X
    Categories: Master of My Own ขอโทษที ฉันไม่ใช่เลขาคุณแล้วWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Master of My Own ขอโทษที ฉันไม่ใช่เลขาคุณแล้ว บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 7 เวลาสามเดือน

คำพูดอาจหาญของหนิงเหมิงทำให้ลู่จี้หมิงระเบิดเสียงหัวเราะเยาะออกมา

“ดูไม่รู้เลยนะหนิงเหมิง ใจกล้าไม่ใช่เล่น คุณก็กล้าคิดนะ!” ลู่จี้หมิงกำมือเคาะโต๊ะ “ผมบอกให้รู้นะ ตอนนี้คุณมีเพียงสองทางเลือก ถ้าไม่ไปทำหน้าที่เลขาฯ ให้ดีๆ ก็ไม่ต้องทำแล้ว กลับบ้านไปเลย!”

หนิงเหมิงมองดูลู่จี้หมิง เบื้องหลังเลนส์แว่นคือดวงตาที่สว่างสดใสของเธอ ทันทีที่เขายื่นคำขาดออกมา ใจเธอกลับนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกอีกแล้ว

เธอเฝ้าดูลู่จี้หมิงอย่างเงียบๆ ใช้คำตอบที่มีน้ำเสียงอ่อนโยนของเธอทิ่มแทงความมั่นใจและหยิ่งยโสของอีกฝ่ายว่าเธอจะไม่กล้าลาออก

“ได้ค่ะท่านประธานลู่ งั้นฉันไม่ทำแล้ว” หนิงเหมิงพูดทีละคำ

ลู่จี้หมิงอยู่ตรงนั้นและมองจ้องเธอเป็นเวลาสองวินาทีเต็ม

วินาทีที่สามเขาตบโต๊ะอย่างแรงแล้วเขวี้ยงปากกาลงกับพื้น ชี้ไปที่หนิงเหมิงและตะโกน

“ออกไป! ผมจะรอจดหมายลาออกของคุณ!”

หนิงเหมิงหันหลังเดินออกไป

ขณะที่ประตูปิดอยู่ข้างหลัง เธอได้ยินเสียงเขวี้ยงแก้วน้ำลงบนพื้น

เมื่อได้ยินเสียงนั้นหนิงเหมิงก็อดหัวเราะอย่างช่วยอะไรไม่ได้

นี่ก็สปอยล์กันจนเคยตัว โตขนาดนี้แล้ว เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่แท้ๆ ยังมาระบายอารมณ์แบบนี้ ต้องขนาดนั้นไหม

 

หนิงเหมิงนั่งลงที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟล์งานขึ้นและเริ่มพิมพ์จดหมายลาออก

เมื่อพิมพ์คำว่า ‘จดหมายลาออก’ ลงไป ใจยังรู้สึกลังเลและเสียดายอยู่บ้าง แต่เธอค้นพบอารมณ์ที่ตัวเองควรมี เธอตั้งใจมั่น เริ่มพิมพ์เนื้อหาในจดหมายลาออกลงไปอย่างแน่วแน่

ด้านในก็เริ่มเขวี้ยงแก้วเสียงดังให้เธอได้ยินอีกแล้ว

ถึงขนาดนี้แล้ว ลาออกก็ลาออก จะเสียใจภายหลังไม่ได้

หนิงเหมิงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็พิมพ์จดหมายลาออกออกมา

ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร เมื่อตัดสินใจแน่แล้ว พอลงมือทำประสิทธิภาพก็จะสูงขึ้น

สองนิ้วเธอหนีบจดหมายลาออกที่เพิ่งออกจากพริ้นเตอร์และยังมีไอร้อนอยู่

จดหมายลาออกที่เพิ่งออกจากเตา ทั้งร้อนและสดใหม่

ความคิดที่ตลกขบขันนี้แวบเข้ามาในหัวของหนิงเหมิง ทำให้ความเครียดที่จะเคาะประตูและเผชิญหน้ากับนักตะคอกหายไป

ทว่าสิ่งที่ได้เผชิญกลับทำให้เธอประหลาดใจ

เมื่อเข้าไปในห้องทำงานท่านประธานอีกครั้ง ลู่จี้หมิงที่อยู่ด้านหลังโต๊ะก็มีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครโวยวาย ไม่มีใครเคาะโต๊ะ ไม่มีใครขว้างปากกาหรือถ้วย

ลู่จี้หมิงที่ไม่อาละวาดต่อเหมือนเคยทำให้หนิงเหมิงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรในตอนนี้

หญิงสาวดันแว่นตาขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า ยื่นจดหมายลาออกให้ชายหนุ่มบนโต๊ะทำงาน

ลู่จี้หมิงไม่มองแม้แต่น้อยพลางยกมือปาดออกไป กระดาษแผ่นนั้นก็กึ่งเลื่อนกึ่งลอยออกไปด้านข้าง

หนิงเหมิง “…”

นี่คือทิศทางการพัฒนาแบบไหน

ลู่จี้หมิงจับจ้องเลขาฯ ที่อยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ โต๊ะไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่และโอ่อ่า เมื่อเทียบกับหญิงสาวที่สวมกระโปรงทรงแคบ เธอก็ดูผอมบางอย่างชัดเจน

การเปรียบเทียบนี้ทำให้ลู่จี้หมิงมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง

ทำเหมือนเขากับโต๊ะตัวใหญ่ร่วมมือกันรังแกคนอย่างนั้น…

ลู่จี้หมิงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าของเขาสงบราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

เขาไม่ได้อาละวาด ไม่ได้ข่มขู่ และไม่ได้เขวี้ยงแก้วเพราะประชดใคร

“หนิงเหมิง ผมคิดแทนคุณดูแล้ว ผมคิดว่าเมื่อครู่คุณหุนหันพลันแล่นเกินไป” บอสลู่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

หนิงเหมิง “…” หุนหันพลันแล่นน่ะคุณต่างหาก พี่ชาย!

“เอะอะอะไรก็จะลาออก ทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ ทำแบบนี้ก็เท่ากับปิดทางเดินตัวเองนะ!”

หนิงเหมิง “…” คนที่ปิดทางเดินให้ฉันเลือกที่จะลาออกคือคุณต่างหาก!

“ผมจะเหลือทางออกให้คุณ เอาอย่างนี้ อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสคุณ ผมให้เวลาหนึ่งเดือน ผมจะให้คุณไปที่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุนไปลองทำโปรเจ็กต์ดูก็ได้ แต่ถ้าหนึ่งเดือนแล้วคุณทำไม่ได้ คุณก็ต้องกลับมาทำงานเป็นเลขาฯ ให้ผมเหมือนเดิม อย่าหาเรื่องอะไรอีก ผมบอกก่อนนะ สามปีนี้ผมลงทุนลงแรงฝึกให้คุณเป็นเลขาฯ ที่เก่งกาจขนาดนี้ ที่ทุ่มเทลงไปก็ไม่น้อย คุณจะไม่รับผิดชอบแบบนี้ไม่ได้ จะดื้อรั้นเอาแต่ที่ตัวเองพอใจไม่ได้!”

“…”

หนิงเหมิงไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบกลับคำพูดนี้อย่างไร คำพูดพวกนี้ทำให้เธอดูเหมือนคนไร้หัวใจ…ที่เธอเป็นเลขาฯ ที่ดีได้ไม่ใช่ได้รับการฝึกฝนมา แต่ถูกทรมานให้เป็น เขากล้าที่จะใช้คำพูดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร

หนิงเหมิงเชื่อว่าสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของลู่จี้หมิงไม่ได้ต่ำนัก เขาไม่รู้สึกตัวว่าพูดจาข้างๆ คูๆ แถไปเรื่อยหรือไง

ลู่จี้หมิงจงใจพูดแบบนี้เพื่องัดข้อกับเธองั้นหรือ

ทำไมเธอถึงลืมไปได้ เจ้านายคนนี้ชอบงัดข้อกับคนอื่น ยิ่งเธออยากลาออกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่ให้เธอลาออกได้สำเร็จ

ลู่จี้หมิงเคาะโต๊ะอย่างหงุดหงิด “คุณได้ยินข้อเสนอของผมไหม”

หนิงเหมิงดันแว่นตาและต่อรองอย่างใจเย็น “หกเดือน”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ “ฝันไปสิ! สองเดือน!”

“สี่เดือน”

ลู่จี้หมิงยกมือขึ้นหยิบจดหมายลาออกที่วางอยู่ด้านข้างและตบลงไปต่อหน้าหนิงเหมิง หยิบปากกาถอดฝาออก ทำท่าทางพร้อมจะเซ็นชื่อลงไป

“หนิงเหมิงอย่าให้มันมากนัก! สามเดือน ถ้ายังต่อรองอีกผมจะเซ็นชื่อแล้วนะ!”

หนิงเหมิงดันแว่นตา เธอดึงจดหมายลาออกจากมือของลู่จี้หมิงมาอย่างเงียบๆ

สามเดือนก็สามเดือน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพประกันสังคมไม่ต้องขาดส่งเพราะลาออก

 

หนิงเหมิงถูกย้ายไปทำงานในแผนกโปรเจ็กต์สอง เป็นลูกน้องของชิวจวิ้นหลิน

การย้ายตำแหน่งของเธอนั้นมองแบบผิวเผินก็ดูสงบราบเรียบ ราวกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดปกติอะไร ทุกคนจึงยอมรับโดยดี แต่ลับหลังก็มีการวิพากษ์วิจารณ์และคาดเดากันไปต่างๆ นานา

คนที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรมากที่สุดคือชิวจวิ้นหลิน เขาไม่รู้ว่าทำไมคนข้างกายเจ้านายอยู่ๆ ก็หลุดเข้าไปในแผนกลงทุน เจ้านายจะส่งคนมาตรวจสอบงานแผนกของเขาหรือเปล่า

เขาดีกับหนิงเหมิงไปสองวัน พอวันที่สามก็อดทนไว้ไม่อยู่ ส่งคนสนิทไปคุยกับเธอ

หนิงเหมิงรู้ว่าถ้าตัวเองพูดให้ชัดเจนคงไม่สามารถทำงานร่วมกับแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนได้จริงๆ คนที่นี่กีดกันเธอ ทำเหมือนเธอเป็นขโมย

ดังนั้นเธอจึงสรุปคำพูดออกมาด้วยความจริงใจเพื่อบอกกับคนสนิทของชิวจวิ้นหลิน เปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั่นคือจากที่ลู่จี้หมิงยื่นคำขาดว่าถ้าสามเดือนแล้วเธอยังไม่มีผลงาน เธอจะต้องกลับไปทำงานเป็นเลขานุการให้เขาต่อ ก็เปลี่ยนเป็นถ้าสามเดือนไม่มีผลงาน เธอจะต้องเก็บกระเป๋าไสหัวไป

หลังจากแบไต๋ไปแล้ว ชิวจวิ้นหลินก็ดูท่าทางเธอต่ออีกสองวัน เมื่อมั่นใจว่าหนิงเหมิงไม่ใช่สายลับที่ลู่จี้หมิงส่งมา ตรงกันข้ามเขาจับความรู้สึกได้ว่าลู่จี้หมิงรังเกียจและโมโหหนิงเหมิงอยู่เลาๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดความสงสัย เขาไม่ต้องคำนึงถึงอะไรแล้ว ชิวจวิ้นหลินเริ่มกลั่นแกล้งหนิงเหมิงทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ

ตัวอย่างเช่นเมื่อต้องไปประชุมที่บริษัทที่จะทำโปรเจ็กต์ลงทุนในวันรุ่งขึ้น เขาแจ้งทุกคนให้ไป แต่พลาด ‘ลืม’ ที่จะแจ้งหนิงเหมิงเท่านั้น

หรือให้หนิงเหมิงเดินทางไปเมืองอื่นเพื่อเก็บข้อมูล ‘โปรเจ็กต์ที่มีศักยภาพ’

เดิมเขาต้องการเห็นเธอเสียหน้า คนทำงานเป็นเลขาฯ ไปเก็บข้อมูลวิเคราะห์โปรเจ็กต์ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องตลกอย่างไรบ้าง

ผลก็คือหนิงเหมิงเก็บข้อมูลวิเคราะห์โปรเจ็กต์ได้ชัดเจนและมีหลักการทีเดียว

ชิวจวิ้นหลินรู้สึกประหลาดใจและผิดหวังกับเรื่องนี้มาก เรื่องการกลั่นแกล้งก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะทำอะไรหนิงเหมิงไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าหนิงเหมิงทุ่มเททำงานหนักขนาดไหน

แม้ว่าตอนที่ทำงานกับลู่จี้หมิงจะพัฒนาทักษะความรู้ทางวิชาชีพมากมาย แต่หนิงเหมิงก็รู้ดีว่าตัวเองยังขาดความรู้ทางธุรกิจอีกมาก เมื่อก่อนตอนที่ยังทำงานกับลู่จี้หมิงก็ได้จับโปรเจ็กต์ต่างๆ แต่การจับงานพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่อยู่ในกระดาษเท่านั้น แม้ว่าเธอจะเรียนรู้ได้มากมาย แต่ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่มีโอกาสเรียนรู้ ตัวอย่างเช่นวิธีการค้นพบโปรเจ็กต์ที่ดี วิธีการดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ และวิธีวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโปรเจ็กต์จากมุมมองของกฎหมาย การเงินและการอุตสาหกรรม เรื่องขั้นพื้นฐาน เรื่องธรรมดาพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมาก่อนขณะที่นั่งอยู่หน้าห้องท่านประธาน

เอกสารที่นำเสนอมาถึงหน้าห้องท่านประธาน ที่ปรากฏอยู่ด้านในคือสถานะของโปรเจ็กต์ที่ผ่านขั้นตอนการทำงานจริงๆ มาแล้ว อยู่ในขั้นตอนของการนำเสนอข้อสรุป

หนิงเหมิงเคยดูข้อสรุปเหล่านี้มาก่อน แต่ขาดการลงมือทำงานจริง

หลังจากเธอมาที่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุน ไม่นานก็ค้นพบว่างานทางการปฏิบัติของเธอยังน้อยอยู่มาก ดังนั้นเธอจึงเริ่มทำงานอย่างหนักให้มีผลงานที่ยังขาดอยู่

เธออ่านหนังสือ ท่องจำมาตรากฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ และเจาะลึกกรณีต่างๆ ของโปรเจ็กต์ เธอเจาะลึกความเสี่ยงทางกฎหมายและวิจัยเกี่ยวกับระบบควบคุมความเสี่ยง การเงินคือวิชาเอกของเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นเลขาฯ มาสามปีแล้ว แต่เธอไม่เคยละเลยวิชาความรู้ด้านที่เรียนมาเลย เพราะเธอรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้ใช้ความรู้เหล่านี้ เป็นทักษะที่เหนือคนอื่นในการก้าวเดินบนถนนแห่งโลกการเงิน

และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เธอจะใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้มา

หนิงเหมิงเก็บข้อมูลและวิจัยภาคสนามเสร็จสิ้นเรียบร้อยเป็นอย่างดี และชิวจวิ้นหลินไม่สามารถทำให้เธออับอายได้

แต่ชิวจวิ้นหลินก็ยืนหยัดไม่ยอมแพ้ เขาหาวิธีอื่นมากลั่นแกล้งเธอต่อไป

เขายังคงส่งหนิงเหมิงไปเก็บข้อมูลวิเคราะห์โปรเจ็กต์ หลังจากเธอกลับมาเขาก็ส่งรายงานการวิจัยนี้ขึ้นไป ถ้าโปรเจ็กต์นี้สามารถทำได้ ผลการวิเคราะห์ก็จะถูกชิวจวิ้นหลินแย่งไป หากโปรเจ็กต์ไม่สามารถทำได้ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ที่บรรดาท่านประธานบริษัทแนะนำมา ความผิดนี้หนิงเหมิงก็จะเป็นคนรับไป ส่วนเขาก็จะรอดพ้นออกมาได้อย่างสะอาดหมดจด

“หนิงเหมิงบอกว่าบริษัทนี้คุณสมบัติไม่ได้ ไม่ควรลงทุน เธอเป็นคนที่ประธานลู่ฝึกมา เธอบอกว่าไม่สามารถลงทุนได้ ถ้าผมจะดึงดันลงทุนโปรเจ็กต์นี้ต่อไป มันไม่สมควร”

ดังนั้นหนิงเหมิงที่เข้ามาในแผนกโปรเจ็กต์สองได้ไม่นานก็ใช้สายสัมพันธ์ที่ดีซึ่งสะสมมาสามปีนี้จนเกือบหมด

ที่จริงหนิงเหมิงก็รู้ดีว่าทำไมชิวจวิ้นหลินคอยกลั่นแกล้งเธอไม่หยุดแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ลู่จี้หมิงเสียอารมณ์เสียใส่ชิวจวิ้นหลินเพราะเรื่องความล่าช้าในการระดมทุนรอบที่สองของบริษัทเสื้อผ้า ชิวจวิ้นหลินไม่พอใจที่หนิงเหมิงไม่ได้ช่วยเขาพูดเลย

หนิงเหมิงรู้ว่าตอนนั้นชิวจวิ้นหลินไม่พอใจมาก แต่เธอไม่คิดว่าคนระดับผู้อำนวยการคนนี้จะใจแคบยิ่งกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะสมัยประถมของเธอที่ชอบวาดเส้นแบ่งเขตแดนบนโต๊ะ เพื่อนคนนั้นยังให้โอกาสเธอล้ำเส้นสองครั้งทุกวัน ครั้งที่สามถึงจะเริ่มตอบโต้ ชิวจวิ้นหลินช่างดีจริงๆ ไม่ให้โอกาสอะไรเลยสักนิด กลั่นแกล้งเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิกรา

หนิงเหมิงหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

ในสถานการณ์แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสร้างผลงาน เพราะถ้ามีผลงานก็เป็นของสกุลชิว ถ้ามีความผิดพลาดอะไรก็สกุลหนิง

หญิงสาวเริ่มร้อนรน ลู่จี้หมิงให้เวลาเธอเพียงสามเดือนเท่านั้น เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย และเวลาเกือบครึ่งหนึ่งก็ผ่านไปแล้วด้วย

หนำซ้ำตอนที่เธอยังปวดหัวไม่ได้หยุด หยางเสี่ยวหยางก็มักจะมาหาเพื่อโอดครวญสร้างความปวดหัวให้เธอเพิ่มขึ้นไปอีก

หยางเสี่ยวหยางบอกว่าตัวเองกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า ขอร้องให้หนิงเหมิงกลับมาทำงานที่สำนักงานบริหารเร็วๆ เธอบอกว่าลู่จี้หมิงเหมือนคนบ้า เปลี่ยนเลขาฯ วันละคน คนที่มาใหม่ไม่เข้าตาเขาสักคน แม้ว่าคนคนนั้นจะดีถึงขนาดทำให้เจ้าชายดูไบหลงใหลได้ แต่เขาก็ยังทำพวกเธอร้องไห้อยู่ดี

“คุณไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ท่านประธานน่ากลัวขนาดไหน! ถ้าฉันลาออกแล้วไม่ต้องไปเป็นขอทาน ฉันอยากจะลาออกจริงๆ!” หยางเสี่ยวหยางทุบหน้าอกของตัวเองขณะบอกเล่าความรู้สึกที่เจ็บปวดให้หนิงเหมิงรับรู้

นอกจากหยางเสี่ยวหยางแล้วยังมีบรรดาผู้อำนวยการบางคนที่มาหยั่งเสียงของหนิงเหมิง

พวกเขาถามเธอว่างอนอะไรกับประธานลู่ ทำไมบอสถึงเนรเทศเธอมาที่นี่ เป็นไปได้ไหมที่จะคืนดีกับบอส อ้อ ไม่มี แต่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ หรือที่จะกลับไปทำงานที่สำนักงานบริหาร

หนิงเหมิงบอกพวกเขาด้วยความมั่นใจและเด็ดขาดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว

บรรดาผู้อำนวยการที่เต็มไปความหวังเหล่านั้นต่างก็ต้องผิดหวังหน้าคว่ำกันไป พวกเขาถอนหายใจยาวแล้วก็พูดอย่างสิ้นหวังว่าจบกัน ต่อไปใครก็อย่าได้คิดมีชีวิตที่ดีแล้ว!

หลังจากนั้นหนิงเหมิงก็สบายหูไปสักพัก แล้วต่อมาเธอก็ต้องต้อนรับสมาชิกคนสุดท้ายที่มาหยั่งเสียงว่า ‘จะกลับไปทำงานที่สำนักงานบริหารหรือไม่’

นั่นคือลู่จี้หมิง

บทที่ 8 บังเอิญแล้วก็บังเอิญ

ระหว่างที่หนิงเหมิงเดินไปที่เครื่องกดน้ำก็พบกับลู่จี้หมิง เธอคิดว่ามันเป็นการบังเอิญเจอที่ไม่จำเป็น หลังจากนั้นเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะอยู่ใกล้ทางเดินก็บอกให้รู้ว่าคำว่า ‘เจอ’ มันไม่มีบัญหาอะไร แต่ ‘บังเอิญ’ คำนี้นี่มันน่าคิดมากจริงๆ

“ประธานลู่เดินไปเดินมาผ่านโต๊ะทำงานของฉันหลายต่อหลายครั้ง ถ้าไม่ไปเข้าห้องน้ำก็เดินมาตรงนี้แล้วต้องเรียกใครสักคนมาถามเรื่องงาน แต่ถามแล้วก็ใจลอย ทำเอาคนที่ถูกถามงงไปหมดแล้ว ฉันนี่แย่ที่สุด ทุกครั้งที่ประธานลู่เดินผ่านโต๊ะทำงานของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนน้ำดีขมๆ จะทะลักออกมาจากคอแล้ว ฉันกลัวว่าถ้าเขาก้มลงมามองเห็นฉันแล้วย้ายให้ฉันไปทำตำแหน่งเลขาฯ ที่ว่าง พรุ่งนี้ฉันคงถูกบีบให้ลาออกจนได้!”

การเดินของลู่จี้หมิงที่ทำให้คนสติหลุดนั้น ก็ ‘บังเอิญ’ สิ้นสุดลงเมื่อหนิงเหมิงออกมาหาน้ำดื่ม

ดังนั้นเมื่อหนิงเหมิงออกมาจากแผนกโปรเจ็กต์สองเธอก็เจอกับลู่จี้หมิงที่ ‘บังเอิญ’ ผ่านมาพอดี

ลู่จี้หมิงก็ยัง ‘บังเอิญ’ เหลือบมองเธอและพูดอย่างยโส “ใครน่ะ คุณ! ใช่ คุณนั่นแหละหนิงเหมิง มานี่หน่อย!”

หนิงเหมิงจึงต้องถือถ้วยเปล่าและเดินตามลู่จี้หมิงเข้าไปในห้องประชุมเล็ก

ลู่จี้หมิงนั่งไขว่ห้างพิงเก้าอี้หนังที่อยู่ใกล้ประตู เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางอย่างนั้น ตอนที่ลู่จี้หมิงไม่พูด เขาดูหล่อเหมือนพระเอกซีรี่ส์วัยรุ่นสดใส แต่ทันทีที่เขายุติท่าทางที่สงบนิ่ง คิ้วและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยและดวงตาที่เย็นชาทำให้เขากลายเป็นตัวโกงที่แสนชั่วร้าย

หนิงเหมิงยืนอยู่หน้าท่านประธาน ยอมรับการมองประเมินด้วยปลายตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยของเขา ดวงตาคู่นั้นเวลาที่จ้องมองใครก็แสดงถึงความเจ้าชู้อยู่บ้าง มันกำลังจ้องมองเธออยู่

หนิงเหมิงพอจับความรู้สึกได้ว่าทำไมลู่จี้หมิงถึงเรียกเธอเอาไว้ และก็รู้ว่าเขาจะใช้ท่าทางและพูดอย่างไร

แล้วก็จริง

“ว่ายังไง จะทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ”

น้ำเสียงที่เปิดฉากพูดของลู่จี้หมิงเป็นสิ่งที่หนิงเหมิงคาดไว้อยู่แล้ว

ประเภทคุณทำไม่ได้แน่ๆ ผมก็แค่รอเยาะเย้ยว่าคุณทำไม่ได้ นัยการประชดประชันชัดเจนมาก

แต่มีบางอย่างที่เกินความคาดหมายของหนิงเหมิง

ทันทีที่ได้ยิน ‘จะทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ’ สมองของเธอก็ทำงานอย่างรวดเร็ว เธอวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนมากมายจากประโยคสั้นๆ ง่ายๆ นั้น

เขาคิดว่าเธอทนไม่ไหวแล้ว ก็หมายความว่าเขารู้ว่าเธอทำงานอยู่ในแผนกโปรเจ็กต์สองได้ลำบากมาก หรือจะพูดให้ชัดขึ้นก็คือที่ชิวจวิ้นหลินเจ้าคิดเจ้าแค้นกลั่นแกล้งเธอ เขาเองก็รู้ แต่เขายังคงสงบนิ่ง ทั้งยังไม่ได้ใช้ความยุติธรรมและศีลธรรมที่มนุษย์ควรจะมีประณามการกระทำของหัวหน้าแผนกจิตใจคับแคบ แต่กลับคอยดูฉากเด็ด

ดังนั้นหนิงเหมิงจึงคิดว่าลู่จี้หมิงไม่ลังเลที่จะส่งเสริมคนเลว รอดูชิวจวิ้นหลินบีบให้เธอไม่มีทางไป บีบให้เธอต้องกลับไปเป็นเลขาฯ ให้เขาล่ะสิ?

เขาเห็นคุณค่าของเธอจริงๆ!

ใจของหนิงเหมิงอยากเอาชนะขึ้นมา เธอยืนหลังตรงและเชิดหน้าขึ้น ราวกับต้นสนต้นเล็กที่ไม่ยอมอ่อนข้อและเอ่ยบอกเขา

“ยังทนไหวค่ะ ผอ. ชิวกำลังฝึกฉันอยู่ แบบนี้ก็ดีมาก!”

ลู่จี้หมิงขมวดคิ้ว อารมณ์ร้ายของเขาก็ปะทุขึ้นมา

“ได้! ได้! คุณคิดว่ามันดีใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นอีกสองเดือนที่เหลือผมจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นไปอีก!”

หนิงเหมิงเองโดนกระทำจนมีอารมณ์ขึ้นมา เธอจึงโพล่งออกมาว่า “ประธานลู่ ฉันไม่เข้าใจ คุณไม่มีเลขาฯ อย่างฉันไม่ได้หรือไง ฉันดีตรงไหน”

ลู่จี้หมิงใช้นิ้วเคาะโต๊ะประชุมและยิ้มเหยียด

“ผมฝึกฝนคุณมาสามปีแล้ว ตั้งแต่เข้าสู่โลกธุรกิจคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยจนทำให้คุณกลายเป็นพนักงานที่โดดเด่น ตอนนี้คุณปีกกล้าขาแข็งแล้วก็คิดจะบินเดี่ยว คุณว่าผมจะกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ลงไปได้ยังไง”

หนิงเหมิงซึมซับคำพูดเหล่านี้ลงไป หลังจากซึมซับแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

เขาไม่ได้ฝึกเธอมาสามปี แต่ทรมานเธอมาสามปีต่างหาก

หญิงสาวดันแว่นตา เธอไม่อยากจะอดทนอีกต่อไปแล้วจึงตอบไปว่า “ประธานลู่ อย่ากล้ำกลืนลงไปเลย ปกติถ้ากล้ำกลืนลงไปก็จะตายเอาได้นะคะ”

ลู่จี้หมิงชะงักนิ้วที่เคาะโต๊ะ เสียงตึกๆ หยุดกะทันหัน ห้องประชุมขนาดเล็กเงียบไปครู่หนึ่ง และทำให้เสียงหายใจของคนทั้งสองที่สวนกันยิ่งเหมือนกับเสียงลมสองสายที่พัดขึ้นมา

หนิงเหมิงไม่รู้ว่าตัวเองกลัวหรือไม่ วินาทีต่อมาลู่จี้หมิงจะระเบิดความโกรธใส่เธอหรือเปล่า เธอพูดคุยกับเขาด้วยตัวตนที่แท้จริงแบบนี้ เมื่อก่อนเธอมักจะรับมือตามอารมณ์และการพูดการทำงานของเขา ไม่เคยใช้น้ำเสียงสั่งสอนเขาเช่นนี้มาก่อน

หลังจากเงียบไปหลายวินาที ลู่จี้หมิงก็พ่นลมหายใจแล้วหัวเราะออกมา

มันเป็นการหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“หนิงเหมิง ดูเหมือนผมจะยังไม่รู้จักคุณ ที่แท้คุณกล้าพูดกับผมแบบนี้!”

หนิงเหมิงดันแว่นตาอีกครั้ง และหลังจากดันแว่นตาแล้วอาการสั่นที่ซ่อนอยู่ในปลายนิ้วของเธอก็สงบลงเช่นกัน

“ประธานลู่ ที่จริงแล้วฉันเป็นคนกวนโมโหมาก และตอนนี้ฉันก็เปิดเผยตัวตนแล้ว ด้วยท่าทางของฉันในตอนนี้ ถ้าฉันกลับไปทำงานเป็นเลขาฯ ให้คุณ ต้องทำให้คุณโกรธและกลืนความโกรธไปจริงๆ”

ลู่จี้หมิงขมวดคิ้วจ้องมองเธอโดยไม่กะพริบตา แววตาเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้า

ภายใต้สายตาจับผิดของเขา ปลายนิ้วของหนิงเหมิงสั่นขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้ เธอพยายามบังคับความรู้สึกที่อยากจะดันแว่นตาและบังคับตัวเองให้สงบเหมือนปกติ

เธอตั้งหลักรอลู่จี้หมิงกระโดดขึ้นมาด้วยความโมโหแล้วอาละวาดยกใหญ่

แต่ในท้ายที่สุดลู่จี้หมิงกลับหัวเราะเยาะเย้ยอีกครั้ง

การเสียดสีไม่ได้รุนแรงไปกว่าเดิม และเสียงหัวเราะก็ดูเหมือนจะมีความขบขันเจือปนอยู่

“หนิงเหมิง” ลู่จี้หมิงเรียกชื่อหญิงสาว น้ำเสียงนั้นดูแตกต่างไปจากทุกครั้งที่เขาเรียกเธอก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเขาใส่ใจมากขึ้น “ปากแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์ ทนไม่ไหวก็รีบกลับมาเป็นเลขาฯ ให้ผม! ไม่มีใครใช้ง่ายเท่าคุณอีกแล้ว!”

หลังจากพูดจบแล้วลู่จี้หมิงก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องประชุมเล็กทันที เขาเปิดประตูออกไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เหมือนกับนกยูงที่น่าตบจริงๆ

หนิงเหมิงมองดูแผ่นหลังของเขา ปล่อยให้ปลายนิ้วมือสั่นโดยไม่ต้องกลั้นเอาไว้ เธอกัดฟันด้วยความโกรธ

ดูถูกกันนักใช่ไหม ฉันใช้งานง่าย ก็ควรจะเป็นแม่บ้านของคุณตลอดไปใช่ไหม ได้ ขอบคุณสำหรับการดูถูกของคุณ ฉันไม่เคยอยากจะต่อสู้เท่ากับตอนนี้เลย ฉันต้องทำผลงานไปฟาดใส่หน้าคุณให้ได้!

 

ตอนกลางคืนเมื่อเลิกงานกลับถึงบ้าน หนิงเหมิงกำลังนวดคอที่ปวดพร้อมกับคุยวิดีโอคอลล์กับโหยวฉี

เธอถามโหยวฉีว่า “แกจะกลับมาเมื่อไหร่ นี่ก็เดือนหนึ่งผ่านไปแล้วนะ แต่แกยังอยู่เมืองนอกอยู่เลย แบบนี้แกก็มาหลอกลวงความรู้สึกของฉันน่ะสิ! ถ้าแกยังไม่กลับมาก่อนที่บ้านเช่าจะครบสัญญา ฉันบอกแกไว้เลยนะ ตอนย้ายบ้านฉันจะทิ้งเศษขยะที่แกส่งกลับมาให้หมด”

โหยวฉีรีบรับปากว่าเร็วๆ นี้แล้ว แต่ได้ยินเสียงเยาะเย้ยเหมือนเสียงหมูร้องของหนิงเหมิงกลับมา

“เร็วแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดฉันก็กลับไปตั้งนานแล้ว” โหยวฉีเล่าให้เพื่อนฟังว่า “เหล่าเหอบังเอิญพบเพื่อนเก่าระหว่างการส่งมอบโปรเจ็กต์ เพื่อนเก่าคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ในจีน พอได้ยินว่าเหล่าเหอกำลังจะกลับจีน เขาก็เริ่มดึงตัวไว้อย่างสุดชีวิต เขายังบอกอีกว่าเขาจะเป็นคนจ่ายค่าผิดสัญญาที่เหล่าเหอเซ็นไว้กับบริษัทในจีนที่ว่า ฉันเดาว่าเขาคงรอให้ทุกอย่างชัดเจน ฉันถึงจะกลับไปได้”

หนิงเหมิงนวดคอตัวเองพลางถาม “บริษัทอะไรเหรอ”

โหยวฉีตอบ “ฉันไม่ได้ถามรายละเอียด ประมาณพวกประกันกองทุนหลักทรัพย์อะไรนั่นแหละ”

หนิงเหมิงนับถือความไม่รอบคอบของเพื่อนมากจริงๆ

เมื่อเห็นหนิงเหมิงนวดคออยู่ตลอดเวลา โหยวฉีจึงถามขึ้น “อาเหมิง ทำโปรเจ็กต์เหนื่อยมากเลยใช่ไหม”

ท่าทางของหนิงเหมิงเหนื่อยล้ามาก เธอพยักหน้าแล้วปล่อยผมตัวเองลง

“เหนื่อยสิ!”

“สงสารแกจัง แล้วเสียใจไหม”

หนิงเหมิงรวบผมยุ่งๆ ไว้หลังใบหูทั้งสองข้าง “ถามฉันดีกว่า ฉันควรเลือกอันไหนระหว่างโดดตึกกับไปเป็นเลขาฯ ของลู่จี้หมิง!”

“แกเลือกอะไรล่ะ”

หนิงเหมิงยืนหยัดราวกับเป็นนักรบผู้กล้ายอมสละชีพ “โดดตึก!”

หนิงเหมิงเล่าสถานการณ์ล่าสุดในแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสองให้เพื่อนฟัง เมื่อโหยวฉีได้ฟังเรื่องที่น่าตื่นเต้น สองมือของเธอก็ทำท่าวิชากรงเล็บกระดูกสีขาว* ขึ้นมาทันที ที่ปลายเล็บเผยให้เห็นความแหลมคมอยู่หลายส่วน

“ฉันอยากจะไปขย้ำเจ้าคนแซ่ชิวจอมพิลึกนั่นแทนแกจริงๆ บังอาจมารังแกแกแบบนี้!”

หนิงเหมิงรู้สึกประทับใจมาก เธอจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่โหยวฉีกางมือออกมาช่วยเธอขย้ำคนก็คือตอนที่เธอเพิ่งเป็นเลขาฯ ของลู่จี้หมิง ในตอนนั้นลู่จี้หมิงทำให้เธอเรียนรู้ชีวิตใหม่เลยทีเดียว ต่อมาเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองอดทนต่อแรงกดดันมากมายมหาศาลของจอมพ่นไฟอย่างลู่จี้หมิงได้อย่างไร

หนิงเหมิงบอกโหยวฉีว่าลู่จี้หมิงคุยกับเธอ ทั้งข่มขู่ทั้งหลอกล่อให้เธอกลับมาทำงานเป็นเลขานุการต่อไป

โหยวฉีอึ้งไปทันที

“เลขาฯ จะหน้าด้านเกาะติดหนึบเจ้านายที่ร่ำรวยก็ไม่แปลก แต่เจ้านายกลับหน้าด้านเกาะติด…นี่มันอะไรกัน อาเหมิง เขาไม่ได้สติไม่ดีใช่ไหม”

หนิงเหมิงโมโห “ทำไมคนที่ประจบฉันมันมีแต่คนบ้าหรือยังไง ฉันมีเสน่ห์ไม่ได้หรือไง!” หลังจากมองตัวเองในกระจก เธอก็เย็นลงทันที “ช่างเถอะๆ เขาน่าจะสติไม่ดีแหละ”

โหยวฉีไม่พอใจอีก “ช่างได้ยังไง แกก็ไม่เลว จัดการหน้าม้า ถอดแว่นออก แกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยรู้ไหม ทำไมแกถึงไม่มั่นใจนัก!”

“…”

ไม่รู้ว่าใครพูดก่อนว่าเจ้านายประจบเธอคือเจ้านายสติไม่ดี

 

นับตั้งแต่ที่เธอเดินไปกดน้ำแล้ว ‘บังเอิญ’ เจอกับลู่จี้หมิง หนิงเหมิงก็พบว่าแผนการกลั่นแกล้งที่ชิวจวิ้นหลินเตรียมไว้ให้เธอมันรุนแรงมากขึ้นทุกที หลังจากการวิเคราะห์หลายครั้ง เธอมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าลู่จี้หมิงบอกใบ้บางอย่างให้กับชิวจวิ้นหลิน ทำให้ชิวจวิ้นหลินคิดว่าถ้าเขาสามารถบีบเธอให้ออกไปเร็วเท่าไหร่ เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือน รวบรวมแผนกโปรเจ็กต์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เดินสู่จุดสุดยอดของชีวิต

บางครั้งหนิงเหมิงโมโหชิวจวิ้นหลินมากจนอยากจะกลับไปเป็นเลขาฯ ลู่จี้หมิงต่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถึงตอนนั้นจะทำให้เจ้าคนประหลาดตกใจตายก็ให้มันรู้ไป แต่ความคิดเช่นนั้นก็เข้ามาและหายไปอย่างรวดเร็ว

หนทางข้างหน้าอย่างไรก็ต้องเจอคนร้ายสองสามคนที่ให้เธอทดสอบและฝึกฝนความตั้งใจ ไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จได้แบบง่ายๆ ดูอย่างหงอคงที่เดินทางไปกับพระถังซัมจั๋ง ต้องเจอกับภูตผีมารปีศาจมากมายกว่าเธอนัก

หนิงเหมิงบังเอิญพบกับลู่จี้หมิงครั้งที่สองตอนอยู่หน้าลิฟต์ ครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญจริงๆ ห่างจากครั้งแรกเกือบหนึ่งสัปดาห์ ตอนนั้นลู่จี้หมิงกำลังรอลิฟต์อยู่กับสวี่ซือเถียน

หนิงเหมิงยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างเงียบๆ

เมื่อเห็นสวี่ซือเถียน หนิงเหมิงอดที่จะมองอีกฝ่ายอย่างประเมินมากขึ้นไม่ได้

สวยจริงๆ ด้านหลังชดช้อยงดงาม ท่าทางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองของพวกคนในสังคมชั้นสูง เธอและลู่จี้หมิงยืนคู่กันแล้วเหมาะกับคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า คู่คนงามจริงๆ

เมื่อมองไปที่ด้านหลังอันงดงาม หนิงเหมิงย้อนคิดไปถึงหลายวันก่อนที่หยางเสี่ยวหยางใช้เวลาพักกลางวันมาเม้าท์มอยเรื่องใหญ่กับเธอ

‘อาเหมิง…อาเหมิง คุณจำสวี่ซือเถียนที่ขาวรวยสวยคนนั้นได้ไหม ไม่นานมานี้เธอมาหาประธานลู่ทุกวันเลย แม้แต่สายตาเอียงมากๆ อย่างฉันก็ยังมองออกว่าเธอชอบประธานลู่!’

หนิงเหมิงไม่ทันระวังกัดกระพุ้งแก้มตัวเอง ดูสิ ช่วงนี้เหนื่อยจนผอมเลย เธอดื่มน้ำไปคำเพื่อล้างกลิ่นคาวเลือดในปาก

หนิงเหมิงพูดไปด้วยทัศนคติที่เป็นกลาง ‘ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยและความรู้ก็สูง พูดจาชัดเจนคล่องแคล่วและไม่พูดอ้อนๆ ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับประธานลู่ด้วย พ่อของทั้งคู่เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ฐานะครอบครัวก็เหมาะสมกัน ภาพลักษณ์ภายนอกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสองคนเหมาะสมกันแบบสามร้อยหกสิบองศา คาดว่าลูกๆ ของพวกเขาจะหน้าตาดีสะเทือนโลกตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วล่ะ’

หยางเสี่ยวหยางไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ ‘เชอะ! แค่ดูดีจะมีประโยชน์อะไร สองคนนั้นเป็นพวกเจ้าอารมณ์ ต่อไปก็คงมีลูกเป็นปืนใหญ่!’ หยางเสี่ยวหยางถอนหายใจแล้วพูดต่ออย่างหดหู่ใจ ‘เฮ้อ คนพวกนี้เป็นคนรวยที่อยู่บนยอด อยู่คนละโลกกับพวกมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา นี่แหละสังคมในโลกปัจจุบัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นพวกนายท่าน เราก็เพียงสาวใช้ตัวน้อย?’

คำพูดนี้ทำให้หนิงเหมิงกัดกระพุ้งแก้มอีกครั้ง ถ้ายังกัดต่อไปเธอกลัวว่าตัวเองจะกัดแก้มจนทะลุ

ปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนเธอกินข้าวไม่ลงแล้ว

ต่อมาแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนก็เริ่มกระจายเรื่องซุบซิบนี้ทีละน้อย

ทุกคนบอกว่าสองคนนี้ตัวติดกันแน่น ดูเหมือนน่าจะคบกันจริงๆ บางคนบอกว่าลู่จี้หมิงทำเรื่องลงทุนได้ดี แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจเรื่องผู้หญิง แล้วสวี่ซือเถียนอาจจะเอาเขาไม่อยู่ ดูเวลาเที่ยวก็เที่ยว เวลาสนุกก็สนุกเต็มที่ งานอดิเรกคนโสดที่ชอบทำกันก็ไม่พลาดสักอย่าง คิดจะหยุดซะที่ไหน มีคนบอกอีกว่าเฮ้ คนรวยที่ไหนสนใจเรื่องนี้กันเล่า สนุกแล้วรู้จักกลับบ้านได้ก็พอแล้วไหม

หนิงเหมิงได้ยินเข้าก็เกือบจะกัดกระพุ้งแก้มอีกครั้ง

หยางเสี่ยวหยางพูดถูก คนรวยและคนธรรมดาไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน

หนิงเหมิงยืนอยู่ข้างหลังลู่จี้หมิงและสวี่ซือเถียน กลั้นหายใจเพื่อลดความมีตัวตนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธออยากทำให้ตัวเองโปร่งใสและกลมกลืนไปในอากาศ

เธอรอลิฟต์อย่างเงียบๆ ยืนอยู่ข้างหลังคนสองคนที่มีออร่าเปล่งประกาย รู้สึกว่าตัวเองหดลงจนเล็กนิดเดียว

ในที่สุดลิฟต์ก็มาถึง ลู่จี้หมิงและสวี่ซือเถียนเดินเข้าไปแล้วหันหน้ากลับมาทางหน้าลิฟต์

จังหวะนี้หนิงเหมิงและลู่จี้หมิงก็สบตากัน

สวี่ซือเถียนประกาศความเป็นเจ้าของโดยการคล้องแขนของลู่จี้หมิงหลังจากยืนนิ่งทันที

หนิงเหมิงบังคับไม่ให้ตัวเองดันแว่นตา เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะประตูลิฟต์กำลังปิด หนิงเหมิงยังไม่มีเวลาหันหน้าออกไปด้านประตูลิฟต์ ลู่จี้หมิงก็ยื่นมือออกไปแล้วกระแทกปุ่มเปิดประตูอย่างแรง

ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งด้านหลังหนิงเหมิง

ลู่จี้หมิงกดปุ่มเพื่อเปิดประตูค้างไว้ อาศัยความได้เปรียบจากส่วนสูง เขาปรายตาเหยียดมองไปยังหนิงเหมิงและออกคำสั่งอย่างเย็นชา

“คุณไปขึ้นลิฟต์ข้างๆ”

หนิงเหมิงโพล่งถามออกไปว่า “ทำไม”

คำตอบของลู่จี้หมิงนั้นสมเหตุสมผล “ผมเห็นคุณแล้วหงุดหงิด”

 

เชิงอรรถ

* วิชากรงเล็บกระดูกสีขาว คือวิชาวรยุทธ์ที่ทำลายกระดูกของศัตรูด้วยนิ้วมือทั้งสิบ มีที่มาจากคัมภีร์จิ่วอินเจินจิง คัมภีร์วรยุทธ์ที่ปรากฏในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยกของจินยง (กิมย้ง )

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: