บทที่ 168
เจียงซือหร่านมาจากตระกูลที่ทรงอำนาจบารมี เป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกลและมีนิสัยประหลาดผิดแผกจากผู้อื่น ในกาลก่อนนางเคยทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมคนใหม่ต้องร้องไห้มิใช่คนสองคนแล้ว
เดิมทีตู้เฟยเสวี่ยตั้งใจเตรียมกระบอกไม้ติ้วห้าสีไว้เพื่อกลั่นแกล้งคนตอนการละเล่นวงสุรา คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้กับผู้เข้าร่วมชุมนุมคนใหม่อย่างหลีเจา เห็นได้ว่ากระทั่งสวรรค์ยังทนดูความผยองพองขนของอีกฝ่ายไม่ได้ถึงประทานโอกาสให้นางสั่งสอนสักหน่อย
ตู้เฟยเสวี่ยเริ่มตั้งตารอคอยอย่างสุดจะเปรียบ ด้วยไม่รู้ว่าเจียงซือหร่านจะตั้งหัวข้ออะไร
“คุณหนูตู้ จวนท่านมีลานฝึกยุทธ์กระมัง” เจียงซือหร่านเอ่ยถาม
ตู้เฟยเสวี่ยอึ้งไปก่อนจะพยักหน้าทันที “มีสิ”
จวนกู้ชางป๋อสร้างรากฐานของตระกูลมาจากคุณงามความชอบทางด้านการทหาร มาตรว่าสืบทอดต่อกันมาจนบัดนี้แม้จะไม่มีลูกหลานเข้าสู่สมรภูมิอีก แต่ยังเก็บรักษาลานฝึกยุทธ์ไว้เรื่อยมา การที่นางช่ำชองทักษะการขี่ม้าได้ต้องยกความดีความชอบให้ลานฝึกยุทธ์ในจวนอย่างขาดเสียมิได้
“มีก็ดี” สายตาของเจียงซือหร่านจับจ้องที่ตัวเฉียวเจา นางอมยิ้มมุมปากพลางพูด “เมื่อครู่นี้ข้าได้เปิดหูเปิดตากับปฏิภาณไหวพริบของคุณหนูหลีซานแล้ว อีกทั้งเคยได้ยินว่าตัวอักษรของท่านก็ยอดเยี่ยมดีเลิศ ทว่าเรื่องเหล่านี้ข้าล้วนไม่เข้าใจ เป็นธรรมดาที่จะทดสอบท่านในเชิงนี้ไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้หัวข้อที่ข้าจะทดสอบคุณหนูหลีซานก็คือ…”
นางหยุดเว้นจังหวะแล้วเปล่งเสียงพูดคำสองคำช้าๆ “ความกล้า”
ความกล้า?
หัวข้อนี้แปลกใหม่จริงๆ คุณหนูเจียงจะทดสอบความกล้าของคุณหนูหลีซานอย่างไรนะ
ทุกคนมองหน้ากันไปมาพร้อมกับความสนใจใคร่รู้ที่ทบทวีขึ้น
“คุณหนูตู้เชิญนำทางเถอะ พวกเราไปถึงลานฝึกยุทธ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ตู้เฟยเสวี่ยสองจิตสองใจเล็กน้อย ด้วยเพราะจะต้อนรับขับสู้แขกสตรีสูงศักดิ์ สวนดอกไม้แห่งนี้ถูกจัดเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า กันคนอื่นออกไปจนหมดเหลือไว้แค่สาวใช้รินน้ำชาไม่กี่คน วันนี้มิต้องเอ่ยถึงว่าจะมีคนทะเล่อทะล่าเข้ามา แม้แต่พวกหญิงคนงานที่ดูแลสวนดอกไม้ล้วนถูกห้ามไม่ให้เข้ามาขวางหูขวางตาพวกคุณหนู พวกพี่ชายของนางก็รู้ว่าทางนี้จัดงานของชุมนุมฟู่ซานย่อมต้องหลบเลี่ยงกันเสียงครหา ทว่าทางลานฝึกยุทธ์นั้น นางมิได้เตรียมการไว้เลย
“ว่าอย่างไร คุณหนูตู้” เจียงซือหร่านเห็นตู้เฟยเสวี่ยไม่ขยับกาย นางจึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“อ้อ เชิญพี่น้องทั้งหลายตามข้ามา” ตู้เฟยเสวี่ยแข็งใจก้าวเท้าออกเดินนำหน้าพาทุกคนไปที่ลานฝึกยุทธ์
ตามหลักแล้วในเวลานี้พวกพี่ชายของนางไม่มีทางไปที่ลานฝึกยุทธ์
อันที่จริงต่อให้เจอะเจอกันก็ไม่เป็นไร ยุคนี้มิได้เข้มงวดกับสตรีเฉกสมัยก่อน พบกับบุรุษแปลกหน้าโดยไม่ตั้งใจค่อยหลบไปอีกทางก็เป็นอันสิ้นเรื่อง นางแค่ไม่อยากให้คนเห็นหน้าพี่จูมากเกินไป…
แต่เมื่อครู่นางเพิ่งขายหน้าไป ขืนตอนนี้บอกปัดอีก วันหน้ายามอยู่กับคุณหนูพวกนี้คงวางหน้าไม่สนิทแล้ว
ลานฝึกยุทธ์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสวนดอกไม้มากนัก ระหว่างที่ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ นางเห็นแต่ไกลว่าลานฝึกยุทธ์ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนก็อดถอนใจโล่งอกไม่ได้
ค่อยยังชั่ว นางนึกไว้แล้วเชียวว่าพวกพี่ใหญ่ไม่น่าจะมาที่นี่ในเวลานี้
ด้านข้างลานฝึกยุทธ์เป็นชั้นวางอาวุธนานาชนิดแถวหนึ่ง
เจียงซือหร่านวนดูรอบหนึ่งแล้วหยุดยืนตรงกลางลาน หยักยิ้มพริ้มพรายกล่าวว่า “ข้าน่ะ ทำตัวสุภาพนุ่มนิ่มอย่างผู้อื่นไม่เป็นหรอกนะ อยากจะทดสอบความกล้าก็ต้องเอาจริง”
นางกล่าวจบแล้วมองไปทางเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ท่านกล้าหรือไม่”
ใบหน้าของเฉียวเจาไร้ความรู้สึกใดๆ “เชิญบอกมาให้กระจ่างได้เลย”
“คุณหนูหลีซานตรงไปตรงมาดี” เจียงซือหร่านเอื้อมมือไปหยิบธนูคันหนึ่งจากบนชั้นวาง ลองน้าวสายสองสามทีก่อนจะยกมือพร้อมพูด “คุณหนูหลีซานวางลูกท้อไว้บนศีรษะกับไหล่ให้ข้าฝึกความแม่นยำ กล้าหรือไม่”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้น ทุกคนสูดลมหายใจดังเฮือกทันควัน บางคนยังตกใจร้องอุทานขึ้นอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่
นัยน์ตาของเจียงซือหร่านทอประกายระยับ นางกล่าวยิ้มๆ “วางใจได้ พวกเราสามารถใช้ลูกธนูหัวทู่ได้”
เด็กสาวทั้งหลายฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน
ลูกธนูหัวทู่ก็ไม่ได้นะ มันพุ่งเข้ามาเร็วถึงเพียงนี้ ถ้ายิงถูกดวงตา…
พอคิดไปอย่างนี้ ทุกคนพลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ คนที่ใจเสาะหลั่งเหงื่อเย็นอย่างขวัญเสียทันที
“คุณหนูหลีซานกล้าลองดูหรือไม่” เจียงซือหร่านยิ้มกริ่มพลางเอ่ยถาม ทำสีหน้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมจำนน
ตอนเผชิญกับการกลั่นแกล้งของหลันซีหนงหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน เฉียวเจามีท่าทางนิ่งเฉยเยือกเย็นเสมอ แต่เพลานี้สีหน้าของนางกลับเปลี่ยนไปแล้ว
จะบอกว่านางขี้ขลาดใช่หรือไม่ หามิได้
ขอแค่เจียงซือหร่านเปลี่ยนวิธีท้าดวลเป็นอะไรสักอย่างก็ได้ตามใจชอบ ล้วนไม่อาจทำให้นางลังเลถอดใจ แต่เป็นเป้ายิงธนูกลับต่างออกไป
ความเจ็บปวดจากลูกธนูเสียบทะลุอกดอกนั้น ใต้หล้านี้ยังมีใครเป็นดั่งนางที่เคยได้ลิ้มรสของมันแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เล่า
เมื่อก่อนนางไม่ชำนาญทักษะการขี่ม้า เรียนวิชาหมัดมวยก็ไม่สำเร็จ มีเพียงยิงธนูอย่างเดียวที่พออวดใครได้ ทว่าตั้งแต่ฟื้นคืนชีพ พอเห็นธนูอีกครั้งก็จะหนาวยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กายโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากเข้าใกล้มันแม้สักนิด
เฉียวเจามองเด็กสาวที่ยิ้มพรายแล้วถอนใจเบาๆ
คุณหนูเจียงผู้นี้จับจุดอ่อนร้ายแรงของข้าได้โดยไม่ตั้งใจจริงๆ!
แต่ว่า…
เฉียวเจากลอกตาชำเลืองมองโค่วจื่อโม่ปราดหนึ่ง นางเคยพูดไว้ว่าไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างโอกาสพบกับพี่ชายผ่านทางโค่วจื่อโม่ให้ได้ เช่นนั้นยังจะมีโอกาสใดดีไปกว่าตอนนี้เล่า
เจียงซือหร่านสร้างปัญหายากเย็นใหญ่หลวงให้นาง แต่ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสที่ดีที่สุดแก่นางด้วย เทียบกับได้พบพี่ชาย อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญรวมถึงความตายและความกลัวของนาง
“หากคุณหนูหลีซานไม่กล้าทดสอบก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครผ่านบททดสอบที่ข้าคิดขึ้นได้ แต่ยังคงเป็นคนของชุมนุมฟู่ซานได้ดังเก่า”
คุณหนูหลายคนในที่นั้นที่โชคไม่ดีเคยสุ่มได้ไม้ติ้วตัวอักษร ‘เจียง’ มาก่อนพากันหน้าเปลี่ยนสีอย่างหวาดผวาไม่หาย สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาแฝงความเห็นใจตามประสาคนหัวอกเดียวกันเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ได้” ทว่ายามนั้นเองเฉียวเจาก็พูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง
เด็กสาวคนอื่นไม่นึกไม่ฝันว่าเฉียวเจาจะกล้าตอบรับ มีคนไม่น้อยอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
“น้องหลีซาน รองหัวหน้าชุมนุมตั้งหัวข้อทดสอบชาวชุมนุมคนใหม่เพียงเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในงานสังสรรค์ มิได้เป็นการบังคับ หากท่านไม่เต็มใจ ก็อย่าฝืนใจตัวเองเลย” ซูลั่วอีเดินออกมาคล้องแขนนางพลางกล่าวเสียงขรึม
“ใช่” จูเหยียนก็ก้าวออกมาด้วย
เห็นรองหัวหน้าชุมนุมสองคนเอ่ยปาก จึงมีคนผสมโรงขึ้นไม่น้อย
หลันซีหนงเหยียดมุมปากลอบคิดคำนึง การประชันต่อบทคำโคลงคู่ครั้งเดียวกลับทำให้คุณหนูหลีซานผู้นี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้แล้ว ช่างเป็นโอกาสที่ดีของนางเหลือเกินจริงๆ
ด้านสวี่จิงหงมองดูอยู่ด้วยสีหน้าเฉยเมยมาโดยตลอด หากในใจนึกกังขา ดูจากการกระทำก่อนหน้าของคุณหนูหลีซานไม่คล้ายคนอวดเก่ง นางทำเช่นนี้มีความหมายใด หรือจะบอกว่าไม่กล้าล่วงเกินเจียงซือหร่านเท่านั้นเอง
“น้องเจา เจ้าอย่าอวดเก่งจะดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะกลับไปอธิบายกับพวกท่านพ่อท่านแม่อย่างไร” หลีเจี่ยวที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุอยู่นานอ้าปากพูดขึ้น
“พี่เจี่ยวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเชื่อมั่นในฝีมือยิงธนูของคุณหนูเจียง” เฉียวเจาพูดจบแล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ห่วงใย จากนั้นก้าวขาเดินไปยืนนิ่งตรงกลางลาน พลางบอกเสียงราบเรียบ “คุณหนูเจียง หากท่านเตรียมพร้อมแล้วก็เริ่มต้นได้เลย”
“คุณหนูตู้ มีลูกธนูหัวทู่กระมัง” เจียงซือหร่านไต่ถาม
“มีสิ” ตู้เฟยเสวี่ยสะกดความตื่นเต้นในใจไว้ หยิบลูกธนูหัวทู่ส่งให้นาง ทั้งยังสั่งให้คนหยิบลูกท้อไปวางตรงหน้าเฉียวเจาด้วย
นางยื่นมือหยิบลูกท้ออวบๆ สดๆ มาวางบนศีรษะกับสองไหล่จุดละหนึ่งลูกแล้วได้ยินเจียงซือหร่านเอ่ยถาม “คุณหนูหลีซาน ท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“พร้อมแล้ว” เฉียวเจาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ร่างกายทุกส่วนเขม็งเกลียว หากสีหน้าไม่เผยอารมณ์ใด
นางเขม้นมองเจียงซือหร่านโก่งคันธนูเล็งตรงมาที่ตน
ชั่วพริบตานั้น ราวกับเฉียวเจากลับไปยืนอยู่บนกำแพงเมืองหนาวเหน็บให้คนเข่นฆ่าสังหารเหมือนผักปลา
ที่แท้มีความกลัวอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของตน
บทที่ 169
ยามที่คนเราตื่นเต้นหวาดกลัว รูม่านตาจะขยายกว้าง หัวใจเต้นถี่แรง เหงื่อกาฬแตกพลั่กๆ จวบจนเวลานี้แม่นางเฉียวถึงประจักษ์อย่างแท้จริงว่านางไม่แตกต่างอันใดกับผู้อื่น สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามเก็บงำอาการเหล่านี้ไม่ให้ใครจับได้อย่างสุดกำลัง
ลูกธนูซึ่งเล็งมาที่นางดอกนั้นคล้ายฝ่ามือใหญ่ล่องหนข้างหนึ่งบีบคอนางไว้ ทำให้นางอยากวิ่งหนีไปทันทีใจจะขาด
แต่ท้ายที่สุดเฉียวเจายังคงยืนเหยียดแผ่นหลังตรง ซุกซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ส่วนลึกในใจ
แม้ว่าวันนี้การเข้าไปใกล้ชิดน้องจื่อโม่จะเริ่มต้นได้ไม่เลว แต่ถ้าค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอนต้องใช้เวลานานเกินไป นางทนรอไม่ไหวแล้ว เมื่อมีโอกาสอย่างนี้ลอยมา นางจะต้องพยายามคว้าไว้ให้ได้อย่างเต็มที่ เพื่อจะพบกับพี่ชายให้ได้เร็วที่สุด
ถึงไม่อาจเผยตัวว่าเป็นน้องสาว เพียงได้ยินเสียงของพี่ชายก็ยังดี
ลูกธนูดอกนั้นลอยพุ่งมาแล้ว เฉียวเจาหลับตาลงกะทันหัน ในหัวสมองว่างเปล่า
น้ำหนักบนศีรษะหายวับไป เมื่อเสียงหวีดร้องของเหล่าเด็กสาวหยุดลง รอบด้านก็เงียบกริบ
แพขนตาของเฉียวเจากระพือถี่ๆ ก่อนนางจะลืมตาขึ้น
ลูกท้อหล่นลงกลิ้งไปตามพื้น ส่วนลูกธนูนอนสงบนิ่งตกอยู่บนพื้น เด็กสาวหลายคนยกมือปิดตาไว้ บางคนที่ใจกล้าก็มองดูเงียบๆ
ชั่วเสี้ยวขณะนั้นความรู้สึกของการรอดชีวิตจากเภทภัยผุดขึ้นกลางอก
เฉียวเจานึกในใจ ท่าทีตอบสนองตามสัญชาตญาณทางกายยากจะอาศัยสติควบคุมไว้ได้จริงๆ
เจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวน!
นางสบถชื่อของเซ่าหมิงยวนในใจ ราวกับว่าได้สบถออกมาอย่างนี้แล้วสาแก่ใจขึ้นบ้าง แต่ไม่รู้ว่าสมควรด่าเขาว่าอะไรดีกันแน่
“คุณหนูหลีซาน ข้ายิงดอกที่สองแล้วนะ” เจียงซือหร่านร้องบอกด้วยรอยยิ้มหวาน “จะยิงลูกท้อบนไหล่ซ้ายของท่านก่อน ท่านอย่าขยับตัวยุกยิก ลูกท้อจะได้ไม่หล่น”
เฉียวเจาตั้งสติ ริมฝีปากซีดขาวยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “ได้”
นางไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าจะเผยความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนอื่น แต่สุดท้ายมีคนที่ช่างสังเกตและจับตาดูนางเป็นพิเศษมองออกแล้ว
โอวหยางเวยอวี่กระซิบพูดกับโค่วจื่อโม่ “พี่จื่อโม่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วคุณหนูหลีซานก็กลัวมากเหมือนกัน”
โค่วจื่อโม่ดึงสายตากลับมาตอบเสียงเบา “นั่นสิ มิใช่แค่ใช้ฝีปากและคารมเสียหน่อย เปลี่ยนเป็นใครไปยืนอยู่ตรงนั้นแทนคุณหนูหลีซานจะไม่กลัวได้หรือ หากคุณหนูเจียงยิงพลาด ถึงจะเป็นลูกธนูหัวทู่ก็บาดเจ็บได้เช่นกัน ถ้าเกิดเฉียดโดนใบหน้าล่ะก็ยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วมองเด็กสาวหน้าตาซีดขาวที่ยืนอยู่กลางลานด้วยท่าทางเคร่งขรึม จู่ๆ ก็นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมา
โอวหยางเวยอวี่กัดริมฝีปาก พูดเสียงอุบอิบ “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเสียแล้ว อันที่จริงถึงคุณหนูหลีซานปฏิเสธคุณหนูเจียงก็ไม่เป็นไร ตอนต่อคำโคลงคู่ก่อนหน้า นางทำให้คนอื่นเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางแล้ว ไม่มีใครเรียกร้องว่านางต้องสมบูรณ์ไร้ที่ตินะ”
เมื่อครู่นี้ที่ใต้ต้นไห่ถัง ยามคุณหนูหลีซานเตือนสตินางก็เป็นคนสุขุมฉลาดเฉลียวมากแท้ๆ ไฉนเวลานี้กลับใช้อารมณ์เหนือเหตุผลอยู่บ้างเล่า
โอวหยางเวยอวี่รู้สึกได้รางๆ ว่าการกระทำของเฉียวเจาดูขัดกันอยู่สักหน่อย แต่คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร ขณะที่สำหรับโค่วจื่อโม่แล้ว เฉียวเจาเป็นเด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งได้พูดจาวิสาสะกันเล็กน้อยในวันนี้เท่านั้น จึงมิได้คิดอะไรมากนักเป็นธรรมดา นางกล่าวเสียงค่อยๆ “คงเพราะเด็กมักชอบเอาชนะคะคานกระมัง ถึงอย่างไรคุณหนูหลีซานก็อายุยังน้อย”
ระหว่างที่เด็กสาวทั้งหลายบ้างกลั้นใจจับตามอง บ้างลอบวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เจียงซือหร่านก็ปล่อยสายธนูยิงลูกธนูดอกที่สองออกไปแล้ว
หนนี้เฉียวเจามิได้หลับตาลง นางจ้องลูกธนูหัวทู่พุ่งตรงมาหาตนเองตาเขม็ง เหงื่อเย็นซึมเปียกแผ่นหลังในชั่วพริบตา ทั้งที่เป็นเดือนหก ทว่าตัวนางราวกับอยู่ในเดือนสิบสองที่หนาวเหน็บ พอลูกธนูยิงถูกลูกท้อ ความสะพรึงกลัวที่ทำให้นางหายใจไม่ออกนั่นถึงสลายหายไป
“คุณหนูเจียง ฝีมือยอดเยี่ยม!” หลังยิงเข้าเป้าโดยไม่พลาดแม้แต่กระผีกเดียวสองครั้งติดกัน ทุกคนค่อยคลายความตึงเครียดลง กลับมามีแก่ใจชมความสนุกดังเก่า
ได้ยินเสียงชมเชยของเด็กสาวทั้งหลาย เจียงซือหร่านยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววลำพองใจผุดขึ้นบนใบหน้าวูบหนึ่งแล้วจางหายไป
นางกล้าเสนอวิธีท้าดวลเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะมั่นใจในฝีมือยิงธนูของตน เพียงดูว่าคนที่ถูกทดสอบจะมีความกล้าหรือไม่เท่านั้น
ตอนนี้ดูไปแล้ว แม้นคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้จะไม่นับว่ามีความกล้ามากนัก แต่ก็พอใช้ได้
เจียงซือหร่านชายตามองหลีเจี่ยวแวบหนึ่งพลางนึกในใจ แต่รังแกพี่สาวคนโตที่กำพร้ามารดาออกจะไม่เข้าท่าสักเท่าไรจริงๆ วันนี้ถือว่าให้บทเรียนแก่นางสักครั้ง
เจียงซือหร่านดึงความคิดคืนมาแล้วปล่อยสายธนู
ลูกธนูลอยละลิ่วออกไป ทว่าไม่นานนักก็มีเสียงหวีดร้องดังระงมเป็นทอดๆ พวกซูลั่วอียังวิ่งทะยานออกไป ปากก็ตะโกนพูดไม่หยุด “คุณหนูหลีซาน ท่านไม่เป็นไรกระมัง!”
มันเกิดอะไรขึ้น!
เจียงซือหร่านงงงันไป ยังคิดตามไม่ทันในชั่วขณะ
จวบจนมีคนอุทานขึ้น “คุณหนูหลีซานเลือดออกแล้ว!”
นางถึงเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ว่า หรือนางพลั้งมือยิงพลาดไปจริงๆ
นี่เป็นไปไม่ได้!
เจียงซือหร่านถือคันธนูในมือสาวเท้าปราดๆ เข้าไปแล้วผลักเด็กสาวที่ขวางทางออกทันที นางเห็นสภาพของคนที่ถูกเหล่าคุณหนูทั้งหลายรุมล้อมไว้แล้วทำสีหน้าเหลือเชื่อ
“ยิงโดนเจ้าตรงที่ใดรึ”
ทันทีที่เห็นเจียงซือหร่านมาถึง พวกเด็กสาวถอยออกด้านข้างโดยไม่รู้ตัว สายตามองไปที่ธนูในมือนางแล้วเบนออกอย่างว่องไว
เฉียวเจาอยู่ตรงกลางกลุ่มคนยกมือกุมแก้มขวาไว้ โลหิตแดงฉานซึมทะลักออกมาตามร่องนิ้วรวมกันเป็นสายไหลลงมาตามหลังมือหยดลงเปื้อนกระโปรงสีสะอาดตาเป็นปื้นสีแดงในเวลาอันสั้น
ฝ่ามือของนางเรียวเล็กขาวผ่องกับอาภรณ์เรียบง่ายยังขับเน้นให้โลหิตเด่นสะดุดตามากขึ้น อีกทั้งเป็นแผลบนใบหน้าซึ่งมีความสำคัญยิ่งชีพต่อสตรี เป็นเหตุให้มองเห็นแวบแรกก็แข้งขาอ่อนแล้ว
“เจ้าเป็นอะไรไป ใช่หรือไม่ว่าขยับตัวไปมา” เจียงซือหร่านกัดริมฝีปากเอ่ยถามด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้านางร้อนวาบๆ เป็นระลอก
“คุณหนูเจียง” สุ้มเสียงเย็นชาดังขึ้น เป็นสวี่จิงหงเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเวลานี้ ไม่สมควรดูว่าอาการบาดเจ็บของคุณหนูหลีซานเป็นเช่นไรกันแน่หรอกหรือ”
หลันซีหนงขมวดคิ้วดุจเดียวกัน นางเอ่ยถามตู้เฟยเสวี่ย “คุณหนูตู้ หมอในจวนเล่า ยังไม่รีบไปเชิญมาอีกหรือ”
เด็กสาวทุกคนพากันส่งเสียงเออออเห็นด้วย ตู้เฟยเสวี่ยหน้าเสียสั่งให้สาวใช้ไปเชิญหมอมา พลันได้ยินเสียงเด็กหนุ่มกล่าวขึ้น “เฟยเสวี่ย เกิดอะไรขึ้น”
ตู้เฟยเสวี่ยหันไปมอง เห็นพี่ชายฝาแฝดตู้เฟยหยางยืนมุ่นคิ้วอยู่ไม่ไกล ด้านข้างยังมีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่อีกสองสามคน ส่วนชายหนุ่มเพียงสองคนที่เรือนกายสูงเลยศีรษะพวกเด็กหนุ่มเป็นคืบก็คือจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิง
พอเห็นพี่ชายฝาแฝด ตู้เฟยเสวี่ยที่ลนลานทำอะไรไม่ถูกก็พบที่พึ่งในที่สุด นางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปหา บอกเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด “มีคนได้รับบาดเจ็บ ข้าให้คนไปเชิญหมอมาแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงตาไว มองปราดเดียวก็เห็นลูกธนูตกอยู่บนพื้น เขากระซิบพูดกับจูเยี่ยน “คงมิใช่ยิงธนูโดนคนแล้วกระมัง”
ตู้เฟยหยางได้ยินแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
เขารู้ว่าวันนี้น้องสาวของเขาเป็นเจ้าภาพเชิญพวกคุณหนูในชุมนุมฟู่ซานมาสังสรรค์กันส่วนตัวในจวน แล้วคุณหนูเหล่านี้ล้วนมีชาติตระกูลไม่สามัญ หากยิงธนูโดนใครจริงๆ เช่นนั้นน้องสาวของเขาต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าภาพ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครได้รับบาดเจ็บ แล้วบาดเจ็บได้อย่างไร” ตู้เฟยหยางซักไซ้อย่างร้อนรน
ตู้เฟยเสวี่ยกำลังแตกตื่น ได้ยินเขาถามก็พรั่งพรูออกมาจนหมดเปลือก “ก็หลีซานอย่างไรเล่า นางเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซาน สุ่มไม้ติ้วตามกฎได้คุณหนูเจียงเป็นคนตั้งหัวข้อให้ คุณหนูเจียงอยากทดสอบความกล้าของนาง จึงให้นางวางลูกท้อบนศีรษะ แล้วคุณหนูเจียงเป็นคนยิงลูกท้อ ผลปรากฏว่า…”
นางพูดไม่ทันจบความ จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงก็หน้าเปลี่ยนสี สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปทางกลุ่มเด็กสาว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.