X
    Categories: everYทดลองอ่านฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 43-44 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2

ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)

แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

มีการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 43

 

ดีที่ถ้ำแห่งนี้ขนาดใหญ่มาก จึงมีพื้นที่เพียงพอให้คนยี่สิบสามสิบคนเข้าไปอยู่ดังเช่นตอนนี้

เถียนฝูเซิงซึ่งรออยู่ในค่ายเกรงว่าฮ่องเต้จะหิว จึงได้สั่งให้ทหารม้าทุกนายพกขนมอบที่ห่ออย่างแน่นหนาไว้ด้วย กลุ่มผู้คุ้มกันของเหอชินอ๋องมีความละเอียดอ่อนยิ่งนัก ขณะหยิบขนมอบออกมามันจึงยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

กู้หยวนไป๋ไม่หิว จึงให้เหล่าทหารองครักษ์แบ่งกันกิน

จะว่าไปก็บังเอิญยิ่ง หลังจากเหล่าทหารองครักษ์กินขนมเสร็จฝนด้านนอกก็เริ่มซา ไม่นานท้องฟ้าก็สว่างสดใสขึ้นมาอีกครั้ง แสงแดดจ้าสาดส่องแผ่นดินกว้างใหญ่ ลมพายุได้หยุดลงแล้ว

กู้หยวนไป๋เดินนำหน้าออกไป พื้นด้านนอกเป็นโคลน มันปกคลุมเต็มรองเท้ามังกรทั้งยังลื่นเล็กน้อย ขณะที่เหอชินอ๋องซึ่งอยู่ด้านข้างกำลังลังเลว่าควรยื่นมือออกไปประคองกู้หยวนไป๋ดีหรือไม่ เซวียหย่วนที่อยู่อีกข้างก็ยื่นมือออกไปก่อนแล้ว มือข้างหนึ่งของเขาจับมือของกู้หยวนไป๋ไว้ ส่วนมืออีกข้างวางไว้ที่เอวด้านหลัง ก่อนยิ้มกว้างเอ่ย “ฝ่าบาทก้าวเดินระวังนะพ่ะย่ะค่ะ”

แต่ละย่างก้าวของกู้หยวนไป๋นั้นมั่นคงยิ่ง ชายเสื้อที่ระอยู่ข้างเท้าสะบัดไปมาจนเปื้อนโคลนเป็นจุดดำๆ ระหว่างที่เดิน

เซวียหย่วนเห็นจุดโคลนเหล่านี้แล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก เขาก้มลงและยกเสื้อคลุมด้านหลังกู้หยวนไป๋ขึ้น กู้หยวนไป๋ก้มลงชำเลืองมองใบหน้าของเขาแวบหนึ่งก่อนละสายตากลับ อีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะมองมากกว่านี้แม้แต่ชั่วขณะเดียว และไม่แม้แต่จะยิ้มให้เซวียหย่วนด้วยซ้ำ

เขายังโกรธอยู่

ม้าถูกคนจูงออกมาแล้ว ก่อนจะถูกเสื้อคลุมตัวที่ยังสะอาดเช็ดน้ำฝนและแผงขนด้านบนอีกครั้ง กู้หยวนไป๋พลิกตัวขึ้นม้าแล้วเหลือบมองเซวียหย่วน จงใจใช้สายตามองไปยังส่วนล่างของเขา มุมปากยกขึ้น กระซิบด้วยน้ำเสียงรังเกียจระคนเย็นชา “เจ้าเดรัจฉาน”

ประโยคนี้เบามาก มีเพียงเซวียหย่วนที่ได้ยิน

เซวียหย่วนเงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาของฮ่องเต้ที่มองลงมาจากบนหลังม้า

บังเหียนถูกควบคุม มุมปากที่ยกขึ้นของกู้หยวนไป๋แฝงด้วยความเหยียดหยัน ม้าหันตัวอย่างเชื่อฟัง ก่อนน้ำโคลนที่กีบม้าย่ำลงไปนั้นจะกระเซ็นขึ้นใส่เต็มตัวเซวียหย่วน เซวียหย่วนหลับตาลง ทอดถอนใจแล้วก้มลงมองเสื้อคลุมของตน เจ้าของเสื้อชั้นต่ำที่ถูกฮ่องเต้ด่าว่าเป็น ‘เจ้าเดรัจฉาน’ แหงนหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

เซวียหย่วนรำพันกับตัวเอง “ถูกด่าแล้วเหตุใดเจ้ายังแหงนหน้าขึ้นไปอีกเล่า”

 

พื้นที่ล่าสัตว์นั้นชุ่มแฉะ น้ำฝนทำให้พื้นลื่นจนไม่สามารถล่าสัตว์ได้แล้ว ทว่างานล่าสัตว์ปลอบใจฝ่าบาทยังคงดำเนินต่อไป

พื้นที่ในค่ายได้ถูกจัดสรรทำความสะอาดไว้แล้ว เนื้อที่ใช้สำหรับย่างถูกนำมารวมไว้ด้วยกัน หนึ่งในนั้นมีหมีที่เซวียหย่วนเป็นคนล่าซึ่งดึงดูดความสนใจจากทุกคนเป็นอย่างมาก คนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนต้องมองมาปราดหนึ่ง

กู้หยวนไป๋ยกอุ้งเท้าหมีที่เซวียหย่วนตัดมาเป็นรางวัลให้เขานำกลับไปที่จวนสกุลเซวียแล้ว จากนั้นก็ตกรางวัลคนที่ควรได้ ปลอบใจคนที่ควรปลอบใจ พ่อครัวจากห้องเครื่องหลวงกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการจัดการส่วนผสม กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูกจากที่ไกลๆ

กู้หยวนไป๋ล้างมือและสั่งให้คนทำเตาย่างอย่างง่ายขึ้นมา เมื่อจุดไฟเผาถ่านผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ติดตามสังเกตฮ่องเต้เพื่อเรียนรู้การทำเนื้อย่างอย่างกระตือรือร้น

“ใต้เท้าทุกท่าน” กู้หยวนไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “หลายวันมานี้ต้องลำบากพวกท่านแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ เมื่อกลับไปแล้วยังต้องยุ่งกับงานกันอีกครั้ง”

เหล่าขุนนางกล่าวรับคำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่าสามารถแบ่งเบาความกังวลของฮ่องเต้ได้ ไม่นับว่าลำบากเลย

กู้หยวนไป๋ยิ้มบางๆ บังเอิญว่ามีพ่อครัวจากห้องเครื่องหลวงผู้หนึ่งนำข้าวสารไปล้าง กู้หยวนไป๋จึงเรียกให้เขาเข้ามา ยื่นมือหยิบข้าวสารขึ้นมากำหนึ่ง ก่อนถอนหายใจเอ่ย “ข้าวสารดี ที่นาดี ทว่าข้าวสารที่ดีเช่นนี้จะมีราษฎรสักกี่คนที่มีโอกาสได้กินกัน”

ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ขุนนางทุกคนต่างถอนหายใจและกล่าววาจาอย่างเห็นพ้องต้องกันสองสามประโยคด้วยเสียงแผ่วเบา ในใจลอบพินิจพิเคราะห์ถ้อยคำนี้ของฮ่องเต้ เหตุใดยิ่งพินิจก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือคำเตือนสุดท้ายก่อนดำเนินการต่อต้านการทุจริต

กู้หยวนไป๋ลงมือย่างเนื้อด้วยตัวเองไม้หนึ่ง พูดคุยอย่างสนุกสนานกับเหล่าขุนนางสักพัก ในที่สุดก็พาคนส่วนใหญ่กลับนครหลวงอย่างเอิกเกริกก่อนท้องฟ้าจะมืด

 

เซวียหย่วนนำอุ้งเท้าหมีกลับจวนสกุลเซวีย หลังจากฝึกดาบกับแม่ทัพเซวียสักพักใหญ่ เขาก็วางดาบลงข้างตัวแล้วนั่งลงด้านข้างอย่างเหม่อลอย

แม่ทัพเซวียเอ่ยถาม “ลูกชายข้ากำลังคิดอะไรอยู่”

เซวียหย่วนขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ปกติ”

“ไม่ปกติที่ใด”

ไม่ปกติที่มัวแต่คิดถึงกู้หยวนไป๋อยู่อย่างนี้

ตั้งแต่กลับมาจากค่ายล่าสัตว์ คงมีเพียงเวลาฝึกดาบเมื่อครู่เท่านั้นที่ไม่ได้นึกถึงเขา เพราะบัดนี้ในสมองก็มีแต่กู้หยวนไป๋อีกแล้ว

ไม่ว่าจะนึกถึงสีหน้าโมโห หรือนึกถึงตอนที่ยิ้ม เซวียหย่วนก็ยังคิดอยากจะเปลื้องกางเกงของเขา

เซวียหย่วนเอ่ยว่า “ข้ามักจะคิดถึงฮ่องเต้อยู่เสมอ”

แม่ทัพเซวียตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ นี่ก็คือหัวใจที่จงรักภักดีแล้ว ในฐานะขุนนางย่อมคิดเพื่อฮ่องเต้ตลอดเป็นธรรมดา”

หัวใจที่จงรักภักดี? เซวียหย่วนยิ้มเยาะ

“ยามที่ข้าคิดถึงฮ่องเต้ หัวใจข้าจะเต้นรัว” เซวียหย่วนหรี่สองตาลง “นี่เรียกว่าหัวใจที่จงรักภักดีหรือ”

แม่ทัพเซวียพยักหน้าด้วยความมั่นใจ ตบๆ ที่ไหล่ของบุตรชายคนโตด้วยความชื่นชม “นี่คือหัวใจของเหล่าขุนนางที่คิดทำการใหญ่เพื่อฮ่องเต้อย่างแท้จริง”

เซวียหย่วนเงียบงันไม่พูดอะไรอีก

เขายังมีของพรรค์นี้อยู่อีกหรือ

 

หลังการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง ขุนนางในราชสำนักทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างก็เริ่มตรวจสอบทรัพย์สินของครอบครัวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะขุนนางที่จวนเดิมมิได้อยู่ในนครหลวง พวกเขาให้ม้าเร็วห้อตะบึงส่งจดหมายที่มีถ้อยคำรุนแรงกลับไปฉบับแล้วฉบับเล่า เพื่อให้ครอบครัวรีบแก้ปัญหากับสิ่งของใดๆ ก็ตามที่ได้มาจากการทุจริต

ทั้งที่นาที่ซ่อนและเช่าไว้ จะเสียส่วนใหญ่เพราะส่วนน้อยมิได้!

ผ่านไปเช่นนี้ไม่กี่วัน กระทั่งวันนี้ในการประชุมราชสำนักช่วงเช้ากู้หยวนไป๋สวมเสื้อคลุมที่ซับซ้อนและหนักอึ้ง สั่งการให้ดำเนินการต่อต้านการทุจริตครั้งใหญ่ทั่วแว่นแคว้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ในวันเดียวกันสำนักตรวจการที่ถูกฮ่องเต้ชำระล้างโดยสมบูรณ์ไปรอบหนึ่ง พร้อมทั้งหน่วยควบคุมดูแลและองครักษ์ตงหลิงก็เริ่มง่วนกับการทำงานอีกครั้ง

ไม่มีขุนนางคนใดในแคว้นที่รู้ว่าหน่วยต่อต้านการทุจริตนี้จะมีคลื่นสองลูก กู้หยวนไป๋ต้องการให้คลื่นลูกหนึ่งอยู่ในที่สว่าง ส่วนอีกลูกอยู่ในที่ลับเพื่อค้นหาหนอนตัวใหญ่ที่ประสงค์จะต่อกรกับราชสำนักออกมาให้หมด!

 

ม้าห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว คนในสำนักตรวจการมุ่งหน้าไปยังยุ้งฉางที่ใกล้ชานนครหลวงที่สุด ภายใต้การคุ้มกันโดยกลุ่มยอดฝีมือแห่งองครักษ์ตงหลิง

ในสำนักตรวจการนอกจากขุนนางเก่าที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ขุนนางที่ถูกยัดเข้าไปใหม่ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการฝึกฝนพิเศษจากหน่วยควบคุมดูแล พวกเขาย้ายจากที่มืดไปสู่ที่สว่าง บัดนี้สำนักตรวจการอยู่ในความควบคุมของฮ่องเต้โดยสมบูรณ์แล้ว

ข่งอี้หลินกับฉินเซิงที่เพิ่งเข้ากลุ่มองครักษ์ตงหลิงก็เป็นหนึ่งในนั้น

ในใจของข่งอี้หลินรู้ดีว่านี่เป็นการทดสอบความสามารถของเขาจากฮ่องเต้ จึงใจเย็นและมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานที่โดดเด่นบางประการให้ได้ ผู้ที่นำทางเบื้องหน้าคือข้าหลวงตรวจการและเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดียิ่งต่อราชบัลลังก์ ข้าหลวงตรวจการพลิกตัวลงจากม้าที่หน้ายุ้งฉาง ไม่สนใจเหล่าขุนนางที่ต้องการเข้ามาทักทายพร้อมเหงื่อที่แตกพลั่ก ก่อนสั่งให้คนเปิดประตูยุ้งฉางโดยตรง

ผลผลิตและเมล็ดพืชที่เก็บเกี่ยวได้ในที่ดินแต่ละหมู่ล้วนถูกบันทึกไว้ในหนังสือรายงาน กรมอากรได้นำหนังสือรายงานเหล่านี้ส่งให้หน่วยควบคุมดูแลแล้ว ข้าหลวงตรวจการมองดูหนังสือรายงานในมือของตัวเองก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “เริ่มได้”

เขาไม่ฟังคำพูดและไม่ดูรายงานตัวเลขอ้างอิงการตรวจนับที่ขุนนางยื่นมาให้แม้แต่น้อย ทำเพียงยืนตรงหน้าประตูยุ้งฉาง จดบันทึกข้อมูลที่รายงานโดยผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่หยุดหย่อน

“ข้าวสารเก่าสามร้อยหกสิบเอ็ดกระสอบ ข้าวสารใหม่หนึ่งร้อยห้าสิบหกกระสอบขอรับ”

“ข้าน้อยได้สุ่มตรวจข้าวสารเก่ายี่สิบกระสอบ เจ็ดกระสอบในนั้นมีหนอนและทรายเจือปนขอรับ”

เสียงรายงานแต่ละสายดังกังวานอย่างมั่นคงอยู่นอกยุ้งฉาง เหงื่อบนศีรษะของขุนนางที่มารอรับเพิ่มมากขึ้นทุกที และขาก็อ่อนปวกเปียกขึ้นเรื่อยๆ

ความเข้มข้นในการต่อต้านการทุจริตครั้งนี้น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!

