บทที่ 17
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังติดตาฝังใจ นางยังจดจำสายลมหนาวเหน็บบนกำแพงเมือง ฝ่ามือใหญ่หยาบกระด้างเปี่ยมไปด้วยพละกำลังของคนข้างหลัง รวมถึงรอยยิ้มแสยะของพวกต๋าจื่อได้
ทว่าขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่แล่นเอื่อยๆ สู่ทิศเหนือ ได้ยินผู้คนเอ่ยถึงบุรุษผู้นั้นอีกครา นางถึงกับเคืองแค้นชิงชังเขาไม่ลง
ราวกับว่าเหตุการณ์ตอนที่องครักษ์คุ้มกันนางเดินทางไปแดนเหนือเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ระหว่างทางพบเจอกับทหารชาวต๋าจื่อที่พลัดหลงกับกองทัพหลังแตกพ่ายกระเจิดกระเจิง พวกเขามีกันแค่สี่ห้าคน มิหนำซ้ำใบหน้ายังเปรอะเปื้อนมอมแมมจากการหลบหนี พอเห็นสตรีที่ออกมาข้างนอกยังคงกระโจนเข้าใส่พวกนางเหมือนกับหมาป่าหิวโหยตะครุบเหยื่อ นัยน์ตาลุกวาวน่าสะพรึงกลัว
พวกองครักษ์ปลิดชีพชาวต๋าจื่อช่วยสตรีสองนางที่โดนประทุษร้ายไว้ คนหนึ่งอยู่ได้ไม่นานนักก็สิ้นใจ ส่วนอีกคนบอบช้ำไปทั้งร่าง ลมหายใจอ่อนรวยรินเฉกเดียวกัน
เวลานั้นนางแค้นใจจริงๆ เพิ่งรู้ว่าความรุ่งเรืองมั่งคั่งมีแต่ในเมืองหลวง ส่วนดินแดนทางทิศเหนือหรือชายทะเลทิศใต้นั้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าสายตาต่างหากคือความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร
เปลือกนอกอันหรูหรางดงามในนามแคว้นแห่งสวรรค์ผู้ครองใต้หล้านั้นแสนเปราะบางอ่อนแอจนไม่อาจห่อหุ้มแคว้นต้าเหลียงที่เสื่อมโทรมฟอนเฟะไว้ได้มานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้ฟังพวกองครักษ์เล่าเรื่องราวของแม่ทัพเซ่า
พวกเขาบอกว่าตอนแม่ทัพเซ่ามาถึงแดนเหนือครั้งแรกมีอายุเพียงสิบสี่ปี ยามนั้นแม่ทัพเซ่าผู้อาวุโสล้มป่วยหนัก สารแจ้งข่าวกองทัพต้าเหลียงพ่ายแพ้ถอยร่นถูกส่งกลับเมืองหลวงฉบับแล้วฉบับเล่าไม่ขาดสาย เมื่อถวายรายงานต่อเบื้องพระพักตร์ โอรสสวรรค์กริ้วจัด ส่งผลให้จวนจิ้งอันโหวง่อนแง่นเต็มที
เวลานั้นเองเซ่าหมิงยวน บุตรชายคนรองของจิ้งอันโหวที่เพิ่งย่างวัยสิบสี่ก้าวออกมากราบทูลอาสาเดินทางไปแดนเหนือออกรบแทนบิดา
สมรภูมิแรกของเขาเป็นการรบกับกองทัพเป่ยฉีที่ฆ่าล้างหมู่บ้านอยู่
ครั้งนั้นเป็นสงครามสร้างชื่อให้แม่ทัพเซ่า หลังจบศึก เขาได้รับเสียงแซ่ซ้องสดุดีจากคนนับไม่ถ้วน ชื่นชมที่เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่มีเพียงทหารที่รอดชีวิตจากศึกคราวนั้นไม่กี่คนที่จดจำได้ว่าแม่ทัพเซ่านำกำลังคนไม่กี่สิบเข้าต่อสู้กับทหารเป่ยฉีนับร้อยอย่างไร
เดิมทีลักษณะเรือนกายของทหารต้าเหลียงก็ผิดแผกกับทหารเป่ยฉีที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าไกลลิบ หลายปีมานี้ไม่ว่าแม่ทัพชื่อดังคนใดไปบัญชาการทัพที่แดนเหนือล้วนตกเป็นฝ่ายตั้งรับทั้งสิ้น ในตอนท้ายของศึกคราวนั้น แม่ทัพเซ่าหลั่งโลหิตแทบจะท่วมกายแล้ว ทหารคนสนิทเตือนให้เขาหนีไปก่อน แต่เขากล่าวถ้อยคำหนึ่งว่า
‘ข้าไม่มีทางให้ชาวต๋าจื่อเห็นแผ่นหลังข้าตอนหันหลังหนีไป แล้วนึกว่าบุรุษของต้าเหลียงล้วนเป็นคนอ่อนแอปวกเปียก พวกเขาจะข่มเหงเหยียบย่ำราษฎรต้าเหลียงเราอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ’
ต่อมาภายหลังคำว่า ‘คนโฉดชั่วไม่ดับดิ้น ชาวต๋าจื่อไม่สูญสิ้น มิหวนคืนถิ่นเด็ดขาด’ กลายเป็นคติประจำใจของแม่ทัพเซ่า ตอนเขาเข้าพิธีมงคลใหญ่โตก็เป็นแม่ทัพเซ่าผู้อาวุโสคุกเข่าทูลขอร้องฮ่องเต้ให้มีพระราชโองการถึงเรียกตัวเขากลับไปได้
เฉียวเจายังจำที่รองแม่ทัพท่านนั้นพูดกล่อมนางอย่างระมัดระวังว่า
‘ฮูหยินอย่าโกรธท่านแม่ทัพเลยนะขอรับ แม้ว่าท่านแม่ทัพจะนำทัพออกศึกในวันงานมงคลจะผิดต่อท่าน แต่ท่านคงไม่รู้ว่าหากท่านแม่ทัพมาช้าไปก้าวเดียวจะมีผู้บริสุทธิ์มากมายเท่าไรต้องตายอย่างอเนจอนาถ แล้วสตรีที่จะมีสภาพเฉกเดียวกับหญิงสาวสองคนในวันนี้จะเพิ่มมากขึ้นเท่าไร อันที่จริงแม่ทัพของพวกข้าใจอ่อนยิ่งกว่าผู้ใด…’
ตลอดทางเฉียวเจาได้ยินเรื่องราวของคนผู้นั้นมากขึ้นอีก
เขาเคยดักซุ่มอยู่บนพื้นหิมะหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อช่วยเด็กที่ถูกชาวต๋าจื่อลักพาตัวไปเป็นเสบียงสำรองกลับมา
เขาเคยว่ายน้ำลอดใต้พื้นน้ำแข็งข้ามแม่น้ำซงเจียงไปลอบสังหารหัวหน้าเผ่าชาวต๋าจื่อที่บั่นศีรษะราษฎรต้าเหลียงไปทำเป็นกาสุรา
เขายังเคยใช้เบี้ยหวัดทหารทั้งหมดซื้อหาอาภรณ์มาให้พวกสตรีที่โดนชาวต๋าจื่อกระทำย่ำยีเป็นเสื้อห่มกายกันความหนาว
รองแม่ทัพน้ำตารื้นกล่าวเสียงเครือ ‘คนทั้งแผ่นดินจดจำได้แต่เกียรติยศมากมายสุดประมาณของท่านแม่ทัพ แต่พวกข้ากลับจำบาดแผลความเจ็บปวดทั่วกายของท่านได้ ท่านแม่ทัพเคยพูดว่าเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่ทำผิดต่อท่านเพียงผู้เดียว รอเมื่อแดนเหนือสงบสุข…’
รองแม่ทัพมิได้กล่าวต่อจนจบ แต่เฉียวเจาเข้าใจแล้ว
บุรุษผู้ที่ยอมสละเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อชาวบ้านแดนเหนือเยี่ยงนี้ นางจะชิงชังได้อย่างไรเล่า
นางก็แค่…ขุ่นเคืองอยู่บ้าง
นางฟังเรื่องราวของเขามาตลอดทางแล้ว ว่าแต่เหตุใดเขายิงธนูเร็วถึงเพียงนั้น
เด็กสาวเท้าคางมองไปนอกหน้าต่าง แสงแดดอบอุ่นส่องกระทบผิวแก้มนางเป็นประกายเกือบโปร่งใส แลดูขาวผ่องบอบบางน่าทะนุถนอม กอปรกับท่วงท่ากิริยาใสซื่อไร้มารยาทของนาง ทำให้ผู้ที่พิศดูนางรู้สึกจิตใจสงบตามไปด้วย
หมอเทวดาหลี่มองดูนางเช่นนี้แล้วความรู้สึกคุ้นเคยที่ว่านั่นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
นานครู่ใหญ่เขาถึงเอ่ยปากขึ้นว่า “คิดอะไรอยู่หรือ”
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา นางกล่าวตอบอย่างซื่อสัตย์มาก “ก็แค่ใจลอยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
มุมปากของหมอเทวดาหลี่กระตุกริกๆ คนที่บอกว่า ‘ใจลอย’ ได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้พบเจอได้ไม่มากจริงๆ
ยิ่ง…ยิ่งเหมือนมากขึ้น…
แม่หนูหลีกับแม่หนูเฉียวคล้ายคลึงกันทุกอย่าง หากที่สำคัญกว่าคือตอนเขาเจอแม่หนูหลีครั้งแรกก็พบว่านางว่ามีลักษณะของอาการถอดวิญญาณ แล้วแม่หนูเฉียวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขที่แดนเหนือเช่นที่เขานึกไว้ แต่ลาลับจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร…
หมอเทวดาหลี่มีเหงื่อออกกลางฝ่ามือ หัวใจเต้นถี่รัว
จะมีความเป็นไปได้เช่นนั้นหรือไม่นะ
เขารู้ว่าการคาดคะเนนี้น่าตกตะลึงเหลือเชื่อ ถ้าเกิดกับตัวผู้อื่นคงไม่กล้าคิดไปในทางนี้เป็นอันขาด แต่เขาไม่เหมือนใคร ช่วงที่ผ่านมานี้สิ่งที่เขาศึกษามาโดยตลอดก็คือศาสตร์นี้!
หมอเทวดาหลี่กระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนอ้าปากพูดหยั่งเชิง “แม่หนูหลี ในเรือนเจ้ามีใครบ้างหรือ”
เฉียวเจาแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยหมอเทวดาหลี่มิใช่คนที่จะสนใจเรื่องสัพเพเหระเช่นนี้
นางควานหาคำตอบจากความทรงจำของหลีเจาที่เหลืออยู่ในหัวก่อนเอ่ยตอบ “ท่านปู่ล่วงลับไปนานแล้วเจ้าค่ะ ในเรือนมีท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ กับพวกพี่ๆ น้องๆ”
หมอเทวดาหลี่ลูบจมูก
นี่มิใช่พูดก็เหมือนไม่พูดรึ เรือนใครบ้างไม่มีคนพวกนี้ มิใช่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่สักหน่อย
ดูท่าทางสงบนิ่งของแม่นางน้อยแล้ว หมอเทวดาหลี่ยิ่งไม่มั่นใจ เขาลองหยั่งเชิงอีกครั้งอย่างไม่ถอดใจ “แม่หนูหลีเมื่อก่อนเคยได้ยินชื่อแม่ทัพเซ่าหรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไป นางนิ่งคิดแล้วกล่าวตอบในฐานะของแม่นางน้อยหลีเจา “ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่เซ่าหมิงยวนออกรบครั้งแรก เขาก็กลายเป็นดาวแม่ทัพที่เจิดจ้าบาดตาที่สุดไปเสียแล้ว ทั้งยังเปล่งแสงระยิบระยับกลางท้องฟ้าต้าเหลียงมายาวนานถึงเจ็ดแปดปี แล้วจะมีใครไม่เคยได้ยินเล่า
หมอเทวดาหลี่ลอบถอนใจเบาๆ บางทีเขาคงคิดมากไปเอง
หรือบางทีเขาอาจจะคาดหวังอยากให้เด็กที่ฉลาดเฉลียวใจคอกว้างขวางผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่มากจนเกินไป
เมื่อล้มเลิกความคิดที่จะหยั่งเชิงแล้ว หมอเทวดาหลี่ก็หยิบผลไม้สีเขียวๆ ลูกหนึ่งจากในถาดมากัดคำหนึ่ง
“ถุย! เปรี้ยวจนเข็ดฟัน”
หลังผลไม้สีเขียวที่กัดไปแล้วคำหนึ่งถูกโยนออกไปทางนอกหน้าต่างพุ่งลอยเป็นวิถีโค้งอย่างงดงาม ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น
“จอดๆ พวกไร้สำนึกคนใดกันที่โยนผลไม้ออกทางหน้าต่างเช่นนี้”
เฉียวเจาปล่อยม่านหน้าต่างลง สบช่องชำเลืองมองข้างนอกแวบหนึ่ง เห็นหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากวิ่งห้อสุดฝีเท้าไล่กวดตามรถม้ามา เป็นเหตุให้คนบนถนนหยุดยืนมองไปตามๆ กัน
ต่อจากนั้นองครักษ์คนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้าทันที เขาเดินเข้าไปพูดอธิบายอะไรสักอย่างก็สุดรู้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถึงจากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ
พอองครักษ์ย้อนกลับมา สหายด้านข้างก็ไต่ถามเสียงเบาๆ “หนนี้จ่ายเท่าไรถึงไล่ไปได้”
องครักษ์ตอบด้วยสีหน้าชืดชา “อย่าเอ่ยถึงมันเลย หมดไปอีกสองตำลึงเงินแล้ว”
เหล่าสหายด้านข้างพากันถอนใจ ลอบรำพึงว่าเส้นทางนี้ยากลำบากนักหนา ขืนปล่อยให้ท่านบรรพบุรุษบนรถม้าท่านนั้นก่อความวุ่นวายไปเรื่อยๆ พวกเขาคงต้องเอากระบี่พกไปจำนำแล้ว
หัวหน้าองครักษ์ทำหน้าละห้อย “เร่งความเร็ว พรุ่งนี้ต้องไปถึงเมืองหลวงให้ได้”
บทที่ 18
วันต่อมา
ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิแสนงามตา รถม้าที่ตกแต่งอย่างเรียบๆ ไม่สะดุดตาคันหนึ่งเลี้ยวตรงหัวมุมถนน แล่นเข้าสู่ถนนหลวงสายหนึ่งที่กว้างขวางที่สุดของเมืองหลวง แต่ไม่นานนักรถม้าคันนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปไม่ได้
องครักษ์แลมองฝูงชนล้นหลามเบื้องหน้า แล้วเอ่ยถามความเห็นของหมอเทวดาหลี่ “ท่านผู้อาวุโส พวกเรามาถึงตอนแม่ทัพเซ่าเข้าเมืองพอดี รถม้าผ่านไปไม่ได้ หรือไม่พวกเราถอยหลังกลับก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
ทันทีที่ได้ยินว่าเซ่าหมิงยวนกรีธาทัพเข้าเมือง ไฟโทสะของหมอเทวดาหลี่ก็ลุกพรึบ เขาถลึงตาหนวดกระดิก “ถอยหลังกลับอะไรกัน ยังมีขาอยู่มิใช่หรือ ลงเดินสิ”
หมอเทวดากล่าวคำนี้เสียงห้วนสะบัดแล้วกระโดดลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ผลักองครักษ์ที่จะประคองเขาออกไป พลางตะโกนเรียกเฉียวเจา “แม่หนูหลีลงมาเร็วเข้า! ฉวยจังหวะที่ยังเบียดแทรกไปได้รีบเข้าเมืองไวๆ เช่นนี้เจ้ายังกลับเรือนไปกินอาหารได้ทัน”
เฉียวเจาชะโงกหน้ามองออกไปทางนอกหน้าต่าง มองดูผู้คนข้างหน้าเบียดเสียดยัดเยียดจนไม่มีช่องว่างแล้วลงจากรถม้าอย่างเชื่อฟัง
“คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ” อาจูรีบประคองนางไว้
พวกองครักษ์เห็นสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ จำต้องทิ้งรถม้าไว้ข้างทาง และคุ้มกันหมอเทวดากับเฉียวเจาเข้าเมือง
ชาวเมืองหลั่งไหลกันมาจนมืดฟ้ามัวดิน ตามเพิงน้ำชาและหอสุราริมถนนไม่มีที่ว่างแต่แรก ถนนทั้งสองฝั่งเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งยืนเรียงกันเป็นทิวแถว ชะเง้อชะแง้รอต้อนรับเหล่าวีรบุรุษที่กลับมาพร้อมชัยชนะ
มีพ่อค้าหัวใสไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือ เดินหาบกระจาดเร่ขายของอยู่กลางหมู่คน ดอกไม้สดในกระจาดถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยงในพริบตาเดียว
เฉียวเจาถูกเบียดจนเดินเซไปเซมา มิใช่ง่ายดายกว่าจะได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ฝูงชนพลันเปล่งเสียงโห่ร้องดังสนั่นขึ้นระลอกหนึ่ง
“มาแล้วๆ”
“ถอยหลังไปๆ” เจ้าหน้าที่ทางการผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยชักกระบองออกมาไล่คนที่มุงดูอยู่สองข้างทาง
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาทุกทีทรงพลังเป็นจังหวะประหนึ่งเสียงรัวกลอง สั่นกระทบตรงกลางใจทุกคนทีแล้วทีเล่า
เสี้ยวเวลานี้บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนพลันตกอยู่ในความเงียบอึดใจหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดังกึกก้องมากขึ้น
“แม่ทัพเซ่าๆ!”
“ทัพเป่ยเจิงจงเจริญ!”
“ทัพเป่ยเจิงกล้าแกร่งเกรียงไกร!”
เฉียวเจามองเห็นกองทหารกองนั้นท่ามกลางเสียงอึงคะนึงรอบกาย
ด้านหน้าเป็นองครักษ์ประจำตัวถือธง ตัวอักษรคำว่า ‘เซ่า’ ตัวเขื่องกลางผืนธงซึ่งคลี่สะบัดล้อลมเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ ด้านหลังเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนั่งบนหลังอาชาตัวสูงใหญ่อย่างสง่างาม
คนผู้นั้นดูท่าทางอยู่ในวัยราวยี่สิบเศษ บนตัวเป็นเสื้อเกราะซานเหวิน* สีเงินซึ่งมีเพียงแม่ทัพระดับสูงที่มีสิทธิ์สวมใส่ได้ ชุดเกราะพอดีตัวเขาอย่างมาก สายคาดเอวลายราชสีห์คาบดาบรัดรอบเอวอย่างแน่นหนา ยิ่งขับเน้นเรือนกายให้สูงเพรียวผึ่งผาย เสื้อคลุมไหล่มิใช่สีแดงเข้มอย่างที่พบบ่อยมากที่สุด แต่กลับเป็นสีขาวปลอดดุจหิมะ ยามเขาเบือนหน้ามองไปยังทิศทางที่เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มมากที่สุด พู่แดงบนหมวกเกราะสีเงินเกลี้ยงก็ปลิวไหวๆ คลอเคลียใบหน้าขาวประหนึ่งหยกหิมะ นั่นเป็นสีสันเพียงหนึ่งเดียวตลอดทั่วร่างเขา ทำให้ยิ่งรู้สึกถึงความเย็นเยือกและ…โดดเดี่ยว
ฝูงชนพลันชะงักนิ่งไปชั่วประเดี๋ยว จากนั้นก็เป็นเสียงร้องตะโกนแหลมเล็กของสตรีนับไม่ถ้วนดังสนั่นขึ้น “แม่ทัพเซ่าๆ”
แม่ทัพหนุ่มเบนหน้ากลับ แต่เหล่าคนในทิศทางนั้นยังตื่นเต้นคลั่งไคล้ โดยเฉพาะบรรดาสตรีที่พากันโยนดอกไม้สดในมือไปให้เขาดุจสายฝนพรั่งพรู มันกระทบเสื้อเกราะของเขาแล้วร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีดอกไม้ ถุงหอม และผ้าเช็ดหน้าโยนมาให้มากยิ่งขึ้น
ใครๆ ล้วนเคยได้ยินวีรกรรมของแม่ทัพเซ่าบ่อยเสียจนเล่าได้คล่องปากแต่แรก กระทั่งเด็กสามขวบในเมืองหลวงยังรู้ว่ามีแม่ทัพผู้เก่งกาจเช่นนี้อยู่ผู้หนึ่ง
กระนั้นน้อยครั้งนักที่เขาจะกลับเมืองหลวง วันนี้ได้เห็นตัว ทุกคนถึงประจักษ์ว่าที่แท้แม่ทัพผู้นี้ยังหนุ่มแน่นและหล่อเหลาเพียงนี้
บรรยากาศคึกคักเร่าร้อนยิ่งทบทวีขึ้น กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพยายามแทรกตัวไปข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าเฉียวเจาจะมีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ก็ยังถูกเบียดจนตัวโงนเงนไปมา
ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงร้องแหลมสูงของพวกสตรีที่เผลอลืมสงวนท่าที ยังมีดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าที่ถูกโยนออกไปจนลอยเต็มท้องฟ้า
เฉียวเจาฝืนทรงตัวยืนให้มั่นแล้วเม้มปาก
ที่แท้ท่านสามีที่เคารพของนางผู้นี้ยังเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งอีกด้วย
เอ่อ…ผิดแล้ว เฉียวเจาตายไปแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่คือแม่นางน้อยหลีเจา เขากับข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันแล้ว
เมื่อคิดถึงลูกธนูดอกนั้น ถึงเฉียวเจาไม่คับแค้นใจ แต่เกียรติยศอันล้นเหลือของบุรุษตรงหน้ากลับบาดนัยน์ตานาง ถึงที่สุดแล้วนางก็รู้สึก…เจ็บใจอยู่บ้าง
“โอ๊ย!” พ่อค้าเร่ที่หาบกระจาดดอกไม้วิ่งมาเป็นรอบที่สองถูกเบียดล้มลงโดยไม่ทันระวัง ดอกไม้สดในกระจาดหล่นกระจายเกลื่อนพื้น ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีต้นกระบองเพชรต้นหนึ่งปนอยู่ในกองดอกไม้ ซ้ำยังบังเอิญกลิ้งมาตรงข้างเท้าเฉียวเจาได้
ฝ่ามือขาวนุ่มนิ่มนับไม่ถ้วนยื่นมือแย่งดอกไม้ไปจนเกลี้ยง เสียงเหรียญอีแปะหล่นลงในกระจาดดังกรุกกริกๆ จากนั้นสายฝนดอกไม้ก็โปรยปรายใส่เหล่าทหารที่เดินช้าๆ ตรงกลางถนนอีกระลอกหนึ่ง คละเคล้าเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นของสตรีทั้งหลาย
เฉียวเจานิ่งชะงักครู่หนึ่งก่อนล้วงเหรียญอีแปะสองเหรียญโยนลงกระจาด ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองมือแล้วเก็บต้นกระบองเพชรที่หลงปนเข้ามาต้นนั้นอย่างระมัดระวังขึ้นมา ก่อนจะโยนออกไปเงียบๆ
อืม ครานี้ก็สบายใจแล้ว
เซ่าหมิงยวนนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนม้า ดอกไม้สดที่ฝูงชนโยนใส่ตัวเขาส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย เขาต้องกลั้นจามไว้แทบตายหลายครั้งจนจมูกเริ่มหมดความรู้สึกแล้ว
ขณะที่กำลังจะระบายลมหายใจเฮือกพลันรู้สึกว่ามีของสิ่งหนึ่งลอยมาทางด้านข้าง เขาสัมผัสได้จากประสาทที่เฉียบไวจากการออกรบมานานปีว่านี่มิใช่ของจำพวกดอกไม้หรือถุงหอม
หรือว่าเป็นอาวุธลับ
เซ่าหมิงยวนกระดกข้อมือคว้าของสิ่งนั้นไว้ในกำมืออย่างแม่นยำ ความรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางอุ้งมือทำให้เขาย่นหัวคิ้วทีหนึ่ง
อาวุธลับใดกันมีหนามแหลมรอบตัว? ดูทีว่าศัตรูที่ซ่อนกายกลางหมู่คนต้องเจ้าเล่ห์อำมหิตมาก!
เขาก้มหน้าดูลักษณะของอาวุธลับให้ถนัดตาแล้วอดทำหน้านิ่งขึงไปไม่ได้
ต้นกระบองเพชร?
เซ่าหมิงยวนหันไปมองทางที่ ‘อาวุธลับ’ ลอยมา ดวงตาเขาทอประกายวับวาวดุจฟ้าแลบแปลบๆ
สายตาคมปลาบคู่นั้นไล่กวาดไปทั่วกลุ่มคน เฉียวเจารีบหลบไปอยู่ด้านหลังหมอเทวดา นานครู่ใหญ่ถึงเยี่ยมหน้าออกมามองเห็นคนผู้นั้นขี่ม้าห่างไปไกลแล้ว มีขบวนองครักษ์ประจำตัวสวมเสื้อเกราะแขนกุดที่ล้างสะอาดเรียบกริบกุมทวนยาวในมือแน่นเดินเรียงแถวเป็นระเบียบตามหลังไปติดๆ นางถึงพรูลมหายใจออกเบาๆ
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของหมอเทวดาหลี่ นางตีสีหน้าเรียบเฉยก่อนเอ่ยขึ้น “เบียดเสียดเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า ก้าวขาเดินไปสองก้าวแล้วหันขวับกลับมา ฉีกยิ้มกล่าวว่า “ทำได้ยอดเยี่ยมมาก”
เชิงอรรถ
* เสื้อเกราะซานเหวิน คือเสื้อเกราะที่ประกอบจากแผ่นโลหะรูปทรงตัวอักษรคำว่าซาน (山) ที่แปลว่าภูเขา
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.