่เช่นกัน คนทั้งสองนั่งพิงกันเงียบๆ ต่างคนต่างคิด ผ่านไปครู่หนึ่งฉู่จิ่นเหยาก็เอ่ยขึ้นอีก

“รัชทายาท หม่อมฉันลองนึกย้อนดูดีๆ ดูจากการแสดงออกของนางระบำผู้นั้นในวันนี้ นางเหมือนไม่รู้เรื่องมาก่อน ในเมื่อคนร่ายรำยังไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นชายกระโปรงของนางเกิดไฟไหม้อย่างกะทันหันได้อย่างไร ภายใต้สายตาของคนมากมายจับจ้อง บนเรือไม่มีเชื้อไฟใดๆ มิหนำซ้ำไฟก็ลุกไหม้ฉับพลันในขณะนางระบำหมุนกาย ไม่ได้มีคนจงใจจุดไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนประหลาดยิ่งนัก เหมือนกับว่าไฟนั้นลุกไหม้ได้เอง หากนี่เป็นฝีมือคน เช่นนั้นคนอยู่เบื้องหลังทำได้อย่างไรเล่า”

ฉินอี๋ยิ้มพลางมองมาที่นาง “ข้าบอกว่าเป็นฝีมือคนทำเจ้าก็เชื่อจริงๆ ถ้าเกิดเป็นไฟประหลาดที่สวรรค์ส่งมาเล่า”

ฉู่จิ่นเหยาถูกย้อนถามจนมึนงงอยู่บ้าง แม้จะเป็นเช่นนี้นางยังคงมั่นใจในสายตาของตนเอง “รัชทายาทบอกว่าเป็นฝีมือคนทำย่อมใช่แน่นอน”

ฉินอี๋ถูกสายตาเชื่อมั่นเช่นนี้จ้องมอง ภายในใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์เหี้ยมเกรียมเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง เขาถอนหายใจเบาๆ จนปัญญากับจุดอ่อนนี้ของตนเอง จากนั้นก็โอบฉู่จิ่นเหยาแน่น ครู่ต่อมาก็พูดแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน

“พวกเขาคิดจะทำอะไรรอดูไปก็พอ”

บทที่ 90.2 ตำหนักบูรพาผิดคุณธรรม

ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงที่ซีเน่ย ผลคือเริ่มจากไฟไหม้นางระบำ ถัดมาเหลียนผินที่เป็นสนมคนโปรดและชายารัชทายาทถูกคนฉวยโอกาสผลักตกน้ำ หลังเหลียนผินถูกน้ำเย็นกระตุ้นร่างกาย ตกกลางคืนก็ปวดท้อง อาจรักษาครรภ์ไว้ไม่ได้ ฮ่องเต้กริ้วจัด ระบายเพลิงโทสะใส่สำนักแพทย์หลวง สั่งให้พวกเขารักษาครรภ์ไว้ให้จงได้ จากนั้นก็สั่งตรวจสอบเรื่องไฟไหม้ให้ถึงที่สุด

แต่ที่แปลกประหลาดคือนางกำนัลที่ร่ายรำถวายในวันนั้น รวมถึงนักดนตรีจากกองสังคีตในเรือตลอดจนนางกำนัลขันทีที่ออกความคิด คนทั้งหมดต่างให้การตามจริง ทว่ายังคงสืบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนวางเพลิง อันที่จริงเรื่องในวันนั้นทุกคนล้วนเห็นกันชัดเจน ไฟนั้นจู่ๆ ก็ลุกขึ้นเอง มิใช่ฝีมือคนทำโดยสิ้นเชิง ทว่าองครักษ์เสื้อแพรไม่กล้ารายงานตามนั้น ทำได้เพียงบีบบังคับให้คนสารภาพหนักขึ้น คิดจะหาตัวการ ‘วางเพลิง’ ออกมาให้ได้

เนื่องจากเรื่องนางระบำเผาตนเองเป็นที่เขย่าขวัญ อีกทั้งวันนั้นมีผู้เห็นกับตามากเกินไป อยากจะปิดข่าวก็ปิดไม่ได้ องครักษ์เสื้อแพรยังไม่ทันเค้นถามสาเหตุ ข่าวลือเรื่องภูตผีปีศาจก็แพร่ออกไปอย่างเงียบๆ แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกในครรภ์เหลียนผินที่บัดนี้ยังอยู่ในอันตราย บรรดาหมอหลวงชราในสำนักแพทย์หลวงต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าจะรักษาศีรษะไว้ไม่ได้ เจ้านายเบื้องบนอารมณ์ไม่ดี บ่าวไพร่เบื้องล่างล้วนรู้สึกไม่ปลอดภัย ในพระราชวังต้องห้ามมีนางกำนัลขันทีมากมาย กอปรกับในวังขัดแข้งขัดขากันรุนแรงมาหลายปี บ่าวรับใช้ที่ตายไปมีนับไม่ถ้วน สถานที่บางแห่งจึงมีบรรยากาศราวกับภูตผีสิงสู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้ในวังมีข้อห้ามมากมาย ผู้ที่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจก็มากเป็นพิเศษ

ไม่รู้เล่าลือกันออกมาจากที่ใด มีคนนำเรื่องประหลาดครั้งนี้ไปสรุปเป็นว่าเพราะเหล่าเทพและภูตผีโกรธเคือง หลังเล่าลือต่อกันหลายปากก็กลายเป็นว่าตัวการใหญ่ที่ยั่วโทสะเทพและภูตผีเกี่ยวข้องกับตำหนักบูรพา ในพระราชวังต้องห้ามต่างพูดว่ารัชทายาทชะตาแข็งจนไปขัดกับเทพและภูตผี ดังนั้นหลายปีมานี้ในวังจึงไม่มีพระโอรสพระธิดาถือกำเนิด ไม่ง่ายกว่าจะปิดบังสายตาสวรรค์จนตั้งครรภ์ได้หนึ่งพระองค์ ผลคือทำให้เทพและภูตผีในพระราชวังต้องห้ามโมโห เทพและภูตผีจึงส่งไฟบรรลัยกัลป์มาบนร่างสตรีชุดเขียวในวันงานเลี้ยงเพื่อเตือนคนในวัง มิหนำซ้ำพอเพิ่งส่งไฟบรรลัยกัลป์มา หลังจากนั้นเหลียนผินก็ตกน้ำ จนถึงตอนนี้ยังสลบไสลอยู่บนเตียง ทารกในครรภ์ก็เป็นอันตรายมากกว่าปลอดภัย นี่คือกรรมตามสนอง

ขณะที่ฉู่จิ่นเหยาได้ยินข่าวลือพรรค์นี้ ข่าวลือก็ได้แพร่ไปทั่วทั้งในและนอกวังแล้ว ฮองเฮามีคำสั่งห้ามพูดถึงทันที แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร

เพียงไม่นานความวุ่นวายในวังก็ลุกลามไปข้างนอก เริ่มจากมีบัณฑิตจากสำนักราชบัณฑิตที่แทบไม่เคยได้ยินชื่อผู้หนึ่งถวายฎีกาเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่าเรื่องประหลาดในคราวนี้อาจเป็นเพราะสวรรค์กำลังเตือนให้ฮ่องเต้และรัชทายาททบทวนตนเอง หลังจากนั้นขุนนางบุ๋นขั้นสี่อีกสองสามคนก็ถวายฎีกา ตามมาด้วยผู้ตรวจการ ต่อมาแม้แต่สภาขุนนางก็ยังถูกทำให้ตกใจ ฐานะของผู้ถวายฎีกาเริ่มจากเล็กไปใหญ่ ถ้อยคำเริ่มจากอ้อมค้อมไปดุเดือดราวกับคลื่นทะเลสะสมแรง ซ้อนทับกันหลายชั้น สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นคลื่นโหมซัดสาดที่น่าหวาดกลัว

คำวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำหนักบูรพาผิดคุณธรรมม้วนกวาดทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน นับแต่โบราณมาหากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผิดแปลกไปหรือเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง เหล่าขุนนางจะคิดว่าเป็นเพราะโอรสสวรรค์ไร้คุณธรรม เป็นเหตุให้สวรรค์บันดาลให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเพื่อเตือน เวลานี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ยังจนปัญญา ทำได้เพียงยอมรับว่าวาจาและการกระทำของตนเองบริสุทธิ์จริงใจไม่พอ คุณธรรมความประพฤติสูงส่งไม่พอ จึงออกพระราชโองการตำหนิตนเอง จากนั้นก็จุดธูปเซ่นไหว้ขอให้สวรรค์ประทานอภัย แต่เรื่องไฟไหม้ครั้งนั้นประหลาดโดยแท้ มิหนำซ้ำวันนั้นนางกำนัลผู้นั้นก็สวมชุดเขียว เรือลอยอยู่บนผืนน้ำสีเขียว ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ทิศตะวันออกซึ่งเป็นธาตุไม้ สีเขียวเป็นสีที่แสดงถึงรัชทายาทมาแต่ไหนแต่ไร คล้ายว่านานาปัจจัยล้วนชี้ไปที่คนผู้หนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันได้ก็คือฉินอี๋หาใช่รัชทายาทผู้อบอุ่นอ่อนโยนและเคารพนักปราชญ์อย่างที่คิดไม่ นับตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นต้นมา กระทำการใดไร้ซึ่งความเกรงกลัว วางอำนาจบาตรใหญ่ ทำอะไรแปลกประหลาด คล้ายจะมีเหตุผลให้สวรรค์ไม่ชมชอบจริงๆ

เรื่องดำเนินมาถึงวันนี้ ฉู่จิ่นเหยานับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินอี๋จึงพูดว่า ‘พวกเขาคิดจะทำอะไรรอดูไปก็พอ’ คดีน่ากังขาที่ดูเหมือนไร้ต้นสายปลายเหตุ เบื้องหลังถึงกับซ่อนเร้นความคิดที่ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดยิ่งว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้วางแผนมานานมากแล้วถึงได้สามารถกระพือข่าวลือได้ทันทีเมื่อมีเชื้อไฟเล็กๆ ปะทุขึ้น หลังจากรอให้คนในฝ่ายในจิตใจระส่ำระสายแล้วก็ร่วมมือกับฝ่ายหน้ากล่าวโทษตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว

คนเบื้องล่างพูดกันไปทั่ว กล่าวโทษอย่างดุเดือด ทว่าสภาขุนนางกับฮ่องเต้ต่างยังไม่แสดงท่าที เนื่องด้วยตามธรรมเนียมของราชวงศ์นี้เมื่อขุนนางถูกกล่าวโทษจะต้องถอนตัวจากงานราชสำนัก อยู่ว่างๆ ที่จวน เป็นการแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่หลงใหลในอำนาจ เพียงแต่เดิมทีผู้ที่ถูกกล่าวโทษล้วนเป็นบรรดาขุนนาง ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งผู้ที่ถูกกล่าวโทษอย่างหนักจะกลายเป็นรัชทายาท

 

เช้าตรู่วันนี้ ฉู่จิ่นเหยาให้คนเปิดหน้าต่างตำหนักหลักออกทั้งหมด เมื่อคืนฝนตกสายลมวันนี้ยังมีไอชื้นปะปนอยู่ ทั้งเย็นสดชื่นและอ่อนโยน สายลมเย็นสบายพัดเข้าตำหนักอยู่ตลอดเวลาทำให้ผ้าโปร่งที่บางราวปีกจักจั่นปลิวขึ้นรบกวนราชสีห์ทองคำที่พ่นกลิ่นหอมอยู่เงียบๆ มิหนำซ้ำยังพัดตำราที่ยังอ่านไม่จบบนโต๊ะเขียนหนังสือจนเกิดเสียงดัง

ฉู่จิ่นเหยาหยิบเม็ดหมากที่ไม่ได้จับมานานขึ้นมา ค่อยๆ วางลงบนกระดานภายใต้การชี้แนะของฉินอี๋ หลังฉินอี๋ถูกกล่าวโทษก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้าประชุมเช้าที่ท้องพระโรงอีก ตกบ่ายก็ไม่ต้องไปตำหนักเหวินหวา จู่ๆ เขาก็มีเวลาว่าง จึงนึกถึงวิชาเดินหมากที่เลิกล้มไปกลางคันของฉู่จิ่นเหยาขึ้นได้ ฉู่จิ่นเหยาได้เห็นฉินอี๋ตลอดทั้งวันนางย่อมดีใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็ยังมีความไม่เคยชินและวิตกกังวลอยู่

“มีสมาธิ” ฉินอี๋งอนิ้วเคาะหน้าผากฉู่จิ่นเหยาแล้วเลิกคิ้วมองนาง “เจ้าใจลอยง่ายเช่นนี้ตลอด หรือเป็นแค่กับข้า สอนเจ้าคัดอักษรก็ใจลอย พูดคุยด้วยก็ใจลอย บัดนี้แม้แต่เดินหมากก็ยังใจลอยอีก”

“ไม่ใช่นะเพคะ” ฉู่จิ่นเหยาปัดมือฉินอี๋ออกอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ตนเองกลับหวั่นใจเล็กน้อย นางใจลอยง่ายหรือไม่ละเอาไว้ก่อน อันที่จริงที่ฉินอี๋รู้สึกว่านางใจลอยง่ายเป็นเพราะเรื่องมากมายที่ฉู่จิ่นเหยาทำเป็นในตอนนี้ล้วนเป็นฉินอี๋สอนมา เนื่องจากมีเพียงเขา ดังนั้นยามเล่าเรียนแต่ละอย่างใจลอยสักครั้งสองครั้งเขาก็รู้สึกว่ามากแล้ว

ฉู่จิ่นเหยาค้นพบจุดนี้แล้ว ในใจก็ทั้งฝาดเฝื่อนและซาบซึ้ง นางวางหมากเม็ดหนึ่งลงเบาๆ พยายามเพ่งความสนใจกลับไปที่กระดานหมาก แต่ยังไม่ค่อยได้ผลนัก

“รัชทายาท เรื่องข้างนอก…จะทำอย่างไรดี”

ฉินอี๋แค่นเสียงเย็น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นคนที่บังอาจกล่าวโทษเขาอยู่ในสายตาสักนิด ทว่าอยู่ต่อหน้าฉู่จิ่นเหยา ฉินอี๋ไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าพวกโง่เง่าเหล่านั้นให้เสียอารมณ์ กลับกล่าวขึ้น

“ข้ามีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเจ้านานๆ ได้ นี่ไม่ดีหรือไร”

“หม่อมฉันย่อมอยากเห็นพระองค์นานๆ” ฉู่จิ่นเหยาว่า “แต่พระองค์อยู่กับหม่อมฉันนานขึ้นหนึ่งวัน พระองค์ย่อมถูกพวกเขาสาดโคลนใส่มากขึ้นตามจำนวนวัน พวกเขามีสิทธิ์อะไรกัน อีกประการหนึ่งเรื่องข้างนอกอย่างไรก็ต้องแก้ไข”

หลายวันมานี้มีขุนนางภายใต้บังคับบัญชาของตำหนักบูรพามาที่นี่เพื่อหารืออยู่เป็นระยะ พวกเขาก็คับแค้นใจเช่นกัน ทว่าเหตุผลล้วนเป็นเพราะเรื่องหมิ่นพระราชอำนาจ สั่นคลอนรากฐานของแว่นแคว้น มีเพียงฉู่จิ่นเหยาที่บอกว่าคนเหล่านั้นที่ข้างนอกกำลังทำร้ายฉินอี๋

นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ไร้เดียงสาที่สุดเท่าที่ฉินอี๋เคยได้ยินมาแล้ว แต่หัวใจเขากลับอ่อนยวบอย่างน่าเหลือเชื่อ ฉู่จิ่นเหยากำลังหยิบเม็ดหมากออกจากกระดานด้วยสีหน้าบึ้งตึง นิ้วคีบหมากหนึ่งเม็ดขึ้นมาแล้ววางลงอย่างแรง กระแทกกับกระดานจนเกิดเสียงดัง ฉินอี๋มองอากัปกิริยาของฉู่จิ่นเหยาพลางหลุดหัวเราะ ลำพังดูจากแรงที่นางหยิบหมากก็รู้แล้วว่ายามนี้นางโมโหมากเพียงไร

“ไม่เป็นไร” ฉินอี๋ยื่นมือมาลูบแก้มฉู่จิ่นเหยาเบาๆ “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากไปประชุมที่ท้องพระโรง ก็ดี จะได้ถือโอกาสพักผ่อนสักหน่อย ส่วนปัญหาเล็กน้อยพวกนั้นพวกเขาอยากกลุ้มใจก็กลุ้มใจไปเถิด”

ฉินอี๋พูดจบก็เปลี่ยนมามีท่าทีเคร่งขรึม ฉู่จิ่นเหยาจึงตั้งใจรอฟังคำพูดถัดไปจากเขา เขาก็เอ่ยขึ้นอีก

“ช่วงนี้มีคนมากมายเริ่มถามว่าเจ้าตั้งครรภ์แล้วหรือยัง ข้ารู้สึกว่าในเมื่อนี่เป็นความปรารถนาของขุนนาง พวกเราก็ไม่อาจมองข้าม”

“โธ่เอ๋ย รัชทายาท!” ฉู่จิ่นเหยาแน่นหน้าอกทันที ตีแขนเขาไปคราหนึ่งอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “หม่อมฉันตั้งใจคุยกับพระองค์อยู่ พระองค์จริงจังสักหน่อยได้หรือไม่!”

ฉินอี๋ยิ้มพลางจับมือฉู่จิ่นเหยาไว้ ไม่รู้เพราะเหตุใดทุกครั้งที่หยอกเย้าฉู่จิ่นเหยาเสร็จ อารมณ์ของเขาจะดีขึ้นอย่างน่าประหลาด โทสะในใจฉินอี๋คลายลงแล้ว กลายเป็นว่ามีแก่ใจจะเริ่มสำรวจตรวจสอบฉู่จิ่นเหยา

“ในเมื่อเจ้าใส่ใจกับเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าขอทดสอบเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าผู้ที่วางแผนวางเพลิง โหมกระพือข่าวลือ มิหนำซ้ำยังผลักดันให้ราชสำนักกล่าวโทษข้าเป็นผู้ใด”

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 15 .. 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: