X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 3 บทที่ 170-บทที่ 171

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 170

“คุณหนูหลีเป็นอย่างไรบ้าง” หยางโฮ่วเฉิงเดินก้าวยาวๆ ด้วยฝีเท้าเร็วรี่เข้าไปเห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง เขาไม่รู้จะแทรกเข้าไปทางใด ได้แต่ยืนส่งเสียงถามอยู่ด้านข้าง

เขาเป็นคนคิ้วหนาตาโต ดูองอาจห้าวหาญไม่เหมือนกับบัณฑิตที่สุภาพนุ่มนวล กระนั้นสตรีชั้นสูงของเมืองหลวงกลับชื่นชอบหลงใหลบุรุษสง่างามและหล่อเหลาละมุนละไมดุจภาพวาดเฉกเช่นฉือชั่น แรกเห็นชายหนุ่มตัวโตสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินเข้ามา พวกนางสะดุ้งโหยงทันใด ลุกลนแยกออกไปด้านข้างจึงเผยให้เห็นเฉียวเจา

“คุณหนูหลี…” หยางโฮ่วเฉิงเห็นมือข้างที่กุมแก้มไว้ของเฉียวเจาเต็มไปด้วยโลหิตแดงฉาน สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน ก้าวขาจะเดินเข้าไปแต่ถูกจูเยี่ยนรั้งตัวไว้

“คุณหนูหลี ท่านไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวหมอก็มาถึงแล้ว” จูเยี่ยนดึงตัวหยางโฮ่วเฉิงไปยืนนิ่งๆ อยู่ไม่ไกล เขาพูดปลอบเฉียวเจาแล้วหันหน้าไปเอ่ยกับตู้เฟยหยาง “ญาติผู้น้อง เจ้าบอกให้เด็กรับใช้ของข้ากลับไปที่จวนไท่หนิงโหวโดยไว ในเรือนข้ามียาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นดี ไม่แน่ว่าจะใช้เป็นประโยชน์ได้”

“อื้อ” ตู้เฟยหยางมองเด็กสาวที่อยู่ในสภาพน่าตกใจด้วยสายตาสับสนปนเปปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบสั่งคนไปบอกให้เด็กรับใช้ของจูเยี่ยนรู้

“น้องหลีซาน เจ็บหรือไม่” ใบหน้าของซูลั่วอีเผือดขาว นางร้อนใจจนเม็ดเหงื่อผุดซึมทั่วหน้าผากเรียบเนียน

“น้องเจา บาดแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลีเจี่ยวเริ่มสะอื้นไห้

โอวหยางเวยอวี่เดินเข้าไปยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดส่งให้ “คุณหนูหลีซาน ใช้นี่ปิดแผลไว้เถอะ”

เฉียวเจาผละมือออก รับผ้าเช็ดหน้าจากนางแล้วฝืนกล่าวขึ้น “ขอบคุณ…”

นางอุตส่าห์แอบเตรียมใจไว้นับครั้งไม่ถ้วน คิดไม่ถึงว่ายังคงเจ็บมากเหลือเกิน เมื่อครู่นี้ยังชาอยู่ ตอนนี้ค่อยๆ รู้สึกถึงความเจ็บได้แล้ว

ชั่วพริบตาที่เฉียวเจาเอามือออก บาดแผลที่แก้มขวาก็ปรากฏต่อเบื้องหน้าสายตาทุกคน พลันบังเกิดเสียงร้องอุทานดังขึ้นเป็นทอดๆ เด็กสาวทุกคนที่เห็นบาดแผลบนใบหน้านางล้วนหน้าถอดสีอย่างเสียขวัญ

“สวรรค์! โดนบาดเป็นแผลยาวเลยหรือนี่ ซ้ำยังอยู่บนใบหน้า คุณหนูหลีซานเสียโฉมแล้วใช่หรือไม่”

“ดูรอยแผลนั่นแล้วหนักหนาเอาการ ถึงใช้ยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นเลิศปานใดก็ต้องเหลือรอยแผลเป็น วันหน้าคุณหนูหลีซานต้องลำบากแล้ว”

“โถ น่าสงสารจริงๆ…”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังจ้อกแจ้กจนฟังไม่ได้ศัพท์ ละม้ายมีแมลงวันนับไม่ถ้วนบินหึ่งๆ อยู่ริมใบหูเจียงซือหร่าน นางหลับตาลงแล้วตะเบ็งเสียงพูด “หุบปากให้หมด!”

ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบกะทันหัน สายตาทุกคู่มองไปที่ตัวนาง

เจียงซือหร่านขุ่นเคืองใจมากขึ้น ยกคันธนูชี้เฉียวเจาพลางกล่าว “ต้องเป็นเจ้าขยับตัวไปมาแน่ ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางยิงพลาดได้”

พวกเด็กสาวไม่ปริปากสักคำ แต่แค่นเสียงเยาะในใจ สมกับเป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ยโสโอหังถึงเพียงนี้ หาผู้ใดเทียบเทียมมิได้จริงๆ เกรงว่าถึงเป็นองค์หญิงยืนอยู่ที่นี่เมื่อเผชิญกับเด็กสาวที่โดนทำร้ายคงยังไม่ผยองอย่างนี้ กระทั่งขอขมาอย่างขอไปทีสักคำก็ล้วนไม่มี มิหนำซ้ำยังปัดความผิดไปให้คนเจ็บอีก

ถึงเหล่าสตรีในที่นี้ไม่ได้ถูกชะตากับเฉียวเจาทั้งหมด ทว่ารูปโฉมของสตรีมีความสำคัญชั้นใด เห็นคนเสียโฉมไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ย่อมรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างช่วยไม่ได้ ในทางกลับกันก็พร้อมใจกันบังเกิดความเคืองแค้นต่อท่าทางก้าวร้าวระรานของเจียงซือหร่าน

พวกนางต่างเป็นลูกหลานในตระกูลขุนนางและทหารหรือไม่ก็ตระกูลสูงศักดิ์ มีเพียงบิดาของเจียงซือหร่านที่อยู่ในสถานะพิเศษมาก พิเศษถึงขั้นที่ใครๆ ต้องให้ความเคารพสามส่วน แต่กลับยากจะจัดเข้าไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้

เฉียวเจาราวกับเป็นผู้ชมอยู่วงนอก นางมองดูพวกเด็กสาวตำหนิติเตียนเจียงซือหร่านอย่างปราศจากสุ้มเสียงด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

นางอยากหัวร่ออยู่บ้าง แต่ไม่กล้าให้บาดแผลได้รับความกระทบกระเทือน เลยได้แต่คิดคำนึงในใจว่า ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวอย่างนี้ ข้าชมชอบยิ่งนัก

ต่อให้ศักดิ์ฐานะของนางเทียบกับทุกคนในงานนี้ไม่ได้ แต่ก็เป็นบุตรสาวของขุนนาง เจียงซือหร่านหมายจะสร้างความอับอายให้นางจึงท้านางเป็นเป้ายิงธนู ได้ใคร่ครวญถึงศักดิ์ศรีและความรู้สึกของนางสักนิดหรือไม่ หากนางเป็นเด็กสาววัยสิบสามผู้หนึ่งจริงๆ หวั่นใจว่าคงกลายเป็นตัวตลกแต่แรก

ถึงแม้ฝีมือยิงธนูของเจียงซือหร่านจะดีสักปานใด จะถือตนว่ามือแม่นไม่เคยพลาดเป้าเพียงใด ล้วนไม่ให้ความเคารพต่อผู้ถูกทดสอบอย่างยิ่งยวด ถึงที่สุดแล้วการที่เจียงซือหร่านตั้งหัวข้อนี้เพื่อกลั่นแกล้งคนเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญกว่าคืออยากอวดฝีมือยิงธนูอันสูงส่งของคุณหนูเจียงผู้ยิ่งใหญ่เพื่อเรียกเสียงปรบมือชื่นชมจากคนทั้งงานเท่านั้น

แม่นางเฉียวร่ำเรียนสิ่งต่างๆ มากมายจากท่านปู่ของนาง แต่ไม่เคยเรียนรู้ว่าคำว่า ‘ก้มหัวต่อความอยุติธรรม’ นั้นเขียนเช่นไร คนที่คิดจะเชิดหน้าชูตาด้วยการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนางจะได้สมดังใจหมายจริงๆ สิเป็นเรื่องแปลก

“นี่พวกท่านหมายความว่าอะไร” เจียงซือหร่านไม่โง่งม การตำหนิติเตียนโดยไร้คำพูดของเด็กสาวทุกคนทำให้นางรู้สึกอับอายเหลือหลาย แต่กลับไม่สามารถดึงตัวคนหนึ่งคนใดออกมาถามไล่เลียงได้ สุดท้ายนางยังคงหันคมหอกกลับไปเล็งที่เฉียวเจา “เจ้าพูดจาบ้างสิ เจ้าขยับตัวไปมาถึงได้พลาดเป้าใช่หรือไม่”

“พอที” หยางโฮ่วเฉิงเดือดดาลในที่สุด เขาเดินสองสามก้าวไปอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กสาวทั้งสอง พูดกับเจียงซือหร่านด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าทำร้ายคนแล้วยังแก้ตัวอีกหรือ เป็นใครให้ท้ายเจ้าถึงเพียงนี้ถึงได้กล้าใช้คนมีเลือดมีเนื้อเป็นเป้ายิงธนู บิดาเจ้าใช่หรือไม่”

หยางโฮ่วเฉิงชมชอบแกว่งดาบรำทวนมาแต่วัยเยาว์ จึงไม่ค่อยเข้าร่วมงานสังสรรค์ของพวกคุณชายสูงศักดิ์ สตรีที่รู้จักก็ยิ่งมีน้อย แต่เจียงซือหร่านกับเขากลับรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก เหตุผลหาใช่อื่นใด เพราะไทเฮาเป็นท่านย่าเล็กของเขา สมัยเด็กเขามักถูกเรียกตัวเข้าไปเล่นในวังบ่อยๆ เป็นธรรมดาที่จะได้รู้จักกับเจียงซือหร่านที่เข้าวังเป็นประจำเช่นเดียวกัน

“เจ้า…เจ้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเพราะเหตุใด” ไม่มีใครกล้ากล่าววาจากับนางเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว เจียงซือหร่านอับอายจนพาลโกรธ

“อันว่าถนนไม่เรียบมีคนกลบเกลี่ย เรื่องอยุติธรรมย่อมมีคนก้าวก่าย ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็ดีกว่าเจ้าก่อเรื่องวุ่นวาย!” เห็นใบหน้าของเฉียวเจาเปื้อนเลือด หยางโฮ่วเฉิงโมโหสุดจะกล่าว เขาไม่ไว้หน้าเจียงซือหร่านแม้แต่น้อยนิด

นัยน์ตาของจูเหยียนทอประกายวูบหนึ่ง นางมองหยางโฮ่วเฉิงอย่างพินิจคล้ายเพิ่งรู้จักเขาเป็นครั้งแรก

ในกาลก่อนภาพของสหายรักของพี่ชายผู้นี้ในใจนางเป็นคนเอะอะโผงผางไร้เล่ห์กลอุบาย บัดนี้ดูไป คนเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็เหนือกว่าพี่ชายของนางที่ดีแต่ร้อนรนโดยไม่ทำอะไร

จูเหยียนปรายตามองพี่ชายของตนแวบหนึ่ง เขานึกว่านางโง่เขลารึ อย่าเห็นว่าพี่ชายของนางทำสีหน้าท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อน ก็หลอกได้แต่คนนอกเท่านั้น แท้จริงแล้วเป็นห่วงมากเท่าใดก็สุดรู้ ดูเส้นเลือดตรงหลังมือสิปูดโปนหมดแล้วมิใช่หรือ

ว่าแล้วเชียว พี่ห้ากับคุณหนูหลีซานรู้จักกันแน่นอน

ขณะที่ความคิดพวกนี้ผุดวาบขึ้นในหัวของเด็กสาว นางเห็นจูเยี่ยนส่งสายตาให้ตนเอง

ทั้งคู่เป็นพี่น้องที่รู้ใจกันดี จูเหยียนเข้าใจความหมายของพี่ชายได้อย่างว่องไว นางสืบเท้าก้าวหนึ่งเข้าไปประคองเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ข้าประคองท่านไปรอในเรือนเถอะ”

นางอยู่ใกล้ที่สุดเลยเห็นได้ชัดถนัดตา บันดาลให้อดกัดริมฝีปากล่างไว้ไม่ได้

นี่น่าจะเจ็บมากเลยนะ ทว่าคุณหนูหลีซานกลับไม่ร้องสักแอะ…

“ไม่ต้องหรอก” เฉียวเจาอ้าปากพูดแล้วมองไปทางตู้เฟยเสวี่ยที่เป็นเจ้าภาพงานนี้ “คุณหนูตู้ ข้าอยากขอตัวกลับแล้ว”

ตู้เฟยเสวี่ยชักสีหน้าไม่ดี “นี่จะได้อย่างไร ท่านกลับไปเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะจวนกู้ชางป๋อของข้าหรือ”

“นั่นสิ น้องเจา ใบหน้าเจ้ามีเลือดไหลตั้งมาก จะอย่างไรก็ต้องรอหมอทำแผลให้แล้วค่อยกลับเรือนนะ” หลีเจี่ยวช่วยพูดกล่อม

เฉียวเจาใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปากแผลไว้ ยืนกรานด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ไม่ได้ ข้าต้องกลับเรือนแล้วค่อยทำแผลเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นไม่ได้นะ เช่นนี้เป็นการจงใจสร้างความลำบากใจให้ข้า ได้รับบาดเจ็บในจวนพวกข้าแล้วกลับไปในสภาพเช่นนี้ คนอื่นจะมองจวนกู้ชางป๋อด้วยสายตาเช่นไร” ตู้เฟยเสวี่ยหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย รู้สึกว่ากล่าวคำนี้ฟังดูแล้งน้ำใจอยู่บ้าง นางจึงกล่าวเสริมขึ้น “เหนือสิ่งอื่นใดท่านทำแผลก่อนถึงไม่กลัดหนอง วันหน้าก็จะรักษาให้หายดีได้ง่ายขึ้น”

“ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นพยานได้ว่าข้าจะกลับไปเอง จะไม่ตำหนิโทษคุณหนูตู้เป็นแน่” ข้างแก้มเจ็บมากขึ้นทุกที อุ้งมือของเฉียวเจาเปียกเหงื่อจนเย็นเฉียบ นางพูดประโยคนี้จบก็ยอบกายคารวะแล้วตั้งท่าเดินออกไปทันที

บทที่ 171

“เจ้าหยุดนะ!” เจียงซือหร่านยืนขวางทางเฉียวเจาด้วยสีหน้าขุ่นมัว สร้างความอับอายขายหน้าให้นางมากถึงเพียงนี้ ก็คิดจะให้แล้วกันไปเท่านี้รึ

เม็ดเหงื่อบนหน้าผากเด็กสาวไหลหยาดลงมาดุจสายฝนเพราะความเจ็บปวด ผสมกับคราบเลือดทิ้งรอยเป็นทางคดเคี้ยวไปตามใบหน้าที่ซีดขาวราวหิมะของนางดูน่าขนลุกขนพองมากขึ้น

ทว่าสายตาของเด็กสาวกลับเฉยเมยดุจเก่า นางยิ้มน้อยๆ กับท่าทางคุกคามของคุณหนูเจียงผู้ยิ่งใหญ่ “คุณหนูเจียง หากคราวนี้ไม่พึงพอใจ ไว้คราวหน้าพวกเราค่อยประชันกันต่อ ตอนนี้ขอให้ข้ากลับเรือนไปทำแผลก่อนเถอะ”

“เจ้า…” เจียงซือหร่านถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางถือใจตนเป็นใหญ่จนเป็นนิสัย แต่ไม่เคยพบสตรีคนใดที่ใบหน้าเลือดไหลแล้วยังเยือกเย็นเช่นนี้ เยือกเย็นจนทำให้นางหนาวเยือกในอก

เฉียวเจายังคงแสดงกิริยามารยาทได้อย่างเหมาะสม นางผงกศีรษะให้เจียงซือหร่านเล็กน้อยก่อนจะหันไปเอ่ยกับตู้เฟยเสวี่ย “คุณหนูตู้ รบกวนท่านส่งคนไปตามสาวใช้ของข้ามาที”

นางกล่าวจบแล้วสาวเท้าออกไป ตอนเดินผ่านข้างตัวหยางโฮ่วเฉิงกับจูเยี่ยนยังหยุดฝีเท้ากล่าวคำขอบคุณอย่างเปิดเผย “ขอบคุณพี่หยางกับพี่จูมากเจ้าค่ะ”

หยางโฮ่วเฉิงหลุดปากกล่าวขึ้นโดยอารมณ์ชั่วแล่น “คุณหนูหลี ข้าพาท่านไปส่ง”

แม้แต่เด็กสาวผู้หนึ่งยังตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทั้งที่เขาก็นับได้ว่าเป็นสหายของนาง เห็นนางบาดเจ็บและถูกคนรังแกกลับเอาแต่มองตาปริบๆ เพราะติดขัดที่ธรรมเนียมประเพณี นี่จะไม่น่าขันหรือ

จะธรรมเนียมประเพณีอะไรก็ช่างมันปะไร อย่างมาก…

หยางโฮ่วเฉิงได้สติ เขาคิดอย่างกระดากใจ อย่างมากก็รับนางเป็นน้องสาวบุญธรรมแล้วกัน แค่กๆ ให้เป็นภรรยา นางยังเด็กเกินไปสักหน่อยจริงๆ เขามิใช่เจ้าฉือชั่นสักหน่อย ไม่อาจคิดอะไรเกินเลยกับสาวน้อยอายุแค่นี้ได้จริงๆ

จูเยี่ยนจับไหล่ของหยางโฮ่วเฉิงไว้ หันศีรษะไปบอกกับตู้เฟยหยางที่ทำท่าอึกๆ อักๆ อยู่ตลอด “ญาติผู้น้อง ให้คุณหนูหลีกลับไปเช่นนี้ไม่ใคร่เหมาะนัก พวกข้ากำลังจะกลับพอดี ก็สบช่องแวะไปส่งนางด้วยเลยเถอะ ทางที่ดีเจ้าบอกให้ท่านอาหญิงรับทราบไว้ แล้วมอบหมายให้ผู้ดูแลที่เชื่อใจได้ไปด้วยกัน”

ตู้เฟยเสวี่ยหันขวับมามอง นางกัดริมฝีปากล่างสุดแรง

ญาติผู้พี่จะไปส่งหลีซาน?

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางแจ่มแจ้งดีกว่าใคร แม้นญาติผู้พี่จะสุภาพมีมารยาทกับผู้อื่น ทว่าแต่ไรมาไม่เคยยื่นมือยุ่งเรื่องชาวบ้านพรรค์นี้

หรือว่า…

ตู้เฟยเสวี่ยหันไปมองเฉียวเจา

หรือว่าญาติผู้พี่ถูกตาต้องใจหลีซาน?

นางยิ่งคิดยิ่งวุ่นวายใจ สายตาที่มองเฉียวเจาคมปลาบดุจใบมีด

“ได้ ข้าจะไปขออนุญาตท่านแม่เดี๋ยวนี้เลย” ตู้เฟยหยางกล่าว

มีคนได้รับบาดเจ็บในเรือนของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรจวนกู้ชางป๋อก็ปัดความผิดชอบไม่ได้ ส่งผู้ดูแลคนสำคัญในจวนถือของขวัญไปเยี่ยมเยือนขอขมาเป็นธรรมเนียมพื้นฐานที่สุด

“พี่ใหญ่ ไม่ต้องไปเรียกผู้ดูแลแล้ว” ตู้เฟยเสวี่ยสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยปากขึ้น “ข้าไปจวนสกุลหลีกับคุณหนูหลีซานเอง”

“เฟยเสวี่ย เจ้า…” ตู้เฟยหยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขารู้กระจ่างแจ้งกว่าผู้ใดว่าน้องสาวชังน้ำหน้าหลีซานปานใด

อันที่จริงมิใช่แค่น้องสาว เขาเองก็ชมชอบหลีซานที่ใดกันเล่า

เมื่อคิดไปถึงที่หลีเจาเฝ้าตามตื๊อเขาและข่มเหงรังแกญาติผู้พี่หลีเจี่ยวในกาลก่อน แววรังเกียจเดียดฉันท์ผุดวาบขึ้นในดวงตาของตู้เฟยหยาง เขาเม้มปากกล่าวขึ้น “ก็ได้ เจ้าส่งคุณหนูหลีซานกลับไปก่อน ข้าจะไปบอกกล่าวท่านแม่สักคำ”

“ญาติผู้น้องวางใจได้ ยังมีข้าอีกคน ข้าจะดูแลน้องสาวสองคนให้ดีเอง” หลีเจี่ยวปริปากขึ้นอย่างถูกจังหวะ

เฉียวเจาสาวเท้าเดินไปข้างนอกแล้ว

นอกประตูใหญ่ของจวนกู้ชางป๋อมีรถม้าจอดอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นเป็นรถม้าม่านสีเขียวที่ไม่เด่นสะดุดตาสักนิดจอดชิดข้างกำแพง สารถีหนุ่มยืนพิงกำแพงเงียบๆ อย่างใจลอย

เป็นเพราะอะไรกันแน่นะข้าถึงได้คิดสั้นมาเป็นสารถี วันเวลาช่างน่าเบื่อเหลือหลาย!

เสียงอึกทึกดังลอยมาจากหน้าประตู เฉินกวงสารถีน้อยผู้มีประสาทหูฉับไวหันไปมองต้นเสียงปราดเดียวก็เห็นเฉียวเจาใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดแก้มข้างหนึ่งเดินออกมา มีรอยเลือดเปรอะตามใบหน้าและเนื้อตัวเป็นดวงๆ

สีหน้าของเฉินกวงแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน เขาเดินฉับๆ เข้าไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ไม่หลงเหลือท่าทางเฉื่อยชาใดๆ ให้เห็นอีก

“คุณหนู ท่านบาดเจ็บได้อย่างไร เป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับ” เฉินกวงกวาดตามองใบหน้าหมู่คนที่ตามเฉียวเจามาทีละคนด้วยแววตาเย็นชาดุดันเป็นพิเศษ

มารดามันเถอะ แม้ข้าจะติงว่าวันเวลาน่าเบื่อ แต่มิได้วาดหวังว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูหลีนะ

สมควรตาย ข้าไม่ได้คุ้มครองคุณหนูหลีให้ดีอีกแล้ว!

ความเจ็บปวดแสบร้อนตรงข้างแก้มทำให้เฉียวเจาไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดจา นางเอ่ยสั่งสั้นๆ “กลับจวน”

“ขอรับ” เฉินกวงจ้องหน้าทุกคนนิ่งๆ พลางนึกในใจ ข้าจดจำคนพวกนี้ไว้หมดแล้ว อย่าให้รู้ว่าผู้ใดเป็นตัวการทำให้คุณหนูหลีได้รับบาดเจ็บ จะดักตีศีรษะคนผู้นั้นให้น่วมไปเลย

อะไรรึ? ไม่พึงทำร้ายสตรี?

ท่านแม่ทัพเคยสอนสั่งพวกข้ามาตั้งนานแล้วว่าแยกแยะแต่ฝ่ายเดียวกันกับฝ่ายศัตรู ไม่มีแบ่งบุรุษกับสตรี!

อาจูที่หน้าซีดขาวประคองเฉียวเจาขึ้นรถม้า

เฉินกวงเห็นหลีเจี่ยวจะตามขึ้นมาก็กางมือขวางไว้พร้อมกับพูดเสียงเรียบ “คุณหนูขอรับ รถม้าคันเล็ก นั่งหลายคนอย่างนี้ไม่ได้”

เขาพูดจบก็กระโดดขึ้นรถม้าอย่างปราดเปรียว ตวัดแส้ม้าทีหนึ่งแล้วควบขับรถม้าจากไปอย่างเร็วรี่ราวกับเหาะ ทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลังกับฝุ่นตลบอบอวล

จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา

“ดูเหมือนพวกเราจะกังวลใจโดยใช่เหตุแล้ว” จูเยี่ยนคิดถึงบาดแผลบนใบหน้าเฉียวเจา พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

หยางโฮ่วเฉิงมองดูฝุ่นควันบนถนนอย่างเหม่อลอยนานครู่ใหญ่ถึงดึงสติคืนมาได้ เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยพลางพูดพึมพำ “จื่อเจ๋อ เจ้ารู้สึกว่าสารถีคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ อยู่สักหน่อยหรือไม่ รู้สึกไม่วายว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน”

“อย่างนั้นหรือ” จูเยี่ยนทำท่าครุ่นคิด

ตู้เฟยเสวี่ยกระทืบเท้า “นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีมารยาทแม้สักนิด!”

รถม้าที่เตรียมไว้ของจวนกู้ชางป๋อจอดรออยู่ด้านหน้า ตู้เฟยเสวี่ยยกชายกระโปรงก้าวขึ้นไปแล้วหันตัวมาเอ่ยถาม “ญาติผู้พี่ พวกท่านขี่ม้าไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“เปล่า ญาติผู้น้องรีบตามคุณหนูหลีซานไปเถอะ พวกข้ากลับก่อนล่ะ”

ตู้เฟยเสวี่ยอึ้งงัน ก่อนจะหลุดปากถามขึ้น “ญาติผู้พี่ พวกท่านไม่ไปแล้วหรือ”

จูเยี่ยนทั้งขบขันทั้งอ่อนใจ “ในเมื่อคุณหนูหลีซานกลับไปก่อน พวกข้าก็ไม่ต้องตามไปแล้ว”

หยางโฮ่วเฉิงไม่ชมชอบคุณหนูตู้ที่ตามตื๊อสหายรักเสมอผู้นี้อย่างมาก เขาฉุดตัวจูเยี่ยนออกเดินพลางกล่าว “รีบกลับเถอะ ยังมีธุระอีกนะ”

พอเห็นพวกจูเยี่ยนจากไปต่อหน้าต่อตา ตู้เฟยเสวี่ยซึ่งนิ่งค้างอยู่ในท่ายกชายกระโปรงอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา รู้แต่แรกนางก็ไม่ขันอาสาไปจวนสกุลหลีแล้ว

เจ้าสารถีผู้นั้นสมควรตายนัก!

“พี่เจี่ยว ขึ้นรถม้าเถอะ” ตู้เฟยเสวี่ยกัดริมฝีปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์

รอเมื่อหลีเจี่ยวเข้ามาในตัวรถม้า ตู้เฟยเสวี่ยจึงถามไถ่ “สารถีของหลีซานคนนั้น ไฉนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเจ้าคะ”

“เป็นท่านหมอเทวดาส่งมาให้นาง” หลีเจี่ยวรู้สึกห่อเหี่ยวใจยิ่ง วันนี้นางไม่สมควรมาเลยจริงๆ หลีซานได้หน้าได้ตาครั้งใหญ่ ส่วนนางได้แค่มองตาปริบๆ ซ้ำยังโดนเปรียบเทียบจนนางยิ่งดูสามัญไร้ความโดดเด่น แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกับหลีซาน นางกลับต้องรับผิดชอบอย่างหนีไม่พ้น ตอนกลับถึงเรือนพวกท่านย่าต้องคิดว่านางไม่ได้ดูแลน้องสาวให้ดีอย่างแน่นอน

“หมอเทวดาท่านนั้นดีต่อนางถึงเพียงนี้ กระทั่งสารถีก็ส่งมาให้หรือเจ้าคะ”

“มิใช่แค่นี้เท่านั้นนะ” หลีเจี่ยวจาระไนของขวัญที่เฉียวเจาได้รับในวันนั้นให้นางฟังราวกับนับสมบัติในเรือนตน

ตู้เฟยเสวี่ยฟังแล้วอ้าปากค้าง กล่าวอย่างหัวไวขึ้นมากะทันหัน “พี่เจี่ยว ท่านบอกว่าหมอเทวดามอบสมุนไพรล้ำค่าหีบหนึ่งให้หลีซานด้วยมิใช่หรือ จะมีของดีๆ อะไรหรือไม่ หลีซานถึงต้องกลับเรือนไปทำแผล”

หลีเจี่ยวเฉลียวใจ “ข้ากลับไปแล้วจะลอบสอบถามดู”

ใครๆ ล้วนพูดว่าหมอเทวดาท่านนั้นสามารถชุบชีวิตคน ดีไม่ดีอาจมียาวิเศษอะไรมอบให้น้องเจาก็เป็นได้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: