บทที่ 15
รถม้าวิ่งแล่นไปตามถนนหลวงอย่างไม่เร็วไม่ช้า เฉียวเจานอนตะแคงบนตั่งเตี้ยที่ตั้งอยู่ในตัวรถ รับฟังคำรายงานจากสาวใช้
“คุณหนู นำยาสมานแผลไปมอบให้คุณชายจูแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาผงกศีรษะ กล่าวเสียงแหบแห้ง “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
หมอเทวดาหลี่ขยับมาใกล้จนสาวใช้ต้องหลบไปด้านข้าง เขากล่าวขึ้นว่า “ดีนักนะแม่นางน้อย เอายาของข้าไปเป็นของกำนัลเอาใจผู้อื่น”
เขายื่นมือส่งยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งให้ “กินยาเม็ดนี้เสีย”
เฉียวเจารับมากินโดยไม่ลังเลรีรอ
หมอเทวดาหลี่พึงใจในท่าทีนี้ของนางมากพอดู แต่กลับพูดแบบปากไม่ตรงกับใจ “ให้อะไรเจ้าล้วนกล้ากิน ไม่กลัวเป็นยาพิษรึ”
“ท่านปู่หลี่มีใจเมตตาการุณย์ของผู้เป็นแพทย์เจ้าค่ะ” เฉียวเจาเพิ่งกินยาลงไปก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก จึงกล่าวยิ้มๆ
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ” หมอเทวดาหลี่นิ่งอึ้ง ความรู้สึกแปลกชอบกลนั่นรุนแรงยิ่งขึ้น
เฉียวเจาเอียงคอ “ก็ท่านปู่หลี่น่ะสิ หรือไม่เรียกท่านว่าหมอเทวดาหลี่ดีเจ้าคะ”
ตั้งแต่เล็กจนโต เวลาที่นางอยู่ร่วมกับหมอเทวดาหลี่ท่านนี้ยาวนานกว่ากับพ่อแม่พี่น้องเสียอีก เขามีนิสัยประหลาดไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่กลับกระตือรือร้นสนใจเด็กสาวที่เพิ่งพบหน้ากันคนหนึ่งเพียงนี้ ทำให้นางไม่อาจไม่ตรึกตรองให้ลึกลงไป
ใช่หรือไม่ว่าหมอเทวดาหลี่จับสังเกตอะไรได้แล้ว เขาจะรู้สึกว่านางคล้ายคลึงคนที่ตนเคยสอนสั่งชี้แนะอย่างมีน้ำอดน้ำทนคนนั้นหรือไม่
หมอเทวดาหลี่คลายยิ้ม “เรียกว่าท่านปู่หลี่เถอะ แม่นางน้อยชื่อว่าอะไร”
ชื่อก่อนออกเรือนของสตรีไม่พึงบอกต่อคนนอก แต่กับผู้อาวุโสเช่นนี้ย่อมไม่ต้องหลบเลี่ยง เฉียวเจาบอกอย่างเปิดเผย “ข้าแซ่หลี มีนามคำเดียวว่า ‘เจา’ เจ้าค่ะ”
“‘เจา’ ตัวใดหรือ” หมอเทวดาหลี่เลิกคิ้วขึ้น
สีหน้าของเฉียวเจาไร้รอยกระเพื่อมไหว “ ‘เจา’ ที่แปลว่าแจ่มแจ้งเจ้าค่ะ เช่นคำคมที่ว่านักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง”
หมอเทวดาหลี่นิ่งงันไป ภาพเหตุการณ์หนึ่งวาบผ่านเข้ามาในหัวฉับพลัน
ดรุณีตัวน้อยนั่งอย่างเรียบร้อยบนม้านั่งหินทุบขาให้ท่านปู่ของตนอยู่ พอได้ยินเขาถามไถ่ก็เงยหน้าขึ้นบอกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
‘ข้ามีนามว่าเฉียวเจาเจ้าค่ะ ‘เจา’ ที่แปลว่าแจ่มแจ้งเจ้าค่ะ เช่นคำคมที่ว่านักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’
หมอเทวดาหลี่แลมองเฉียวเจานิ่งนานก่อนกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “คำอธิบายเช่นนี้มิได้ยินบ่อยนัก”
คนส่วนใหญ่มักพูดว่า ‘เจา’ ที่แปลว่ากระจ่าง เหมือนคำว่าแสงตะวันจันทรากระจ่าง
ความรู้สึกแปลกชอบกลในใจชายชราทวีมากขึ้น ครั้นนึกไปถึงชีพจรของแม่นางน้อยที่บ่งบอกว่ามีลักษณะของอาการถอดวิญญาณ ความคิดที่คนทั้งหล้าต้องตะลึงพรึงเพริดอย่างหนึ่งผุดขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็อดส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้
เวลานี้ฝ่ายนั้นน่าจะอยู่ที่แดนเหนืออันไกลโพ้นโน่น คงเพราะสองปีมานี้เขาหมกมุ่นลุ่มหลงกับศาสตร์พวกนั้นจนเหลวไหลเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่
“พักผ่อนให้มากๆ กินยาแล้วเจ้าจะเหงื่อออก ทะลวงลมปราณที่ติดขัดอยู่ได้ก็หายดีแล้ว”
อายุยังน้อยๆ กลับดูเหมือนประสบเรื่องโศกเศร้าใหญ่หลวงอันใดมาถึงทำให้ร่างกายทรุดหนักกะทันหัน จิตใจของแม่นางน้อยนี่ลึกล้ำซับซ้อนน่าดู
หมอเทวดาหลี่คิดคำนึงถึงตรงนี้ก็แลมองดวงหน้าเล็กซีดเซียวของเฉียวเจาซ้ำอีกที ค่อยเบนสายตาออกแล้วหลับตานอนงีบ
บนเรือลำหนึ่ง ชายหนุ่มนั่งจิบน้ำชาไปเรื่อยๆ อยู่ข้างหน้าต่างตามลำพัง
นกพิราบสีขาวตัวหนึ่งบินถลาลงมาบนดาดฟ้าเรือ แล้วกระโดดเข้าไปในอุ้งมือคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นแกะแผ่นสารตรงขานกออกอย่างว่องไว ก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามา “ใต้เท้า ทางไถสุ่ยส่งข่าวมาขอรับ”
ชายหนุ่มรับแผ่นสารมากวาดตาอ่านเนื้อความในนั้น ก่อนฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโปรยออกไปนอกหน้าต่าง เขากล่าวพึมพำ “แม่นางน้อยผู้นั้นแยกกับคนพวกนั้นที่ท่าเรือไถสุ่ยไปขึ้นรถม้าของคนอีกกลุ่มหนึ่งแล้วหรือ”
ทั้งที่เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง เหตุใดเรื่องราวยิ่งมายิ่งน่าสนใจขึ้นเสียแล้ว
นิสัยละเอียดรอบคอบและความเฉียบไวที่บ่มเพาะจากการอยู่ในกององครักษ์จินหลินมานานทำให้เขาเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ ตามความเคยชินพลางกล่าวกำชับ “แบ่งกำลังคนไปตามแม่นางน้อยผู้นั้น ดูว่าคนกลุ่มหลังเป็นใคร”
ที่แท้บุรุษผู้นี้คือเจียงหย่วนเฉาหรือเจียงสือซาน บุตรบุญธรรมของท่านผู้บัญชาการเจียงที่พวกฉือชั่นสามคนเคยคุยถกกัน
กององครักษ์จินหลินตั้งฐานประจำการอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายสืบราชการลับขนาดมหึมาที่รวบรวมข่าวกรองสำคัญส่งเข้าเมืองหลวง
เขาประจำการอยู่ที่จยาเฟิง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสอดส่องตรวจตราคนทุกคนได้อย่างแน่นอน หากแค่จับตาดูพวกขุนนางซึ่งรั้งตำแหน่งพิเศษไว้ ดังเช่นสกุลเฉียวแห่งสวนซิ่งจื่อที่แม้มิได้อยู่ในราชสำนักแล้ว ทว่ายังเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจดุจเก่าจึงต้องคอยไปสืบข่าวเป็นประจำ
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเรือนสกุลเฉียวจะถูกไฟไหม้ใหญ่คราวเดียวเผาผลาญจนวอดวาย แม้นเขารู้สึกว่ามีเงื่อนงำแต่ยังไม่กระจ่างถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง จึงได้แต่ส่งคนสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่เป็นนานหลายวันถึงได้พบเจอคนเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาย่อมต้องตกอยู่ในข่ายต้องติดตามเฝ้าดูไปด้วยแน่นอน
อันว่าผู้มีเจตนาคิดไม่ซื่อต่อผู้ไม่มีใจระวังเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงวันถัดมาเจียงหย่วนเฉาก็ล่วงรู้ฐานะของชายชรา
“เป็นหมอเทวดาที่ไปมาแทบไร้ร่องรอยหรือนี่”
ชั่วขณะนี้ถึงเป็นเจียงหย่วนเฉาผู้นิ่งขรึมเสมอก็เผยอารมณ์ทางสีหน้าอย่างสุดระงับ
หมอเทวดาเป็นใครกันเล่า เขาเป็นหมอชื่อดังที่แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้พบยังต้องต้อนรับอย่างให้เกียรติ เขาบอกว่าไม่เข้าสู่สำนักแพทย์หลวง ฮ่องเต้ก็ไม่ฝืนใจบังคับ ปล่อยให้เขาจากไปอย่างอิสรเสรี
เขาจำได้ว่าท่านพ่อบุญธรรมเคยบอกว่าหมอเทวดาหลี่มีป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นหนึ่งในครอบครอง
“แล้วคนอื่นๆ เป็นใครมาจากที่ใด”
ผู้ใต้อาณัติกล่าวตอบอย่างเคารพยำเกรง “สืบไม่ได้ขอรับ ดูท่าทางล้วนเป็นยอดฝีมือ น่าจะเป็นพวกองครักษ์”
เจียงหย่วนเฉางอนิ้วมือเรียวยาวเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ บังเกิดเสียงใสกังวานดังเป็นจังหวะต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“เห็นทีว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์คนใดในเมืองหลวงพบร่องรอยของหมอเทวดาท่านนี้ แล้วเชิญกลับไปตรวจอาการป่วย” เขากล่าวอย่างคาดคะเนเช่นนี้จบ ก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
เรือนกายของชายหนุ่มสูงเพรียว เขาก้าวขาที่เพรียวยาวออกจากประตูไปรับลมแม่น้ำ สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนสั่งการ “พอเรือเทียบฝั่งแล้วเตรียมรถม้าให้ข้าสักคัน”
เมื่อเทียบกับพวกคุณชายจากเมืองหลวงแล้ว เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าหมอเทวดาหลี่ผู้นี้ควรค่าแก่การติดตามไปมากกว่า
คนผู้หนึ่งทำงานอย่างหนึ่งเป็นเวลานาน มักส่งผลต่อพฤติกรรมและวาจาอย่างลึกซึ้งเป็นธรรมดา ทั้งที่เจียงหย่วนเฉารู้ดีว่าการไปเมืองหลวงครานี้กับหมอเทวดาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้สักนิด เขายังคงตัดสินใจตามไปด้วยตนเอง
ถ้าเก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรได้อย่างคาดไม่ฝัน ท่านพ่อบุญธรรมต้องดีใจอย่างแน่นอน
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิทุกชีวิตฟื้นคืนชีวิต รถม้าและผู้คนบนถนนหลวงหนาตามากกว่าตอนฤดูหนาว ทอดสายตามองไปจะเห็นภาพความรุ่งเรืองเฟื่องฟู รถม้าคันที่เฉียวเจานั่งปะปนอยู่ในนั้นไม่เป็นที่สะดุดตาแม้แต่น้อยนิด
จวบจนแมกไม้พฤกษาพรรณยิ่งเขียวชอุ่ม เมืองหลวงก็ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายของเฉียวเจานับวันยิ่งแข็งแรงขึ้นตามลำดับ ทว่าจิตใจของนางกลับไม่ผ่อนคลายลงเลย
อีกไม่กี่วันก็จะได้พบกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของหลีเจาแล้ว ถึงแม้จะมีความทรงจำของนางอยู่ กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็แปลกไปจากที่เฉียวเจาคุ้นเคยเหลือเกิน
รถม้าหยุดจอดกะทันหัน องครักษ์ที่ปลอมตัวเป็นสารถีเอ่ยกับหมอเทวดาหลี่อย่างนอบน้อม “ริมถนนมีเพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง นอกจากน้ำชาแล้วยังขายซาลาเปาร้อนควันฉุยด้วย ท่านอยากลองชิมหรือไม่ขอรับ”
การเดินทางนั้นแสนจะเหนื่อยยากลำบาก พอได้ยินว่ามีซาลาเปาร้อนๆ หมอเทวดาหลี่ที่งีบหลับมาตลอดทางก็ลืมตาขึ้นทันที “อยาก”
“ได้ขอรับ ข้าไปซื้อประเดี๋ยวนี้เลย”
หมอเทวดาหลี่เรียกเขาเอาไว้ “ไม่ต้อง พวกข้าลงไปกินเอง”
องครักษ์มีสีหน้ายุ่งยากใจทันควัน “แต่ว่า…”
“พล่ามอะไร อยู่แต่บนรถม้าทำเอาตาแก่อย่างข้ากระดูกกระเดี้ยวจะหลุดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว” หมอเทวดาหลี่ลงไปโดยไม่แยแสองครักษ์แต่อย่างใด
เฉียวเจาเห็นดังนั้นก็ตามลงไปด้วยทันที
พวกนางปลอมตัวเป็นสองปู่หลานที่ออกเดินทางไปที่อื่นโดยมีผู้คุ้มกันกับสาวใช้ติดตามดูแล ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะว่างอยู่ ชั่วประเดี๋ยวเดียวเถ้าแก่เนี้ยก็ยกซาลาเปาส่งควันกรุ่นๆ จานใหญ่กับน้ำชากาหนึ่งมาวางให้
หมอเทวดาหลี่หยิบซาลาเปามากัดคำหนึ่งเข้าปากแล้วพยักหน้า “ไม่เลว”
มาตรว่าเขาไม่ชอบมาเมืองหลวง แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าถนนหลวงใกล้ๆ เมืองหลวงสายนี้ ไม่เพียงสะอาดสะอ้านมากขึ้น กระทั่งซาลาเปาของเพิงริมทางยังอร่อยกว่าที่อื่น
เฉียวเจาหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมากินเงียบๆ
หมอเทวดาหลี่ไม่อยากกลับไปบนรถม้าเร็วนัก เขาจึงถือถ้วยชาด้วยสองมือพลางฟังเสียงพูดคุยสัพเพเหระของพวกลูกค้าโต๊ะด้านข้าง
มีคนพูดอย่างกังขาใจ “ฤดูใบไม้ผลิมีพายุทรายพัดแรง เหตุไฉนถนนหลวงสายนี้ดูสะอาดตากว่าคราวก่อนที่ข้ามาอย่างมาก”
คนด้านข้างกล่าวยิ้มๆ ทันใด “สหายคงจะมาจากแดนไกลเป็นแน่ถึงได้ไม่รู้อะไร ท่านแม่ทัพเป่ยเจิงของพวกเรากำลังจะเข้าเมืองหลวงแล้ว ถนนเส้นนี้จึงต้องราดน้ำกวาดพื้นทุกวันวันละหนึ่งหน”
บทที่ 16
แม่ทัพเป่ยเจิงเซ่าหมิงยวนเป็นหัวข้อสนทนาที่หมู่นี้แพร่สะพัดในเมืองหลวงไปจนถึงเมืองใกล้เคียงอย่างเห็นได้ชัด พอมีคนเอ่ยขึ้นมา บรรยากาศก็คึกคักขึ้นทันใด
“จุๆ แม่ทัพเซ่าช่างเก่งกาจโดยแท้ เพิ่งย่างวัยยี่สิบก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นกวนจวินโหวแล้ว”
“นี่มีอะไรน่าประหลาดใจ แม่ทัพเซ่าเป็นดาวแม่ทัพลงมาจุติ ตอนเพิ่งอายุสิบสี่ก็ออกศึกจากเหนือจรดใต้แทนท่านแม่ทัพเซ่าผู้อาวุโสแล้ว บัดนี้กู้เมืองเยี่ยนคืนมาให้ต้าเหลียงเราได้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่หลวง จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นกวนจวินโหวก็เป็นเรื่องสมศักดิ์ศรีเต็มภาคภูมิ!”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระเบ็งเซ็งแซ่ จู่ๆ มีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นแล้วถอนใจยาวเหยียด “ท่านแม่ทัพเซ่าจะทำเพื่อบ้านเมืองและปวงประชามิใช่ง่ายดายจริงๆ พวกท่านได้ยินหรือไม่ว่าตอนนั้นชาวต๋าจื่อ* ทางแดนเหนือจับฮูหยินของท่านแม่ทัพเซ่าไว้ข่มขู่ให้ท่านถอยทัพด้วยนะ”
หมอเทวดาหลี่ที่เพียงคิดจะฟังฆ่าเวลาพลันกำถ้วยชาแน่นขึ้น
เฉียวเจากลับไม่สะดุ้งสะเทือน นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับมุมปากแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“เอ๊ะ แล้วถอยทัพหรือไม่” เหล่าคนที่มาจากทางทิศใต้ดูท่าทางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้อย่างชัดเจน จึงพากันตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้
วีรกรรมของแม่ทัพเซ่าถูกผู้คนกล่าวขานถึงนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้ได้บอกเล่าให้คนพวกนี้ฟังอีกรอบ ผู้พูดดูจะภาคภูมิใจเป็นอันมาก “ถอยไม่ได้อย่างแน่นอน ยามนั้นชาวฉียึดเอาเมืองเยี่ยนของพวกเราไป ได้กระทำอย่างไร้ความเมตตา เข่นฆ่าสังหารล้างเมืองไม่เว้นแม้แต่เด็กแบเบาะ ต่อมาอาศัยความได้เปรียบของที่ตั้งเมืองเยี่ยน ยังเล่นงานทัพต้าเหลียงเราจนหมดทางสู้ ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พวกชาวบ้านแถบชายแดนทิศเหนือต้องทุกข์เข็ญเพียงใด มิใช่ง่ายดายกว่าจะมีโอกาสชิงเมืองเยี่ยนคืน พวกท่านว่าแม่ทัพเซ่าถอยทัพได้หรือไม่เล่า”
“ไม่ได้ๆ ไม่ได้เด็ดขาด” คนฟังสั่นศีรษะพร้อมกัน
แต่ไรมาแคว้นต้าเหลียงยกตนเป็นแคว้นแห่งสวรรค์ผู้ปกครองใต้หล้า ทุกผู้ทุกนามถือว่าการเป็นราษฎรแคว้นต้าเหลียงคือเกียรติยศ การสูญเสียเมืองเยี่ยนก็เหมือนดั่งตบหน้าชาวต้าเหลียงทุกคนฉาดใหญ่ ความรู้สึกนี้สะสมทับถมกันวันแล้ววันเล่าจนกลายเป็นบาดแผลในใจ คิดขึ้นมาคราใดไม่มีผู้ใดไม่เจ็บปวดเคืองแค้นและอัปยศอดสู
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพเซ่าทำเช่นไรหรือ”
คนผู้นั้นกระดกถ้วยน้ำชาดื่มจนหมด ในดวงตาฉายประกายเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า “แม่ทัพเซ่าไม่รอให้ชาวต๋าจื่อพวกนั้นพูดจบ โก่งคันธนูยิงฮูหยินตนจนสิ้นชีพ ไม่ให้พวกนั้นมีอะไรมาข่มขู่ได้อีก เรียกขวัญทหารให้ฮึกเหิมเต็มเปี่ยม!”
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ดังเป็นทอดๆ
ถ้วยน้ำชาใบหนึ่งหล่นกระทบพื้นแตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย ดึงสายตาผู้คนให้หันไปมองทันใด
สีหน้าของหมอเทวดาหลี่บึ้งตึง หนวดเคราขาวโพลนสั่นกระเพื่อม เขาเอ่ยถามขึ้น “แม่ทัพเซ่าสังหารฮูหยินของเขาหรือ”
“ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าเป็นแม่ทัพเซ่าไม่ง่ายดายเช่นกันกระมัง เพื่อต้าเหลียงเราแล้ว แม่ทัพเซ่าต้องเสียสละมากเหลือเกิน…”
“ไม่ง่ายดายอะไรกัน ผายลม!” หมอเทวดาหลี่ลุกพรวดขึ้นยืนผรุสวาทเสียงดัง
เฉียวเจาเกือบสำลักน้ำชา นางยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากไอเบาๆ
“นี่ตาเฒ่า พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ได้ยินชายชราผู้นี้กล้าด่าแม่ทัพเซ่า ทุกคนไม่พอใจยกใหญ่
หมอเทวดาหลี่ไม่แยแสท่าทีของคนเหล่านี้สักนิด เขากล่าวอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้าล้วนบอกว่าเป็นเขาไม่ง่ายดาย แล้วฮูหยินของเขาเล่า ต้องตายอย่างน่าอนาถปานนั้นใครเคยคิดบ้าง ฮึ ข้าว่าเจ้าหนุ่มนั่นไม่เอาไหนต่างหากถึงเป็นต้นเหตุทำให้ฮูหยินของตนเองโดนชาวฉีจับตัวไป…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ผู้คนระดมขว้างปาสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าซาลาเปาหรือถ้วยน้ำชาใส่หมอเทวดาหลี่ ในบรรดานั้นยังมีรองเท้าฟางเก่าขาดข้างหนึ่งปนอยู่ด้วย!
เฉียวเจาซึ่งคาดถึงผลลัพธ์ได้แต่แรกฉุดหมอเทวดาหลี่ออกวิ่ง พวกองครักษ์กลัวตกเป็นเป้าสายตาเลยไม่กล้าทำอะไรชาวบ้านเหล่านี้ เพียงเอาตัวขวางการโจมตีระลอกใหญ่นี้แทนหมอเทวดาชรา
เมื่อคนทั้งกลุ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกลับขึ้นรถม้าแล้ว คนในเพิงน้ำชาถึงค่อยๆ คลายโทสะลงแล้วยกหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้มาพูดคุยกันต่อ
สายตาของเจียงหย่วนเฉาซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไป๋หยางไม่ไกลจากเพิงน้ำชามองตามรถม้าที่แล่นจากไป ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาฉายอารมณ์ลึกล้ำ
ที่แท้…นางตายไปแล้ว
เจียงหย่วนเฉาแหงนคอมองผืนเมฆตรงขอบฟ้าทิศเหนือ ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
เขานึกว่าสตรีอย่างนางไม่ว่าออกเรือนหรือไม่ จะต้องใช้ชีวิตดั่งใจปรารถนา คิดไม่ถึงว่าจะพบจุดจบเยี่ยงนี้
หากรู้เช่นนี้แต่แรก…
เจียงหย่วนเฉาไม่คิดต่ออีก หากอาการปวดหน่วงๆ ค่อยๆ แผ่ลามจากส่วนลึกของใจ นั่นมิใช่ความเจ็บปวดแบบเสียดแทง แต่คล้ายมีแรงบีบรัดจนเขาแค่หายใจก็เริ่มรู้สึกเจ็บไปด้วย
ถึงจะเลือนรางบางเบา และต่อให้เขายิ้มแย้มพูดคุยดุจปกติหรือเก็บงำความรู้สึกนึกคิดได้ลึกปานใด ก็ยังคงสลัดมันทิ้งไม่ได้
“ใต้เท้า…” ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างกายเจียงหย่วนเฉาอดส่งเสียงเรียกไม่ได้
เขาอุปาทานไปเองหรือไม่ ถึงกับรู้สึกว่าใต้เท้าดูเศร้าสร้อยมาก นี่แทบจะเป็นเรื่องน่าแตกตื่นตกใจเลยทีเดียว
เจียงหย่วนเฉาดึงความคิดคืนมา มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ “ไปเถอะ”
บนรถม้า หมอเทวดาหลี่สะบัดมือเฉียวเจาออก สีหน้าของเขาโกรธเกรี้ยว
“แม่นางน้อยตัวดีฉุดข้าด้วยเหตุใด ข้ายังไม่ทันได้วางยาเลย”
น่าจะกรอกยาให้เจ้าพวกไม่รู้กาลเทศะกลุ่มนั้นกินจะได้ท้องเสียทุกคน
หมอเทวดาไม่ใช่คนพูดเสียงเบา พวกองครักษ์นอกรถม้าพากันย่นคอห่อไหล่โดยไม่รู้ตัว
ชีวิตนี้ช่างแสนยากเย็นนัก เดินทางติดตามหมอเทวดาต้องกลัวทุกเวลาว่าจะโดนเขาวางยา ยังต้องคอยกลัวว่าเขาจะวางยาผู้อื่นได้ทุกเมื่อ ซ้ำต้องกลัวอีกว่าจะสะสางปัญหายุ่งยากที่เกิดจากปากเขาเช่นไร
เหล่าองครักษ์ที่ตอนออกจากเมืองหลวงยังคึกคักกระชุ่มกระชวย แต่ตอนนี้กลับซูบซีดแก้มตอบต่างคิดคำนึงในใจ
“ท่านปู่หลี่จะถือสาหาความพวกเขาไปไยเจ้าค่ะ” ภายในตัวรถม้าตกแต่งให้นั่งสบาย เฉียวเจาพิงหมอนกระเบื้องเขียนลายเส้นหมึกดำใบหนึ่งคลี่ยิ้มบางๆ มิได้รู้สึกตัวสักนิดว่านางเป็นฮูหยินผู้เคราะห์ร้ายน่าสงสารของแม่ทัพเซ่าผู้นั้น
“ใครใช้ให้พวกเขาปากพล่อย” หมอเทวดาหลี่ยิ่งคิดยิ่งมีน้ำโห “ไม่เพียงปากพล่อย ยังเบาปัญญา! คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด สามเรื่องมงคลของบุรุษ เลื่อนยศ ร่ำรวย ภรรยาม้วยมรณา! เป็นเจ้าหนุ่มบัดซบแซ่เซ่าไม่ง่ายดายอย่างไรหรือ เจ้ารอดูเถอะ รอเขากลับเมืองหลวง ไม่แน่อาจชุบตัวกลายเป็นราชบุตรเขย ถึงเวลานั้นใครยังจะจำได้ว่า…”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วเงียบไป เอนหลังพิงผนังรถม้าอย่างโมโหฮึดฮัด แต่หางตากลับเปียกชื้นขึ้นทีละน้อย
เขาจะไม่ถือสาได้อย่างไร นั่นเป็นเด็กที่เขาเห็นตั้งแต่เล็กจนโต
เขาเป็นหมอ อายุปูนนี้แล้วเห็นคนเกิดแก่เจ็บตายจนชาชิน แต่เด็กสาวผู้นั้นไม่เหมือนกัน
นางฉลาดเฉลียวปานนั้น ร่ำเรียนอะไรแค่สอนครั้งเดียวก็เข้าใจ ทั้งที่มีสติปัญญาดีเพียงนี้ กลับสามารถทำใจสงบนิ่งดูแลปรนนิบัติท่านปู่อย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่ ทั้งไม่รู้สึกเสียดายที่ต้องออกเรือนช้าปล่อยให้ช่วงวัยสาวแรกรุ่นอันสวยงามผ่านไปอย่างสูญเปล่า หลังจากท่านปู่ล่วงลับ นางเศร้าโศกแต่หักห้ามใจไม่ฟูมฟายได้ ถึงขั้นกลับมาเป็นฝ่ายปลอบใจเขา
นางดีถึงเพียงนี้ เหตุใด…เหตุใดเจ้าหนุ่มบัดซบนั่นหักใจยิงธนูสังหารนางได้ลงคอ
“ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มบัดซบนั่นมีฝีมือยิงธนูเป็นอย่างไร ยิงได้แม่นยำหรือไม่นะ” หมอเทวดาหลี่ที่เสียใจและโกรธแค้นอยู่เปล่งเสียงถามขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เฉียวเจาได้ยินแล้วทั้งแปลบปลาบใจทั้งขบขัน นางเข้าใจความหมายคำพูดนี้ของหมอเทวดาหลี่ได้ จึงเอ่ยตอบอย่างทนดูเขาเสียใจเกินไปมิได้ “แม่นมากเจ้าค่ะ ปักเข้ากลางอกพอดี ขาดใจตายในดอกเดียว ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บมากด้วยซ้ำ”
หมอเทวดาหลี่ดึงสติคืนมาทันควัน “ข้าพูดออกมาแล้วหรือ”
เฉียวเจาพยักหน้า “อื้อ”
หมอเทวดาหลี่จ้องหน้าเฉียวเจาอย่างไม่ละสายตา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่เจ็บ”
เฉียวเจาพูดอธิบายด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ท่านคิดดูสิเจ้าคะ แม่ทัพเซ่าเป็นใคร เขาเข้าสู่สมรภูมิตั้งแต่อายุสิบสี่ แต่พ่ายศึกนับครั้งได้ แล้วฝีมือยิงธนูจะอ่อนด้อยได้หรือ อีกอย่างหนึ่งจะอย่างไรนั่นก็เป็น…เอ่อ…ภรรยาของเขา ถ้าแค่นี้เขายังทำไม่ได้ ปล่อยให้ภรรยาตนเองต้องทนทรมานนานขึ้น จะไม่ไร้น้ำใจเกินไปหรือ”
อื้อ พอคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็เป็นสามีผู้มากน้ำใจโดยแท้
เฉียวเจาเกือบทั้งฉิวทั้งขันเพราะความคิดของตนเองแล้ว
เชิงอรรถ
* ต๋าจื่อ เป็นคำเรียกชนเผ่าป่าเถื่อนทางทิศเหนือของจีนในสมัยโบราณ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.