บทที่ 166
ควันสีขาวลอยอวลขึ้นจากน้ำชาที่หกกระจายเต็มพื้นระลอกหนึ่ง
เฉียวเจามองโอวหยางเวยอวี่ พลางเปล่งเสียงกล่าวคำหนึ่ง “ยาเบื่อหนู?”
โอวหยางเวยอวี่ชักสีหน้าทันควัน “ท่าน…”
เฉียวเจาก้มลงเก็บถ้วยน้ำชาขึ้น ก่อนจะตวัดข้อมือโยนมันลงทะเลสาบที่ขุดขึ้นไม่ไกลนัก
เสียงของตกน้ำทำให้นกน้ำที่งีบหลับอยู่ตกใจตื่นรีบกระพือปีกบินหนีไป ขนนกหลายเส้นหลุดร่วงลงลอยคว้างอยู่เหนือผิวน้ำที่กระเพื่อมออกไปเป็นวงๆ
“คุณหนูโอวหยาง น้ำชานี้จะเตรียมให้คุณหนูหลันกระมัง”
“ท่านเห็นแล้วหรือ” หลักฐานวางยาพิษโดนเฉียวเจาทำลายทิ้งไป โอวหยางเวยอวี่หาได้รู้สึกซาบซึ้งใจแต่อย่างใด กลับทำหน้ามึนตึง “คุณหนูหลีซาน ไยท่านต้องยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วย”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ
โอวหยางเวยอวี่สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งพลางถามไล่เลียง “หรือท่านเห็นว่าหลันซีหนงเป็นหลานสาวของหลันซานและบุตรสาวของหลันซงเฉวียน เลยคิดจะประจบประแจงนาง”
พอเห็นเฉียวเจาไม่พูดไม่จา นางยิ่งฉุนเฉียวมากขึ้น กัดริมฝีปากกล่าวต่อ “ท่านรู้หรือไม่ว่าปู่และบิดาของนางกระทำเรื่องชั่วร้ายมามากมายเท่าไร หลันซานปรักปรำใส่ร้ายขุนนางสุจริตว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง ฝ่าฝืนอาญาบ้านเมืองได้โดยไร้ความเมตตาปรานีแม้แต่น้อยนิด หลันซงเฉวียนก็ยิ่งเจ้าเล่ห์อำมหิต ท่านพ่อข้าเคยพูดว่าอุบายต่ำช้าให้ร้ายขุนนางสุจริตของหลันซานพวกนั้น เขาแทบจะเป็นคนต้นคิดทั้งสิ้น! วันนี้ข้าจะวางยาพิษสังหารหลันซีหนง เหตุใดท่านต้องเข้ามาขวางด้วย”
“คงจะเป็นเพราะได้นิสัยชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องจากบิดาของข้ากระมัง” เฉียวเจาพูดเอื่อยๆ ไม่ใส่ใจน้ำเสียงฉุนเฉียวของอีกฝ่ายสักนิด
โอวหยางเวยอวี่นิ่งขึงไป ท่าทางก้าวร้าวคุกคามพลันอ่อนลงกะทันหัน
เรื่องที่บิดาของคุณหนูหลีซานโต้เถียงทวงความชอบธรรมกับองครักษ์จินหลินเพื่อรักษาเกียรติยศอันน้อยนิดให้ท่านพ่อของนาง ในสายตาของคนอื่นจะมิใช่ยุ่งไม่เข้าเรื่องหรอกหรือ
เด็กสาวมิใช่คนที่ไม่รู้ดีชั่ว วันนี้นางตัดสินใจวางยาพิษสังหารหลันซีหนงก็เตรียมใจแต่แรกว่าต้องตายอย่างแน่นอน แท้ที่จริงคุณหนูหลีซานหยิบถ้วยน้ำชาพิษไปเพื่อช่วยนาง ตอนนี้ยังตอบกลับนางด้วยถ้อยคำนี้ ทำให้นางจนวาจาแล้วจริงๆ
โอวหยางเวยอวี่ยกมือลูบดวงตา ห้ามน้ำตามิให้ไหลลงมา
นางร้องไห้ไม่ได้ ตั้งแต่วันที่ท่านพ่อถูกองครักษ์จินหลินจับตัวไป นางก็ร้องไห้มากพอแล้ว
“คุณหนูหลีซาน ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาดี แต่ข้าหวังว่าท่านจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ ข้าปลงใจแน่วแน่แล้ว วันนี้จะไม่ปล่อยให้หลันซีหนงมีชีวิตรอดกลับไปเป็นแน่ ถ้าท่านจะขัดขวางอีกก็เท่ากับส่งเสริมคนเลวก่อกรรมทำชั่ว!”
สีหน้าของเฉียวเจาสงบนิ่งดุจเดิม นางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมเอ่ย “คุณหนูโอวหยาง ความจริงข้าไม่ใคร่เข้าใจเท่าใดนัก อยากขอคำชี้แนะสักหน่อย”
“ว่ามาสิ” ความรู้สึกในใจของโอวหยางเวยอวี่ที่มีต่อเฉียวเจานั้นสลับซับซ้อนมาก
เพราะหลีกวงเหวินยื่นมือช่วยบิดาของนาง ยังมีการแสดงความสามารถอันล้ำเลิศน่าทึ่งของเฉียวเจาก่อนหน้านี้ รวมถึงเรื่องที่หยิบน้ำชาพิษไป ส่งผลให้นางรู้สึกเชื่อถือเฉียวเจาอยู่ลึกๆ เพิ่มขึ้นตามสัญชาตญาณ ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ตัว
“เมื่อครู่คุณหนูโอวหยางพูดถึงความชั่วร้ายต่างๆ นานาของสมุหราชเลขาธิการหลันซานกับบุตรชายของเขาหลันซงเฉวียน ทว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวอันใดกับหลันซีหนงหรือ”
“จะไม่เกี่ยวกันได้อย่างไร ถ้าหลันซีหนงไม่ใช่หลานสาวของสมุหราชเลขาธิการ อาศัยอะไรถึงได้เสวยสุขถูกห้อมล้อมไปด้วยพวกพ้องบริวารมากมาย ในเมื่อนางได้รับเกียรติยศบารมีจากปู่และบิดา จะไม่สมควรแบกรับผลลัพธ์เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้หรือ ที่แท้คุณหนูหลีซานเป็นคนใจดีพร่ำเพรื่อเช่นนี้นี่เอง”
“หาใช่เป็นความใจดีพร่ำเพรื่อไม่ ข้าเพียงรู้สึกว่าคุณหนูโอวหยางให้ความสำคัญผิด ต่อให้วันนี้ท่านวางยาพิษสังหารหลันซีหนง จะเกิดประโยชน์อะไรต่อเรื่องของบิดาท่านได้หรือ”
โอวหยางเวยอวี่นิ่งงันไปกับคำถามนี้ นางกัดริมฝีปากกล่าวตอบ “อย่างน้อยทำให้หลันซานกับบุตรชายได้รู้ซึ้งว่าความเจ็บปวดของการสูญเสียคนในครอบครัวว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเจาหัวร่อเบาๆ
“นี่มีอันใดน่าขัน”
แม่นางเฉียวพิงต้นไห่ถังด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าได้ยินว่าสมุหราชเลขาธิการหลันซานกับภรรยารักใคร่กันลึกซึ้ง เขาไม่รับอนุนางบำเรอและให้กำเนิดบุตรชายคนเดียวคือหลันซงเฉวียน ทว่าหลันซงเฉวียนกลับต่างจากบิดาไปไกลคนละโยชน์ มีอนุนางบำเรอนับไม่ถ้วนและบุตรชายบุตรสาวมากมาย แม้หลันซีหนงจะเป็นบุตรสาวสายเลือดภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่สำหรับเขาแล้ว เกรงว่าคงมิได้มีความสลักสำคัญดังเช่นคุณหนูโอวหยางคิดจริงๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่อาจเทียบได้กับน้ำหนักของบิดาท่านในใจของท่านแม้สักเศษเสี้ยว คุณหนูโอวหยางเป็นคนฉลาด ลองตรองดูว่าการค้าขายเช่นนี้คุ้มค่าหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่อึ้งงันไปโดยสิ้นเชิง
“เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องของบิดาท่านยังไม่ได้ตัดสินชี้ขาด คุณหนูโอวหยางก็ลงมือกับหลันซีหนง ไหนเลยจะรู้ว่าสมุหราชเลขาธิการกับบุตรชายจะอ้างเหตุนี้จัดการบิดาท่านอย่างเหี้ยมโหดขึ้นไปอีกขั้นหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่สะดุ้งเฮือก
เฉียวเจาทอดสายตาไปทางศาลา ดวงตาทอแววลึกล้ำ “คุณหนูโอวหยางบอกว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง คำกล่าวนี้ไม่ผิด ข้าทนดูเด็กสาวในวัยแรกแย้มงามสะพรั่งผู้หนึ่งจบชีวิตลงอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ คนผู้นั้นมิใช่แค่หลันซีหนง ยังมีท่านด้วยคุณหนูโอวหยาง”
นางเคยตายแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ถึงยิ่งรู้ว่าชีวิตล้ำค่าเพียงใด
มิใช่ว่าคนจะตายไม่ได้ ทว่าต้องตายอย่างมีคุณค่า ถึงโอวหยางเวยอวี่วางยาพิษสังหารหลันซีหนงได้แล้วจะมีความหมายใดเล่า
อย่างมากหลันซานกับบุตรชายคงเศร้าโศกเสียใจบ้าง ต่อจากนั้นคนที่ให้ร้ายขุนนางสุจริตก็ยังคงให้ร้ายขุนนางสุจริตอีก คนต้นคิดอุบายโฉดชั่วก็ยังคงออกอุบายโฉดชั่วต่อไป ส่วนราคาที่ต้องจ่ายในครานี้มีเพียงชีวิตของเด็กสาวสองคนรวมกับเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต้องพบกับความเดือดร้อน
“แล้ว…แล้วถ้าพวกเขาทำให้ท่านพ่อข้าตายล่ะ ข้าขอยอมตายดีกว่าปล่อยให้คนที่ให้ร้ายท่านพ่อข้ายังคงลอยนวลต่อไป” โอวหยางเวยอวี่พูดพึมพำ
ทีแรกนางตกลงปลงใจพลีชีพวางยาพิษสังหารหลันซีหนง ครั้นได้ยินถ้อยคำของเฉียวเจา จู่ๆ นางก็สับสนว้าวุ่นใจขึ้นมา
นางเอาชีวิตหนึ่งแลกชีวิตหนึ่ง กลับปราศจากความหมายสักนิดดังที่คุณหนูหลีซานพูดจริงๆ หรือ
เฉียวเจามองโอวหยางเวยอวี่นิ่งๆ พลางกล่าวทอดถอนใจ “ถ้าไม่กลัวแม้แต่ความตาย เช่นนั้นก็ยิ่งต้องพยายามมีชีวิตอยู่เพื่อคิดให้ดีๆ ว่าสมควรทำเช่นไรกันแน่จึงจะมีคุณค่า มิใช่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ในสวนที่เต็มไปด้วยสิ่งสวยงามแห่งนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่นชั่ววูบ”
โอวหยางเวยอวี่นิ่งเงียบไป
“เรื่องที่แต่ละคนต้องการทำ ผู้อื่นเพียงยับยั้งได้ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่อาจยับยั้งไปได้ชั่วชีวิต คุณหนูโอวหยางไตร่ตรองให้ละเอียดเถิด ข้ากลับไปก่อนล่ะ”
เฉียวเจากล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วก้าวขาเดินไปทางศาลา แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็เหลียวกลับมา “จริงสิ คุณหนูเจียงที่อีกประเดี๋ยวจะทดสอบข้าผู้นั้น คุณหนูโอวหยางคุ้นเคยกับนางหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่งงงันไป เมื่อตั้งสติได้อีกครา เด็กสาวที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องผู้นั้นก็เดินเอ้อระเหยไปไกลแล้ว
เฉียวเจาเพิ่งย่างเท้าเข้าไปในศาลา ตู้เฟยเสวี่ยก็มุ่นคิ้วกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูหลีซาน ท่านหายไปที่ใดมา เมื่อครู่นี้หาท่านไม่พบ ข้าเลยสั่งคนไปตามหาท่านแล้ว”
“ไปห้องเวจเสร็จ จากนั้นก็เดินเล่นตามสบาย”
“อ้อ เช่นนั้นไฉนไม่บอกกล่าวกันสักคำเล่า” ตู้เฟยเสวี่ยต่อว่าต่อขาน
เฉียวเจาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ไปห้องเวจก็ต้องรายงานด้วยหรือ”
“ท่าน…” ตู้เฟยเสวี่ยโดนตอกกลับก็กระอักกระอ่วนใจสุดจะกล่าว
หลันซีหนงเห็นเช่นนั้นจึงส่งเสียงตัดบท “เอาล่ะ คุณหนูหลีซาน ในเมื่อท่านกลับมาแล้วก็เฉลยคำโคลงวรรคหลังเถอะ”
“หือ?”
ตู้เฟยเสวี่ยกระแอมกระไอก่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องเป็นอย่างนี้ ทั้งสองฝ่ายล้วนคิดคำโคลงวรรคหลังไม่ออกจึงถือว่าเสมอกัน ก็เลยรอท่านเฉลยคำโคลงวรรคหลังน่ะสิ”
เมื่อเห็นทุกคนจ้องตาโต เฉียวเจาถึงได้อ้าปากพูด “คำโคลงคู่บทนี้ ข้ามีวรรคหลังอยู่ประโยคหนึ่ง แต่ไม่นับว่าดี…”
“พูดมากอยู่ได้ ให้ท่านเฉลย ท่านก็เฉลยเป็นพอ” หลันซีหนงกล่าวเสียงมึนตึง
แม่นางเฉียวกระตุกมุมปาก นึกในใจว่า คุณหนูผู้นี้กระทำตัวได้น่าชังดีแท้ รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้คุณหนูโอวหยางจัดการเสีย
“วรรคแรกคือ ‘เฝ้ามองฟ้า ฟ้าแลตะวัน วันวันเฝ้าแลฟ้ามองตะวัน’ ” เฉียวเจากวาดสายตาผ่านเด็กสาวแต่ละคนไปช้าๆ สุดท้ายหยุดที่ใบหน้าของตู้เฟยเสวี่ยพร้อมกับพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต่อคำโคลงวรรคหลังว่า ‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’ ”
บทที่ 167
“โคลงดี!” โค่วจื่อโม่ลุกพรวดขึ้นยืน พอเห็นทุกคนพากันมองมา นางก็หน้าแดงด้วยความอายจึงนั่งลงตามเดิม
“เป็นคำโคลงที่ดีจริงๆ” สวี่จิงหงตบมือเบาๆ
หลันซีหนงคลี่ยิ้มกะทันหัน นางเอ่ยถามตู้เฟยเสวี่ย “คุณหนูตู้เห็นว่าโคลงวรรคหลังนี้เป็นอย่างไร”
ตู้เฟยเสวี่ยยังฉุกคิดถึงความนัยลึกล้ำที่เฉียวเจามองนางพลางเอื้อนเอ่ยคำโคลงไม่ออก มาตรว่าไม่อยากเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพรให้อีกฝ่าย แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายนางจะกลับขาวเป็นดำก็ทำไม่ได้ จึงพูดด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “คำโคลงที่คุณหนูหลีซานคิดออกมายอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองใครจริงๆ”
“นั่นสิ จุดสำคัญคือต่อบทได้ดี ‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’ ” หลันซีหนงพูดทวนคำโคลงวรรคหลังอย่างช้าๆ พลางไล่สายตาผ่านทุกคนแล้วกลับมาที่ใบหน้าของตู้เฟยเสวี่ย พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณหนูตู้ว่าถูกหรือไม่”
คนที่หลันซีหนงดูแคลนเป็นที่สุดคือคนจำพวกอย่างตู้เฟยเสวี่ย เมื่อครู่นางหาเรื่องสองพี่น้องสกุลหลีก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตู้เฟยเสวี่ยเป็นเจ้าภาพงานสังสรรค์ครั้งนี้ ทั้งยังเป็นญาติผู้น้องของคุณหนูใหญ่สกุลหลี เห็นญาติผู้พี่ได้รับความอับอายกลับนิ่งเฉยดูดาย เป็นการกระทำที่ชวนให้รู้สึกเหยียดหยาม
สตรีทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง เมื่อหลันซีหนงกระตุ้นเตือนขึ้นเช่นนี้ก็พากันฉุกคิดได้ บันดาลให้สายตาที่มองไปทางตู้เฟยเสวี่ยแฝงรอยเหยียดหยาม
แน่นอนว่าตู้เฟยเสวี่ยก็คิดตามทันแล้ว นางหน้าแดงก่ำหันขวับไปมองเฉียวเจา อยากจะถามไล่เลียงอีกฝ่าย แต่ไล่เลียงในสถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย นางต้องลอบขบฟันกรอดๆ ถึงข่มความขุ่นข้องคับใจนี้ไว้ได้
เด็กสาวคนอื่นๆ ต่างหันไปมองเฉียวเจาโดยไม่รู้ตัว พอเห็นสีหน้านางสงบนิ่งเรียบเฉยแล้วต่างก็ลอบอัศจรรย์ใจ
คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้มีความสามารถล้ำเลิศน่าทึ่งโดยแท้ ตอนแรกก็เอาตัวรอดจากการกลั่นแกล้งของหลันซีหนงได้อย่างสวยงามหมดจด ตอนหลังยังฉวยโอกาสคิดคำโคลงคู่เหยียบย่ำตู้เฟยเสวี่ยได้อีก
หากที่น่าสรรเสริญที่สุดคือคุณหนูหลีซานมิได้ยกเรื่องที่ตู้เฟยเสวี่ยขัดขวางไม่ให้นางเข้ามาตรงหน้าประตูใหญ่มาวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถากถางตู้เฟยเสวี่ยเป็นนัยๆ ที่เห็นญาติผู้พี่ถูกคนดูหมิ่นกลับนิ่งเฉยดูดาย การตอบโต้เฉกนี้ทำได้งดงามอย่างที่ใครพูดอะไรมิได้จริงๆ ซ้ำยังอาศัยเรื่องสุนทรีย์เช่นการคำต่อโคลงคู่นี้อีก ก็ยิ่งทำให้คนอื่นๆ ได้แต่เลื่อมใสคารวะ
ดวงตาของสวี่จิงหงทอประกายวูบหนึ่ง นางกวาดตามองหลีเจี่ยวที่เงียบขรึมผิดสามัญโดยไม่ส่อพิรุธแล้วบังเกิดความสนใจใคร่รู้อยู่หลายส่วนอย่างหาได้ยาก
พวกนางต่างเป็นคุณหนูในแวดวงของขุนนางฝ่ายบุ๋น มาตรว่าสวี่จิงหงกับพี่น้องสกุลหลีไม่ใกล้ชิดคุ้นเคยกัน แต่พอมีภาพของพวกนางติดอยู่ในหัวบ้าง กระนั้นภาพในความทรงจำนั่นมีบางอย่างน่าขบคิดเสียแล้ว
ด้วยคราใดที่เอ่ยถึงคุณหนูใหญ่สกุลหลี หัวสมองนางจะนึกถึงเด็กสาวจิตใจดีที่กำพร้ามารดาแต่วัยเยาว์จนต้องตกอยู่ในภาวะลำบากคนนี้ไปโดยปริยาย ขณะที่เอ่ยถึงคุณหนูสามสกุลหลี กลับปรากฏภาพคนที่เยินยอผู้สูงศักดิ์เหยียบย่ำคนต่ำต้อย และหยาบคายไร้มารยาทขึ้นมาทันที
สวี่จิงหงกระตุกมุมปาก ดูจากชั้นเชิงและความสามารถชั้นนี้ของคุณหนูหลีซาน กลับมีเสียงโจษขานแพร่ออกมาเช่นนี้ได้ อืม เห็นทีว่าคงเห็นคุณหนูใหญ่ไม่มีมารดาแต่เด็กถึงได้โอนอ่อนให้พี่สาวกระมัง ไม่เช่นนั้นนางก็คิดหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ
สวี่จิงหงชายตามองเฉียวเจาซึ่งกลายเป็นจุดสำคัญของทุกคนแล้วแวบหนึ่ง นางหลุบตาลงแล้วอมยิ้ม
คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
เฉียวเจาถูกฉุดให้นั่งลง จากนั้นการประชันต่อคำโคลงคู่ก็ดำเนินต่อไป ภายในศาลาครึกครื้นขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
โอวหยางเวยอวี่ซึ่งกลับมาถึงศาลาเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ นางยืนหลบมุมอยู่พลางขบคิดความหมายของคำโคลงวรรคหลังของเฉียวเจาหนแล้วหนเล่าอยู่ในใจ
‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’
คำโคลงนี้มิได้หมายถึงสถานการณ์ของข้าในเพลานี้หรอกหรือ!
โอวหยางเวยอวี่ก็เคยเป็นหนึ่งในหมู่สตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ ร่ายกลอนแต่งคำโคลง ดีดพิณเป่าขลุ่ย มีชีวิตที่สุขสราญบานใจปานใด เรื่องที่กลัดกลุ้มมากที่สุดไม่มีอะไรนอกจากวันนี้กินอาหารเผ็ดมากเกินไป พรุ่งนี้จะมีตุ่มสิวผุดขึ้นบนหน้าผาก
แต่เพียงชั่วข้ามราตรี ชีวิตของนางก็พลิกกลับตาลปัตร ญาติสนิทมิตรสหายที่ไปมาหาสู่กับครอบครัวนางบ่อยๆ ล้วนหายหน้าไปไม่เห็นวี่แวว ทุกคนในเรือนคิดหาทุกวิธีการก็คลำทางไปไม่ถึงธรณีประตูกององครักษ์จินหลิน แม้แต่ตอนนี้ท่านพ่อเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่ล่วงรู้
สุดท้ายนางคิดได้แค่ว่าจะกอดคอตายไปกับหลันซีหนง ทำให้ขุนนางโฉดหลันซานกับบุตรชายต้องเจ็บปวดก็เท่านั้น
ทว่าคุณหนูหลีซานกลับบอกนางว่าถึงนางจะเอาชีวิตตนเองเข้าแลกเพื่อทำเช่นนี้ จริงๆ แล้วสำหรับคนพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่ทำให้พวกเขาสะดุ้งสะเทือนได้เลย
นางทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ!
โอวหยางเวยอวี่มองเฉียวเจาอย่างเหม่อลอย นางรำพึงในใจ หากข้าฉลาดอย่างคุณหนูหลีซานก็คงดี จะต้องคิดหาหนทางได้แน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ โอวหยางเวยอวี่ฉุกใจขึ้นได้
จริงสิ คุณหนูหลีซานพูดเตือนข้าก่อนแยกกันว่าคุ้นเคยกับเจียงซือหร่านหรือไม่…
โอวหยางเวยอวี่เบนสายตาไปทางนางโดยไม่รู้ตัว
วันนี้เจียงซือหร่านสวมกระโปรงผ้าแพรลายนกยูงสีแดงเข้ม นางมิได้ร่วมวงประชันต่อคำโคลงคู่ แต่นั่งอยู่บนม้านั่งหินไม่ไกลนัก เท้าคางมองไปที่ไกลๆ ด้วยท่าทางเฉื่อยชาอย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน
นางเป็นบุตรสาวโทนของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ได้ยินว่าผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ที่ใครได้ยินชื่อเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อผู้นั้นรักและตามใจบุตรสาวผู้นี้ทุกอย่าง นางอยากได้ดวงจันทร์มิกล้าคว้าดวงดาวลงมาให้ ด้วยเหตุนี้เจียงซือหร่านถึงได้มีฐานะเทียบเคียงกับองค์หญิงเลยทีเดียว
โอวหยางเวยอวี่ลอบกำมือเป็นหมัดแน่น นางต้องหาโอกาสลองขอร้องเจียงซือหร่านดู
คุณหนูหลีซานพูดเตือนสตินางได้ถูกต้อง แทนที่จะเอาชีวิตเข้าแลกอย่างสูญเปล่า ซ้ำยังผลักให้คนทั้งตระกูลต้องตกอยู่ในภาวะล่อแหลมยิ่งขึ้น มิสู้ยอมลดศักดิ์ศรีขอร้องบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ไม่แน่ว่ายังสอบถามถึงสถานการณ์ของท่านพ่อได้
ขณะนางคิดคำนึงอยู่เช่นนี้ มีฝ่ามือข้างหนึ่งวางทาบลงบนมือนางกะทันหัน
“เวยอวี่ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” ที่แท้เป็นโค่วจื่อโม่ซึ่งออกจากวงประชันคำโคลงคู่มาอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
โอวหยางเวยอวี่ดึงความคิดคืนมา นางแลมองสหายรักพร้อมกับเผยรอยยิ้มจากใจจริงเป็นครั้งแรกในช่วงที่ผ่านมา พลางเอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกว่าคุณหนูหลีซานไม่เพียงฉลาดเจ้าปัญญา ยามคนในครอบครัวถูกคนที่มีศักดิ์ฐานะสูงกว่านางสบประมาทก็ยังตอบโต้ได้อย่างไม่โอหังไม่เจียมตน เป็นคนที่ควรคู่แก่การคบหาเป็นมิตร พี่จื่อโม่ ท่านพ่อข้าก่อเรื่องขึ้น วันหน้าเป็นเรื่องยากมากที่ตระกูลของข้าจะปักหลักยืนอยู่ในเมืองหลวง หลังจากนี้พวกเราอยากพบหน้ากันเกรงว่าคงจะลำบากแล้ว ท่านพยายามผูกไมตรีกับคุณหนูหลีซานไว้เถอะ เป็นสหายกับคนเช่นนี้ไม่มีวันเสียเปรียบ”
โค่วจื่อโม่กุมมือนางแน่น “พวกนั้นล้วนเป็นเรื่องในภายภาคหน้า ตอนนี้ข้าเป็นห่วงเจ้า…”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าคิดตกแล้ว” สายตาของโอวหยางเวยอวี่จับจ้องมองตามเจียงซือหร่านอยู่ พลันเห็นนางลุกขึ้นเดินไปทางกลุ่มเด็กสาว
“พวกท่านรู้ผลแพ้ชนะหรือยัง” เจียงซือหร่านไต่ถามอย่างหงุดหงิด นางรำคาญพวกโคลงฉันท์กาพย์กลอนเป็นที่สุด เป็นเรื่องของพวกที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำโดยแท้
“มีอะไรหรือ” หลันซีหนงเลิกคิ้วเอ่ยถาม
เจียงซือหร่านหมุนคลึงหยกพกที่เหน็บไว้ตรงเอวเล่นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ข้าคิดหัวข้อที่จะทดสอบคุณหนูหลีซานออกแล้ว แต่พวกท่านทางนี้ยืดยาดไม่จบไม่สิ้นเสียที ข้ารอจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
ได้ยินคำกล่าวนี้ มีคนไม่น้อยลอบไม่ชอบใจเป็นอันมาก
ทั้งที่เป็นเรื่องสนุกสนานกลับบอกว่าน่าเบื่อ เห็นได้ว่าเป็นคนหยาบกระด้างผู้หนึ่ง แต่นางเป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ทุกคนถึงไม่กล้าล่วงเกินเท่านั้นเอง
“จบแล้ว คุณหนูเจียงเริ่มเลยเถอะ” หลันซีหนงโบกพัดไปมาพร้อมกล่าวเสียงเอื่อยๆ
หลังเฉียวเจาแสดงฝีมือแต่งคำโคลงคู่อันยอดเยี่ยมไว้ก่อน ต่อจากนั้นก็ไม่มีอันใดน่าสนใจแล้ว เทียบกับต่อคำโคลงคู่ต่อไป นางตั้งตารอดูว่าเจียงซือหร่านจะเล่นงานคนเช่นไร
ตู้เฟยเสวี่ยลืมเลือนความอับอายก่อนหน้านี้ไปโดยพลัน นางเหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณหนูเจียงต้องการให้ข้าตระเตรียมสิ่งใดหรือไม่”
นางตั้งใจแก้ตัวอักษรบนไม้ติ้วห้าสีเป็นคำว่า ‘เจียง’ ทั้งหมดก็เพื่อรอเสี้ยวเวลานี้นั่นเอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.