ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 43-44 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 43-44 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 44

 

หลังจากคนในหน่วยควบคุมดูแลเริ่มเปิดฉากต่อต้านการทุจริตแล้ว ก็รายงานสถานการณ์ของลี่โจวให้กู้หยวนไป๋รู้ก่อน

เมื่ออ่านรายงานจบแล้วกู้หยวนไป๋ก็โกรธเป็นอย่างมาก

ปีนี้เจ้าเมืองลี่โจวได้ประหารชีวิตขุนนางทุจริตผู้หนึ่ง ว่ากันว่าขุนนางทุจริตผู้นี้ก่อกรรมทำเข็ญ ขืนใจหญิงสาวชาวบ้าน คดโกงเป็นกมลสันดาน เจ้าเมืองลี่โจวยังไม่ทันสอบสวนก็นำบุคคลผู้นี้เข้าคุก หลังจากที่คดีนี้ผ่านการตรวจสอบโดยศาลสถิตยุติธรรมก็พบว่ามีเรื่องน่าสงสัย จึงให้เจ้าเมืองแห่งลี่โจวตัดสินใหม่อีกครั้ง ทว่าเจ้าเมืองลี่โจวถือตนเป็นใหญ่สั่งประหารชีวิตขุนนางผู้นั้นทันที

คนในหน่วยควบคุมดูแลตรวจพบว่าขุนนางที่ถูกประหารมีพฤติกรรมทุจริตเพียงเล็กน้อย โทษไม่ถึงแก่ชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเขามิได้ก่อกรรมทำเข็ญขืนใจหญิงสาวชาวบ้าน ทั้งหมดเป็นเพราะถูกผู้อื่นใส่ร้าย หากเรื่องมีเพียงเท่านี้ก็สามารถตัดสินได้ว่าเจ้าเมืองลี่โจวตัดสินคดีผิดพลาด ไม่แยกแยะผิดถูก ทว่าทันทีที่หน่วยควบคุมดูแลเข้ามาตรวจสอบก็พบเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง

ขุนนางที่ถูกพิพากษาประหารชีวิตอย่างผิดพลาดก็คือคนของ ‘สำนักศึกษาซวงเฉิง’ ในนครหลวง

ครั้นตรวจสอบอย่างละเอียด คนในหน่วยควบคุมดูแลก็พบว่าเจ้าเมืองก็เป็นคนของสำนักศึกษาซวงเฉิงเช่นกัน

การตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นข้อห้ามของจักรพรรดิ

กู้หยวนไป๋กำลังอ่านจดหมายที่หน่วยควบคุมดูแลส่งกลับมา เพลิงโทสะของเขาทำให้คนในตำหนักต่างคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น เขายิ้มเย็นชาพร้อมเอ่ยสองคำ “ประเสริฐ ประเสริฐนัก!”

เขาเพิ่งจะกวาดล้างขุนนางชั้นในไป ในบรรดาขุนนางไม่กล้าสร้างพรรคสร้างพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แต่กลับเริ่มตั้งพรรคพวกกับสำนักศึกษาแล้วหรือ

กู้หยวนไป๋วางจดหมายลงบนโต๊ะ ไฟโทสะยังคงปะทุอยู่ เขาตบโต๊ะอย่างแรง เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นเยียบ “ไปเรียกอาจารย์ใหญ่สำนักกั๋วจื่อเสวียมาเข้าเฝ้า”

 

เช้าวันต่อมาหลังประชุมราชสำนักในตอนเช้าเสร็จสิ้น ก่อนที่เหล่าขุนนางจะล่าถอยก็ถูกฮ่องเต้พาตัวไปยังสำนักกั๋วจื่อเสวียในฐานะของผู้สังเกตการณ์

ศิษย์ในสำนักกั๋วจื่อเสวียกำลังอ่านท่องตำราเสียงดังเสนาะเพราะพริ้ง ส่วนอาจารย์ใหญ่ได้พาเหล่าอาจารย์มารับเสด็จฮ่องเต้ที่หน้าสำนักกั๋วจื่อเสวียแล้ว

เหล่าขุนนางติดตามอยู่เบื้องหลังพลางนึกว่าที่ฮ่องเต้เสด็จมาเพราะฉุกคิดได้ฉับพลัน จึงติดตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมทั้งมองดูเหล่าอัจฉริยะในสำนักกั๋วจื่อเสวีย

หลังเยี่ยมชมบรรดาศิษย์ในสำนักแล้ว บรรดาขุนนางต่างนึกว่าเสร็จภารกิจแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ใหญ่จะเชิญพวกเขาเข้าไปในห้องเรียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เก้าอี้และโต๊ะหลายชุดถูกจัดวางเรียงไว้ในห้อง เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ก่อนอาจารย์ใหญ่จะเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “กราบทูลเชิญฝ่าบาทและเชิญใต้เท้าทั้งหลายนั่งลงเถิด”

เสนาบดีกรมโยธามองไปยังตำแหน่งด้านหน้าสุด “ฝ่าบาท จะประทับตรงนี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

แต่กู้หยวนไป๋กลับเดินไปด้านหลังทุกคนแล้วเอ่ยว่า “เจิ้นจะนั่งด้านหลังสุด”

“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมอากรกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ฝ่าบาทจะนั่งอยู่ด้านหลังพวกกระหม่อมได้อย่างไร”

ทว่ากู้หยวนไป๋นั่งลงไปแล้ว สีหน้าของเขาเรียบเฉย “นั่งเถิด”

ทุกคนต่างพากันสับสน สุดท้ายก็ทยอยนั่งลง

ตามปกติแล้วขุนนางตำแหน่งสูงจะนั่งอยู่ข้างหน้า เนื่องจากครั้งนี้ฮ่องเต้นั่งอยู่หลังสุดขุนนางตำแหน่งสูงจึงต้องนั่งอยู่ข้างหลังแทน

หลังจากขุนนางทุกคนหย่อนกายลงนั่งอาจารย์ใหญ่ก็เอ่ยปาก ประโยคแรกของเขาทำให้ขุนนางทั้งห้องตกตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น “ผู้น้อยต้องการจะเล่าเรื่องการต่อสู้ของหนิวเกาที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อนให้ใต้เท้าทุกท่านฟัง”

การต่อสู้ของหนิวเกาเป็นการต่อสู้อันโกลาหลในขณะที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ เป็นสงครามนองเลือดทางการเมืองระหว่างฝ่ายที่นำโดยใต้เท้าหนิวกับฝ่ายที่นำโดยใต้เท้าชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ

ฮ่องเต้องค์ก่อนศรัทธาในพระพุทธศาสนา หากพูดให้น่าฟังก็มีความเมตตา รับฟังคำแนะนำ พูดให้ไม่น่าฟังก็คือเป็นคนหูเบา การต่อสู้ของหนิวเกาในครั้งนั้นสร้างความวุ่นวายให้กับราชสำนัก ฮ่องเต้องค์ก่อนเพียงลงพระราชอาญาด้วยการโบยคนละสามสิบทีเพื่อให้พวกเขาอยู่ในกรอบบ้างก็เท่านั้น ทั้งเกาหนิวและอีกฝ่ายเห็นว่าวิธีของฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นอ่อนแอมาก จึงแข่งขันกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วงชิงตำแหน่งและอำนาจในราชสำนัก พวกเขาต่อสู้เพื่อคำว่า ‘กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก’

กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชสมภพ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงคิดใช้ไม้แข็งเพื่อกำจัดความวุ่นวายให้โอรสของตน พรรคพวกที่อยู่ในเหตุการณ์การต่อสู้ของหนิวเกาซึ่งทำลายราชสำนักมาตลอดแปดเก้าปี จึงร่วงลงจากหลังม้าทีละคน

เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างไม่กล้าเอ่ยถึงและได้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามไปแล้ว

ทว่าตอนนี้อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกั๋วจื่อเสวียกำลังเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าขุนนางในราชสำนักทุกคนและต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้

ขุนนางที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติแล้ว ผู้ที่อยู่ใกล้ฮ่องเต้ที่สุดก็กำลังฟังอาจารย์ใหญ่กล่าวทุกถ้อยคำด้วยลำตัวที่ตั้งตรงและกล้ามเนื้อหดเกร็ง

“การตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป็นข้อเสียที่เกิดขึ้นในหลายๆ ราชวงศ์” อาจารย์ใหญ่กล่าวเสียงดัง “ขณะที่ฝ่าบาทองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพ การต่อสู้ของหนิวเกาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และการต่อสู้ของหนิวเกานี้เป็นข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายที่นำโดยขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก สนามรบแห่งข้อพิพาทนี้มิได้เกิดเพียงในนครหลวงเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่…”

บางคนมีเหงื่อไหลออกมาบนศีรษะแล้ว พวกเขาก้มหน้างุดเล็กน้อย ไม่กล้าฟังต่อไปอีก

ในเวลานั้นเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นเรียบๆ จากด้านหลัง “เงยหน้าขึ้น แล้วตั้งใจฟัง”

ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงฝืนใจเงยหน้า ไม่กล้าพลาดแม้ชั่วขณะ ยิ่งฟังหัวใจของพวกเขาก็ยิ่งจมดิ่งลง

อาจารย์ใหญ่พูดถึงตอนที่ขุนนางท้องถิ่นสองกลุ่มใส่ร้ายและสังหารกันเองเพราะความขัดแย้ง การกระทำเหล่านี้ถูกเปิดโปงทีละน้อยด้วยการนองเลือด ทุกประโยคเพียงพอที่จะทำให้คนพรั่นพรึง

ฮ่องเต้นั่งอยู่ด้านหลังสุด แผ่นหลังของขุนนางเหล่านั้นล้วนอยู่ในสายตาเขา ครั้นขุนนางบางคนลอบมองก็เห็นทหารองครักษ์ยืนอารักขาอยู่นอกห้องพร้อมกับดาบยาวตรงเอว ฉับพลันนั้นเองแผ่นหลังของพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

ในที่สุดซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด การต่อสู้ของการเล่นพรรคเล่นพวกแสนยากลำบากนี้ก็ถูกเล่าจบลงเสียที ขณะที่อาจารย์ใหญ่เดินมาหาฮ่องเต้ขุนนางส่วนใหญ่ที่นั่งแถวหน้าต่างถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียงกัน สมองของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ก่อนเริ่มครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนว่าเหตุใดวันนี้ฝ่าบาทถึงได้พาพวกเขามายังสำนักกั๋วจื่อเสวีย ทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อพาพวกเขามาฟังเรื่องนี้ด้วย

อาจารย์ใหญ่กล่าวอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท บัดนี้กระหม่อมเล่าจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋ที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้ซึ่งแกะสลักเป็นลายบุปผาได้ยินดังนี้ก็พยักหน้าน้อยๆ เคาะนิ้วอยู่บนที่พักแขน สีหน้ามองไม่ออกว่าดีใจหรือโมโห ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เล่าใหม่อีกรอบหนึ่ง”

ขมับของอาจารย์ใหญ่มีหยาดเหงื่อไหลย้อย เขาไม่กล้าล่าช้าแม้แต่นิดเดียว ก้าวเท้ายาวๆ ไปเบื้องหน้าอีกครั้ง

เล่าครั้งแล้วครั้งเล่า บรรยากาศทั่วห้องเรียนตึงเครียดยิ่ง กู้หยวนไป๋กวาดตามองก็เห็นว่าบางคนนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว

เถียนฝูเซิงส่งถ้วยน้ำชาให้กู้หยวนไป๋ กู้หยวนไป๋จิบช้าๆ ไฟโทสะในใจตอนแรกมอดดับลง

อะไรคือความแตกต่างระหว่างฝ่ายที่นำโดยขุนนางขั้นสูงกับฝ่ายที่นำโดยสำนักศึกษาหรือผู้ที่มีภูมิหลังในท้องถิ่น

ทุกฝ่ายล้วนต้องการยึดครองแผ่นดิน อำนาจ และทรัพยากรของกู้หยวนไป๋ ใช้สิ่งที่กู้หยวนไป๋มีมารวบรวมขุนนางของกู้หยวนไป๋ และใช้ความใจกว้างของผู้อื่นเป็นเครื่องมืออย่างสมบูรณ์

ทว่าความเอื้ออาทรของฮ่องเต้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร

กู้หยวนไป๋ดับกระหายแล้วก็วางถ้วยชาลง เขากวักมือเรียกเซวียหย่วนซึ่งยืนตัวตรงอยู่ที่ประตูด้านหลัง มุมปากเซวียหย่วนยกขึ้น ก่อนเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทมีสิ่งใดรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

หัวใจเต้นรัวเร็ว นี่คือหัวใจแห่งความจงรักภักดีจริงหรือ?