นี่เป็นความเข้มข้นถึงขั้นพลิกทั้งยุ้งฉางเลยทีเดียว!

ในเวลาเดียวกันขุนนางสำนักตรวจการได้พาเหล่าเจ้าหน้าที่ที่เหลือสำรวจไปทั่วทุกพื้นที่ราวกับแผ่รังสีโดยมีนครหลวงเป็นศูนย์กลาง ผู้ที่เตรียมใจต้อนรับเจ้าหน้าที่ต่อต้านทุจริตชุดแรกก็อดที่จะเหงื่อแตกพลั่กมิได้

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้

ยุ้งฉางใดก็ตามที่มีปัญหา ขุนนางโดยรอบก็จะได้รับการตรวจสอบจากสำนักตรวจการอีกครั้ง และทันทีที่ตรวจพบร่องรอยการทุจริตพวกเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว

ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ยักยอกมาเท่าไรจะได้รับโทษตามกฎหมายฉบับใด และหากชาวบ้านในท้องที่ชี้ว่าขุนนางผู้นี้ไม่ได้ทุจริตเพียงอย่างเดียวก็จะยิ่งกลายเป็นข้อหาใหญ่ ไม่มีทางดิ้นหลุด

ราชสำนักเปิดฉากดำเนินการต่อต้านการทุจริตได้อย่างดุเดือด เมื่อข่าวไปถึงจวนว่าการท้องถิ่นขุนนางจากที่ต่างๆ ก็มารวมตัวกัน ขุนนางทุจริตตื่นตระหนกและเริ่มแกะหายซ่อมรั้ว ผู้ที่กินอยู่บนหยาดเหงื่อแรงกายของชาวบ้านก็ลอบส่งข้าวของคืนอย่างลับๆ ขายของต่างๆ ที่เก็บอยู่ในยุ้งฉาง และคิดหาวิธีซื้อคืนกลับไป บางคนมีทรัพย์สินไม่พอจริงๆ จึงทำได้เพียงกัดฟันเอาทรัพย์สินของครอบครัวมาชดเชย วางแผนไว้ว่าหลังจากจัดการกับข้าหลวงตรวจการเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ค่อยนำของเหล่านั้นแลกเป็นเงินกลับมา

ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องราวต่างเข้ามารายล้อมและเริ่มร้องรำทำเพลงด้วยความยินดี ขุนนางมือสะอาดคอยจับตามองขุนนางทุจริตเหล่านี้มากกว่าฮ่องเต้เสียอีก บางคนได้ตัดสินใจที่จะใช้ความคิดริเริ่มในการจับกุมขุนนางทุจริตและส่งตัวพวกเขาไปให้ฮ่องเต้ลงพระราชอาญา

พวกเขากระตือรือร้นที่จะลงมือยิ่ง หากสามารถจัดการหนอนแมลงเหล่านี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจได้ย้ายกลับไปยังนครหลวง

นครหลวงเอย ขุนนางราชสำนักเอย นั่นคือศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองในราชวงศ์ต้าเหิงทั้งหมด

ในสายตาของบางคน โอกาสนี้อาจไม่ใช่โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปง่ายๆ

 

ซุนเสี่ยวซานเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในหน่วยควบคุมดูแล

เขาเกิดในวันที่หิมะตกหนัก ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งอยู่ใต้รากต้นไม้แก่ หลังจากมีคนเก็บไปเลี้ยงก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสุกรและสุนัขที่ต้องเก็บอาหารใต้เท้าคนอื่นกิน

พวกคนมีฐานะต่างตบตีด่าว่าเขา ขณะที่ซุนเสี่ยวซานเจ็บจนทนไม่ไหวก็กระโจนเข้าไปเลียรองเท้าของพวกเขา คนเหล่านั้นหัวเราะ จากนั้นก็วางเท้าลงปล่อยให้ซุนเสี่ยวซานเลียจนสะอาด

ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ็บปวดที่สุด หากซุนเสี่ยวซานเลียรองเท้าได้จนสะอาดก็จะได้กินข้าวหนึ่งชามที่ไม่แย่เท่ากับข้าวสุกร เขาน้ำลายไหลทันทีที่นึกถึงกลิ่นหอมของข้าว ดังนั้นเขาจึงพยายามเลียหนักขึ้น

พวกคนมีฐานะจึงเรียกเขาว่าเดรัจฉาน บอกว่าเขาด้อยกว่าสุกรและสุนัข ในใจของซุนเสี่ยวซานคิดอิจฉาสุกรเหล่านั้น เพราะก่อนที่พวกมันจะถูกฆ่าก็ยังได้กินจนอิ่มท้อง ทั้งยังไม่ต้องถูกทุบตี ไม่ต้องเลียรองเท้าคนอื่นอีก มันช่างดีเหลือเกิน ซุนเสี่ยวซานอิจฉาเป็นที่สุด ดังนั้นความฝันในวัยเด็กซุนเสี่ยวซานจึงอยากเป็นสุกรตัวหนึ่ง

เขาใช้ชีวิตเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า ซุนเสี่ยวซานเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ลำพังน้ำแกงอย่างเดียวไม่พอให้เขาได้อิ่มท้อง กลางดึกเขาหิวมากจนกัดเนื้อตัวเอง บางครั้งก็กัดจนเลือดออก ทั้งรู้สึกขยะแขยงทั้งกระหายอยากที่จะกัดอีกสักคำ อยากกินตัวเองแต่ก็กลัวเจ็บ เขาหิวจนถึงขั้นที่มองดูดินสะอาดก็กลืนน้ำลายเอื๊อก ครั้นได้กลิ่นข้าวท้องก็เกร็งเป็นตะคริว

ต่อมามีครั้งหนึ่งที่พวกคนมีฐานะพาแขกมาให้ซุนเสี่ยวซานเลียรองเท้า ซุนเสี่ยวซานนึกว่ามีข้าวกินแล้วก็รีบพุ่งเข้าไปหมายจะทำให้แขกมีความสุข แต่แขกผู้นั้นกลับเตะซุนเสี่ยวซานจนปางตาย ทั้งยังกล่าวด้วยความสะอิดสะเอียนว่า “น่าขยะแขยง”

จากนั้นซุนเสี่ยวซานที่น่าขยะแขยงก็ถูกคนม้วนด้วยเสื่อฟาง แล้วนำไปทิ้งไว้ในสุสานท่ามกลางหิมะตกหนักอีกครา

ซุนเสี่ยวซานทั้งหิวทั้งหนาว ในที่สุดเมื่อเขาออกจากเสื่อฟางได้แล้วก็คิดว่าตนจะต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่

ตายแล้วก็จะหลุดพ้นสินะ ซุนเสี่ยวซานคิด ชีวิตที่ทั้งสิ้นหวังและอดอยากเช่นนี้ อยู่ต่อไปจะมีความหมายอันใด?

อย่างไรก็ตาม ในวันที่หิมะตกหนักนั้นซุนเสี่ยวซานก็ถูกคนจากหน่วยควบคุมดูแลเก็บไป

เดิมทีซุนเสี่ยวซานนึกว่านี่คือสถานที่อีกแห่งที่สามารถให้เขาเลียรองเท้าได้ แต่คนในหน่วยควบคุมดูแลได้มอบเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้กับคนผอมกะหร่องเช่นพวกเขา วันที่พาพวกเขากลับไปวันแรกก็นำโจ๊กที่หอมกรุ่นและนุ่มฟูเหมือนข้าวขาวมาให้พวกเขากิน

ในโจ๊กยังเติมผักดองและหัวไชเท้ากรุบกรอบ รสชาตินั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก โตมาจนป่านนี้นี่เป็นอาหารมื้อแรกที่อร่อยจนรู้สึกอิ่ม ซุนเสี่ยวซานกินจนแทบจะกลืนลิ้นของตัวเองลงไปด้วย

เขากินไปพลางร้องไห้ไปพลาง น้ำตาที่ร่วงหล่นในชามจวนจะก่อตัวเป็นโคลนบนโจ๊กขาวอยู่แล้ว

คนที่มอบโจ๊กให้เขาหัวเราะแล้วเอ่ย “กินช้าๆ หน่อย ยังมีอีกหม้อใหญ่ พวกเจ้านี่น่าสงสารจริงๆ หลายวันนี้คงกินได้แต่โจ๊กแล้ว ไว้ร่างกายของพวกเจ้าฟื้นฟู พวกเรายังมีปลาและเนื้ออีกมาก!”

“มีปลาและเนื้อ?” ซุนเสี่ยวซานได้ยินคนที่อยู่ข้างกายตนพูดก็เอ่ยด้วยความสับสน “พวกเราก็กินได้หรือ?”

คนในหน่วยควบคุมดูแลหัวเราะหึๆ รู้สึกขบขัน “พวกเจ้ากินไม่ได้แล้วใครกินได้เล่า อีกสองวันพวกเจ้าก็จะได้เป็นสุขแล้ว”

ขณะที่พวกเขาถูกพาไปอาบน้ำและกำลังจะพาไปยังที่นอน ซุนเสี่ยวซานที่ตามอยู่หลังสุดก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าเลียรองเท้าได้ พวกท่านต้องการให้ข้าเลียรองเท้าหรือไม่”

เจ้าหน้าที่ที่ถูกเขาถามเช่นนี้ตะลึงงัน จากนั้นก็ตบๆ ศีรษะของซุนเสี่ยวซานอย่างไม่สบายใจ ซุนเสี่ยวซานยังจำความรู้สึกอบอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายได้จนถึงบัดนี้

“วางใจเถิด มีฝ่าบาทอยู่ ไม่มีใครกล้าให้เจ้าเลียรองเท้า”

ซุนเสี่ยวซานรู้สึกหวาดกลัว เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่เป็น แล้วตัวเองที่ทำอะไรไม่เป็นเลยนั้นจะมีสิทธิ์กินอิ่มได้อย่างไร

แต่ว่าพวกเขาก็ได้กินอิ่มจริงๆ

หลังจากได้กินข้าวจนอิ่มมากหลายมื้อแล้ว พวกเขาก็ได้เห็นเนื้อชามใหญ่ เนื้อเหล่านั้นถูกวางอยู่ตรงหน้าเมื่อซุนเสี่ยวซานได้เห็นมันเป็นครั้งแรกดวงตาก็แดงก่ำ

นั่นเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในใต้หล้าอย่างแท้จริง ซุนเสี่ยวซานต้องดูดตะเกียบสิบกว่าครั้งในการกินเนื้อชิ้นหนึ่ง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองได้กินเนื้อนั้นทำให้เสียของ ทั้งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนเนื้อชิ้นนั้น ทว่าก็อดความตะกละที่จะกินเนื้อคำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้

วันนั้นเขากินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญ วันต่อมาเมื่อลุกขึ้นจากเตียงซุนเสี่ยวซานก็ได้กินอิ่มอีกมื้อ

นี่เป็นวันที่เขาไม่กล้าคิดฝันก่อนที่จะเข้ามาในหน่วยควบคุมดูแล

ต่อมาเมื่อซุนเสี่ยวซานเริ่มเรียนรู้การเขียนอ่านและความชำนาญด้านต่างๆ ผู้อาวุโสของหน่วยควบคุมดูแลท่านหนึ่งก็กล่าวประโยคหนึ่งกับพวกเขาในชั้นเรียนแรก

ผู้อาวุโสยืนอยู่ข้างหน้าต่างภายใต้แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง เขากล่าวขึ้น “ใต้หล้านี้มักจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติไม่ดีต่อราษฎร ทำให้ราษฎรต้องอยู่อย่างแร้นแค้น”

“แต่ฝ่าบาทเป็นคนเดียวที่ดีต่อพวกเรา ฝ่าบาทต้องการปกป้องราษฎรทั่วหล้า ทำให้เหล่าราษฎรได้กินอิ่มท้องและมีเสื้อผ้าที่อบอุ่นใส่”

“แต่ก็มักจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ต้องการจะสั่นคลอนบัลลังก์ของฝ่าบาท พวกเขาไม่ต้องการให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดี”

ซุนเสี่ยวซานเห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง

ความจงรักภักดีที่หน่วยควบคุมดูแลมีต่อฝ่าบาทนั้น คนภายนอกไม่อาจจินตนาการได้

หน่วยควบคุมดูแลถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ยามที่ฮ่องเต้ขาดแคลนกำลังคน ดังนั้นทุกคนจึงทำงานอย่างหนัก พยายามฝึกปรือร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะทำงานต่างๆ ให้ฝ่าบาท

ซุนเสี่ยวซานเรียนรู้อย่างสุดความสามารถเพราะต้องการตอบแทนฮ่องเต้ เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาและเริ่มทำงานให้ฮ่องเต้ เขาก็ได้พบเจอกับคนที่ต้องการสั่นคลอนบัลลังก์ฮ่องเต้มานับไม่ถ้วน

ขุนนางทุจริตเหล่านี้เป็นหนึ่งในผู้บงการใหญ่

เมื่อม้าได้ข้ามเส้นชายแดนลี่โจวแล้ว ทหารชั้นยอดที่อยู่ด้านหลังก็กล่าวขึ้น “ใต้เท้าซุน ถึงแล้วขอรับ”

ซุนเสี่ยวซานตื่นขึ้นจากภวังค์ เขาเหลือบมองชาวบ้านที่เดินหมดอาลัยตายอยากอยู่ริมถนนราวกับผีดิบอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนเอ่ยว่า “พวกเรารีบควบม้าไป สืบหาว่าเหตุใดโจรกลุ่มนั้นถึงได้หนีเข้าป่าไปเป็นโจรภูเขา”

ดูเถิด ยามที่ฝ่าบาทพยายามนำบ้านเมืองไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก็มักจะมีคนพวกหนึ่งที่โกงกินแผ่นดินของฝ่าบาท

ชาวต้าเหิงเหล่านี้ล้วนใช้ชีวิตด้วยการตกเป็นทาสของขุนนางทุจริต

ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เดิมทีพวกเขาสามารถกินอิ่มและกินเนื้อได้ แต่เรื่องประเสริฐเช่นนี้กลับถูกทำลายโดยหนอนแมลงเหล่านี้ไปแล้ว

เป้าหมายของทุกคนในหน่วยควบคุมดูแล คือการกวาดล้างหนอนแมลงที่เป็นอันตรายต่อฮ่องเต้ให้ราบคาบ

ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งย่างก้าวของฮ่องเต้ในการทำต้าเหิงให้ดีขึ้นได้

บทที่ 44

 

หลังจากคนในหน่วยควบคุมดูแลเริ่มเปิดฉากต่อต้านการทุจริตแล้ว ก็รายงานสถานการณ์ของลี่โจวให้กู้หยวนไป๋รู้ก่อน

เมื่ออ่านรายงานจบแล้วกู้หยวนไป๋ก็โกรธเป็นอย่างมาก

ปีนี้เจ้าเมืองลี่โจวได้ประหารชีวิตขุนนางทุจริตผู้หนึ่ง ว่ากันว่าขุนนางทุจริตผู้นี้ก่อกรรมทำเข็ญ ขืนใจหญิงสาวชาวบ้าน คดโกงเป็นกมลสันดาน เจ้าเมืองลี่โจวยังไม่ทันสอบสวนก็นำบุคคลผู้นี้เข้าคุก หลังจากที่คดีนี้ผ่านการตรวจสอบโดยศาลสถิตยุติธรรมก็พบว่ามีเรื่องน่าสงสัย จึงให้เจ้าเมืองแห่งลี่โจวตัดสินใหม่อีกครั้ง ทว่าเจ้าเมืองลี่โจวถือตนเป็นใหญ่สั่งประหารชีวิตขุนนางผู้นั้นทันที

คนในหน่วยควบคุมดูแลตรวจพบว่าขุนนางที่ถูกประหารมีพฤติกรรมทุจริตเพียงเล็กน้อย โทษไม่ถึงแก่ชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเขามิได้ก่อกรรมทำเข็ญขืนใจหญิงสาวชาวบ้าน ทั้งหมดเป็นเพราะถูกผู้อื่นใส่ร้าย หากเรื่องมีเพียงเท่านี้ก็สามารถตัดสินได้ว่าเจ้าเมืองลี่โจวตัดสินคดีผิดพลาด ไม่แยกแยะผิดถูก ทว่าทันทีที่หน่วยควบคุมดูแลเข้ามาตรวจสอบก็พบเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง

ขุนนางที่ถูกพิพากษาประหารชีวิตอย่างผิดพลาดก็คือคนของ ‘สำนักศึกษาซวงเฉิง’ ในนครหลวง

ครั้นตรวจสอบอย่างละเอียด คนในหน่วยควบคุมดูแลก็พบว่าเจ้าเมืองก็เป็นคนของสำนักศึกษาซวงเฉิงเช่นกัน

การตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นข้อห้ามของจักรพรรดิ

กู้หยวนไป๋กำลังอ่านจดหมายที่หน่วยควบคุมดูแลส่งกลับมา เพลิงโทสะของเขาทำให้คนในตำหนักต่างคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น เขายิ้มเย็นชาพร้อมเอ่ยสองคำ “ประเสริฐ ประเสริฐนัก!”

เขาเพิ่งจะกวาดล้างขุนนางชั้นในไป ในบรรดาขุนนางไม่กล้าสร้างพรรคสร้างพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แต่กลับเริ่มตั้งพรรคพวกกับสำนักศึกษาแล้วหรือ

กู้หยวนไป๋วางจดหมายลงบนโต๊ะ ไฟโทสะยังคงปะทุอยู่ เขาตบโต๊ะอย่างแรง เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นเยียบ “ไปเรียกอาจารย์ใหญ่สำนักกั๋วจื่อเสวียมาเข้าเฝ้า”

 

เช้าวันต่อมาหลังประชุมราชสำนักในตอนเช้าเสร็จสิ้น ก่อนที่เหล่าขุนนางจะล่าถอยก็ถูกฮ่องเต้พาตัวไปยังสำนักกั๋วจื่อเสวียในฐานะของผู้สังเกตการณ์

ศิษย์ในสำนักกั๋วจื่อเสวียกำลังอ่านท่องตำราเสียงดังเสนาะเพราะพริ้ง ส่วนอาจารย์ใหญ่ได้พาเหล่าอาจารย์มารับเสด็จฮ่องเต้ที่หน้าสำนักกั๋วจื่อเสวียแล้ว

เหล่าขุนนางติดตามอยู่เบื้องหลังพลางนึกว่าที่ฮ่องเต้เสด็จมาเพราะฉุกคิดได้ฉับพลัน จึงติดตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมทั้งมองดูเหล่าอัจฉริยะในสำนักกั๋วจื่อเสวีย

หลังเยี่ยมชมบรรดาศิษย์ในสำนักแล้ว บรรดาขุนนางต่างนึกว่าเสร็จภารกิจแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ใหญ่จะเชิญพวกเขาเข้าไปในห้องเรียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เก้าอี้และโต๊ะหลายชุดถูกจัดวางเรียงไว้ในห้อง เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ก่อนอาจารย์ใหญ่จะเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “กราบทูลเชิญฝ่าบาทและเชิญใต้เท้าทั้งหลายนั่งลงเถิด”

เสนาบดีกรมโยธามองไปยังตำแหน่งด้านหน้าสุด “ฝ่าบาท จะประทับตรงนี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

แต่กู้หยวนไป๋กลับเดินไปด้านหลังทุกคนแล้วเอ่ยว่า “เจิ้นจะนั่งด้านหลังสุด”

“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมอากรกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ฝ่าบาทจะนั่งอยู่ด้านหลังพวกกระหม่อมได้อย่างไร”

ทว่ากู้หยวนไป๋นั่งลงไปแล้ว สีหน้าของเขาเรียบเฉย “นั่งเถิด”

ทุกคนต่างพากันสับสน สุดท้ายก็ทยอยนั่งลง

ตามปกติแล้วขุนนางตำแหน่งสูงจะนั่งอยู่ข้างหน้า เนื่องจากครั้งนี้ฮ่องเต้นั่งอยู่หลังสุดขุนนางตำแหน่งสูงจึงต้องนั่งอยู่ข้างหลังแทน

หลังจากขุนนางทุกคนหย่อนกายลงนั่งอาจารย์ใหญ่ก็เอ่ยปาก ประโยคแรกของเขาทำให้ขุนนางทั้งห้องตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น “ผู้น้อยต้องการจะเล่าเรื่องการต่อสู้ของหนิวเกาที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อนให้ใต้เท้าทุกท่านฟัง”

การต่อสู้ของหนิวเกาเป็นการต่อสู้อันโกลาหลในขณะที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ เป็นสงครามนองเลือดทางการเมืองระหว่างฝ่ายที่นำโดยใต้เท้าหนิวกับฝ่ายที่นำโดยใต้เท้าชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ

ฮ่องเต้องค์ก่อนศรัทธาในพระพุทธศาสนา หากพูดให้น่าฟังก็มีความเมตตา รับฟังคำแนะนำ พูดให้ไม่น่าฟังก็คือเป็นคนหูเบา การต่อสู้ของหนิวเกาในครั้งนั้นสร้างความวุ่นวายให้กับราชสำนัก ฮ่องเต้องค์ก่อนเพียงลงพระราชอาญาด้วยการโบยคนละสามสิบทีเพื่อให้พวกเขาอยู่ในกรอบบ้างก็เท่านั้น ทั้งเกาหนิวและอีกฝ่ายเห็นว่าวิธีของฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นอ่อนแอมาก จึงแข่งขันกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วงชิงตำแหน่งและอำนาจในราชสำนัก พวกเขาต่อสู้เพื่อคำว่า ‘กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก’

กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชสมภพ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงคิดใช้ไม้แข็งเพื่อกำจัดความวุ่นวายให้โอรสของตน พรรคพวกที่อยู่ในเหตุการณ์การต่อสู้ของหนิวเกาซึ่งทำลายราชสำนักมาตลอดแปดเก้าปี จึงร่วงลงจากหลังม้าทีละคน

เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างไม่กล้าเอ่ยถึงและได้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามไปแล้ว

ทว่าตอนนี้อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกั๋วจื่อเสวียกำลังเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าขุนนางในราชสำนักทุกคนและต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้

ขุนนางที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติแล้ว ผู้ที่อยู่ใกล้ฮ่องเต้ที่สุดก็กำลังฟังอาจารย์ใหญ่กล่าวทุกถ้อยคำด้วยลำตัวที่ตั้งตรงและกล้ามเนื้อหดเกร็ง

“การตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป็นข้อเสียที่เกิดขึ้นในหลายๆ ราชวงศ์” อาจารย์ใหญ่กล่าวเสียงดัง “ขณะที่ฝ่าบาทองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ การต่อสู้ของหนิวเกาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และการต่อสู้ของหนิวเกานี้เป็นข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายที่นำโดยขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก สนามรบแห่งข้อพิพาทนี้มิได้เกิดเพียงในนครหลวงเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่…”

บางคนมีเหงื่อไหลออกมาบนศีรษะแล้ว พวกเขาก้มหน้างุดเล็กน้อย ไม่กล้าฟังต่อไปอีก

ในเวลานั้นเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นเรียบๆ จากด้านหลัง “เงยหน้าขึ้น แล้วตั้งใจฟัง”

ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงฝืนใจเงยหน้า ไม่กล้าพลาดแม้ชั่วขณะ ยิ่งฟังหัวใจของพวกเขาก็ยิ่งจมดิ่งลง

อาจารย์ใหญ่พูดถึงตอนที่ขุนนางท้องถิ่นสองกลุ่มใส่ร้ายและสังหารกันเองเพราะความขัดแย้ง การกระทำเหล่านี้ถูกเปิดโปงทีละน้อยด้วยการนองเลือด ทุกประโยคเพียงพอที่จะทำให้คนพรั่นพรึง

ฮ่องเต้นั่งอยู่ด้านหลังสุด แผ่นหลังของขุนนางเหล่านั้นล้วนอยู่ในสายตาเขา ครั้นขุนนางบางคนลอบมองก็เห็นทหารองครักษ์ยืนอารักขาอยู่นอกห้องพร้อมกับดาบยาวตรงเอว ฉับพลันนั้นเองแผ่นหลังของพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

ในที่สุดซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด การต่อสู้ของการเล่นพรรคเล่นพวกแสนยากลำบากนี้ก็ถูกเล่าจบลงเสียที ขณะที่อาจารย์ใหญ่เดินมาหาฮ่องเต้ขุนนางส่วนใหญ่ที่นั่งแถวหน้าต่างถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียงกัน สมองของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ก่อนเริ่มครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนว่าเหตุใดวันนี้ฝ่าบาทถึงได้พาพวกเขามายังสำนักกั๋วจื่อเสวีย ทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อพาพวกเขามาฟังเรื่องนี้ด้วย

อาจารย์ใหญ่กล่าวอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท บัดนี้กระหม่อมเล่าจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้ซึ่งแกะสลักเป็นลายบุปผาได้ยินดังนี้ก็พยักหน้าน้อยๆ เคาะนิ้วอยู่บนที่พักแขน สีหน้ามองไม่ออกว่าดีใจหรือโมโห ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เล่าใหม่อีกรอบหนึ่ง”

ขมับของอาจารย์ใหญ่มีหยาดเหงื่อไหลย้อย เขาไม่กล้าล่าช้าแม้แต่นิดเดียว ก้าวเท้ายาวๆ ไปเบื้องหน้าอีกครั้ง

เล่าครั้งแล้วครั้งเล่า บรรยากาศทั่วห้องเรียนตึงเครียดยิ่ง กู้หยวนไป๋กวาดตามองก็เห็นว่าบางคนนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว

เถียนฝูเซิงส่งถ้วยน้ำชาให้กู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋จิบช้าๆ ไฟโทสะในใจตอนแรกมอดดับลง

อะไรคือความแตกต่างระหว่างฝ่ายที่นำโดยขุนนางขั้นสูงกับฝ่ายที่นำโดยสำนักศึกษาหรือผู้ที่มีภูมิหลังในท้องถิ่น

ทุกฝ่ายล้วนต้องการยึดครองแผ่นดิน อำนาจ และทรัพยากรของกู้หยวนไป๋ ใช้สิ่งที่กู้หยวนไป๋มีมารวบรวมขุนนางของกู้หยวนไป๋ และใช้ความใจกว้างของผู้อื่นเป็นเครื่องมืออย่างสมบูรณ์

ทว่าความเอื้ออาทรของฮ่องเต้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร

กู้หยวนไป๋ดับกระหายแล้วก็วางถ้วยชาลง เขากวักมือเรียกเซวียหย่วนซึ่งยืนตัวตรงอยู่ที่ประตูด้านหลัง มุมปากเซวียหย่วนยกขึ้น ก่อนเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทมีสิ่งใดรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

หัวใจเต้นรัวเร็ว นี่คือหัวใจแห่งความจงรักภักดีจริงหรือ?

เซวียหย่วนลอบมองกู้หยวนไป๋ ต้องการเห็นเขายิ้ม ไม่อยากเห็นเขาเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ถ้าโกรธจนส่งผลเสียต่อพระพลานามัยจะทำอย่างไร นี่น่ะหรือเป็นหัวใจที่ภักดีอย่างแท้จริง

กู้หยวนไป๋เอ่ย “เจ้าไปเชิญราชครูหลี่เป่าเข้ามา ตอนนั้นเขาผ่านเหตุการณ์การต่อสู้ของหนิวเกาด้วยตัวเอง น่าจะเล่าได้มีอรรถรสกว่าอาจารย์ใหญ่”

เซวียหย่วนลุกขึ้นยืน เงาดำทอดลงมาตามตัว เขารับคำด้วยเสียงหนึ่งก่อนหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ จากไป

กู้หยวนไป๋ถูกเงาดำบดบังทัศนวิสัยอยู่ครู่หนึ่ง เขามองตามแผ่นหลังของเซวียหย่วนไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองแวบแรกก็พบว่าเซวียหย่วนดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย

กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้วถาม “ปีนี้เซวียจิ่วเหยาอายุเท่าใดแล้ว”

เถียนฝูเซิงครุ่นคิด เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “น่าจะยี่สิบสี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ยี่สิบสี่แล้วยังสูงได้อีกหรือ? กู้หยวนไป๋มองดูขุนนางแต่ละคนที่เคร่งเครียดตรงหน้าพลางคิดไปเรื่อยเปื่อย เจิ้นเพิ่งจะยี่สิบเอ็ด เหตุใดจึงไม่สูงขึ้นเล่า

ขุนนางด้านหน้าภาวนาให้อาจารย์ใหญ่พูดเร็วขึ้นกว่านี้อีกสักนิด แล้วในที่สุดอาจารย์ใหญ่ก็เล่ารอบนี้จบทว่ายังไม่กล้าลงไป ก่อนขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้จะเดินเข้าไปบอกว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่ รีบลงมาเถิด วันนี้ท่านเหนื่อยมามากแล้ว อากาศข้างนอกร้อนนัก ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนได้”

ครั้นทุกคนเห็นว่าอาจารย์ใหญ่เดินลงมาก็นึกว่ามันจบลงแล้ว หัวใจจึงพลันผ่อนคลาย สีหน้าล้วนเผยความโล่งใจออกมาให้เห็น ทว่าฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหลังยังคงไม่ตรัสคำ จึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือขยับตัวส่งเดช

หลังจากความเงียบงันผ่านพ้นไปหนึ่งเค่อเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นหน้าประตู ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นหลี่เป่า นักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเดินเข้ามาพร้อมกับไม้เท้า เขาก้าวไปเบื้องหน้าทีละก้าว เมื่อเห็นสายตาของขุนนางทุกคนที่จับจ้องมาก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนกล่าวด้วยเสียงอันดังและทรงพลัง “วันนี้ผู้ชรามาที่นี่ เพื่อเล่าเหตุการณ์การต่อสู้ของหนิวเกา ที่ก่อความวุ่นวายให้แก่ราชสำนักในยุคสมัยฮ่องเต้องค์ก่อนให้ใต้เท้าทุกท่านฟัง!”

บรรดาขุนนางต่างรู้สึกเวียนศีรษะตาลาย หัวใจเต้นรัวเร็วฉับพลัน ประเดี๋ยวโล่งอกประเดี๋ยวตึงเครียด เช่นนี้น่าตกใจจนสองขาสั่นเทาและอยากจะวิ่งหนี

แม้ดวงอาทิตย์ภายนอกจะจ้าทว่าไม่ร้อนแรง อย่างไรก็ดีคนภายในห้องกลับเหมือนอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อนเดือนเจ็ด ร้อนจนแทบหายใจไม่ออก

หลังจากหลี่เป่าเล่าจบและถูกคนส่งออกไปแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายอีก

กู้หยวนไป๋รออยู่ครู่หนึ่งก่อนถามขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ใต้เท้าทุกท่านมีความเห็นใดหรือไม่”

ไม่กล้าขยับ ไม่กล้ามีความเห็น

เสนาบดีทั้งหกกรมและขุนนางคนสำคัญในจวนว่าการต่างๆ ชำเลืองมองกัน ใต้เท้าจ้าวหัวหน้าสภาองคมนตรีก้มหน้างุด หัวหน้าสำนักงานที่ปรึกษาราชการแผ่นดินแห่งสภาการปกครองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองแห่งนี้ไม่มีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับการตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็มีคนก้าวออกมาแล้วเอ่ยว่า “ความยุ่งเหยิงในการสมคบคิดมีแต่จะทำให้ราชสำนักปั่นป่วน ทันทีที่พบเจอจะต้องลงโทษสถานหนักไร้การผ่อนปรน!”

“เสนาบดีกรมอาญาพูดได้ถูกต้อง” ฮ่องเต้ตรัส “เช่นนั้นการลงโทษสถานหนักที่ว่านี้ควรจะลงโทษอย่างไร”

เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยว่า “จำแนกการสอบสวนตามระดับของโทษพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ท่านเสนาบดีกรมอาญากล่าวได้ถูกต้อง เจิ้นก็คิดเช่นนี้”

ครั้นขุนนางทุกคนได้ยินความอ่อนโยนในน้ำเสียงของฮ่องเต้ ความตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เสนาบดีกรมอาญากลับไม่กล้าคิดเหลวไหล เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าฮ่องเต้ยังมิได้เอ่ยในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด และถ้อยคำเหล่านั้นจะต้องเป็นเนื้อหาหลักในการออกมาครั้งนี้อย่างแน่นอน

เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเดิม “เช่นนั้นหากขุนนางท้องถิ่นที่เป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดใช้อำนาจส่วนตนในมือ กำจัดขุนนางอีกคนที่ไม่มีโทษสถานหนักถึงตาย และจัดสรรพรรคพวกของตัวเองเข้าแทนในตำแหน่งที่ขาด เช่นนี้ควรลงโทษสถานใด”

จู่ๆ เสนาบดีกรมอาญาก็เกิดความกดดันอันใหญ่หลวง เขาไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความรอบคอบ “สมควรลงโทษฐานที่บิดเบือนกฎหมาย เล่นพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและประพฤติผิดศีลธรรมพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มิได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่หันไปเรียกถาม “เสนาบดีกรมปกครอง ท่านเห็นว่าควรทำเช่นไร”

ทุกคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเรียกเสนาบดีกรมปกครองอย่างกะทันหัน จึงหันไปมองเสนาบดีกรมปกครองปราดหนึ่งซึ่งบัดนี้เขาก็เหงื่อชุ่มไปทั้งศีรษะแล้วเช่นกัน ทว่ายังกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “กระหม่อมเห็นว่าท่านเสนาบดีกรมอาญากล่าวได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”

เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งแล้วที่ฮ่องเต้ปกครองราชสำนักด้วยตัวเอง ซึ่งทุกคนก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าหากฮ่องเต้พระอารมณ์ดี ก็จะเรียกขุนนางว่าขุนนางที่รักเช่นนั้นเช่นนี้ หากพระอารมณ์ไม่ดี หรือหากขุนนางคนใดละเมิดข้อห้ามของเขา เขาก็จะเรียกชื่อตำแหน่งเต็มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เช่นเดียวกับที่กำลังเรียกเสนาบดีกรมปกครองในขณะนี้

“เจิ้นก็คิดว่าเสนาบดีกรมอาญากล่าวได้ถูกต้อง” กู้หยวนไป๋หัวเราะ “บังเอิญว่าตอนนี้เกิดเรื่องที่เจิ้นกล่าวมาพอดี ในเมื่อท่านเสนาบดีกรมปกครองเห็นดีว่าควรจะจัดการเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไปจัดการเรื่องนี้กับศาลสถิตยุติธรรมให้ดีเถิด”

เสนาบดีกรมปกครองไม่ได้มีหน้าที่ในการจัดการเรื่องเหล่านี้ หนังตาของเขากระตุก บังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ “พ่ะย่ะค่ะ”

ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ลุกขึ้นยืน เขากำลังจะเดินออกไปด้านนอกภายใต้การปรนนิบัติของข้ารับใช้ แต่เพิ่งเดินจากไปได้เพียงสองก้าวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหันกลับมากล่าวว่า “ท่านเสนาบดีกรมปกครอง สำนักที่เกี่ยวข้องกับขุนนางในคดีนี้ก็คือ ‘สำนักศึกษาซวงเฉิง’ ”

คนในราชสำนักที่เป็นคนของสำนักศึกษาซวงเฉิงต่างตะลึงพรึงเพริด

ฮ่องเต้ยิ้มคราหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจิ้นหวังว่าท่านจะไม่ทำผิดฐานบิดเบือนกฎหมายเพื่อผลประโยชน์”

“ราชสำนักให้ความสำคัญกับขุนนางและควรให้บ้านเมืองและราษฎรมาก่อน” กู้หยวนไป๋กวาดตาไปยังขุนนางทีละคน เอ่ยว่า “เจิ้นก็หวังว่าขุนนางที่รักทุกท่านคงทราบว่าบทเรียนสามบทที่พวกเราฟังกันในวันนี้พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง”

คนในราชสำนักที่เป็นตัวแทนจวนว่าการต่างๆ เหงื่อกาฬท่วมตัว ค้อมตัวลงต่ำ “พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากห้องเรียน ทว่าสองขาของเหล่าขุนนางที่อยู่ในนั้นกลับแข็งทื่อ ในขณะที่เหล่าใต้เท้าต่างกำลังหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นพลันได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “เชิญใต้เท้าทุกท่านกลับเถิด ภารกิจในแต่ละฝ่ายไม่อาจรีรอได้แม้แต่เค่อเดียว”

แม่ทัพเซวียที่ถูกฝังอยู่ท่ามกลางบรรดาขุนนางรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูยิ่งนัก ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นบุตรชายของตนเอง

เซวียหย่วนยิ้มอย่างสุภาพ บุคลิกดูแสนจะไม่ธรรมดาสามัญ

เหล่าขุนนางได้สติและเริ่มออกไปทีละสองสามคน แม่ทัพเซวียเดินเลียบๆ ไปด้านข้างจนถึงเบื้องหน้าเซวียหย่วน กระซิบเสียงเบา “วันนี้ฝ่าบาทเป็นอะไรไป สำนักศึกษาซวงเฉิงเกิดคดีใหญ่อะไรรึ”

เซวียหย่วนก้มหน้าเหลือบมองบิดา เอ่ยสบายๆ ว่า “แม่ทัพเซวียคิดจะสืบพระราชประสงค์ของฝ่าบาทหรือ?”

แม่ทัพเซวียโมโหจนใบหน้าบึ้งตึง ก่อนก้าวเท้ายาวๆ จากไป

รอกระทั่งทุกคนเดินไปหมด เซวียหย่วนจึงจัดดาบที่เอวแล้วรีบไล่ตามทิศทางที่ฮ่องเต้จากไป

ครั้นเขาเดินมาถึงหน้าประตูสำนักกั๋วจื่อเสวียรถม้าของฮ่องเต้ก็ออกไปไกลแล้ว เซวียหย่วนหลุดหัวเราะ เขามองไปรอบๆ ก่อนก้าวไปข้างหน้าและดึงแม่ทัพเซวียลงจากม้า จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นม้าแล้วหวดแส้ “ย่าห์!” เพื่อไล่ตามไปยังทิศทางเดียวกับกู้หยวนไป๋

แม่ทัพเซวียกระทืบเท้าอยู่ที่เดิมด้วยความเกรี้ยวกราด “ลูกทรพี ลูกทรพี…!”

ผ่านไปเพียงครู่เดียวเซวียหย่วนก็ตามขบวนใหญ่ทัน เขาขี่ม้าเลียบไปกับรถม้าของกู้หยวนไป๋ กระแอมกระไอก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หากพระอารมณ์ไม่ดีก็มาระบายกับกระหม่อมได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เพิ่งจะพูดไปได้สองคำก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

หลายวันก่อนที่ฮ่องเต้ด่าเขาว่าเป็นเดรัจฉานแล้วทำให้ส่วนนั้นแข็งก็ช่างมันไปเถิด เซวียหย่วนรู้สึกว่าระยะหลังนี้ธาตุไฟของตนรุนแรงเกินไป หากถูกด่าจนแข็งตัวขึ้นมาอีก แล้วทำให้ผู้อื่นตกใจจะทำอย่างไร

มือขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหน้าต่าง กู้หยวนไป๋ที่อยู่ในรถม้าเผยใบหน้าออกมาให้เห็นเพียงครึ่ง ริมฝีปากสีจางยกมุมขึ้นอย่างขบขัน สันกรามที่คมชัดแสดงความงามอันเยือกเย็นที่ซ่อนความดุดันไว้อย่างเลือนราง “องครักษ์เซวีย นี่มันวาจาอะไรกัน หรือเห็นเจิ้นเป็นพวกโมโหแล้วชอบระบายความโกรธกับคนข้างกายเช่นนั้นหรือ”

ยิ่งไปกว่านั้นกู้หยวนไป๋ระงับโทสะได้นานแล้ว เหตุใดต้องทำให้ตัวเองขุ่นข้องหมองใจเพราะคนเขลากลุ่มหนึ่งด้วย หากต้องขาดใจตายไป…

กู้หยวนไป๋อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคอของเซวียหย่วนผ่านหน้าต่างรถม้า

เขายังจำความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อยความโกรธและความหงุดหงิดนานาชนิดที่ข่มไว้ส่วนลึกของหัวใจขณะที่กัดคอเซวียหย่วนคราวก่อนได้ บอกตามตรงว่ามันรู้สึกดีมาก นับตั้งแต่เขาทะลุมิติมายังต้าเหิงจนถึงตอนนี้ ก็มีเพียงเซวียหย่วนเท่านั้นที่สามารถอดทนให้เขาระบายอารมณ์ใส่ได้ เซวียหย่วนมีผิวหนังหนาเหมือนกับหมาบ้า กู้หยวนไป๋สามารถแสดงพฤติกรรมและวาจาที่ไม่สอดคล้องแก่การเป็นจักรพรรดิ ทั้งยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

เขาทำเช่นนี้กับคนอื่นไม่ได้ ทำกับหัวหน้าทหารองครักษ์ไม่ได้ ทำกับเถียนฝูเซิงไม่ได้ ทำกับฉู่เว่ยไม่ได้ ทำกับคนในหน่วยควบคุมดูแลก็ไม่ได้ ล้วนทำไม่ได้ทั้งนั้น

กู้หยวนไป๋คือภูเขาลูกหนึ่ง ขุนเขาในหัวใจของพวกเขาลูกนี้ไม่อาจพังทลายหรือฉุนเฉียวได้ จะต้องสงบนิ่ง ไม่อาจระบายความรู้สึกในใจ จะต้องเป็นคนที่ลึกซึ้งคาดเดาไม่ถูก อุทิศตนเพื่อรับใช้บ้านเมืองและราษฎร

เมื่อผ่านไปนานก็ทำให้เกิดความเหงาอยู่บ้าง

จักรพรรดิบนเส้นทางสายโดดเดี่ยวก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง แต่จะว่าไปกู้หยวนไป๋ก็ยังคงเป็นชายหนุ่มที่มองโลกในแง่ดีและอนาคตไกล ผู้ซึ่งชื่นชอบในการผจญภัยและความตื่นเต้นจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอยู่ดี

เซวียหย่วนเห็นว่าสายตาของกู้หยวนไป๋ไม่ละไปจากคอของเขาเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกคันตรงส่วนที่ถูกกัดก่อนหน้านี้ เขายกมือขึ้นลูบบริเวณคอที่รักษาหายแล้ว เหลือบมองกู้หยวนไป๋ก่อนโน้มตัวลงไปกับหลังม้า มือหนึ่งค้ำตัวรถม้าไว้เพื่อทรงตัว ยื่นศีรษะเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วกระซิบด้วยความเจ้าเล่ห์ว่า “ฝ่าบาทประสงค์ที่จะกัดคอของกระหม่อมอีกครั้งหรือพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เหลือบตาขึ้นมองเขา

เซวียหย่วนเลียริมฝีปากเบาๆ พลันหัวเราะออกมา “ฝ่าบาททรงโปรดชู่จวีมิใช่หรือ อีกทั้งวันนี้ก็ยังพระอารมณ์ไม่ดีอีก เช่นนั้นกระหม่อมกับใต้เท้าจางเตะชู่จวีให้ฝ่าบาททอดพระเนตรดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมคิดว่าของรางวัลไม่จำเป็นต้องมากมาย” ดวงตาดำขลับของเซวียหย่วนจับจ้องอยู่ที่กู้หยวนไป๋ กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ฝ่าบาททรงพระสรวลและเกษมสำราญ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 ..  65

 

  

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: