X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 1 บทนำ-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทนำ                                                              

เมฆดำลอยต่ำ ธงทิวปลิวไสว

เมืองเยี่ยนซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางดินแดนหิมะถูกกองทหารแคว้นต้าเหลียงปิดล้อมไว้ทุกด้านละม้ายเกาะร้างโดดเดี่ยวตัดขาดจากโลกภายนอก

แม่ทัพหนุ่มผู้บัญชาการรบสวมชุดเกราะเงิน เสื้อคลุมไหล่สีแดงสดโบกสะบัดอยู่เบื้องหลัง เขาชูมือพลางเปล่งคำสองคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง

“ตีเมือง!”

พอถ้อยคำนี้ดังขึ้น เสียงกู่ร้องพร้อมรบก็ดังกระหึ่มก้องฟ้าในฉับพลัน

เหนือกำแพงเมืองที่เจียนพังทลายรอมร่อแต่แรกบังเกิดความชุลมุนระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงตะโกนห้วนกระด้างของนายทัพเป่ยฉีดังลอยมา

“แม่ทัพเซ่า เจ้าดูก่อนว่านี่เป็นใครแล้วค่อยออกคำสั่งตีเมืองก็ยังไม่สาย”

สิ้นเสียงเขา สตรีนางหนึ่งถูกกุมตัวมายืนบนกำแพงเมือง

เรือนผมสีดำสนิทดุจขนนกกาของนางเหน็บไว้หลังหูอวดรูปหน้าผุดผาดเกลี้ยงเกลา ลมเหนือพัดบาดผิวแก้มนวลเนียน เป็นเหตุให้ริมฝีปากและใบหน้ายิ่งแดงมากขึ้น ประหนึ่งดอกพุดตานถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งหนาวเหน็บ มาตรว่าจะดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง หากกลับงามบาดตาเป็นพิเศษ

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบทันใด

สีหน้าแววตาของแม่ทัพหนุ่มหล่อเหลาในชุดเกราะเงินไม่มีร่องรอยหวั่นไหวแม้สักนิด เขาชูมือขึ้นเป็นคำรบที่สอง…

ทัพใหญ่ตรงเชิงกำแพงรุกคืบเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งอย่างหมายมั่นเอาชัย สร้างแรงบีบคั้นคุกคามคนบนกำแพงเมืองให้อกสั่นขวัญแขวน

นายทัพเป่ยฉีกระชากตัวสตรีนางนั้นมาแล้วผลักไปด้านหน้าตนเอง กล่าวตะคอกด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “แม่ทัพเซ่า เจ้าจงดูให้ชัดๆ นี่เป็นภรรยาของเจ้านะ ขอแค่เจ้าถอยทัพ ข้ารับรองว่านางจะปลอดภัยไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ภรรยาของเจ้าคงต้องจบชีวิตแล้ว”

แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไป

ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งข้างกายเขาเอ่ยกระซิบ “ท่านแม่ทัพ นั่นเป็นฮูหยินของท่านจริงๆ ขอรับ”

แม่ทัพหนุ่มดึงสายบังเหียนพลางเพ่งมองสตรีบนกำแพงเมืองปราดหนึ่ง ที่แท้นี่คือภรรยาของเขานั่นเอง

ราวกับรับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่ม สตรีบนกำแพงเมืองกลอกตาเล็กน้อยไปมองสบนัยน์ตาเขาจากระยะไกล

ทิศเหนือถูกชาวฉีโจมตีรุกรานบ่อยๆ ตอนนี้ยังถึงขั้นยึดเมืองไป กว่าจะมาถึงศึกกอบกู้ดินแดนในวันนี้ เหล่าทหารต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปมากเท่าใดก็สุดรู้ แล้วจะหยุดฝีเท้าลงเพื่อนางผู้เดียวได้เยี่ยงไร

แม้นนางเป็นสตรี กระนั้นเรื่องสำนึกในหน้าที่ต่อแผ่นดินเช่นนี้ นางยังคงมีอยู่

แล้วแม่ทัพหนุ่มที่ชาวฉีได้ยินชื่อเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อ หรือก็คือสามีของนางที่เพิ่งได้เห็นหน้าชัดถนัดตาในวันนี้เป็นคราแรกผู้นั้น ย่อมไม่มีทางละทิ้งโอกาสชิงอาณาเขตคืนเพราะนาง

หญิงสาวอ้าปากออก ทว่าอากาศหนาวเกินไป อีกทั้งไม่ได้ปริปากเป็นเวลานาน ส่งผลให้นางเปล่งเสียงพูดไม่ออกสักคำในชั่วขณะ

ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวนางไม่ทันไร ลูกธนูคมกริบดอกหนึ่งจากที่ไกลก็พุ่งเข้ามาใกล้แล้วขยายใหญ่ขึ้นเบื้องหน้าสายตา ตามติดมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นปราดจากจุดเดียวลุกลามไปทั่วร่าง

นางก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณก็มองเห็นเลือดไหลทะลักจากหน้าอก กระไออุ่นที่แผ่ซ่านจากโลหิตสลายหายไปกับลมหนาวอย่างรวดเร็ว

คนบ้า ไม่ให้โอกาสข้าได้กล่าววาจาแสดงความองอาจห้าวหาญแม้สักคำ…

เสี้ยวขณะที่เผชิญกับความตายนั้น หญิงสาวคิดคำนึงอย่างคับแค้นใจ

“ท่านแม่ทัพ!”

ผู้ใต้บังคับบัญชาข้างกายแม่ทัพหนุ่มร้องตะโกนคำหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

แม่ทัพหนุ่มลดคันธนูลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลุบเปลือกตาลงซ่อนความรู้สึกผิดในแววตาขณะเปล่งสองคำเดิมที่พูดไปก่อนหน้านี้ด้วยสุ้มเสียงเย็นชา “ตีเมือง!”

 

ต้นฤดูใบไม้ผลิของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบห้า แคว้นต้าเหลียงชิงเมืองเยี่ยนคืนมาได้ เซ่าหมิงยวน แม่ทัพเป่ยเจิง* บุตรชายคนรองของจิ้งอันโหวได้รับแต่งตั้งเป็นกวนจวินโหวกรีธาทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะ

ขณะที่เฉียวซื่อ** ภรรยาของเขากลับต้องพลีชีพเพื่อแผ่นดินทิ้งรอยเลือดไว้บนกำแพงเมืองเยี่ยนตลอดกาล

บทที่ 1

สายลมแห่งวสันตฤดูเปรียบดั่งจิตรกรผู้แต่งแต้มสีสันสดใสให้กับธรรมชาติ ยิ่งมุ่งหน้าลงทิศใต้ หมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์ยิ่งเขียวชอุ่มขึ้นตามลำดับ

จวนเจียนเที่ยงวันแล้ว หากแต่ในเพิงน้ำชาโกโรโกโสริมทางกลับมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ผู้ชงชาสูงวัยถือกาทองแดงปากยาวเดินวนไปรอบๆ คอยรินชาเติมให้พวกลูกค้าอย่างรวดเร็วทันใจ

ที่นี่ห่างจากเมืองเป่าหลิงสิบลี้*** เศษ คนที่ออกจากเมืองจะพูดคุยถึงเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นในเมืองระยะนี้ ส่วนลูกค้าที่กำลังจะเข้าเมืองก็รับฟังด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง

เพลานี้เองคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่าวันนี้มีคุณชายหนุ่มหลายคนมายังเมืองเป่าหลิง ฟังสำเนียงพูดแล้วคล้ายจะมาจากเมืองหลวง แต่ละคนล้วนรูปงามผึ่งผาย หนึ่งในบรรดานั้นยังทัดเทียมได้กับชายงามระดับพานอันและซ่งอวี้****เลยทีเดียว

มีคนพูดอย่างไม่เชื่อถือ “จะเทียบกับบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวแห่งจยาเฟิงได้หรือ”

จยาเฟิงตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเป่าหลิง นั่งเรือไปต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน ทว่ากิตติศัพท์ของบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวยังเลื่องลือมาถึงที่นี่ เพียงพอจะบ่งบอกได้ว่าเป็นผู้มีความโดดเด่นชั้นใดแล้ว

ผู้กล่าววาจาก่อนหน้าดื่มน้ำชาเย็นๆ หลายคำก่อนยิ้มอวดฟันที่ซ้อนเกกันทั้งปาก “ข้าไม่เคยเห็นบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว แต่ถ้าพูดว่าสู้คุณชายที่ข้าเจอในเมืองท่านนั้นได้ล่ะก็…ข้ามิเชื่อหรอก”

พอคำกล่าวนี้ดังขึ้น มีคนไม่น้อยส่งเสียงร้องค้านทันควัน ยังมีคนหลายคนที่เคยเห็นพวกคุณชายในเมืองร่วมวงโต้เถียง

“ท่านลุง ขอชาหนึ่งกา แล้วก็ขนมสองจาน” เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการถกเถียงของทั้งสองฝ่าย

ทุกคนหันไปตามต้นเสียง มองเห็นบุรุษอายุสามสิบเศษหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากเพิงน้ำชา เขาหมุนกายไปพยุงเด็กสาววัยราวสิบสองสิบสามผู้หนึ่งลงจากหลังลา

ครั้นเห็นทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน ก็เอาลาผูกโยงไว้กับต้นไม้ริมถนนแล้วใช้ตัวบังร่างเด็กสาวไว้เกือบมิด เขาพูดเสียงดังแกมหงุดหงิด “ยกน้ำชามาเร็วเข้า บุตรสาวข้าไม่ค่อยสบาย ต้องรีบเข้าเมือง”

“ได้ขอรับ…”

ผู้ชงชากุลีกุจอยกน้ำชาหนึ่งกากับขนมหวานสองจานมาวางบนโต๊ะ

เขาเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าเด็กสาว บอกด้วยสุ้มเสียงไม่เบาไม่ดัง “กินสิ”

จากนั้นเขาก็หยิบกาน้ำชาขึ้นดื่มอักๆ หลายอึก

ครอบครัวสามัญชนมักไม่พิถีพิถันนัก เด็กสาวขี่ลาเดินทางจึงเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ทุกคนดึงสายตากลับ มีเพียงพวกตาไวไม่กี่คนที่ตะลึงในความงามของเด็กสาวจนเหลียวมองซ้ำๆ อย่างอดใจไม่อยู่

เขาแค่นเสียงฮึดังๆ หลายที ท่าทางไม่พึงใจที่ผู้อื่นมองบุตรสาวตนอย่างชัดเจนเช่นนี้

บุรุษผู้นั้นมีเรือนกายสูงใหญ่บึกบึน ดูท่าทางมิใช่ผู้ที่จะตอแยได้ คนที่นั่งดื่มน้ำชาในเพิงโกโรโกโสแห่งนี้ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ย่อมไม่อยากก่อเรื่อง พวกเขาเลิกสนใจทางนี้หันกลับไปคุยหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ต่อ

“ข้าว่านะคุณชายที่เข้าเมืองมาท่านนั้นเทียบบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวมิได้แน่นอน ถึงเมืองหลวงจะดี แต่ไหนเลยจะสู้ความงดงามตามธรรมชาติของชาวเราแถบนี้ได้ โดยเฉพาะอำเภอจยาเฟิงถิ่นคนงามที่เลื่องลือไปทั่วทุกหนแห่งไม่ว่าไกลใกล้”

เด็กสาวที่สำรวมเรียบร้อยตั้งแต่เข้ามานั่งในเพิงน้ำชาอดเงยหน้าขึ้นมองคนพูดแวบหนึ่งไม่ได้

“อะไรกัน ไฉนข้าได้ยินว่าบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวผู้นั้นก็มาจากเมืองหลวงเช่นกัน”

“บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวมาจากเมืองหลวงมิใช่เรื่องเท็จ แต่เขาเป็นชาวจยาเฟิงขนานแท้ เมื่อหลายปีก่อนตอนอาจารย์เฉียวสิ้นบุญ เขาติดตามครอบครัวกลับบ้านเดิมมาไว้ทุกข์ให้ท่านปู่”

“เอ๊ะ?! ที่แท้บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวเป็นหลานของอาจารย์เฉียวหรือ”

ยามเอ่ยถึง ‘บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว’ คนท้องถิ่นจะต่อท้ายคำหนึ่งว่า ‘แห่งจยาเฟิง’

แต่หากกล่าวถึงอาจารย์เฉียว เช่นนั้นคนทั้งปฐพีล้วนนึกถึงคนผู้เดียวกันคือ ท่านเฉียวจัว อดีตหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง จอมปราชญ์นามกระเดื่องทั่วหล้าผู้ถูกขนานนามว่าเป็นคนเก่งอันดับหนึ่งของแผ่นดิน

เพียงเสียดายว่าอาจารย์เฉียวล่วงลับไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว

เสียงทอดถอนใจดังระงมขึ้นในเพิงน้ำชา

เด็กสาวหลุบตาซ่อนแววตาที่ผิดแปลกไป หูของนางไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว

ตอนนางลืมตาฟื้นคืนชีพ ก็เปลี่ยนจากเฉียวเจาหลานสาวของอาจารย์เฉียวและภรรยาของแม่ทัพเป่ยเจิงเซ่าหมิงยวนกลายเป็นหลีเจาเด็กสาวอายุสิบสามปีไปแล้ว มิหนำซ้ำยังตกอยู่ในมือของโจรค้าทาส นางคิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ตนกำลังจะกลับถึงบ้านเกิดของตนเองแล้วหรือนี่

ท่านปู่… เฉียวเจารำพึงในใจ

หลังจากออกเรือนไปอยู่เมืองหลวง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนจะได้มาอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่คะนึงหาทุกขณะจิตจนเก็บไปฝันทั้งกลางวันกลางคืนนับครั้งไม่ถ้วนในอีกฐานะหนึ่งด้วยวิธีการเฉกนี้

จยาเฟิง…ที่นั่นเป็นที่ฝังร่างของท่านปู่ซึ่งนางเคารพรักมากที่สุด และยังมีญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันที่กลับจากเมืองหลวงพำนักอาศัยอยู่

นับวันดูแล้วตอนนี้พวกท่านพ่อคงออกทุกข์แล้ว

เฉียวเจาลอบกำมือเป็นหมัด ชำเลืองตามองบุรุษที่ดื่มน้ำชาพรวดๆ ปราดหนึ่งโดยไม่ให้ส่อพิรุธ

ในความทรงจำที่หลงเหลือในหัวสมอง ตั้งแต่สาวน้อยหลีเจาตกอยู่ในมือคนผู้นี้เคยพยายามหลบหนีหลายครั้งหลายหน ทว่าไม่มีคราใดไม่ลงท้ายด้วยความล้มเหลว

ครั้งที่ระทึกใจที่สุดนั้น แม่นางน้อยฉวยจังหวะหนีพ้นมาได้ นางวิ่งไปร้องไห้ตะโกนไปว่าถูกคนผู้นี้ล่อลวงไปขาย ดึงคนที่ผ่านไปผ่านมาให้หยุดมุงดูได้ไม่น้อย

พอบุรุษผู้นี้ไล่ตามทัน เขาก็ปาดน้ำตาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหวังดี

‘ลูกพ่อ พ่อรู้ว่าเจ้าเกลียดพ่อที่ขัดขวางไม่ให้เจ้าหนีตามหวังเอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างบ้าน แต่ถึงถูกเจ้าเกลียดสักปานใด ข้าก็ไม่อาจมองดูเจ้าหลงเดินทางผิดได้! หยุดก่อเรื่องเสียที ตามพ่อกลับเรือนดีๆ เถอะนะ แม่เจ้าร้องไห้จนจะตาบอดอยู่แล้ว…’

จากนั้นต่อให้นางร้องไห้โวยวายจนเสียงแหบเสียงแห้งก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนที่มุงดูไว้ได้อีก

เขาสั่งสอนนางอย่างหนักยกหนึ่งในที่ลับตาคน และยิ่งจับตาดูนางอย่างไม่ให้คลาดสายตานับตั้งแต่นั้น ส่วนที่ได้รับอิสระเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้เป็นผลมาจากสองวันนี้เฉียวเจาซึ่งวิญญาณเข้าสวมร่างเด็กสาวแทนทำตัวดีเป็นพิเศษ

“ไปเถอะ” โจรค้าทาสวางเงินอีแปะสองสามเหรียญแล้วลุกขึ้นยืน

เฉียวเจากุลีกุจอลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา

ความเคลื่อนไหวทางนี้ทำให้นางตกเป็นเป้าสายตาอีกหน

เด็กสาวเยื้องย่างอย่างแช่มช้อย เผยกิริยางามสง่าออกมาโดยไม่ตั้งใจเป็นเหตุให้เขาขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ

สินค้ารอบนี้เป็นของดีที่สุดที่เขาได้มาไว้ในมือตลอดหลายปีนี้ กระนั้นก็ดีเกินไปอยู่สักหน่อย ลำพังแค่ท่าเดินตามสบายเช่นนี้ยังสะดุดตาถึงเพียงนี้แล้ว

ไฉนเมื่อสองวันก่อนถึงไม่รู้สึกนะ

เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง ลอบตกลงปลงใจว่าประเดี๋ยวหลังเข้าเมืองแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าจะดีกว่า

หนึ่งชั่วยาม* ให้หลัง

เฉียวเจานั่งอยู่บนหลังลา แหงนคอมองตัวอักษรคำว่า ‘เป่าหลิง’ บนประตูเมืองอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง

นางเคยมาเมืองเป่าหลิงแล้ว

ท่านปู่เฉียวจัวเป็นผู้รักอิสระไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ ท่านเหนื่อยหน่ายกับการเป็นขุนนางมานานแล้ว หลังลาออกจากราชการก็พาท่านย่ากับนางออกท่องไปทั่วหล้าตามใจปรารถนา ต่อมาสุขภาพอ่อนแอลงถึงกลับมาเก็บตัวอยู่ที่เมืองจยาเฟิงอย่างสันโดษ

นางเคยเดินทางมาที่เมืองเป่าหลิงสองครั้งเพราะอาการป่วยของท่านปู่

เมืองยังคงเป็นเมืองเดิม ทว่านางกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ชั่วขณะนี้นางผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยในที่สุดหลังระวังเนื้อระวังตัวมาหลายวัน รอยยิ้มเยาะตนเองก็ผุดขึ้นตรงมุมปากวูบหนึ่ง

โจรค้าทาสพาเฉียวเจาเข้าเมืองแล้วเสาะหาที่ขายเจ้าลาขนรุงรังตัวนั้น ขณะเดินไปตามถนนที่พลุกพล่านวุ่นวาย เขาหวั่นใจว่าแม่นางน้อยที่เพิ่งสงบเสงี่ยมได้สองวันจะก่อความวุ่นวายขึ้นอีก จึงพูดกล่อมเสียงเบา “เจ้าเป็นเด็กดีว่าง่ายๆ แล้วข้าจะพาไปกินอาหารในหอสุราดีๆ อีกสักครู่ค่อยเช่ารถม้าสักคัน เจ้าจะได้ไม่ต้องตากลมตากแดด”

“ยังจะไปที่ใดอีกหรือ” เฉียวเจาซึ่งเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจามาโดยตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้น

เด็กสาวสบตากับเขา นัยน์ตาทั้งคู่สุกใสแวววาวละม้ายผิวน้ำแต้มริ้วคลื่นอ่อนพลิ้วที่สุดยามสายลมแผ่วเบาโชยผ่านในวสันตฤดู

เขากล่าวตอบราวกับมีผีสางเทวดาดลใจ “หยางโจว”

ครั้นโจรค้าทาสดึงสติคืนมาได้ก็นึกขัดเคืองอยู่บ้าง แต่เขาปลอบใจตนเองทันทีว่า แม่นางน้อยรู้แล้วจะเป็นอะไรไป ผ่านเมืองเป่าหลิงนี้ไปเพียงไม่นานก็ถึงเมืองหยางโจวแล้ว

เฉียวเจาใจหล่นดังตุบ ทว่าสีหน้ายังไม่แปรเปลี่ยน นางลอบอุทานว่า หยางโจวหรือนี่ ไม่ได้การแล้ว

จากที่นี่เดินทางไปหยางโจวต้องใช้อีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ห่างจากอำเภอจยาเฟิงบ้านเกิดของนางไกลออกไปทุกทีๆ รอเมื่อถึงแปลกที่แปลกถิ่น ต่อให้หลบหนีได้ ก็หวั่นเกรงว่าเด็กสาวที่วัยสิบสองสิบสามออกจากรังหมาป่าไม่ทันไรก็หลุดเข้าถ้ำเสืออีกนะสิ

เฉียวเจายังคิดไม่ออกว่าจะแสดงตัวกับญาติพี่น้องในสภาพนี้เช่นไรดี แต่อย่างน้อยนางรู้ว่าพวกท่านพ่อล้วนเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงธรรม ย่อมต้องไม่ประสงค์ร้ายต่อเด็กสาวที่ประสบเคราะห์ภัยอยู่แน่

ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะกลับเรือน เช่นนั้นต้องหนีตอนอยู่เมืองเป่าหลิงให้ได้

บทที่ 2

ถนนหนทางในเมืองไม่นับว่ากว้างขวาง เฉียวเจาก้มหน้าเดินตามหลังโจรค้าทาสอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับจับสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านทางหางตาตลอดเวลา

มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ดูเหมือนเขาจะคลายความระแวดระวังลง นางต้องบังคับตนเองให้ทนต่อการล่อใจให้หลบหนี

ครั้นแลเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ โดยไม่ตั้งใจ เฉียวเจาก็เย็นวาบๆ ในอก

ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ ในที่ที่ผู้คนขวักไขว่เฉกนี้ บุรุษผู้นี้มีแต่จะยิ่งจับตาดูนางเข้มงวดขึ้น ภายนอกทำทีผ่อนคลาย เพียงหมายดูว่านางอยู่ในโอวาทจริงๆ หรือแสร้งทำก็เท่านั้นเอง

เขาหยุดเดินกะทันหัน ชี้หอสุราแห่งหนึ่งริมถนนพลางบอก “พวกเรากินที่นี่เถอะ”

เฉียวเจาไม่ขยับกาย

เขาขมวดคิ้ว รำพึงในใจว่า หรือแม่นางน้อยยังไม่ถอดใจ

“เข้าไปไวๆ อีกประเดี๋ยวยังต้องรีบเดินทาง” เขาพูดเร่งพร้อมกับยื่นมือไปฉุดเฉียวเจา

แม่นางน้อยยกมือชี้นิ้วไปทางหอสุราสูงสามชั้นด้านหน้าไม่ไกลนัก กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มละไมจับใจประหนึ่งสาโทหวานล้ำที่ค่อยๆ หมักบ่มในใจทีละน้อยทีละนิด “ท่านบอกไว้ว่าจะพาข้าไปกินอาหารในหอสุราดีๆ แต่ที่นี่ไม่ดีเจ้าค่ะ”

เขาทำหน้าบึ้งตึง

ที่นั่นเป็นหอสุราที่ดีที่สุดของเป่าหลิงเชียวนะ กินมื้อหนึ่งมิใช่ถูกๆ

ระหว่างที่เขาชั่งใจอยู่นี้ ดวงตาใสกระจ่างของแม่นางน้อยมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าทันใด นางพูดอย่างดื้อดึง “ท่านพูดปด ไหนบอกว่าจะพาไปที่หอสุราดีๆ หอสุราแห่งนี้ดูไม่โอ่อ่าเลยสักนิด!”

ตอนนี้เป็นเวลากินอาหารพอดี มีคนเข้าๆ ออกๆ มากพอดู แม่นางน้อยพูดเสียงดังขึ้นนิดเดียวก็มีคนหันมามองไม่น้อยทันที เสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินถ้อยคำนี้อย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง สาวเท้าเดินออกมาไล่คน

โจรค้าทาสทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย

เขานึกไปถึงอาภรณ์ชั้นดีบนตัวเด็กสาวตอนถูกตนล่อลวงในงานเทศกาลกำเนิดบุปผา* ที่เมืองหลวง ก็ประจักษ์แก่ใจอยู่แล้วว่าถ้าแม่นางน้อยมิได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องเป็นครอบครัวเศรษฐี ฉะนั้นจะไม่เห็นหอสุราข้างทางนี้อยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องปกติ

“ท่านเคยให้สัญญาเองนะ ข้าจะกินที่หอสุราแห่งนั้น ใครจะไปรู้ว่าร้านนี้สะอาดหรือไม่ ถ้าเกิดกินแมลงวันเข้าไป…”

เสี่ยวเอ้อร์ของหอสุราก้าวฉับๆ มาถึงเบื้องหน้าแล้วกล่าวอย่างโมโหฮึดฮัด “ไปๆ ไม่กินก็อย่าขวางหน้าประตู”

เขาพูดพลางถลึงตามองโจรค้าทาสอย่างดุดัน “อบรมสั่งสอนลูกประสาอะไรกัน”

เฉียวเจาหาได้สนใจไม่ว่าอีกฝ่ายพูดจาเช่นไร นางร้องอุทานคำหนึ่งด้วยความตกใจ “อี๋! ดูสิ พี่เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ยังมีคราบน้ำมันติดอยู่ตามง่ามนิ้ว ผ้าเช็ดเหงื่อที่พาดคออยู่ก็ดำปี๋…”

สุ้มเสียงของนางอ่อนหวานไพเราะ มาตรว่าจะพูดรัวเร็ว แต่คนที่เข้าออกหอสุรายังคงได้ยินอย่างชัดเจน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มีคนสองคนลังเลใจครู่หนึ่ง จากแต่เดิมที่คิดจะเข้าไปกินอาหารก็เปลี่ยนใจเดินไปร้านข้างๆ

หอสุรานี้ไม่ใหญ่โต เถ้าแก่เนี้ยที่ออกมาดูให้รู้เรื่องได้ฟังคำกล่าวนี้ก็ดึงไม้นวดแป้งที่เหน็บไว้กับเอวออกมาแล้ววิ่งปรี่เข้าใส่

เฉียวเจาอายุยังน้อย เถ้าแก่เนี้ยย่อมไม่ถือสาหาความด้วย นางเงื้อไม้นวดแป้งเล็งตรงไปที่โจรค้าทาส

เขาเห็นท่าไม่ดี จึงฉุดเฉียวเจาที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดออกวิ่งหนีไป

ทั้งคู่วิ่งไปจนถึงหน้าหอสุราโดยไม่หยุดพักหายใจ เขาโกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้หน้าเฉียวเจา

นางตีหน้าซื่อเอ่ย “ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”

โจรค้าทาสพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง

ช่างเถิดๆ แม้สุราอาหารในหอจุ้ยเซียนจะราคาแพง แต่หากขายแม่นางน้อยผู้นี้แล้วก็ถอนทุนคืนได้หมด งานใกล้สำเร็จรอมร่อ อย่าให้เกิดปัญหาอื่นแทรกขึ้นเป็นการดี

“เข้าไปเถอะ” เขามองนางตาขวาง

ทั้งสองแต่งกายธรรมดาๆ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านจึงมิได้พาขึ้นไปชั้นบน แต่ให้นั่งลงที่โต๊ะว่างในโถงกลาง

“จะกินอะไรดีขอรับ”

โจรค้าทาสยังไม่ปริปาก เสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้น “เป็ดยัดไส้เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเอ้อร์นิ่งงันชั่วครู่แล้วอดมองไปทางโจรค้าทาสไม่ได้

“ข้าจะกินเป็ดยัดไส้เจ้าค่ะ” เฉียวเจามองไปทางเขาเหมือนกัน สายตาของนางฉายแววดึงดัน

เขาชักมึนเวียนศีรษะ เอ่ยถามเสี่ยวเอ้อร์ “มีอาหารจานนี้หรือไม่”

“มีน่ะมีขอรับ แต่ว่าต้องรอเป็นเวลานานสักหน่อย”

เขาชิงโบกมือพลางบอกก่อนเฉียวเจาจะอ้าปากพูด “เอาจานนี้ แล้วก็ของว่างอะไรก็ได้สักสองอย่างกับสุรา”

ไม่นานนักสุราอาหารที่โจรค้าทาสสั่งก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เขาหยิบตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มกิน ฝ่ายเฉียวเจากลับนั่งหลังตรงรอไปเรื่อยๆ

ราวสองเค่อ* ต่อมา บนโต๊ะเหลือแค่จานกับถ้วยวางระเกะระกะ เป็ดยัดไส้ถึงยกเข้ามาในที่สุด

“เจ้าลูกบังเกิดเกล้า กินเสียสิ!” เขาเบาเสียงลงพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เฉียวเจาดึงผ้าเช็ดหน้าจากแขนเสื้อแล้วขอน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งจากเสี่ยวเอ้อร์ จากนั้นจึงเอาผ้าชุบน้ำเช็ดมือ

โจรค้าทาสอดพูดบ่นไม่ได้ “จะมัวพิถีพิถันอะไรนักหนา ก่อนหน้านี้นอนกลางดินกินกลางทรายก็ไม่เห็นเป็นไรเลยมิใช่รึ”

เฉียวเจาช้อนตาขึ้นพร้อมคลี่ยิ้มพริ้มพราย “ถ้าสะดวก ก็ต้องให้ตนเองสบายขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”

รอยยิ้มที่เบ่งบานสดใสกะทันหันนี้ทำให้โจรค้าทาสตาพร่าไป เขาลอบจุปากด้วยความทึ่ง

มิใช่ธรรมดาๆ เสียแล้ว แม่นางน้อยเพิ่งอายุเท่านี้ เพียงแค่ยิ้มก็เกือบทำให้ข้าเคลิบเคลิ้มไปแล้วหรือนี่

เขานิ่งเฉยมองดูเฉียวเจากินอาหารอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ยิ่งพิศยิ่งพึงใจ

นิสัยวางท่าเป็นผู้ลากมากดีเกินวัยของแม่นางน้อยนี้ พอนางเติบใหญ่ก็จะเป็นที่ถูกใจของคนพวกนั้น หน่วยก้านดีชั้นนี้ ย่อมขายได้ราคางามเป็นธรรมดา ครั้นคิดไปเช่นนี้ คล้ายว่าการรอคอยมิได้น่าเบื่อหน่ายปานนั้นแล้ว

ท่าทีของเขาไม่เหนือความคาดหมายของเฉียวเจา สิ่งที่นางต้องการก็คือได้กินอาหารมื้อนี้ช้าๆ เมื่อเขารู้สึกว่านางมีราคา อีกทั้งเพราะงานใกล้สำเร็จเลยไม่อยากให้เกิดอุปสรรคอื่นใดอีก เป็นธรรมดาที่จะมีน้ำอดน้ำทนกับนางมากขึ้น

เฉียวเจาละเลียดกินทีละคำเล็กๆ อย่างเชื่องช้า บางครั้งก็จะตวัดสายตาผ่านโถงใหญ่ไปหยุดที่บันไดทางขึ้นไปชั้นสองชั่วพริบตาเหมือนไม่ตั้งใจดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ

ไม่รู้ว่าเฝ้ารออยู่นานเท่าใดแล้ว ยามที่โจรค้าทาสเริ่มหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากหัวมุมบันได มีคนสามคนย่ำบันไดไม้ลงมาข้างล่างอย่างว่องไว

คนทั้งสามละม้ายหินแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนในโถงใหญ่ไปทันใด รอบด้านพลันตกอยู่ในความเงียบ ชั่วขณะนี้แม้แต่โจรค้าทาสที่เฝ้าระวังจับตาดูเฉียวเจาทุกฝีก้าวยังลืมกะพริบตา จับจ้องบุรุษชุดสีม่วงหนึ่งในนั้นจนตาเขม็ง

บุรุษผู้นั้นมีเรือนกายสูงโปร่ง ผิวกายขาวเนียนปานหยก รูปหน้าคมคายละเมียดละไมดุจเครื่องกระเบื้องชั้นดี รอยยิ้มในสีหน้าและแววตาราวกับแผ่รัศมีเรืองรองเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มีชีวิตชีวา ท่วงท่างามสง่าผึ่งผายเป็นธรรมชาติโดยมิต้องประดิษฐ์ปั้นแต่ง

“สือซี เห็นทีว่าวันหน้าจะออกมาข้างนอกพร้อมกับเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ” บุรุษชุดสีน้ำเงินข้างกายบุรุษชุดสีม่วงเอ่ยเสียงเบา

“นั่นสิ ขอแค่เจ้าปรากฏตัว ไม่ว่าชายหนุ่มหญิงสาวเด็กน้อยหรือคนแก่ต่างมองแต่เจ้าคนเดียว ข่มรัศมีพวกข้าให้กลายเป็นพวกขี้เหร่อัปลักษณ์ไปเลย” บุรุษชุดสีเขียวอีกคนกล่าวเสริมขึ้น

นัยน์ตาของบุรุษชุดสีม่วงโค้งลงยามกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “ข้านึกว่าพวกเจ้าชินแล้วเสียอีก”

อีกสองคนกลอกตาขึ้นพร้อมกัน

ทั้งสามพูดคุยยิ้มหัวกันจนมาถึงโถงใหญ่แล้ว กำลังจะก้าวเท้าเดินทอดน่องออกไปด้านนอกพร้อมสายตาของคนในโถงที่มองตามพวกเขาไป

เฉียวเจายกยิ้มตรงมุมปาก

คนที่นางรออยู่ลงมาแล้วจนได้ ไม่เสียแรงที่นางจงใจนั่งทางฝั่งที่ติดกับทางเดินนี้

ตอนอยู่นอกหอสุรา ปราดแรกที่เห็นสามคนนี้เข้ามาในหอสุราแห่งนี้ นางก็รู้ว่าโอกาสที่รอคอยอยู่ตลอดมาถึงแล้ว

นางรู้จักบุรุษชุดสีม่วงผู้นั้นพอดี เขาเป็นบุตรชายโทนขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง แซ่ฉือนามชั่น ชื่อรอง* สือซี ความประพฤติยังนับว่าพอใช้ได้

ถึงตอนนี้รูปโฉมโนมพรรณของนางจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ด้วยความหล่อเหลาของฉือชั่น อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกลวนลาม

บางที…อาจเป็นฉือชั่นที่ต้องเป็นห่วงมากกว่า

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวก็เห็นพวกเขาสามคนเดินถึงหน้าประตูแล้ว เฉียวเจาไม่ลังเลใจอีกต่อไป นางโยนตะเกียบในมือทิ้งแล้วลุกขึ้นวิ่งทะยานไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

นางขยับตัวอย่างกะทันหัน ทุกคนยังไม่หายตะลึงในรูปโฉมอันหล่อเหลาโดดเด่นของฉือชั่น แลเห็นสาวน้อยนางหนึ่งไล่กวดตามไป ต่างคิดเหมือนๆ กันโดยมิได้นัดหมายว่า

มีสาวน้อยวิ่งไล่ตามดังคาด ไม่น่าประหลาดใจแม้สักนิดเลยจริงๆ

โจรค้าทาสยังผงกศีรษะหงึกๆ ตามไปด้วย แต่แล้วก็นิ่งขึงไปกะทันหัน

ประเดี๋ยวก่อน คนที่วิ่งไล่ตามนั่นเป็น…

เขาหน้าถอดสีไปถนัดตา ลุกขึ้นวิ่งไล่ตามไปยังไม่ถึงหน้าประตูก็ถูกเสี่ยวเอ้อร์ขวางหน้าไว้ “ท่านขอรับ ท่านยังไม่จ่ายเงินเลยนะ คิดจะกินแล้วชักดาบรึ ไม่รู้จักถามดูหรือว่าเจ้าของหอจุ้ยเซียนเป็นใคร”

โจรค้าทาสถูกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านสกัดเอาไว้ เฉียวเจาเลยไล่ตามทันอย่างราบรื่นมาก

“รอก่อนเจ้าค่ะ…”

บุรุษทั้งสามชะงักเท้าหมุนกายกลับ เห็นเด็กสาววัยราวสิบสองสิบสามวิ่งไล่ตามมา อีกสองคนก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉือชั่นพร้อมกัน

ฉือชั่นเลิกคิ้วส่งยิ้มให้เฉียวเจาที่วิ่งมาตรงหน้า “น้องสาว มีธุระอันใดหรือ”

เอ่อ…แม้ว่าเขาจะมีเสน่ห์ล้นเหลือ แต่หากเด็กสาวอายุแค่นี้สารภาพรักกับเขา เขาก็ยืนกรานขอปฏิเสธนะ

เฉียวเจาไม่กล้ารอช้าสักชั่วเค่อเดียว

นางวางแผนมานานถึงเพียงนี้ก็เพื่อฉกฉวยเวลาชั่วครู่ที่โจรค้าทาสถูกเสี่ยวเอ้อร์ดึงตัวไว้ จะได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่ถูกล่อลวงอย่างคร่าวๆ

เฉียวเจาสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วจับแขนเสื้อของฉือชั่นไว้จนแน่น นางแหงนหน้าพูดขอร้อง “ท่านอา ช่วยข้าด้วย”

บุรุษทั้งสามซึ่งรวมฉือชั่นอยู่ด้วยพากันชะงักค้างราวกับถูกสาปเป็นก้อนหินไปแล้ว

 

เชิงอรรถ

* เป่ยเจิง หมายถึงพิชิตอุดร

** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ซื่อ (แปลว่า นามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดเจนขึ้น

*** ลี้ (หลี่) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

**** พานอันและซ่งอวี้ ได้รับการยกย่องเป็นบุรุษรูปงามในประวัติศาสตร์จีน ซ่งอวี้เป็นศิษย์ของกวีรักชาติชวีหยวนและเป็นราชเลขาธิการของฉู่ไหวอ๋องในสมัยจั้นกั๋ว ส่วนพานอัน มีชื่อเดิมว่าพานเยวี่ย เป็นนักวรรณคดีหนุ่มรูปงามในสมัยจิ้นตะวันตก

* ชั่วยาม เป็นหน่วยเวลาโบราณของจีน หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมง

* เทศกาลกำเนิดบุปผา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เทศกาลบุปผาสะพรั่ง เป็นหนึ่งในเทศกาลดั้งเดิมของชาวฮั่น ตรงกับวันที่ 15 เดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน กิจกรรมที่ทำในเทศกาลนี้ได้แก่ การเซ่นไหว้เทพบุปผา การนำแถบผ้าสีแดงผูกกับกิ่งดอกไม้ การจับผีเสื้อ การเก็บดอกไม้

* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที

* ชาวจีนสมัยโบราณมีชื่อเรียกขานหลากหลาย โดยทั่วไปมี ’นาม (หมิง 名)’ คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แต่กำเนิด ’ชื่อรอง (จื้อ 字)’ เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้เมื่อเข้ารับการศึกษา มักสอดคล้องกับนาม หรือเพิ่มคำด้านหน้าให้เหมือนกันในหมู่พี่น้องเพื่อบ่งบอกรุ่นในวงศ์ตระกูล นอกจากนี้ ผู้มีความรู้ มีตำแหน่งหน้าที่อาจตั้ง ’ฉายา (เฮ่า 号)’ ของตนเองเพื่อใช้ในวงการ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: