X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 3 บทที่ 178-บทที่ 179

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 178

เฉียวเจายื่นมือปัดมือของหลีเจี่ยวที่จับข้อมืออีกข้างหนึ่งของตนไว้ออกด้วยสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม

“น้องเจา ข้ารู้ว่าท่านแม่ให้ความรักและตามอกตามใจเจ้าทุกอย่างมาแต่เยาว์วัย เจ้าไม่เคยได้รับความคับข้องหมองใจอย่างนี้มาก่อน แต่ดีชั่วเจ้าต้องคำนึงถึงคนในครอบครัวบ้างสิ ยอมเสียอะไรตั้งมากถึงเพียงนี้เพื่อแลกกับการระบายความแค้นให้เจ้ามันคุ้มค่าหรือ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าได้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าตามไปห้ามท่านย่าไว้ยังทันเวลานะ”

หลีเจี่ยวกลัวแล้วจริงๆ นางทั้งชิงชังทั้งหวาดกลัว ชิงชังที่พวกท่านย่าทำถึงขั้นนี้เพื่อเฉียวเจา และหวาดกลัวว่าไปตอแยกับองครักษ์จินหลินแล้วจะเคราะห์ร้ายพบกับชะตากรรมน่าอนาถ

เฉียวเจาส่ายหน้า หยิบพู่กันเขียนอีกถ้อยความหนึ่ง

หลีเจี่ยวยื่นหน้าไปดู เห็นนางเขียนไว้บนกระดาษว่า

 

‘ใต้หล้านี้ มีบางเรื่องห้ามได้ บางเรื่องห้ามไม่ได้’

 

หลีเจี่ยวงุนงงไม่เข้าใจสักนิด “นี่หมายความว่าอะไร หรือว่าเรื่องในวันนี้ เจ้าคิดว่าไม่สมควรห้าม น้องเจา ถึงที่สุดแล้วเจ้าก็กล้ำกลืนความแค้นนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่”

เฉียวเจาก้มหน้าเขียนอีกหนึ่งบรรทัด

 

‘ใช่ เรื่องในวันนี้ห้ามไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ถ้าห้ามบ่อยเข้าๆ จะดึงเสาเรือนให้คลอนแคลน’

 

รูปโฉมเป็นเรื่องสำคัญชั้นใดต่อสตรี หากเด็กสาวที่เพิ่งย่างสิบสามของครอบครัวตนถูกคนใช้เป็นเป้าธนูจนเสียโฉม แต่พ่อแม่พี่สาวในครอบครัวนี้ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากสักแอะ นับแต่นี้ไปยังจะมีผู้ใดเห็นคนครอบครัวนี้อยู่ในสายตา วันหน้าบุรุษของครอบครัวนี้จะสามารถออกไปเดินเชิดหน้ายืดอกได้จริงๆ หรือ

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งระบายความแค้นให้นาง แต่มิใช่ทำเพื่อนางคนเดียว นางนึกภาพออกได้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นผู้เยาว์คนใดคนหนึ่งในจวนโดนประทุษร้ายถึงเพียงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็จะทำเช่นนี้เหมือนกันหมด

“ดึงเสาเรือนให้คลอนแคลน?” หลีเจี่ยวกล่าวทวนคำนี้อย่างงงงัน ในใจเริ่มอ่านความคิดของเฉียวเจาได้รางๆ แต่ก็ยากจะทำความเข้าใจได้ “เหลวไหลไร้สาระอะไรกัน!”

หนนี้เฉียวเจาเขียนประโยคสั้นขึ้นอีก มีแค่สี่คำว่า

 

‘ท่านไม่เข้าใจ’

 

หลีเจี่ยวแทบกระอักตาย นางไม่มีแก่ใจรักษาท่าทีเป็นเด็กสาวรู้ความมีมารยาทในสายตาผู้อื่นอีก กล่าวด้วยความอับอายระคนโกรธ “น้องเจา เจ้าไม่คิดจะห้ามท่านย่าแล้วกระมัง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าถ้าพวกท่านย่ากับท่านพ่อล่วงเกินองครักษ์จินหลินจริงๆ สมควรทำฉันใด”

เฉียวเจาเขียนอีกหนึ่งบรรทัด

 

‘นั่นเป็นเรื่องของข้า’

 

นางจะไม่ห้ามท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกผู้อาวุโสระบายความแค้นให้บุตรหลานที่ได้รับความไม่เป็นธรรม และไม่ยอมปล่อยให้องครักษ์จินหลินทำร้ายคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน

เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน?

นางไม่ถือสาที่จะไปพบผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ที่ใครได้ยินชื่อเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อผู้นี้

เฉียวเจาก้าวขาเดินผ่านข้างกายหลีเจี่ยวไป

 

หมอชราที่ออกจากประตูใหญ่จวนสกุลหลีไปก่อนหนึ่งก้าวสะพายหีบยาเดินฉับๆ อย่างหัวเสียจนหนวดเคราหลายปอยปลิวไสวตามลม แต่ระหว่างทางถูกคนดักหน้าไว้

“ท่านหมอ ไม่ทราบว่าบาดแผลที่ใบหน้าคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอชราตกใจอยู่บ้าง ไฉนยังมีคนถามถึงเรื่องนี้

ผู้ไต่ถามเห็นหมอชราไม่พูดไม่จาก็รีบเอาก้อนเงินก้อนหนึ่งยัดใส่มือเขา “มิได้มีความหมายอื่นใด เพียงจะสอบถามอาการของคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเท่านั้น ท่านหมอ เรื่องนี้น่าจะมิใช่ความลับกระมัง”

หมอชราตกใจมากขึ้น ถึงกับมอบเงินให้อีกด้วย?

เขากำลังมีไฟโทสะสุมอก อย่าว่าแต่มีเงินให้ ถึงไม่ให้เงินเขาก็อยากหาคนพูดคุยอยู่แล้ว ไม่เคยพบเคยเจอพวกไร้มารยาทอย่างครอบครัวสกุลหลีมาก่อน!

หมอชราผู้นี้ปิดปากสนิทนัก

ยังไม่ยอมบอกอีกหรือนี่

ผู้ไต่ถามตัดใจยัดเยียดก้อนเงินให้เขาไปอีกหนึ่งก้อน

ครานี้หมอชราอ้าปากพูดในที่สุด “เจ้าหนุ่มรู้จักข้าหรือไม่”

“รู้จักแน่นอน ท่านคือท่านหมอเฉิงของโรงหมอจี้เซิงมิใช่หรือ ในบรรดาหมอที่อยู่ประจำโรงหมอของเมืองหลวง ท่านคือระดับนี้เลย” ผู้ไต่ถามยกนิ้วโป้งให้

หนวดเคราของหมอชราสั่นกระเพื่อม เห็นแล้วกระมัง เขาน่ะหรือเป็นหมอทั่วไป? กระทั่งคนบนถนนผู้หนึ่งยังรู้ว่าเขาคือมือหนึ่งในบรรดาหมอของเมืองหลวง แต่ทั้งผู้เยาว์ผู้เฒ่าของสกุลหลีนี้กลับไม่เห็นหัวเขาเช่นนี้!

“เจ้าหนุ่มจะถามเรื่องคุณหนูสามของสกุลหลีรึ ข้าบอกเจ้าตามสัตย์จริงเถอะ นางเสียโฉมอย่างหมดทางเยียวยาแล้ว บาดแผลลึกเกินไป ต่อให้เป็นยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาที่ทำขึ้นใช้ในวังหลวงโดยเฉพาะก็ช่วยไม่ได้”

“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณขอรับท่านหมอเฉิง” ผู้ไต่ถามได้รู้ในสิ่งที่พึงรู้ก็ประสานมือคำนับแล้วหมุนกายจากไป

หมอชรากะน้ำหนักก้อนเงินในมือพลางนึกในใจว่า เงินนี้ได้มาง่ายดายเหลือเกิน

ใครจะรู้ว่าหมอชราเพิ่งเดินไปสองก้าวก็มีคนดักหน้าเขาอีกแล้ว “ท่านหมอ ขอสอบถามท่านสักเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไรหรือ”

“สกุลหลีเชิญท่านไปตรวจบาดแผลบนใบหน้าคุณหนูสามใช่หรือไม่ แล้วอาการของคุณหนูสามท่านนั้นเป็นอย่างไร”

หมอชราอึ้งงัน “…” นี่มันเรื่องอะไรกัน

ผู้ไต่ถามรีบยัดเยียดก้อนเงินก้อนหนึ่งในเขา “ท่านหมอสะดวกใจที่จะเปิดเผยให้รู้สักนิดหรือไม่”

“ไม่มีอันใดไม่สะดวกจะเปิดเผย คุณหนูสามของสกุลหลีเสียโฉมอย่างหมดทางเยียวยา หลังจากนี้เกรงว่าคงพบหน้าผู้คนไม่ได้แล้ว…” หมอชรากล่าวถ้อยคำเดียวกับเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกรอบ

ผู้ไต่ถามเดินจากไปอย่างพึงพอใจ

เจียงเฮ่อมองดูอยู่ไกลๆ เห็นมีคนเข้าไปดักหน้าหมอชราต่อๆ กันแล้วขมวดคิ้ว

หมอชราผู้นี้ทำอะไรนะ ไฉนรับเงินไม่หยุดหย่อน

ครั้นเห็นหมอชราสะพายหีบยาเดินมาใกล้ด้วยสีหน้าแช่มชื่นผ่องใส เจียงเฮ่อก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ “ท่านหมอ ขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักครู่ขอรับ”

ยังมีคนจะถามอีกหรือนี่

จากที่รู้สึกตกใจในทีแรก ถึงตอนนี้หมอชราชาชินเสียแล้ว เขาลูบเคราอย่างใจเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมีพลัง “ว่ามา”

“เอ่อ…เพราะอะไรพวกเขาล้วนมอบเงินให้ท่านขอรับ”

หมอชราถึงกับผงะตัวเซแทบล้มลงกับพื้น

นี่มีพวกผิดมนุษย์มนาโผล่มาได้อย่างไร

เจ้าหนุ่มผู้นี้สติไม่ดีกระมัง ถ้าไม่ถามข่าวก็ไปไกลๆ สักหน่อย คนอื่นจะให้เงินหรือไม่มันกงการอะไรของเจ้าหนุ่มนี่ด้วย!

“ไม่สะดวกใจจะบอกหรือขอรับ” เจียงเฮ่อพินิจดูสีหน้าได้เก่งมาก เขาเห็นหมอชราทำหน้าไม่พอใจก็รีบสะกดความอยากรู้อยากเห็นไว้

หน้าที่ที่ใต้เท้ามอบหมายให้สำคัญกว่า

“ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ถามเรื่องนี้แล้ว ข้าขอถามอย่างอื่น ท่านหมอ ท่านตรวจอาการให้คุณหนูสามสกุลหลีกระมัง บาดแผลบนใบหน้านางเป็นอย่างไรบ้าง จะเสียโฉมหรือไม่ขอรับ”

หมอชราเชิดคางขึ้นทำเสียงฮึขึ้นจมูกเบาๆ

เจียงเฮ่อมีสีหน้างุนงง

หมอชราอ้าปากกล่าว “ตอนนี้เจ้าสมควรรู้คำตอบของคำถามแรกได้กระจ่างแจ้งแล้วสินะ”

สีหน้าของเจียงเฮ่อฉายแววตะลึงลาน “คำถามเดียวแค่นี้ยังต้องเก็บเงินด้วยหรือนี่”

นี่ออกจะหาเงินหาทองกันง่ายๆ เกินไปแล้ว!

หมอชราแค่นเสียงเยาะก่อนจะสาวเท้าออกเดินไป

เจียงเฮ่อลุกลนตามไปยัดเงินใส่มือเขา

“เสียโฉมแล้ว รักษาไม่ได้” หมอชราทิ้งคำพูดไว้ประโยคเดียวแล้วเดินจากไปทันที

“เสียโฉมจริงๆ แล้วหรือนี่” เจียงเฮ่อพูดพึมพำ จากนั้นรีบกลับไปรายงานตัว

 

ดวงตะวันค่อยๆ ลอยเคลื่อนสูงขึ้นกลางฟ้า หน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินเงียบเชียบวังเวง ถึงมีคนผ่านไปผ่านมา พอเห็นประตูทาสีดำต่างจากที่ว่าการอื่นๆ แต่ไกลก็รีบเดินอ้อมไปทางอื่น ทหารยามยืนอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางเฉื่อยชา เฝ้ารอเวลาหยุดพักกินอาหารอยู่เงียบๆ

“ประตูที่ว่าการของพวกเรานี่ใครเห็นก็กลัวจริงๆ พากันเดินอ้อมไปทางอื่นจนหมด”

“นั่นสิ แม้แต่จะดูคนบนถนนมาคลายความเบื่อหน่ายก็ยังไม่ได้ ญาติผู้พี่ของข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สำนักราชบัณฑิตบอกว่าหน้าประตูทางนั้นมีสาวน้อยสาวใหญ่เดินผ่านไปผ่านมาบ่อยๆ แต่ละนางแต่งองค์ทรงเครื่องกันสวยสดงดงาม เจริญหูเจริญตาอย่าบอกใครเลยทีเดียว”

“เอ๊ะ?! เจ้าดูสิ ตรงโน้นมีหญิงชราคนหนึ่งดูเหมือนจะมุ่งหน้ามาทางนี้นะ”

บทที่ 179

“อย่าล้อเล่นเลย กระทั่งชายฉกรรจ์ล่ำสันบึกบึนยังเดินอ้อมไปทางอื่น หญิงชราที่ใดกันจะอยากมาที่ว่าการของพวกเรา…” ทหารยามผู้นั้นมองแวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ

เขายืนตรงโดยไม่รู้ตัวแล้วกระซิบบอก “ดูเหมือนจะมาทางนี้จริงๆ ยังพาบ่าวไพร่ตามมาเป็นพรวนด้วย”

“คงมิใช่สตรีในเรือนใต้เท้าท่านใดกระมัง”

“ไม่คล้ายจะใช่ เจ้าเคยเห็นท่านผู้เฒ่าตระกูลใดพาบ่าวไพร่โขยงหนึ่งมาเดินเล่นหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินบ้าง”

“มาที่นี่จริงๆ”

ทหารยามสองคนหยุดคุยกระซิบกระซาบกัน พวกเขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้นสกัดฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไว้พร้อมกัน

“ท่านผู้เฒ่า ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปข้างในไม่ได้”

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหยุดฝีเท้า กล่าวเสียงขรึมว่า “รบกวนท่านเจ้าหน้าที่ทั้งสองช่วยเข้าไปแจ้งว่าข้าต้องการพบใต้เท้าของพวกท่าน”

“ท่านต้องการพบใต้เท้าท่านใดหรือ” เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสูงวัยไม่น้อยแล้วจริงๆ ทหารยามทั้งสองจึงมีน้ำอดน้ำทนอย่างหาได้ยาก

“ใต้เท้าคนที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดของพวกท่าน ท่านผู้บัญชาการเจียง” หญิงชราบอกด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“ใครนะ” ทหารยามทั้งสองนิ่งขึงไป จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าล้อเล่น ที่นี่หาใช่สถานที่ให้ท่านแก้เหงา ท่านกลับไปโดยไวเถอะขอรับ”

หนึ่งในนั้นยกมือชี้ท้องฟ้า “ดูสิ แดดแรงถึงเพียงนี้ ท่านอยู่ในเรือนแสนจะสบายปานใด ขืนเดินเล่นอยู่ข้างนอกต่อไปแล้วเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าขอรับ กลับไปเถอะๆ”

“ข้ามิได้จะแก้เหงา ทั้งมิใช่เดินเล่นเรื่อยเปื่อย ท่านทั้งสองน่าจะรู้ว่าท่านผู้บัญชาการเจียงมีบุตรสาวคนหนึ่งกระมัง”

ทหารยามสองคนฟังแล้วชักรู้สึกไม่เข้าที พวกเขาสบตากัน

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดต่อโดยไม่สนใจ “ในวันนี้เองบุตรสาวท่านผู้บัญชาการเจียงทำให้หลานสาวคนที่สามของข้าเสียโฉม เดิมทีเรื่องนี้สมควรไปพบกับฮูหยินในเรือนหลัง แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านผู้บัญชาการเจียงมิได้ตบแต่งภรรยาใหม่มาโดยตลอด ฉะนั้นจึงมาทวงความรับผิดชอบจากเขาที่นี่”

เสียโฉม?

ทหารยามสองคนมองหน้ากันไปมาพลางลอบคิดคำนึง นี่เป็นเรื่องที่คุณหนูเจียงกระทำได้จริงๆ กระนั้นอย่าว่าแต่เสียโฉมเลย ถึงจะจบชีวิตไปแล้วมีอันใด ยังมีคนกล้ามาทวงความรับผิดชอบถึงที่อีกหรือ นี่คงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง

ทหารยามคนหนึ่งละเอียดรอบคอบกว่า เขาเอ่ยถามขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าเป็นคนตระกูลใดขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกด้วยสีหน้าขึงขัง “บุตรชายคนโตของข้าเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิต”

“หรือท่านคือฮูหยินของเสนาบดีซู” พวกทหารยามตกอกตกใจ

ซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตคนปัจจุบันนั้นเป็นตัวเต็งที่จะก้าวเข้าสู่สภาขุนนาง

จะเป็นราชมนตรีหรือเสนาบดีอะไรก็ตามแต่ มาตรว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเขาหาได้เกรงกลัวไม่ แต่คุณหนูเจียงทำร้ายคุณหนูของตระกูลใหญ่ชั้นนี้จริงๆ ก็จำเป็นต้องรายงานให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ทราบ

“ฮูหยินของเสนาบดีซูอะไรกัน ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าบุตรชายคนโตของข้าเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิต”

“บุตรชายคนโตของท่านเป็น…”

“อ้อ เขาเป็นอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต”

อาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต?

องครักษ์สองคนแทบนึกว่าตนหูฝาด พวกเขาสงบใจครู่ใหญ่ถึงโบกมือไปมาพลางกล่าว “ท่านผู้เฒ่า ท่านรีบกลับไปโดยเร็วไวจะดีกว่า อย่ามาก่อกวนที่นี่!”

“อะไรกัน เป็นฮูหยินของเสนาบดีซูสามารถพบผู้บัญชาการของพวกท่านได้ แต่เป็นมารดาของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตก็คือก่อกวนที่นี่หรือ” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าขึ้งเคียดเต็มที่ นัยน์ตาทั้งคู่แฝงรอยโทสะแกมเยาะหยัน

พวกทหารยามรักษาสีหน้าไม่อยู่อีก ความอดทนที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ขาดผึงลง พูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย “รีบๆ ไปเสีย ท่านผู้บัญชาการใหญ่ของพวกข้าเข้าวังไปแล้ว ไม่ว่าท่านจะเป็นใครมาจากที่ใด วันนี้ล้วนไม่ได้พบทั้งสิ้น”

พวกเขายื่นมือผลักนางออกไป พวกบ่าวไพร่ด้านข้างก็ร้องเอะอะขึ้น “เจ้าหน้าที่ทางการพวกนี้ ไฉนทุบตีชาวบ้านได้เล่า!”

พวกนางล้วนเสียงดัง อีกทั้งเป็นสตรีทั้งกลุ่ม จึงดึงดูดความสนใจของคนที่เดินอยู่บนถนนไกลออกไปได้ทันที แม้นคนพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน แต่การมุงดูนั้นเป็นวิสัยของปุถุชนทั่วหล้า พวกเขาต่างหยุดยืนมองอยู่ไกลๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ขืนยังไม่ไปอีก พวกข้าจะเอาจริงแล้วนะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกมือขึ้น “พวกเราไปกัน”

เห็นหญิงชราหมุนกายเดินไป ทหารยามสองคนก็นึกในใจ ยายเฒ่าผู้นี้ยังนับว่ารู้กาลเทศะ!

ประเดี๋ยวก่อน ยายเฒ่าคิดจะทำอะไรนี่

ทั้งคู่ชะเง้อชะแง้แลมอง เห็นสาวใช้กับหญิงคนงานหลายคนยกของต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ และร่มกันแดดคันใหญ่จากรถม้าที่จอดอยู่ริมถนนมาวางตั้งตรงหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน

หญิงชรานั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ รับถ้วยน้ำชาที่สาวใช้ยื่นให้แล้วหลับตาพักเอาแรง ด้านหลังมีสาวใช้สองคนยืนโบกพัดให้

ทหารยามสองคนมองจนตาค้าง ตะลึงงันไปครู่ใหญ่ถึงตั้งสติได้ สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปบอกเสียงกระด้าง “ท่านผู้เฒ่า ตรงนี้มิใช่ที่ที่ให้ท่านดื่มชานอนพัก เชิญกลับไปโดยเร็ว!”

“ตรงนี้มิใช่ด้านในที่ว่าการกององครักษ์จินหลินสักหน่อย เหตุใดรึ พื้นที่ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์แห่งนี้ถูกกององครักษ์จินหลินซื้อไว้แล้วหรือ คนอื่นถึงดื่มชานอนพักไม่ได้”

“ท่านผู้เฒ่า วันนี้ท่านมาหาเรื่องกระมัง”

คนบนถนนหยุดยืนดูกันมากขึ้นทุกที ต่างกางหูผึ่งรอฟังอยู่เงียบๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรวบรวมลมปราณลงสู่จุดตันเถียนก่อนจะตะเบ็งเสียงดังกะทันหัน “วันนี้ข้ามิได้มาชมทิวทัศน์ตั้งแต่แรก หลานสาวข้าถูกบุตรสาวของผู้บัญชาการของพวกเจ้าใช้เป็นเป้ายิงธนูเพื่อความสนุก ผลปรากฏว่าคุณหนูเจียงยิงพลาด ธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงไปโดนใบหน้านางพอดี น่าสงสารนางนักเพิ่งอายุสิบสามปีก็ต้องเสียโฉม ชั่วชีวิตนี้คงย่อยยับโดยสิ้นเชิง ข้ามาเพื่อทวงความชอบธรรมให้หลานสาวผู้น่าเวทนา กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ท่านผู้บัญชาการเจียงก็ไม่ได้พบหน้า บ้านเมืองนี้ยังมีขื่อมีแปอยู่อีกหรือไม่!”

กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ฟังแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่อย่างห้ามไม่อยู่

“ใช้เด็กสาววัยสิบสามปีเป็นเป้าธนู? นี่เป็นเรื่องที่คนทำออกมาได้หรือ”

“คุณหนูเจียงผู้นั้นออกจะโหดร้ายเกินไปแล้ว”

“ยายเฒ่าพูดจาส่งเดชอะไรของเจ้า รีบไสหัวไปเสีย” คนที่เกลียดชังองครักษ์จินหลินมีอยู่เกลื่อนกล่น แต่ทหารยามสองคนนี้กลับไม่เคยพบเจอคนจำพวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนี้ ส่งผลให้เสียกระบวนไปบ้างชั่วประเดี๋ยว

หญิงชราอายุปูนนี้แล้ว ถ้าระหว่างยื้อยุดฉุดดึงกันเกิดสิ้นใจไปต่อหน้าธารกำนัล ถึงเป็นองครักษ์จินหลินก็หาคำอธิบายได้ยาก

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถูกผลักจนตัวเซไป นางหลั่งน้ำตานองหน้า “ข้านั้นยังเป็นถึงนายหญิงตราตั้ง* หลานสาวน่าเวทนาคนนั้นของข้าดีชั่วก็เป็นคุณหนูในตระกูลขุนนาง กลับถูกคุณหนูเจียงกลั่นแกล้งเล่นเหมือนหมาแมวตัวหนึ่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเด็กสาวชาวบ้านสามัญชนจะทำเช่นไรเล่า วันนี้ข้ามาที่นี่ไม่อาจกระทำเรื่องที่จะให้คุณหนูเจียงทำลายโฉมตัวเองเป็นการชดใช้ได้ และมิใช่เพราะศักดิ์ฐานะของนาง หากแต่ข้าหักใจให้สตรีวัยแรกแย้มงามสะพรั่งดุจเดียวกันคนหนึ่งต้องพบชะตากรรมเดียวกับหลานสาวตัวน้อยที่น่าสงสารของข้าคนนั้นไม่ได้ ข้ามาในวันนี้ต้องการคำขอขมาจากพวกท่านและทวงความชอบธรรม เพื่อที่ว่าภายภาคหน้าอย่าให้มีบุตรสาวที่บิดามารดาเลี้ยงดูฟูมฟักประหนึ่งไข่มุกในฝ่ามือต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นเฉกเช่นเดรัจฉาน”

“กล่าวได้ดี” ฝูงชนที่มุงดูอยู่อดร้องชมขึ้นไม่ได้

ทหารยามสองคนปวดเศียรเวียนเกล้า พอเห็นเรื่องบานปลายจนควบคุมไม่อยู่ คนหนึ่งจับตาดูฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไว้ อีกคนก็รีบกลับไปรายงาน

 

“มีคนมาก่อกวนอยู่ด้านนอกที่ว่าการเพราะเรื่องที่คุณหนูเจียงทำให้คนเสียโฉม แล้วคนที่มาเป็นท่านย่าของคุณหนูที่โดนทำร้ายหรือ” เจียงหย่วนเฉาฟังผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวรายงานแล้วลอบถอนใจเบาๆ เขาออกคำสั่งองครักษ์จินหลินคนหนึ่ง “ไปรอที่นอกวังหลวง หลังจากท่านผู้บัญชาการใหญ่ออกมา รายงานเรื่องนี้ให้ท่านทราบทันที”

เจียงหย่วนเฉาสั่งการจบแล้วย่างเท้าเดินออกไป

* นายหญิงตราตั้ง เป็นบรรดาศักดิ์ที่จักรพรรดิพระราชทานแก่มารดาหรือภรรยาของขุนนางชั้นสูง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: