บทที่ 49.1 ชมบุปผาผ่านสายน้ำ
จู่ๆ รัชทายาทมาที่จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องทำเพื่ออันใด
หลังฉู่จิ่นเหยา ‘พลั้งมือ’ ทำของตกใส่รัชทายาท ไม่ทันได้ใคร่ครวญอะไรมากก็ถูกบ่าวไพร่ที่ตื่นตระหนกพามาถึงห้องโถงด้านหน้า ก่อนหน้านี้ชายาเฒ่ายังจัดเลี้ยงรับรองแขกอยู่ที่นี่ ทว่าบัดนี้ร่องรอยการกินดื่มได้หายไปจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำในห้องโถงยังเปลี่ยนเครื่องหอมใหม่เพื่อกลบบรรยากาศงานเลี้ยงเมื่อครู่นี้ ชายาเฒ่าคาดแถบคาดหน้าผาก อาภรณ์บนร่างได้เปลี่ยนใหม่แล้ว นางนำสะใภ้ทั้งสองของตนเองรวมถึงเหล่าฮูหยินที่มาเป็นแขกถวายบังคมฉินอี๋อย่างเคารพนบนอบด้วยร่างที่สั่นเทาอยู่บ้าง
“หม่อมฉันถวายบังคมรัชทายาทเพคะ”
สตรีที่เหลือคุกเข่าลงกับพื้นตามชายาเฒ่า ฉู่จิ่นเหยากับบรรดาคุณหนูเพิ่งกลับมาจากสวนบุปผา เห็นภาพนี้ก็ทำได้เพียงรีบทำความเคารพตาม
คนทั้งหลายกล่าวถวายบังคม คุกเข่าลงไปตามๆ กัน จากด้านนอกมองเห็นเพียงศีรษะดำทะมึน ในนั้นถึงขั้นมีผู้อาวุโสที่อายุมากพอจะเป็นท่านย่าของฉินอี๋อยู่ด้วย ทว่าเมื่อฉินอี๋เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้กลับไม่มีท่าทางอึดอัด เขายืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มคนที่กำลังคุกเข่าคารวะ แววตาสงบนิ่ง เรือนกายตั้งตรง ชายาเฒ่ากับชายาจวิ้นอ๋องต่างเปลี่ยนมาสวมชุดพิธีการสำหรับนายหญิงตราตั้ง* พวกไหวหลิงจวิ้นอ๋องกับหลินซีหย่วนที่อยู่ด้านหลังก็สวมชุดประจำตำแหน่งประดับผ้าปักตราสัญลักษณ์เช่นกัน มีเพียงฉินอี๋ที่สวมชุดลำลอง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ท่าทีของฉินอี๋ก็มิได้ดูอ่อนแอแม้แต่น้อย กลับปรากฏลักษณะเย็นชาห่างเหินเช่นผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์ออกมาเนื่องจากท่าทางไม่แยแสนั่นเสียด้วยซ้ำ
คล้ายว่าเขาเกิดมาก็ควรยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นแต่แรกแล้ว
ฉินอี๋ผงกศีรษะเบาๆ กล่าวว่า “ชายาเฒ่ามิต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถิด”
ฉินอี๋พูดจบ ขันทีน้อยที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวไปประคองชายาเฒ่าให้ลุกขึ้นอย่างรู้กาลเทศะทันที พวกชายาจวิ้นอ๋องก็ยืนตรงอย่างแช่มช้าโดยมีสาวใช้คอยประคอง ครั้นคนทั้งหลายยืนกันดีแล้ว ชายาเฒ่าก็เอ่ยขึ้น
“รัชทายาท จวนซอมซ่อแห่งนี้มีคุณธรรมความสามารถอันใดถึงกับได้รับเกียรติให้รับเสด็จ รัชทายาทเสด็จมาเยือน เหตุใดมิทรงแจ้งล่วงหน้าเล่าเพคะ พวกเราจะได้ออกไปรับเสด็จนอกจวน วันนี้ถวายการรับรองบกพร่องแล้ว”
ฉินอี๋ตอบ “ชายาเฒ่าเกรงใจแล้ว ข้าได้ข่าวว่าใกล้จะครบรอบวันคล้ายวันเกิดของชายาเฒ่าจึงมามอบของขวัญอวยพรให้ หากรบกวนงานเลี้ยงที่ชายาเฒ่าและชายาจวิ้นอ๋องตระเตรียมไว้ นั่นก็เป็นความผิดแล้ว”
ชายาเฒ่าย่อมพูดอย่างถ่อมตน แต่กล่าวตามตรงการจู่โจมอย่างกะทันหันของรัชทายาททำให้นางรับมือไม่ทันจริงๆ ใครจะคิดกันเล่าว่ารัชทายาทพระองค์นี้จะออกลาดตระเวนด้วยชุดลำลอง จนกระทั่งคนทั้งกลุ่มเข้าอาณาเขตเมืองไท่หยวนถึงได้ให้คนมาส่งข่าว ไหวหลิงจวิ้นอ๋องได้ยินข่าวก็ตกใจแทบสิ้นสติ เขากลับจวนแทบไม่ทัน รีบส่งบ่าวชายคนหนึ่งกลับมาแจ้งข่าว ส่วนตนเองก็สวมชุดขุนนางออกไป ครั้นไล่ตามรัชทายาทไปทันอย่างไม่ง่ายดาย รัชทายาทกลับไม่ยอมให้แพร่งพรายข่าว บอกเพียงว่าอย่ารบกวนราษฎรแล้วเข้าเมืองมาเงียบๆ เช่นนี้
จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองไท่หยวน รัชทายาทอ้างว่ามาอวยพรวันคล้ายวันเกิด ไม่อยากทำให้คนแตกตื่นจึงมิได้ไปพบปะเจ้าเมืองไท่หยวน แต่ตรงมาที่จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องแทน ไหวหลิงจวิ้นอ๋องจะทำอย่างไรได้ เขาได้แต่ทำตามความต้องการของรัชทายาท ตลอดทางมิได้สะบัดแส้เบิกทางและมิได้มีขันทีร้องตะโกน แทบจะเข้าจวนมาอย่างไร้สุ้มเสียง
หากรัชทายาทเสด็จครานี้สวมฉลองพระองค์ด้วยชุดรัชทายาท ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอรับเสด็จจากประตูใหญ่ของจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องอย่างเต็มพิธีการ แต่รัชทายาทเสด็จมาด้วยชุดลำลอง มิได้พิถีพิถันถึงเพียงนั้น พวกเขาจึงตรงเข้ามาทางประตูข้าง เดินทะลุสวนบุปผาไปถึงเรือนใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า ระหว่างทางไหวหลิงจวิ้นอ๋องยังปลอบใจตนเองอยู่ว่าโชคดีที่ทัศนียภาพสวนบุปผาของพวกเขานับว่าไม่เลว คนก็น้อย ไม่มีทางเกิดเรื่องเสียมารยาทหรือล่วงเกินรัชทายาท แต่ไหวหลิงจวิ้นอ๋องคาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเหล่าคุณหนูที่มาเที่ยวชมสวนระหว่างทางพอดี มิหนำซ้ำยังมีคนเกือบจะทำของตกใส่รัชทายาทอีกด้วย!
ไหวหลิงจวิ้นอ๋องไม่รู้ว่าตนเองควรโมโหหรือควรหวาดกลัวดี!
เคราะห์ดีที่รัชทายาทมิได้ถือสาหาความอะไร หลังไหวหลิงจวิ้นอ๋องกับชายาเฒ่ากล่าวปฏิเสธอย่างถ่อมตนเสร็จก็เชิญรัชทายาทไปนั่งด้วยท่าทางเคารพนบนอบ ไหวหลิงจวิ้นอ๋องกับชายาเฒ่านั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง เหล่าขุนนางที่ตามเสด็จนั่งถัดลงมา หลินซีหย่วนยืนด้านหลังไหวหลิงจวิ้นอ๋อง ชายาจวิ้นอ๋องยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลังชายาเฒ่า คนที่เหลือต่างยืนกุมมือตนเองเงียบๆ ก้มหน้าน้อยๆ อยู่ด้านหลังถัดไปอีก
ในสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่ซื่อจื่ออย่างหลินซีหย่วนกับชายาจวิ้นอ๋องยังไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือนอย่างพวกฉู่จิ่นเหยา พวกนางยืนอยู่ด้านหลังสุด ด้านหน้ามีเหล่าฮูหยินยืนอยู่มากมาย เหลือบมองก็เห็นเพียงเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสีสัน ทว่ายืนอยู่ด้านหลังก็ดีเช่นกัน ฉู่จิ่นเหยาก้มหน้าน้อยๆ ปล่อยให้ฮูหยินที่อยู่ด้านหน้าบดบังนางไว้มิดชิด จากนั้นก็ปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล
แม้จะกล่าวว่ามีเส้นแบ่งขนาดใหญ่ระหว่างบุรุษและสตรี ฉู่จิ่นเหยาเป็นเด็กสาวยังไม่ออกเรือน ไม่ควรพบหน้าบุรุษอื่นนอกจากบิดาและพี่ชายน้องชาย แต่สายเลือดราชวงศ์ระดับรัชทายาทนี้เห็นได้ชัดว่ามิอาจใช้ธรรมเนียมปฏิบัติมาผูกมัดได้ รัชทายาทเสด็จ คนทั้งจวนกลับไม่ออกมารับเสด็จ นี่ย่อมเป็นความผิดมหันต์ถึงชีวิต
ฉินอี๋นั่งอยู่ตำแหน่งบนสุด ฟังชายาเฒ่ากล่าวเรื่องดีๆ อย่างระมัดระวัง เขาเหม่อลอยอยู่บ้าง เมื่อครู่เขามองเห็นฉู่จิ่นเหยา แต่บัดนี้นางยืนอยู่ตรงที่ใด ไยชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว
ทางด้านฉู่จิ่นเหยาในเวลานี้กำลังเอนกายลอบมองรัชทายาทผ่านช่องว่างระหว่างบรรดาฮูหยิน มีแขนเสื้อของคนด้านหน้าบังอยู่หลายชั้น ไม่ว่าใครก็ไม่เห็นสายตาของนาง
ฉู่จิ่นเหยาพินิจมองอย่างละเอียดอยู่หลายอึดใจ ในใจกลับกำลังคิดว่าเหตุใดบนโลกนี้ถึงมีคนที่รูปโฉมคล้ายกันได้ปานนี้
ในสมองนางพลันมีความคิดอย่างใจกล้าประการหนึ่งผุดขึ้นมา หรือฉีเจ๋อกับรัชทายาทจะเป็นคนคนเดียวกัน?
ฉู่จิ่นเหยาถูกความคิดของตนเองทำเอาตกใจจนสะดุ้ง ใบหน้ากลายเป็นซีดเผือดอย่างควบคุมไม่อยู่ นางรีบมองซ้ายแลขวา พบว่าสายตาของทุกคนล้วนรวมกันอยู่บนร่างรัชทายาทที่อยู่ด้านหน้า หาได้มีใครสังเกตเห็นนางไม่ ถึงค่อยโล่งใจเล็กน้อย
ครั้นอารมณ์สงบลงแล้วฉู่จิ่นเหยากลับเริ่มมีแก่ใจจะไตร่ตรองความจริงเท็จของการคาดเดานี้
นางกลั่นกรองความคิดอยู่เนิ่นนาน แต่ยังคงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ รัชทายาทเป็นผู้สืบสายเลือดมังกร มีปราณมังกรคุ้มครอง จะไปปรากฏตัวที่เมืองไท่หยวนซึ่งอยู่ไกลเป็นพันหลี่อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังเป็นที่จวนฉางซิงโหวอีก ส่วนตอนที่ฉีเจ๋อปรากฏตัวตรงกับปลายเดือนหนึ่งต้นเดือนสอง เวลานั้นรัชทายาทยังต้านทานข้าศึกอยู่ที่ด่านชายแดน คนมากมายเพียงนั้นต่างก็เห็นกันอยู่ อีกทั้งรัชทายาทก็มิได้มีวิชาแยกร่าง แล้วจะปรากฏตัวสองที่ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
อีกทั้งฉู่จิ่นเหยาใช้สายตาของคนนอกมองสองคนนี้ก็รู้สึกว่าฉีเจ๋อกับรัชทายาทมีนิสัยไม่เหมือนกัน รัชทายาทสูงส่งบริสุทธิ์ปรีชาสามารถ ดูห่างเหินน่าเกรงขาม แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์โดยกำเนิด ไม่เหมือนกับฉีเจ๋อที่ทั้งปากร้ายและน่าชังเลยสักนิด
ที่สำคัญที่สุดคือบัดนี้รัชทายาทที่เป็นคนเป็นๆ ยังนั่งอยู่เบื้องหน้าคนทั้งหลายอย่างสบายดี แล้วจะเป็นดวงวิญญาณได้อย่างไรกัน
ฉู่จิ่นเหยาคิดอยู่นาน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองคาดเดาได้ไม่ผิด เป็นตามนี้แน่นอน ส่วนเรื่องที่ฉีเจ๋อกับรัชทายาทองค์ปัจจุบันรูปโฉมคล้ายกันมาก…อาจเป็นเพราะรัชทายาทเป็นโอรสมังกร มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองโดยกำเนิด ดังนั้นฉีเจ๋อที่เป็นภูตหยกจึงมีรูปโฉมคล้ายรัชทายาท
ความคิดนี้เอาชนะฉู่จิ่นเหยาได้ในชั่วพริบตา ราวกับว่านางได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกจากร่าง อารมณ์สดชื่นแจ่มใสขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉู่จิ่นเหยาหัวเราะเยาะตนเองเงียบๆ อยู่ดีไม่ว่าดีเอาแต่คิดเหลวไหลอะไรอยู่ ถึงกับคิดว่าภูตหยกของนางจะเป็นรัชทายาท เหลวไหลสิ้นดี เป็นเรื่องเพ้อฝันโดยแท้
ฉู่จิ่นเหยาวางภาระหนักอึ้งลงแล้ว คราวนี้ถึงได้มีแก่ใจสังเกตดูคนรอบข้าง ชายาจวิ้นอ๋องพาเซี่ยนจู่ไปยืนอยู่ด้านหน้าแล้ว คุณหนูทั้งหมดล้วนยืนอยู่ด้านหลัง ถูกบดบังไว้มิดชิด มีเพียงเซี่ยนจู่ที่มีโอกาสได้อวดโฉมต่อหน้ารัชทายาท คุณหนูตระกูลอื่นเผยสีหน้าอิจฉาริษยาออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ฉู่จิ่นเมี่ยวยิ่งคอยชะเง้อมองไปด้านหน้าไม่หยุด ไม่รู้ว่านางอยากมองอะไรกันแน่
รัชทายาทนั่งอยู่กับชายาเฒ่าและไหวหลิงจวิ้นอ๋องได้ครู่หนึ่ง ขุนนางที่ตามเสด็จก็เอ่ยขึ้นว่ารัชทายาทเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ควรพักผ่อนแต่หัววัน ชายาเฒ่ารับคำพร้อมกับเชื้อเชิญรัชทายาทให้ประทับพักเหนื่อยในจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องอย่างมีไมตรีจิต รัชทายาทปฏิเสธเพียงสองสามคำก่อนจะตอบตกลง
คนทั้งหลายในจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องได้ยินต่างก็เผยความยินดีออกมาอย่างระงับไม่อยู่ ชายาจวิ้นอ๋องยิ่งดีใจเป็นพิเศษ แววกระหยิ่มยิ้มย่องที่หางตาปลายคิ้วปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่
ไหวหลิงจวิ้นอ๋องกับซื่อจื่อเดินเป็นเพื่อนรัชทายาทไปยังที่ประทับซึ่งจัดไว้ด้านหลังด้วยตนเอง ชายาเฒ่าเดิมทีก็จะไปด้วย แต่กลับถูกรัชทายาทและคนทั้งหลายห้ามไว้
ครั้นพวกรัชทายาทจากไปอย่างเอิกเกริกแล้ว ชายาเฒ่าก็ปาดเหงื่อ ให้สาวใช้ประคองนั่งบนตั่งหลัวฮั่น หอบหายใจไม่หยุด เห็นชายาเฒ่าเป็นเช่นนี้ ฮูหยินคนอื่นๆ ต่างก็ขอตัวออกไปอย่างรู้กาลเทศะ การเสด็จเยือนอย่างกะทันหันของรัชทายาททำให้กำหนดการของหลายคนเปลี่ยนแปลง เหล่าฮูหยินเองก็จำต้องรีบกลับจวนไปวางแผนเตรียมตัว
หลังภายในเรือนเหลือเพียงคนกันเอง ชายาเฒ่าก็เอ่ยถามชายาจวิ้นอ๋อง “เรือนหลังนั้นจัดการเหมาะสมแล้วจริงหรือ อย่าให้ขาดตกบกพร่องสิ่งใดไปจนกลายเป็นถวายการรับรองรัชทายาทไม่ดีเชียว”
“ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ พอข้าได้รับข่าวก็ให้คนไปเก็บกวาดเรือนหวาจางที่ด้านหลังทันที ตอนที่พวกเราสร้างเรือนหลังนี้ก็เพื่อเตรียมไว้ให้รัชทายาทอยู่แล้ว แม้ภายหลังรัชทายาทจะส่งจดหมายมาบอกว่าไม่เสด็จแล้ว ข้าก็มิได้ละเลยการซ่อมแซม บัดนี้ดีทีเดียว นับว่ามิได้เสียแรงเปล่า”
ชายาเฒ่าพยักหน้า “เจ้าทำได้ดี หากมิใช่เจ้าเตรียมการไว้ล่วงหน้า วันนี้พวกเราคงได้เสียมารยาทแล้ว”
ชายาจวิ้นอ๋องแย้มยิ้มอย่างปลื้มใจ นางใส่ใจต่อเรือนหวาจางปานนั้นก็มิใช่เพื่อให้บุตรสาวของนางได้เป็นชายารัชทายาทหรือไร ถึงได้ทุ่มเทกับทุกเรื่องของรัชทายาทอย่างสุดจิตสุดใจ เดิมทีตามข่าวที่แว่วมาเมื่อปีก่อน รัชทายาทไม่มีทางเสด็จมาประทับที่เมืองไท่หยวน แต่คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผัน รัชทายาทมาเยือนจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องของพวกนางจริงๆ มิหนำซ้ำยังจะพักอยู่ที่นี่สองสามวันด้วย
บทจะได้ก็ได้มาโดยไม่เปลืองแรงจริงๆ แม้ตัวชายาจวิ้นอ๋องจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ความคิดได้ลอยกลับไปด้านหลังนานแล้ว นางคิดไม่หยุดว่าจะจับหลินเป่าจูแต่งตัวอย่างไรจึงจะดึงดูดความสนใจของรัชทายาทได้ แต่งน้อยเกินไปก็ไม่สมฐานะ แต่งมากเกินไปก็จะดูเหมือนจงใจ คราวนี้ชายาจวิ้นอ๋องเริ่มลำบากใจแล้ว
ขณะที่ชายาเฒ่าพูดคุยกับชายาจวิ้นอ๋อง เหล่าคุณหนูอย่างพวกฉู่จิ่นเหยาก็ยืนฟังอยู่นอกประตูบานกั้น ชายาเฒ่ากับชายาจวิ้นอ๋องหารือกันอย่างจริงจังได้ครู่หนึ่ง ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ารอช้าไม่ได้ ชายาจวิ้นอ๋องจึงลุกออกมาลากตัวเซี่ยนจู่เข้าไปข้างในห้องด้วยตนเอง ชายาจวิ้นอ๋องจับมือเซี่ยนจู่ไว้ พอมองเห็นพวกนางไม่กี่คนก็ยิ้มอย่างขอไปที
“พวกเจ้ายังยืนกันอยู่อีกหรือ วันนี้ยุ่งมาทั้งวันพวกเจ้าก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ฉู่จิ่นเหยารอฟังคำนี้มานาน นางยอบกายคารวะแล้วพาสาวใช้เดินออกไปข้างนอกทันที ทว่าฉู่จิ่นเมี่ยวกลับไม่พอใจยิ่ง ชะงักฝีเท้าไว้ ไม่ยอมออกมา
นางไม่อยากไป! ยามปกติชอบสั่งให้พวกนางอยู่ข้างกายเซี่ยนจู่ทั้งวัน บัดนี้ต้องการหารือเรื่องเป็นงานเป็นการก็ไล่พวกนางไปเสียแล้ว ฉู่จิ่นเมี่ยวไม่ยินยอมอย่างยิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน แต่ที่สุดแล้วนางก็ไม่กล้าขัดขืนชายาจวิ้นอ๋องอย่างโจ่งแจ้ง สุดท้ายจึงเดินหน้าบึ้งตึงตามคนทั้งหลายออกนอกประตูไป
ชายาจวิ้นอ๋องมองส่งพวกนางจากไปโดยรักษารอยยิ้มไว้ นางมีชีวิตอยู่มากี่ปี มีหรือจะอ่านความคิดของฉู่จิ่นเมี่ยวไม่ออก นางเพียงแต่คร้านจะเปิดโปงออกมาเท่านั้นเอง ชายาเฒ่าเดิมทีไม่เห็นด้วยที่จะให้ฉู่จิ่นเมี่ยวเข้ามาเป็นสหายร่วมเรียน แต่ชายาจวิ้นอ๋องยืนกราน อีกทั้งฉู่จูก็รับรองเต็มที่ เรื่องนี้จึงสำเร็จลงได้ ชายาจวิ้นอ๋องเองก็รู้ว่าเด็กสาวอย่างฉู่จิ่นเมี่ยวมีเจตนาไม่ซื่อ มีแผนสกปรกมากมาย แต่แล้วอย่างไรเล่า มีนางอยู่เด็กสาวที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ปีอย่างฉู่จิ่นเมี่ยวมีหรือจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ในทางกลับกันการวางหินลับมีดเช่นนี้ไว้ข้างกายเซี่ยนจู่ให้เซี่ยนจู่ได้ลับเขี้ยวเล็บต่างหากจึงนับว่าได้ประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง
ชายาจวิ้นอ๋องกวาดตามองแผ่นหลังของฉู่จิ่นเมี่ยวอย่างเยาะหยัน ก่อนที่สายตานางจะกวาดไปที่ฉู่จิ่นเหยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รอยยิ้มของชายาจวิ้นอ๋องชะงักไปเล็กน้อย ต่างจากความคิดของมารดาสามี นางถูกใจฉู่จิ่นเมี่ยว แต่กลับไม่ยินดีจะให้คุณหนูห้าผู้นี้รั้งอยู่ข้างกายบุตรสาวตลอดมา เข้าจวนมาพร้อมกัน นี่เพิ่งผ่านมาไม่นานเท่าไร ทว่าหลินเป่าจูชอบใกล้ชิดกับฉู่จิ่นเหยามากกว่าใคร แม้กระทั่งเหล่าบ่าวไพร่ในจวนก็ยังมีคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ดีต่อฉู่จิ่นเหยา ฝีมือเช่นนี้กอปรกับรูปโฉมเช่นนี้ของฉู่จิ่นเหยาไม่มีทางทำให้ชายาจวิ้นอ๋องไม่ถือสาได้
“ท่านแม่ ท่านมองอะไรอยู่เจ้าคะ” เซี่ยนจู่ดึงแขนเสื้อชายาจวิ้นอ๋อง เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ชายาจวิ้นอ๋องได้สติกลับมา ยิ้มพลางตอบบุตรสาวเพียงคนเดียวว่า “ไม่มีอะไร ข้ากำลังพิจารณาบางเรื่อง เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าย่อมจัดการให้เจ้าเป็นอย่างดี”
เซี่ยนจู่ได้ยินก็วางใจลงได้ คิดไปเรื่อยเปื่อยว่าตนเองจะเล่นอะไรดี ส่วนชายาจวิ้นอ๋องเห็นบุตรสาวไร้ทุกข์ไร้กังวลก็คิดในใจ ไม่เป็นไร จูเอ๋อร์ยังเล็ก ปล่อยให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกสักระยะ วันหน้าค่อยสอนก็ยังไม่สาย
บทที่ 49.2 ชมบุปผาผ่านสายน้ำ
เมื่อฉู่จิ่นเหยากลับถึงเรือนตนเองก็ให้เจี๋ยเกิ่งยกชาร้อนมาให้อย่างใจเย็น วันนี้เกิดเรื่องอย่างต่อเนื่อง นางยืนมานานปวดเอวไปหมดแล้ว
เจี๋ยเกิ่งยกน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้ ส่วนหลิงหลงประคองชาที่ชงใหม่ส่งให้ฉู่จิ่นเหยา ครั้นเห็นฉู่จิ่นเหยาดื่มไปครึ่งถ้วยแล้วนางก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ไหว
“คุณหนู ท่านไม่มีความคิดใดต่อเรื่องในวันนี้เลยหรือเจ้าคะ”
ฉู่จิ่นเหยาเงยหน้ามองหลิงหลง “ควรต้องมีความคิดใดเล่า”
หลิงหลงพูดไม่ออกไปชั่วครู่ “บ่าวมิได้หมายความเช่นนั้น…แต่วันนี้พวกเราได้พบรัชทายาทแล้วนะเจ้าคะ!”
“แล้วอย่างไร” ฉู่จิ่นเหยานึกในใจว่าข้ายังได้สบตากับรัชทายาท มิหนำซ้ำยังเกือบทำของตกใส่เขาอีกด้วย
แน่นอนว่าฉู่จิ่นเหยาไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้ วันนี้ชายาเฒ่ามีงานมากจึงลืมเรื่องนี้ไปชั่วคราว หากนางพูดขึ้นมาเองอีก มิใช่เป็นการหาเรื่องให้ตนเองถูกต่อว่าหรือ
“คุณหนู รัชทายาทเสด็จมาแล้ว พวกเรา…”
“หลิงหลง” ฉู่จิ่นเหยาเอ่ยเสียงหนักขึ้นเล็กน้อย จ้องมองหลิงหลงด้วยสายตาจริงจัง “มีความทะเยอทะยานเป็นเรื่องดี แต่หากมีเพียงความทะเยอทะยาน ทว่าไม่มีฝีมือและฐานะที่คู่ควร นั่นก็เป็นเรื่องน่าขบขันแล้ว” ฉู่จิ่นเหยาวางถ้วยชาลงแล้วพูดให้หลิงหลงตลอดจนกงหมัวมัวและเจี๋ยเกิ่งที่อยู่ในห้องฟัง “พวกเรามีฐานะอะไร ท่านย่าให้พวกเรามาทำอะไร พวกเจ้าสมควรจะรู้ดีกว่าข้า ที่ชายาเฒ่ากับพระชายาดีต่อพวกเราเป็นผลมาจากฐานะสหายร่วมเรียนของเซี่ยนจู่ทั้งสิ้น เมื่อใดที่พวกเราข้ามเส้นนี้ไป เจ้าคิดว่าชายาเฒ่ากับพระชายาจะทำอย่างไร”
หลิงหลงฟังเข้าใจแล้ว นางคุกเข่าโขกศีรษะก่อนกล่าวว่า “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ผีสางตนใดครอบงำจิตใจบ่าวจนเกือบจะเดินทางผิด ขอบคุณคุณหนูที่ตักเตือน”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ฉู่จิ่นเหยาไม่คิดจะลงโทษหลิงหลง เห็นอีกฝ่ายคิดได้แล้วก็บอกให้นางลุกขึ้น ยามอยู่นอกจวนการที่คนกันเองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นสองหมัดยากจะสู้สี่มือ ฉู่จิ่นเหยายังต้องพึ่งพาหลิงหลง ดังนั้นจึงไม่มีทางหาเรื่องให้คนกันเองไม่พอใจในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
ฉู่จิ่นเหยาเตือนสติหลิงหลงเสร็จก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ อีกทั้งความครึกครื้นของโลกภายนอกในสองสามวันถัดจากนั้นก็ไม่ทำให้ฉู่จิ่นเหยานึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องนี้อีก เดิมทีชายาเฒ่าแห่งจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว บัดนี้ยังได้ต้อนรับรัชทายาทอีก ทั่วทั้งเมืองไท่หยวนล้วนเดือดพล่านเนื่องด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่วันที่สองหลังรัชทายาทมาถึง ผู้ที่มาส่งของขวัญอวยพรแก่ชายาเฒ่าก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ครั้งนี้ผู้ที่มามิใช่พ่อบ้าน แต่ล้วนเป็นนายท่านทั้งสิ้น เหล่านายท่านวางของขวัญ กล่าวอวยพรชายาเฒ่าอีกสองสามคำเสร็จก็มักจะแวะไปยังที่ประทับของรัชทายาทเพื่อถวายบังคม
แม้แต่คนคุ้นเคยของฉู่จิ่นเหยาก็มาด้วย หลงจู๊ใหญ่เว่ยแห่งร้านผ้าอวิ๋นจือมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองเช่นกัน หลงจู๊ใหญ่เว่ยกับไหวหลิงจวิ้นอ๋องแทบไม่ได้คบค้ากัน มาอวยพรวันคล้ายวันเกิดในเวลาเช่นนี้ เจตนาชัดเจนโดยแท้
เนื่องจากรู้ว่าฉู่จิ่นเหยาเองก็อยู่ที่จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋อง หลงจู๊ใหญ่เว่ยมาเยือนครานี้จึงนำเงินปันผลของเดือนนี้ติดตัวมาด้วย ผู้ที่เดินทางมาด้วยกันยังมีคนที่คิดไม่ถึงอยู่อีกคน
ฉู่จิ่นเหยาได้รับรายงานจากบ่าวไพร่ก็นึกว่าตนเองฟังผิดไป นางถามอีกรอบอย่างอดไม่ได้ “เจ้าว่าอะไรนะ”
“เรียนคุณหนูห้า หลงจู๊ใหญ่เว่ยบอกว่ามีของนำมาให้คุณหนู เนื่องจากมีเวลาจำกัดมิอาจมาพบคุณหนูต่อหน้าได้จึงวานให้แม่นางสกุลซูผู้หนึ่งในร้านมาแทนเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่นเหยาผุดลุกขึ้นยืน ตื่นเต้นจนเสียงสั่นเครือ “นางอยู่ที่ใด”
“เข้ามาจากประตูข้างทางทิศตะวันตกแล้ว บัดนี้คาดว่าอยู่ระหว่างทางเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่นเหยาดีใจอย่างยิ่ง รีบสั่งว่า “หลิงหลง มอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้พี่สาวท่านนี้เป็นค่าน้ำชา” นางยังไม่ทันได้พูดจาตามมารยาทก็ยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว
ฉู่จิ่นเหยาวิ่งมาตลอดทางและได้พบกับซูฮุ่ยกลางทางจริงๆ เมื่อมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย ขอบตาฉู่จิ่นเหยาก็ชื้นในทันที
“พี่สาว!”
ซูฮุ่ยเห็นฉู่จิ่นเหยาแล้วเช่นกัน นางรีบเร่งฝีเท้ามาจับร่างฉู่จิ่นเหยาพลางมองสำรวจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ดุว่า “เจ้าวิ่งออกมาได้อย่างไร ตรงนี้มีคนเดินไปมา อีกทั้งเจ้าก็ไม่รู้จักทาง ช่างมิกลัวถูกคนลักพาตัวไปเสียบ้าง”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” ฉู่จิ่นเหยารู้ว่าซูฮุ่ยปากร้ายใจดีเสมอมา นางจึงไม่โมโห จับมือซูฮุ่ยพลางพูดยิ้มๆ “ข้าได้ยินว่าท่านมากับหลงจู๊ใหญ่เว่ย ข้ารอไม่ไหวจริงๆ จึงออกมาหาท่านเอง แล้วก็หาพบพอดี”
ซูฮุ่ยกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อข้าเดินทางมาไกลย่อมต้องรอพบเจ้าก่อนค่อยกลับไป เอาเถิด กลับไปกันก่อน ผู้อื่นยังต้องเดินผ่านตรงนี้ พวกเราอย่ามัวขวางทาง”
ฉู่จิ่นเหยาคล้องแขนซูฮุ่ยเดินไปที่เรือนเล็กของตนเองอย่างเบิกบานใจ ระหว่างทางก็แลกเปลี่ยนข่าวคราวกับซูฮุ่ยเบาๆ เมื่อปีก่อนฉู่จิ่นเหยาให้หลงจู๊น้อยเว่ยไปหาซูฮุ่ย ต่อมาสามีของซูฮุ่ยได้ตามเว่ยเหลียงมา หลังแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นความจริง ซูฮุ่ยจึงย้ายจากชนบทมายังเมืองไท่หยวนทั้งครอบครัว ฉู่จิ่นเหยารู้อยู่นานแล้วว่าซูฮุ่ยมา แต่นางอยู่ในจวนฉางซิงโหว ไม่สะดวกจะออกไปข้างนอกและไม่สะดวกจะให้ซูฮุ่ยเข้ามาพบ ภายหลังยังถูกส่งมาเป็นสหายร่วมเรียนที่จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องอีก กว่าจะได้พบกันจึงยิ่งใช้เวลานานแสนนาน
คิดไม่ถึงว่าคราวนี้หลงจู๊ใหญ่เว่ยจะพิจารณาอย่างรอบคอบปานนี้ ถึงกับพาซูฮุ่ยมาด้วย นับตั้งแต่ฉางซิงโหวพาตัวฉู่จิ่นเหยามาก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางพี่น้องได้พบหน้ากัน
บางครั้งฉู่จิ่นเหยาก็ทอดถอนใจ แม้นางจะอาภัพด้านบุพการี แต่พี่สาวสองคนที่ได้พบพานต่างดีต่อนางไม่น้อย ฉู่จิ่นเสียนผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ อ่อนโยนภูมิฐาน มีท่าทางสมกับเป็นคนตระกูลใหญ่ ช่วยให้นางยืนหยัดอยู่ในจวนฉางซิงโหวได้ ส่วนซูฮุ่ยที่เป็นพี่สาวบุญธรรมมีนิสัยใจร้อน หากมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูกก็ไม่ยอมใครทั้งสิ้น แต่กลับมีนิสัยปากร้ายใจดี ฉู่จิ่นเหยาเชื่อใจและชมชอบพี่สาวทั้งสองคนนี้จากใจจริง
ฉู่จิ่นเหยากับซูฮุ่ยได้พบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปนาน ยิ่งพูดคุยก็ยิ่งเบิกบานใจ สนทนากันอย่างสนุกสนานมาตลอดทาง ท่าทางสบายอกสบายใจ พวกนางเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูเรือนก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินสวนมา
เมื่อเห็นผู้ที่มารอยยิ้มของฉู่จิ่นเหยาก็เลือนหายไป มีเพียงซูฮุ่ยที่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เป็นอะไรไป คุณหนูผู้นี้คือใคร เจ้าไม่ทักทายนางหรือ”
เจี๋ยเกิ่งที่อยู่ด้านหลังฉู่จิ่นเหยาทำความเคารพ “คารวะคุณหนูสี่”
คุณหนูสี่หรือ ซูฮุ่ยแปลกใจอยู่บ้างว่าเหตุใดสีหน้าของฉู่จิ่นเหยาถึงเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองแทบจะในทันที ในเมื่อเป็นพี่น้องร่วมจวน ไยถึงทำสีหน้าเช่นนี้ นางกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมแล้ว ควรมีสัมพันธ์ที่ดีกับคนในจวนจึงจะถูก เหตุใดถึงล่วงเกินคนตามใจชอบเช่นนี้เล่า
ซูฮุ่ยกำลังคิดจะหยิกฉู่จิ่นเหยาสักครา แต่ทันใดนั้นซูฮุ่ยก็นึกขึ้นได้
ฉู่จิ่นเหยาเป็นคุณหนูห้า คุณหนูสี่? คุณหนูห้า?
เวลานี้ซูฮุ่ยอดหันไปมองหน้าฉู่จิ่นเมี่ยวคราหนึ่งไม่ได้ ในใจกระจ่างแจ้งทันควัน
นี่คือบุตรสาวที่สกุลซูลอบสับเปลี่ยนกระมัง หรือก็คือน้องสาวแท้ๆ ที่มีสายเลือดเดียวกันกับนาง
คราวนี้แม้แต่ซูฮุ่ยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนแล้ว ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรขึ้นมาทันที หลังฉู่จิ่นเมี่ยวมองเห็นพวกนางสองคน สีหน้าก็ดูเหยียดหยามเย็นชา เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะทักทาย ครั้นเดินออกมาไกลแล้วฉู่จิ่นเมี่ยวก็เอ่ยถาม
“คนที่สวมชุดบ่าวไพร่ผู้นั้นคือใคร เรือนในปล่อยให้คนพรรค์นั้นเข้ามาได้อย่างไร”
ขณะที่ฉู่จิ่นเมี่ยวพูดหาได้ลดเสียงลงไม่ เห็นได้ชัดว่าต้องการพูดให้พวกนางได้ยิน สาวใช้กระซิบบางอย่างข้างหูฉู่จิ่นเมี่ยว ฉู่จิ่นเหยากับซูฮุ่ยได้ยินฉู่จิ่นเมี่ยวหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา
ซูฮุ่ยรู้สึกเย็นเยียบในใจ ฉู่จิ่นเหยากลัวซูฮุ่ยจะอับอายจึงรีบพูดว่า “พี่สาว ท่านอย่าไปถือสาหาความนาง”
นางวางมือทับบนมือฉู่จิ่นเหยาพลางกล่าว “เข้าไปคุยข้างในเถิด ตรงนี้มิใช่ที่ให้คุยกัน”
หลังเข้ามานั่งในเรือนแล้วฉู่จิ่นเหยาก็มองซูฮุ่ยพลางเอ่ยอย่างระมัดระวังทีละคำ “พี่สาว ฉู่จิ่นเมี่ยวนางก็เป็นเช่นนี้ มักพูดจาทิ่มแทงคนอื่น ไม่เหน็บแนมถากถางจะครั่นเนื้อครั่นตัว ท่านอย่าไปสนใจนาง”
“ข้ารู้” ซูฮุ่ยมองฉู่จิ่นเหยา ท่าทางเหมือนทอดถอนใจ “จะว่าไปแล้วสกุลซูนอกจากให้กำเนิดนางออกมาก็หาได้พยายามทำอะไรเพื่อนางสักนิดไม่ หลายปีมานี้ล้วนเป็นครอบครัวอื่นเลี้ยงดูนาง นางไม่ยอมรับข้า อันที่จริงข้าก็คาดการณ์ได้นานแล้ว”
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฉู่จิ่นเมี่ยวจะขับไล่ไสส่งครอบครัวผู้ให้กำเนิดนางก็เท่านั้น
ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้เช่นกันว่าควรพูดอะไร เรื่องนี้นางเป็นคนกลาง พูดอะไรล้วนไม่เหมาะ จึงไม่พูดเสียเลยดีกว่า ทำได้เพียงจับมือซูฮุ่ยไว้แน่นอย่างเงียบๆ ซูฮุ่ยเศร้าใจได้ครู่เดียวก็มีท่าทางเบิกบานขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถิด ไม่พูดถึงนางแล้ว นางไม่ยินดีพบญาติที่เป็นสามัญชนอย่างพวกเรา รังเกียจว่าพวกเราจะทำให้นางขายหน้า ข้าก็จะถือเสียว่าไม่มีน้องสาวคนนี้ เดิมทีก็ไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกันแม้เพียงวันเดียว จะไปบีบคั้นเรียกร้องหาไมตรีอะไรเล่า”
ซูฮุ่ยปล่อยวางได้เช่นนี้กลับทำให้ฉู่จิ่นเหยาตกใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เห็นว่าจริง วันนี้นับได้ว่าเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างซูฮุ่ยกับฉู่จิ่นเมี่ยว ฉู่จิ่นเมี่ยวถึงกับพูดจาเช่นนั้นต่อหน้าซูฮุ่ย ใครจะไม่ผิดหวังได้เล่า แต่เดิมทีก็เป็นคนแปลกหน้าที่ปราศจากความรักความผูกพัน ฉู่จิ่นเมี่ยวไม่ยินดียอมรับ ซูฮุ่ยก็ไม่แน่ว่าจะยินดีเช่นกัน ไฉนเลยจะคาดหวังให้ซูฮุ่ยโอบรับทุกการกระทำของฉู่จิ่นเมี่ยวอย่างไร้เงื่อนไขได้เหมือนจ้าวซื่อ
ฉู่จิ่นเมี่ยวตัดสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพี่สาวร่วมอุทรกับมือเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจเป็นสิ่งที่ฉู่จิ่นเมี่ยวต้องการที่สุดก็เป็นได้
ฉู่จิ่นเหยาคร้านจะสนใจคนพรรค์นั้นให้ส่งผลต่ออารมณ์ของตนเองโดยใช่เหตุอีก นางเริ่มพูดคุยถึงเรื่องราวหลังแยกจากกันกับซูฮุ่ย พูดคุยถึงร้านผ้าอวิ๋นจือ ทั้งยังพูดคุยว่าสามารถทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปขายได้หรือไม่ พวกนางสองพี่น้องมีเรื่องให้พูดคุยมากมายเพียงนี้ เหตุใดต้องถูกคนเนรคุณอย่างฉู่จิ่นเมี่ยวทำให้เสียอารมณ์ด้วย
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันจนติดลม ฉู่จิ่นเหยานำชุดที่ตนเองทำในเวลาว่างออกมาให้ซูฮุ่ยดูชิ้นแล้วชิ้นเล่า
ซูฮุ่ยดูฝีเข็มและวิธีเย็บอย่างละเอียด สุดท้ายก็กล่าวว่า “วิธีที่เจ้าเย็บแถบผ้ากับพู่ลงบนจีบนี้แปลกใหม่ดี แม้จับจีบเช่นนี้จะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ใช้เวลามากหน่อยก็ทำออกมาได้ ข้าจำได้คร่าวๆ แล้วว่าต้องทำอย่างไร กลับไปจะใช้เศษผ้ามาลองทำดู หากทำออกมาได้จะต้องขายดีแน่นอน”
พวกนางสองคนลำบากมาตั้งแต่เล็ก ยามพูดคุยถึงเรื่องการหาเงินจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ฉู่จิ่นเหยาถามโดยไม่คิดอะไรว่า “พี่สาว หมู่นี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เงินทองพอใช้หรือไม่”
ซูฮุ่ยมีสีหน้าอึ้งงันไปเล็กน้อยอย่างแทบไม่สังเกตเห็น อ้าปากอยู่สองสามที ซูฮุ่ยมองใบหน้าด้านข้างของฉู่จิ่นเหยาเงียบๆ ก็เห็นว่านางผิวขาวเนียน ดวงตากระจ่างใส แค่เห็นก็รู้ว่ามีชีวิตที่ดีอย่างยิ่ง ซูฮุ่ยจึงตัดสินใจว่าฉู่จิ่นเหยาอุตส่าห์ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวตนเองแล้ว มิหนำซ้ำบัดนี้ยังมีชีวิตที่ดีปานนี้ด้วยความพยายามของตนเอง เรื่องน่ารำคาญใจเหล่านั้นอย่าบอกนางจะดีกว่า
สุดท้ายซูฮุ่ยก็ส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่มีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี แบบชุดที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่นี้เย็บแล้วจะเป็นอย่างไร”
เดิมทีฉู่จิ่นเหยายังอยากจะถามให้ละเอียด แต่ได้ยินซูฮุ่ยถามถึงเรื่องการค้า นางก็ไม่กล้าปล่อยผ่าน รีบเย็บให้ดูอย่างละเอียดทันที พอเป็นเช่นนี้หัวข้อสนทนาย่อมเปลี่ยนประเด็นไป
ฉู่จิ่นเหยากับซูฮุ่ยหารือกันอยู่เป็นนานจวบจนฟ้าเริ่มมืด หากซูฮุ่ยยังไม่ไปก็จะกลับเข้าเมืองไม่ทันแล้ว ทั้งสองถึงได้บอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์
ฉู่จิ่นเหยาออกไปรออยู่บนทางผ่านเป็นเพื่อนซูฮุ่ย รอคนของหลงจู๊ใหญ่เว่ยมาจะได้นั่งรถม้ากลับเข้าเมืองด้วยกัน ฉู่จิ่นเหยายืนได้ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“พี่สาว เหตุใดคราวนี้เป็นหลงจู๊ใหญ่เว่ยมาเอง ทุกครั้งล้วนเป็นหลงจู๊น้อยเว่ยมาส่งของ ข้ายังไม่เคยพบหลงจู๊ใหญ่สักครา”
“อวยพรวันคล้ายวันเกิดชายาเฒ่ามิใช่ต้องเป็นหลงจู๊ใหญ่มาเองหรือไร!” ซูฮุ่ยเองก็ไม่กระจ่างแจ้งนัก นางกล่าวอีกว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยได้พบหลงจู๊ใหญ่เว่ยสักเท่าไร ได้ยินว่าเขามีกิจการมากมาย แต่ละวันแทบไม่ปรากฏตัวให้เห็น วันๆ ข้าวนเวียนอยู่แค่ที่ร้านผ้า หากมิใช่เพื่อมาพบเจ้าในวันนี้ เกรงว่าข้าก็คงไม่ได้พบหลงจู๊ใหญ่เว่ยเช่นกัน”
ฉู่จิ่นเหยาพยักหน้า รู้สึกว่าคนผู้นี้ลึกลับยิ่ง “หลงจู๊ใหญ่เว่ยช่างประหลาดเสียจริง ทว่าคนที่สามารถทำให้กิจการใหญ่โตเพียงนี้ได้จะทำอะไรประหลาดก็มิใช่เรื่องแปลก”
ซูฮุ่ยพยักหน้าเช่นกัน นางแค่ช่วยงานในร้าน ออกมาต้อนรับเวลามีลูกค้าสตรี แม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของกิจการสกุลเว่ย ส่วนฉู่จิ่นเหยาที่ได้รับเงินปันผลอยู่ทุกเดือนนั้นรู้สึกได้ยิ่งกว่า
ซูฮุ่ยหาได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉู่จิ่นเหยากับหลงจู๊ใหญ่เว่ยไม่ นางนึกว่านี่เป็นกิจการที่จวนฉางซิงโหวร่วมหุ้นอยู่ สุดท้ายเงินปันผลก็ตกอยู่ในนามฉู่จิ่นเหยาจึงมิได้รู้สึกว่าแปลก พวกนางสองคนรอไปพลางพูดคุยกันไปพลาง ยืนอยู่นานก็ยังไม่เห็นเงาหลงจู๊ใหญ่เว่ย บ่าวชายที่ส่งไปวิ่งไปกลับอยู่หลายรอบล้วนบอกว่าหลงจู๊ใหญ่เว่ยกำลังยุ่งอยู่ ไม่ให้เข้าพบ
“เขายุ่งกับอะไรอยู่ ถึงกับไม่ให้เข้าพบ”
ซูฮุ่ยกล่าว “รออีกหน่อยก็แล้วกัน หากเจ้ายืนเหนื่อยแล้วก็กลับไปก่อนเถิด ข้ารอคนเดียวก็ได้”
“จะได้อย่างไร” ฉู่จิ่นเหยายืนกรานจะอยู่เป็นเพื่อนซูฮุ่ย นางพร่ำบ่นขึ้นมา “หลงจู๊ใหญ่เว่ยกับจวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องไม่ได้ไปมาหาสู่กันเสียหน่อย วันนี้หลงจู๊ใหญ่เว่ยมาทำอะไรที่นี่ มิหนำซ้ำยังอยู่เสียนานปานนี้”
ยังดีที่หลงจู๊ใหญ่เว่ยคงจะตระหนักได้แล้วเช่นกันว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ไม่นานนักก็รีบรุดมาพาซูฮุ่ยกับคนอื่นๆ กลับไป ฉู่จิ่นเหยามองส่งคนออกจากประตูรองแล้วถึงได้เดินกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์
บทที่ 49.3 ชมบุปผาผ่านสายน้ำ
วันรุ่งขึ้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของชายาเฒ่า จวนไหวหลิงจวิ้นอ๋องครึกครื้นเป็นที่สุด งานเลี้ยงสายน้ำไหล จัดถึงสามวัน ทั้งประตูหน้าประตูหลังล้วนมีบ่าวชายโปรยลูกอมและเศษเงินแก่ผู้ที่ผ่านไปมา ฝูงชนต่างส่งเสียงอึกทึกไม่หยุด คณะงิ้วแสดงตั้งแต่เช้าจรดเย็น เนื่องจากรัชทายาทมาร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดครั้งนี้ บุคคลใหญ่โตที่มาร่วมอวยพรจึงเพิ่มมากขึ้น ตรงประตูมีบ่าวชายหนึ่งคนคอยขานชื่อและอ่านรายการของขวัญโดยเฉพาะ ตลอดทั้งวันเสียงอันดังกังวานและทอดยาวของเขามีเวลาให้หยุดพักน้อยนัก เรียกได้ว่าแขกเหรื่อคับคั่งอย่างแท้จริง
ครั้นมีคนมามากเข้าไม่ว่าแขกหรือเจ้าภาพล้วนถูกทำเอาสับสนตาลาย ย่อมไม่มีแรงไปสนใจว่ามีใครบ้าง ส่วนทางรัชทายาทในช่วงเวลานี้ก็ให้คนไม่น้อยเข้าเฝ้าเป็นพิเศษเพราะวันคล้ายวันเกิดของชายาเฒ่า
ยามบ่ายวันสุดท้ายของงานเลี้ยงสายน้ำไหลมีการจัดเวทีแสดงงิ้วที่สวนบุปผาด้านหลัง ชายาเฒ่าพาแขกเหรื่อทั้งโขยงมาชม เวทีตั้งอยู่ตรงใจกลาง รอบด้านมีหอล้อม ไหวหลิงจวิ้นอ๋องและแขกบุรุษอย่างพวกรัชทายาทนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง ชายาเฒ่ากับบรรดาฮูหยินและคุณหนูนั่งอยู่อีกฝั่ง
ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้สึกกระตือรือร้นใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้ นางนั่งตรงตำแหน่งที่นั่งพลางเหม่อลอยไปตามปกติ ทันใดนั้นข้อศอกก็ถูกคนสะกิด
“ไยเจ้ายังมัวเหม่อลอยอยู่อีก!” เซี่ยนจู่จ้องฉู่จิ่นเหยาอย่างไม่พอใจ
ฉู่จิ่นเหยาได้สติกลับมา รู้สึกงุนงง “มีอะไรหรือ”
เซี่ยนจู่ขยับปาก สุดท้ายก็มิได้พูดอะไร แต่กลับจับแขนฉู่จิ่นเหยาทำท่าจะลากออกไปข้างนอก “ข้าอยากออกไปสูดอากาศ เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าที”
“หากท่านอยากออกไปก็ให้พี่หญิงหยางไปเป็นเพื่อนเถิด ข้าคร้านจะเดิน”
“ไม่ได้ ข้าบอกให้เจ้าไปเจ้าก็ต้องไป”
ฉู่จิ่นเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ชอบท่าทีเช่นนี้ของเซี่ยนจู่อย่างยิ่ง ในหมู่สหายร่วมเรียนทั้งสาม ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้เช่นกันว่าตนเองเป็นที่ถูกใจเซี่ยนจู่ได้อย่างไร เซี่ยนจู่ชอบลากนางให้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ฉู่จิ่นเมี่ยวกับหยางฉี่สยาอิจฉาริษยาในเรื่องนี้อย่างยิ่ง แต่ฉู่จิ่นเหยากลับรู้สึกอึดอัด เซี่ยนจู่ทำเช่นนี้เกรงว่าคงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากชาติกำเนิดของนางกระมัง คุณหนูตระกูลมั่งคั่งมีอยู่ทุกหนแห่ง ทว่าคุณหนูที่เติบโตมาในครอบครัวชาวนาเพราะถูกอุ้มผิดตัวกลับเป็นของประหลาดหายาก ท่าทีที่เซี่ยนจู่ปฏิบัติต่อนางในเวลาส่วนใหญ่จึงเหมือนปฏิบัติกับของเล่นหายาก
แต่เซี่ยนจู่ผู้นี้เป็นดวงใจของชายาจวิ้นอ๋อง ใครจะกล้าต่อว่านางกันเล่า ฉู่จิ่นเหยาได้แต่ลุกขึ้นตามแรงของเซี่ยนจู่พลางพูดขึ้น
“ก็ได้ ท่านไม่ต้องดึงแล้ว ข้าตามท่านออกไปก็ได้”
ฉู่จิ่นเมี่ยวคอยให้ความสนใจฉู่จิ่นเหยาอย่างไม่เป็นที่สังเกตอยู่ตลอดเวลา เมื่อนางเห็นฉู่จิ่นเหยาลุกขึ้น ภายนอกดูนิ่งเฉย แต่ครั้นฉู่จิ่นเหยาเดินออกประตูไป นางก็โน้มกายไปถามหยางฉี่สยาทันที
“เซี่ยนจู่กับน้องหญิงห้าออกไปทำอะไร”
หยางฉี่สยาหันไปมองคราหนึ่งก่อนตอบโดยไม่ทันคิด “ไม่รู้ เมื่อครู่ข้าคล้ายจะเห็นรัชทายาทเสด็จออกไป พวกเซี่ยนจู่อาจจะเบื่อเช่นกันจึงออกไปสูดอากาศกระมัง”
ฉู่จิ่นเมี่ยวส่งเสียงเป็นเชิงรับรู้คำเดียว แต่ภายในใจกลับคิดว่าที่แท้พวกนางก็ตามรัชทายาทออกไป
นางอดทนนั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากฉู่จิ่นเมี่ยวออกไป หยางฉี่สยาก็กวาดตามองแผ่นหลังของฉู่จิ่นเมี่ยวโดยปราศจากอารมณ์
ฉู่จิ่นเหยาถูกเซี่ยนจู่ลากให้เดินมา ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล ต่อมานางจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วมองเซี่ยนจู่อย่างระแวดระวัง
“เซี่ยนจู่ ท่านจะทำอะไร”
“ข้าแค่ออกมาสูดอากาศตากลมเท่านั้น”
“สวนบุปผาใหญ่ปานนี้ไปรับลมที่ใดก็ได้ เหตุใดท่านต้องเดินมาทางนี้ท่าเดียวเล่า”
ฉู่จิ่นเหยาสายตาดุดัน เซี่ยนจู่ถูกสายตาของนางทำเอาหวาดผวาก่อนตอบเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าเห็นรัชทายาทออกมาเช่นกัน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่ารัชทายาทเป็นคนเช่นไร พวกเราลอบตามไปดูสักครา คราเดียวก็พอ!”
“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!” ฉู่จิ่นเหยาร้องอย่างตกใจ “ท่านรู้หรือไม่ว่าถ้าถูกใครจับได้จะมีโทษเช่นไร”
เซี่ยนจู่เบ้ปากอย่างไม่แยแส “ถึงอย่างไรก็ไม่ถูกใครจับได้แน่ ข้าดูแค่คราเดียวจะเป็นไรไป”
ฉู่จิ่นเหยาเพลิงโทสะปะทุแล้วจริงๆ นางพลิกมือคว้าข้อมือเซี่ยนจู่ไว้จะลากอีกฝ่ายกลับไป “ข้าอธิบายเหตุผลกับท่านไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ให้พระชายาจัดการก็แล้วกัน”
เซี่ยนจู่เดือดดาล ตวาดออกมาทันที “เจ้ากล้ารึ!”
“ท่านก็ดูเอาเองว่าข้ากล้าหรือไม่”
เซี่ยนจู่โมโหจนเต้นเร่าๆ นางขืนกายอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมเดิน มิหนำซ้ำยังหันหน้ากลับไปด่าบ่าวหญิงที่ตามมาด้วย
“พวกเจ้าตาบอดกันแล้วหรือ นางล่วงเกินเบื้องสูงเช่นนี้ พวกเจ้าไม่เห็นหรือไร ระวังเถิด ข้าจะฟ้องท่านแม่ข้า ให้นางขายพวกเจ้าไปอยู่หอคณิกา!”
ฉู่จิ่นเหยาได้ยินก็ยิ่งโมโห หอคณิกาอะไร นี่เป็นถ้อยคำที่คุณหนูยังไม่ออกเรือนสมควรพูดหรือ บ่าวหญิงที่เหมือนสาวใช้ใหญ่คนหนึ่งด้านหลังเซี่ยนจู่พูดขึ้น
“เซี่ยนจู่ คุณหนูห้ากล่าวได้มีเหตุผล ท่านลอบดูบุรุษคนนอกเช่นนี้ผิดจารีต กลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“บังอาจ!” เซี่ยนจู่โมโหจนสั่นไปทั้งกาย “พวกเจ้าเป็นตัวอะไร ถึงกับกล้ามาสั่งสอนข้า!” ว่าแล้วนางก็ก้มหน้ากัดมือฉู่จิ่นเหยา
ฉู่จิ่นเหยาไม่ทันระวัง รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ แรงที่มือจึงคลายออกทันที เซี่ยนจู่อาศัยจังหวะนี้หนีออกมา ทำเสียงถ่มน้ำลายใส่ฉู่จิ่นเหยาอย่างเคียดแค้นก่อนจะหันกายวิ่งไปข้างหน้า
บ่าวหญิงของเซี่ยนจู่ต่างตกใจจนสะดุ้ง เซี่ยนจู่วิ่งไปไกลแล้ว พวกนางจะมัวสนใจความเป็นความตายของฉู่จิ่นเหยาได้อย่างไร ต่างก็กวดฝีเท้าไล่ตามเจ้านายไปทันที
ฉู่จิ่นเหยาทั้งโกรธและโมโห ส่วนหลิงหลงก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเซี่ยนจู่จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ นางประคองมือของฉู่จิ่นเหยาไว้ด้วยความปวดใจ บนข้อมือขาวเนียนของฉู่จิ่นเหยามีรอยฟันอยู่สองแถว บางจุดมีเลือดซึม หลิงหลงเพลิงโทสะปะทุ อยากจะด่าทอเซี่ยนจู่ออกมาด้วยซ้ำ
“คนอะไร อายุเท่าไรแล้วยังกัดคนอยู่อีก”
“หลิงหลง ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉู่จิ่นเหยาขมวดคิ้วอดกลั้นต่อความเจ็บแปลบที่ข้อมือ นางโคลงศีรษะกล่าวว่า “หากมีคนได้ยินเข้า ผู้ที่รับเคราะห์ก็คือพวกเรา วาจาเช่นนี้อย่าได้พูดอีก”
หลิงหลงมีหรือจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ แต่นางเห็นคุณหนูของตนเตือนเซี่ยนจู่ด้วยความหวังดี ทว่ากลับถูกเซี่ยนจู่ที่เกเรเอาแต่ใจไร้สมองผู้นั้นของจวนจวิ้นอ๋องกัดจนบาดเจ็บก็ให้โมโหแทบตายจริงๆ หลิงหลงจึงเอ่ยขึ้น
“คุณหนูอดทนไว้ก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะกลับไปหยิบยา จากนั้นจะพาท่านไปหาชายาเฒ่า ชายาเฒ่านับว่าเป็นคนมีเหตุผลจะต้องไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน”
ฉู่จิ่นเหยายิ้มพลางส่ายหน้า ถึงชายาเฒ่าจะมีเหตุผล แต่จะช่วยคนนอกหรือไร คุณหนูตระกูลใหญ่ถึงกับกัดคน นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้าเพียงไร ชายาเฒ่ามีหรือจะเข้าข้างนาง เกรงว่าคนแรกที่จะปิดข่าวไกล่เกลี่ยให้เรื่องราวเงียบลงก็คือชายาเฒ่านั่นเอง
ฉู่จิ่นเหยามิได้พูดอะไรต่อ เพียงบอกว่า “เจ้าไปที่หอชมการแสดง รายงานเรื่องของเซี่ยนจู่ให้พระชายาและชายาเฒ่าทราบก่อน ถ้าเกิดล่วงเกินรัชทายาทเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่เอา เซี่ยนจู่นางยินดีรนหาที่ตาย แต่พวกเราจะตายไปกับนางไม่ได้”
หลิงหลงลังเล “แต่แผลของคุณหนู…”
“ไม่เป็นไร แผลภายนอกเท่านั้นเอง” ฉู่จิ่นเหยากล่าว “เจ้าไปหาชายาเฒ่ากับพระชายาก่อน ใครก็ได้ทั้งนั้น การห้ามเซี่ยนจู่สำคัญที่สุด”
หลิงหลงยังคงพะว้าพะวัง สุดท้ายนางก็พูดอย่างตัดสินใจได้ “คุณหนูนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ อย่าเดินไปที่ใด อดทนไว้สักนิด ตรงนี้ไม่นับว่าไกลจากเรือนของพวกเรา บ่าวจะรีบวิ่งกลับไปบอกเจี๋ยเกิ่งให้นางมาใส่ยาให้ท่านแล้วค่อยไปแจ้งชายาเฒ่าที่หอชมการแสดง”
ได้แต่ทำตามนี้แล้ว ฉู่จิ่นเหยาพยักหน้า “ดี ระหว่างทางเจ้าเองก็ระวังด้วย”
หลิงหลงประคองฉู่จิ่นเหยาไปนั่งในศาลารับลม จากนั้นก็วิ่งออกไปไวปานเหาะ ทางด้านฉู่จิ่นเมี่ยวก็ลอบตามหลังมา แต่นางได้ส่งสาวใช้มาดักซุ่มดูความเคลื่อนไหวของฉู่จิ่นเหยาอยู่ก่อน
สาวใช้น้อยซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ ชะเง้อมองดูอยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่ทันเดาความเป็นไปทั้งหมดออกก็เห็นหลิงหลงวิ่งมาแล้ว สาวใช้น้อยสะดุ้ง รีบถอยทันที
ครั้นสาวใช้น้อยวิ่งกลับมา ฉู่จิ่นเมี่ยวก็รีบถามว่า “เป็นอย่างไร ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้น้อยตอบทั้งที่ยังหอบ “บ่าวไม่เห็นเซี่ยนจู่ เห็นเพียงคุณหนูห้านั่งอยู่ในศาลา คล้ายว่ามือจะได้รับบาดเจ็บ สาวใช้ของนางพยุงคุณหนูห้าไปนั่งเรียบร้อยก็วิ่งออกมาคนเดียวเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่นเมี่ยวคิดได้ทันที เดาว่าหลิงหลงน่าจะวิ่งออกมาตามหมอ ฉู่จิ่นเมี่ยวหัวเราะเสียงเย็นก่อนเอ่ยว่า “ช่างเป็นสาวใช้ที่จงรักภักดีเสียจริง เจ้านายได้รับบาดเจ็บ นางกลับวิ่งหนี ไป พวกเราไปจัดการสาวใช้ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้แทนน้องหญิงห้า”
ทางด้านหลิงหลงกำลังกังวลว่าฉู่จิ่นเหยาอยู่เพียงลำพัง อยากจะรีบกลับไปเรียกเจี๋ยเกิ่งออกมา น่าเสียดายที่ยิ่งรีบก็ยิ่งติดขัด ขณะอยู่ห่างจากเรือนเพียงนิดเดียว หลิงหลงกลับถูกฉู่จิ่นเมี่ยวขวางไว้
“เอ๊ะ? นี่มิใช่หลิงหลงข้างกายน้องหญิงห้าหรือ” ฉู่จิ่นเมี่ยวยิ้มพลางพูด “ไยเจ้ามาอยู่ตรงนี้ น้องหญิงห้าเล่า”
หลิงหลงเห็นฉู่จิ่นเมี่ยวแล้วก็มิได้มีท่าทางไม่ดีอะไร นางยังคงก้มหน้ากล่าวโดยที่รักษามารยาทไว้ “คุณหนูห้าเริ่มเหนื่อยแล้วจึงพักเท้าอยู่ทางข้างหน้า บ่าวกลับมาหยิบของให้คุณหนูห้าเจ้าค่ะ”
หลิงหลงไม่กล้าบอกว่าฉู่จิ่นเหยาได้รับบาดเจ็บที่มือ กลัวว่าฉู่จิ่นเมี่ยวได้ยินแล้วจะเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา แต่หลิงหลงไม่รู้ว่าฉู่จิ่นเมี่ยวรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว
ฉู่จิ่นเมี่ยวยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ข้านึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ที่แท้ก็กลับมาหยิบของ จริงด้วย พระชายามีธุระให้มาแจ้งเซี่ยนจู่ เจ้าพาข้าไปพบเซี่ยนจู่ก็แล้วกัน”
หลิงหลงเงยหน้าขึ้นโดยพลัน กัดริมฝีปากอย่างแรง “บ่าวเกรงว่าจะไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ คุณหนูห้ายังรอให้บ่าวนำของกลับไปให้อยู่เจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ? นี่เจ้าไม่เชื่อฟังแม้แต่คำสั่งของข้าแล้วหรือ” ฉู่จิ่นเมี่ยวพูดอย่างไม่ยอมถอย “คำสั่งของพระชายาเจ้ากล้าไม่ปฏิบัติตามรึ”
หลิงหลงโมโหแทบตาย นางมองไปทางเรือนไม่หยุด แต่ระยะห่างเพียงเล็กน้อยเท่านี้นางกลับไร้หนทางจะไปถึง สุดท้ายหลิงหลงก็ทำได้เพียงพูดทั้งที่แค้นใจอย่างยิ่ง
“บ่าวมิกล้า”
ในเวลาเดียวกันนี้ฉู่จิ่นเหยามิรู้ว่าหลิงหลงถูกคนบังคับพาตัวไปแล้ว นางนั่งอยู่ในศาลา ไม่นานนักฟ้าก็เริ่มมืด สายฟ้าวาบผ่านท่ามกลางเมฆดำ ก่อนที่เสียงฟ้าร้องจะดังตามมาติดๆ
ฉู่จิ่นเหยามองสีท้องฟ้าข้างนอกพลางถอนหายใจแล้วพึมพำว่า “ฝนจะตกแล้ว ไม่รู้ว่าหลิงหลงเดินถึงที่ใด อย่าได้ถูกฝนขวางไว้เชียว ดูจากเวลานางควรถึงเรือนแล้ว คิดว่าอีกไม่นานเจี๋ยเกิ่งก็คงมาถึง”
นางทำได้เพียงนั่งรออยู่ในศาลา ฝนยามฤดูใบไม้ผลิจู่ๆ ก็มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ลมเย็นปนไอน้ำพัดผ่าน เพียงไม่นานฝนก็เทลงมา
ฉู่จิ่นเหยาเริ่มหนาวขึ้นมา นางอดลุกขึ้นมองไปยังม่านพิรุณไม่ได้ “ไยเจี๋ยเกิ่งไยยังไม่มาเสียที หรือจะประสบเรื่องไม่คาดฝันอะไรระหว่างทาง”
ขณะที่นางกำลังร้อนรน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกม่านพิรุณ “ตรงนี้มีศาลา เสด็จหลบฝนข้างในก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.