เซวียหย่วนลอบมองกู้หยวนไป๋ ต้องการเห็นเขายิ้ม ไม่อยากเห็นเขาเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ถ้าโกรธจนส่งผลเสียต่อพระพลานามัยจะทำอย่างไร นี่น่ะหรือเป็นหัวใจที่ภักดีอย่างแท้จริง

กู้หยวนไป๋เอ่ย “เจ้าไปเชิญราชครูหลี่เป่าเข้ามา ตอนนั้นเขาผ่านเหตุการณ์การต่อสู้ของหนิวเกาด้วยตัวเอง น่าจะเล่าได้มีอรรถรสกว่าอาจารย์ใหญ่”

เซวียหย่วนลุกขึ้นยืน เงาดำทอดลงมาตามตัว เขารับคำด้วยเสียงหนึ่งก่อนหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ จากไป

กู้หยวนไป๋ถูกเงาดำบดบังทัศนวิสัยอยู่ครู่หนึ่ง เขามองตามแผ่นหลังของเซวียหย่วนไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองแวบแรกก็พบว่าเซวียหย่วนดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย

กู้หยวนไป๋ขมวดคิ้วถาม “ปีนี้เซวียจิ่วเหยาอายุเท่าใดแล้ว”

เถียนฝูเซิงครุ่นคิด เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “น่าจะยี่สิบสี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ยี่สิบสี่แล้วยังสูงได้อีกหรือ? กู้หยวนไป๋มองดูขุนนางแต่ละคนที่เคร่งเครียดตรงหน้าพลางคิดไปเรื่อยเปื่อย เจิ้นเพิ่งจะยี่สิบเอ็ด เหตุใดจึงไม่สูงขึ้นเล่า

ขุนนางด้านหน้าภาวนาให้อาจารย์ใหญ่พูดเร็วขึ้นกว่านี้อีกสักนิด แล้วในที่สุดอาจารย์ใหญ่ก็เล่ารอบนี้จบทว่ายังไม่กล้าลงไป ก่อนขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้จะเดินเข้าไปบอกว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่ รีบลงมาเถิด วันนี้ท่านเหนื่อยมามากแล้ว อากาศข้างนอกร้อนนัก ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนได้”

ครั้นทุกคนเห็นว่าอาจารย์ใหญ่เดินลงมาก็นึกว่ามันจบลงแล้ว หัวใจจึงพลันผ่อนคลาย สีหน้าล้วนเผยความโล่งใจออกมาให้เห็น ทว่าฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหลังยังคงไม่ตรัสคำ จึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือขยับตัวส่งเดช

หลังจากความเงียบงันผ่านพ้นไปหนึ่งเค่อเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นหน้าประตู ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นหลี่เป่า นักปราชญ์ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเดินเข้ามาพร้อมกับไม้เท้า เขาก้าวไปเบื้องหน้าทีละก้าว เมื่อเห็นสายตาของขุนนางทุกคนที่จับจ้องมาก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนกล่าวด้วยเสียงอันดังและทรงพลัง “วันนี้ผู้ชรามาที่นี่ เพื่อเล่าเหตุการณ์การต่อสู้ของหนิวเกา ที่ก่อความวุ่นวายให้แก่ราชสำนักในยุคสมัยฮ่องเต้องค์ก่อนให้ใต้เท้าทุกท่านฟัง!”

บรรดาขุนนางต่างรู้สึกเวียนศีรษะตาลาย หัวใจเต้นรัวเร็วฉับพลัน ประเดี๋ยวโล่งอกประเดี๋ยวตึงเครียด เช่นนี้น่าตกใจจนสองขาสั่นเทาและอยากจะวิ่งหนี

แม้ดวงอาทิตย์ภายนอกจะจ้าทว่าไม่ร้อนแรง อย่างไรก็ดีคนภายในห้องกลับเหมือนอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อนเดือนเจ็ด ร้อนจนแทบหายใจไม่ออก

หลังจากหลี่เป่าเล่าจบและถูกคนส่งออกไปแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายอีก

กู้หยวนไป๋รออยู่ครู่หนึ่งก่อนถามขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ใต้เท้าทุกท่านมีความเห็นใดหรือไม่”

ไม่กล้าขยับ ไม่กล้ามีความเห็น

เสนาบดีทั้งหกกรมและขุนนางคนสำคัญในจวนว่าการต่างๆ ชำเลืองมองกัน ใต้เท้าจ้าวหัวหน้าสภาองคมนตรีก้มหน้างุด หัวหน้าสำนักงานที่ปรึกษาราชการแผ่นดินแห่งสภาการปกครองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองแห่งนี้ไม่มีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับการตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็มีคนก้าวออกมาแล้วเอ่ยว่า “ความยุ่งเหยิงในการสมคบคิดมีแต่จะทำให้ราชสำนักปั่นป่วน ทันทีที่พบเจอจะต้องลงโทษสถานหนักไร้การผ่อนปรน!”

“เสนาบดีกรมอาญาพูดได้ถูกต้อง” ฮ่องเต้ตรัส “เช่นนั้นการลงโทษสถานหนักที่ว่านี้ควรจะลงโทษอย่างไร”

เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยว่า “จำแนกการสอบสวนตามระดับของโทษพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋พยักหน้า น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ท่านเสนาบดีกรมอาญากล่าวได้ถูกต้อง เจิ้นก็คิดเช่นนี้”

ครั้นขุนนางทุกคนได้ยินความอ่อนโยนในน้ำเสียงของฮ่องเต้ ความตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เสนาบดีกรมอาญากลับไม่กล้าคิดเหลวไหล เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าฮ่องเต้ยังมิได้เอ่ยในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด และถ้อยคำเหล่านั้นจะต้องเป็นเนื้อหาหลักในการออกมาครั้งนี้อย่างแน่นอน

เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเดิม “เช่นนั้นหากขุนนางท้องถิ่นที่เป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดใช้อำนาจส่วนตนในมือ กำจัดขุนนางอีกคนที่ไม่มีโทษสถานหนักถึงตาย และจัดสรรพรรคพวกของตัวเองเข้าแทนในตำแหน่งที่ขาด เช่นนี้ควรลงโทษสถานใด”

จู่ๆ เสนาบดีกรมอาญาก็เกิดความกดดันอันใหญ่หลวง เขาไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความรอบคอบ “สมควรลงโทษฐานที่บิดเบือนกฎหมาย เล่นพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและประพฤติผิดศีลธรรมพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้มิได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่หันไปเรียกถาม “เสนาบดีกรมปกครอง ท่านเห็นว่าควรทำเช่นไร”

ทุกคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเรียกเสนาบดีกรมปกครองอย่างกะทันหัน จึงหันไปมองเสนาบดีกรมปกครองปราดหนึ่งซึ่งบัดนี้เขาก็เหงื่อชุ่มไปทั้งศีรษะแล้วเช่นกัน ทว่ายังกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “กระหม่อมเห็นว่าท่านเสนาบดีกรมอาญากล่าวได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”

เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งแล้วที่ฮ่องเต้ปกครองราชสำนักด้วยตัวเอง ซึ่งทุกคนก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าหากฮ่องเต้พระอารมณ์ดี ก็จะเรียกขุนนางว่าขุนนางที่รักเช่นนั้นเช่นนี้ หากพระอารมณ์ไม่ดี หรือหากขุนนางคนใดละเมิดข้อห้ามของเขา เขาก็จะเรียกชื่อตำแหน่งเต็มด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เช่นเดียวกับที่กำลังเรียกเสนาบดีกรมปกครองในขณะนี้

“เจิ้นก็คิดว่าเสนาบดีกรมอาญากล่าวได้ถูกต้อง” กู้หยวนไป๋หัวเราะ “บังเอิญว่าตอนนี้เกิดเรื่องที่เจิ้นกล่าวมาพอดี ในเมื่อท่านเสนาบดีกรมปกครองเห็นดีว่าควรจะจัดการเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไปจัดการเรื่องนี้กับศาลสถิตยุติธรรมให้ดีเถิด”

เสนาบดีกรมปกครองไม่ได้มีหน้าที่ในการจัดการเรื่องเหล่านี้ หนังตาของเขากระตุก บังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ “พ่ะย่ะค่ะ”

ในที่สุดกู้หยวนไป๋ก็ลุกขึ้นยืน เขากำลังจะเดินออกไปด้านนอกภายใต้การปรนนิบัติของข้ารับใช้ แต่เพิ่งเดินจากไปได้เพียงสองก้าวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหันกลับมากล่าวว่า “ท่านเสนาบดีกรมปกครอง สำนักที่เกี่ยวข้องกับขุนนางในคดีนี้ก็คือ ‘สำนักศึกษาซวงเฉิง’ ”

คนในราชสำนักที่เป็นคนของสำนักศึกษาซวงเฉิงต่างตะลึงพรึงเพริด

ฮ่องเต้ยิ้มคราหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจิ้นหวังว่าท่านจะไม่ทำผิดฐานบิดเบือนกฎหมายเพื่อผลประโยชน์”

“ราชสำนักให้ความสำคัญกับขุนนางและควรให้บ้านเมืองและราษฎรมาก่อน” กู้หยวนไป๋กวาดตาไปยังขุนนางทีละคน เอ่ยว่า “เจิ้นก็หวังว่าขุนนางที่รักทุกท่านคงทราบว่าบทเรียนสามบทที่พวกเราฟังกันในวันนี้พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง”

คนในราชสำนักที่เป็นตัวแทนจวนว่าการต่างๆ เหงื่อกาฬท่วมตัว ค้อมตัวลงต่ำ “พ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เดินออกมาจากห้องเรียน ทว่าสองขาของเหล่าขุนนางที่อยู่ในนั้นกลับแข็งทื่อ ในขณะที่เหล่าใต้เท้าต่างกำลังหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นพลันได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “เชิญใต้เท้าทุกท่านกลับเถิด ภารกิจในแต่ละฝ่ายไม่อาจรีรอได้แม้แต่เค่อเดียว”

แม่ทัพเซวียที่ถูกฝังอยู่ท่ามกลางบรรดาขุนนางรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูยิ่งนัก ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นบุตรชายของตนเอง

เซวียหย่วนยิ้มอย่างสุภาพ บุคลิกดูแสนจะไม่ธรรมดาสามัญ

เหล่าขุนนางได้สติและเริ่มออกไปทีละสองสามคน แม่ทัพเซวียเดินเลียบๆ ไปด้านข้างจนถึงเบื้องหน้าเซวียหย่วน กระซิบเสียงเบา “วันนี้ฝ่าบาทเป็นอะไรไป สำนักศึกษาซวงเฉิงเกิดคดีใหญ่อะไรรึ”

เซวียหย่วนก้มหน้าเหลือบมองบิดา เอ่ยสบายๆ ว่า “แม่ทัพเซวียคิดจะสืบพระราชประสงค์ของฝ่าบาทหรือ?”

แม่ทัพเซวียโมโหจนใบหน้าบึ้งตึง ก่อนก้าวเท้ายาวๆ จากไป

รอกระทั่งทุกคนเดินไปหมด เซวียหย่วนจึงจัดดาบที่เอวแล้วรีบไล่ตามทิศทางที่ฮ่องเต้จากไป

ครั้นเขาเดินมาถึงหน้าประตูสำนักกั๋วจื่อเสวียรถม้าของฮ่องเต้ก็ออกไปไกลแล้ว เซวียหย่วนหลุดหัวเราะ เขามองไปรอบๆ ก่อนก้าวไปข้างหน้าและดึงแม่ทัพเซวียลงจากม้า จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นม้าแล้วหวดแส้ “ย่าห์!” เพื่อไล่ตามไปยังทิศทางเดียวกับกู้หยวนไป๋

แม่ทัพเซวียกระทืบเท้าอยู่ที่เดิมด้วยความเกรี้ยวกราด “ลูกทรพี ลูกทรพี…!”

ผ่านไปเพียงครู่เดียวเซวียหย่วนก็ตามขบวนใหญ่ทัน เขาขี่ม้าเลียบไปกับรถม้าของกู้หยวนไป๋ กระแอมกระไอก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หากพระอารมณ์ไม่ดีก็มาระบายกับกระหม่อมได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เพิ่งจะพูดไปได้สองคำก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

หลายวันก่อนที่ฮ่องเต้ด่าเขาว่าเป็นเดรัจฉานแล้วทำให้ส่วนนั้นแข็งก็ช่างมันไปเถิด เซวียหย่วนรู้สึกว่าระยะหลังนี้ธาตุไฟของตนรุนแรงเกินไป หากถูกด่าจนแข็งตัวขึ้นมาอีก แล้วทำให้ผู้อื่นตกใจจะทำอย่างไร

มือขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหน้าต่าง กู้หยวนไป๋ที่อยู่ในรถม้าเผยใบหน้าออกมาให้เห็นเพียงครึ่ง ริมฝีปากสีจางยกมุมขึ้นอย่างขบขัน สันกรามที่คมชัดแสดงความงามอันเยือกเย็นที่ซ่อนความดุดันไว้อย่างเลือนราง “องครักษ์เซวีย นี่มันวาจาอะไรกัน หรือเห็นเจิ้นเป็นพวกโมโหแล้วชอบระบายความโกรธกับคนข้างกายเช่นนั้นหรือ”

ยิ่งไปกว่านั้นกู้หยวนไป๋ระงับโทสะได้นานแล้ว เหตุใดต้องทำให้ตัวเองขุ่นข้องหมองใจเพราะคนเขลากลุ่มหนึ่งด้วย หากต้องขาดใจตายไป…

กู้หยวนไป๋อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคอของเซวียหย่วนผ่านหน้าต่างรถม้า

เขายังจำความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อยความโกรธและความหงุดหงิดนานาชนิดที่ข่มไว้ส่วนลึกของหัวใจขณะที่กัดคอเซวียหย่วนคราวก่อนได้ บอกตามตรงว่ามันรู้สึกดีมาก นับตั้งแต่เขาทะลุมิติมายังต้าเหิงจนถึงตอนนี้ ก็มีเพียงเซวียหย่วนเท่านั้นที่สามารถอดทนให้เขาระบายอารมณ์ใส่ได้ เซวียหย่วนมีผิวหนังหนาเหมือนกับหมาบ้า กู้หยวนไป๋สามารถแสดงพฤติกรรมและวาจาที่ไม่สอดคล้องแก่การเป็นจักรพรรดิ ทั้งยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

เขาทำเช่นนี้กับคนอื่นไม่ได้ ทำกับหัวหน้าทหารองครักษ์ไม่ได้ ทำกับเถียนฝูเซิงไม่ได้ ทำกับฉู่เว่ยไม่ได้ ทำกับคนในหน่วยควบคุมดูแลก็ไม่ได้ ล้วนทำไม่ได้ทั้งนั้น

กู้หยวนไป๋คือภูเขาลูกหนึ่ง ขุนเขาในหัวใจของพวกเขาลูกนี้ไม่อาจพังทลายหรือฉุนเฉียวได้ จะต้องสงบนิ่ง ไม่อาจระบายความรู้สึกในใจ จะต้องเป็นคนที่ลึกซึ้งคาดเดาไม่ถูก อุทิศตนเพื่อรับใช้บ้านเมืองและราษฎร

เมื่อผ่านไปนานก็ทำให้เกิดความเหงาอยู่บ้าง

จักรพรรดิบนเส้นทางสายโดดเดี่ยวก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง แต่จะว่าไปกู้หยวนไป๋ก็ยังคงเป็นชายหนุ่มที่มองโลกในแง่ดีและอนาคตไกล ผู้ซึ่งชื่นชอบในการผจญภัยและความตื่นเต้นจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอยู่ดี

เซวียหย่วนเห็นว่าสายตาของกู้หยวนไป๋ไม่ละไปจากคอของเขาเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกคันตรงส่วนที่ถูกกัดก่อนหน้านี้ เขายกมือขึ้นลูบบริเวณคอที่รักษาหายแล้ว เหลือบมองกู้หยวนไป๋ก่อนโน้มตัวลงไปกับหลังม้า มือหนึ่งค้ำตัวรถม้าไว้เพื่อทรงตัว ยื่นศีรษะเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วกระซิบด้วยความเจ้าเล่ห์ว่า “ฝ่าบาทประสงค์ที่จะกัดคอของกระหม่อมอีกครั้งหรือพ่ะย่ะค่ะ”

กู้หยวนไป๋เหลือบตาขึ้นมองเขา

เซวียหย่วนเลียริมฝีปากเบาๆ พลันหัวเราะออกมา “ฝ่าบาททรงโปรดชู่จวีมิใช่หรือ อีกทั้งวันนี้ก็ยังพระอารมณ์ไม่ดีอีก เช่นนั้นกระหม่อมกับใต้เท้าจางเตะชู่จวีให้ฝ่าบาททอดพระเนตรดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมคิดว่าของรางวัลไม่จำเป็นต้องมากมาย” ดวงตาดำขลับของเซวียหย่วนจับจ้องอยู่ที่กู้หยวนไป๋ กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ฝ่าบาททรงพระสรวลและเกษมสำราญ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 ..  65

 

  

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

community.jamsai.com