X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 3 บทที่ 182-บทที่ 183

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 182

ใต้แสงตะวันงามตา คันธนูเรียงรายเป็นแถวส่องประกายเย็นเยียบชวนให้หนาวสะท้านจับจิตจับใจ

ชาวเมืองที่มุงดูอยู่มีสีหน้าสะพรึงกลัว พากันถอยหลังทีละก้าวๆ ก่อนจะแตกฮือสลายตัวไปในพริบตาเดียว

“ฮูหยินผู้เฒ่า เชิญเข้าไปนั่งข้างในเถอะขอรับ” เจียงหย่วนเฉาหยักยิ้มบางๆ ดุจเก่า หากสีหน้านิ่งสนิท

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบูดบึ้ง นางมองเจียงหย่วนเฉาอย่างพินิจ “มิน่าใต้เท้าอายุยังน้อยก็อยู่ในตำแหน่งสูง สมดังคำกล่าวว่าผู้สำเร็จการใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย แต่ใต้เท้าน่าจะเคยได้ยินว่าปิดปากไพร่ฟ้าเป็นภัยยิ่งกว่าลำน้ำอุดตันกระมัง”

เจียงหย่วนเฉายิ้มน้อยๆ “ในเมืองหลวงมีเรื่องราวมากมาย เรื่องของคนอื่นพรรค์นี้ เดินคล้อยหลังไปพวกชาวบ้านก็ลืมหมดแล้วขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มเยาะ “ถูก ไม่ใช่เรื่องของตัวเองคล้อยหลังไปก็ลืมแล้วจริงๆ แต่ว่าเรื่องที่คนผู้หนึ่งกระทำเอาไว้นั้นลบทิ้งไปไม่ได้หรอกนะ”

ใช่ว่านางมิได้คาดคะเนถึงรูปการณ์นี้ ขับไล่ชาวบ้านไปแล้วจะมีอันใด พวกเขาเหล่านี้กับชาวบ้านทั่วไปไม่ใช่แวดวงเดียวกัน ชาวบ้านคล้อยหลังไปก็ลืม แต่ถึงที่สุดแล้วต้องมีบางคนอยู่ในแวดวงเดียวกับคุณหนูเจียง

นางไม่อาจใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ทำให้คุณหนูเจียงเสียโฉมเหมือนกัน ทว่าอย่างน้อยทำให้อีกฝ่ายชดใช้ด้วยชื่อเสียงได้

พอเห็นท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแข็งกร้าวเช่นนี้ เจียงหย่วนเฉาถอนใจเบาๆ แล้วออกคำสั่ง “เชิญฮูหยินผู้เฒ่ากับใต้เท้าหลีเข้าไปข้างใน” ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวเดินไป

นี่คือจะใช้ไม้แข็งแล้ว

“ห้ามแตะต้องท่านย่ากับท่านพ่อข้านะ” หลีฮุยกระโดดลงจากรถม้าพุ่งทะยานไป เขาวิ่งเร็วเกินไปจนหอบหายใจแฮกๆ สองแก้มแดงก่ำ แต่แววตาวาวโรจน์จนน่าตกใจ

“ฮุยเอ๋อร์ เจ้ามาตอนนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดดุเสียงขุ่นๆ แล้วเหลือบตามองไปทางรถม้า

เจียงหย่วนเฉามองตามสายตาของหญิงชรา รอยยิ้มมุมปากเขาก็เลือนหายไปในชั่วอึดใจ

เด็กสาวก้มศีรษะลงจากรถม้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองมาอย่างสงบนิ่ง

แก้มขวาของนางหายบวมแล้ว ทว่ารอยแผลนั่นยิ่งเด่นชัดขึ้น เห็นแล้วชวนให้เจ็บแปลบปลาบในใจลึกๆ

เฉียวเจาเยื้องย่างด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะ เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ องครักษ์จินหลินที่ถืออาวุธมีคมเปล่งประกายวาววับก็อดเบนสายตาออกไม่ได้

พวกเขาเห็นการพลัดพรากสูญเสียมาจนชาชิน แม้กระทั่งเวลาตามล่าจับกุมคนร้าย พวกสตรีในครอบครัวเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงจบชีวิตต่อหน้าต่อตาก็พบได้บ่อยๆ แต่เห็นเด็กสาวที่งดงามดุจบุปผาโดนทำลายโฉมจนกลายเป็นเช่นนี้อย่างไม่ปรานีปราศรัยกับตา ก็บังเกิดความรู้สึกทนดูไม่ได้

อีกทั้งเป็นคุณหนูเจียงยิงที่ยิงธนูใส่คุณหนูผู้นี้ โทษมิได้ที่บิดาพี่ชายและผู้อาวุโสในครอบครัวนางจะโมโหโกรธาถึงขั้นที่ต้องทวงความยุติธรรมให้ได้

ความยุติธรรมน่ะหรือ โลกนี้มีความยุติธรรมที่ใดกันเล่า

เมื่อเด็กสาวเดินมาถึง ไม่มีองครักษ์จินหลินคนใดยื่นมือขัดขวาง

“เจาเจา เจ้ามาได้อย่างไรกัน” พอเห็นเฉียวเจาตามมา ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ยิ่งทำสีหน้าไม่ดีมากขึ้น

อันที่จริงตามสภาพการณ์ในวันนี้ ถ้าจะให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด หลานสาวของนางต้องปรากฏตัวด้วยเพื่อเผยใบหน้าให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาคนทั่วหล้า

ทว่านางหักใจทำไม่ได้ หลานสาวของนางต้องทุกข์ทรมานปานนี้ ไหนเลยจะปล่อยให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์รูปลักษณ์หน้าตากันอย่างสนุกปากเหมือนเป็นสิ่งของได้อีก เช่นนี้โหดร้ายต่อเจาเจาเกินไป!

“เหอซื่อ ข้าสั่งกำชับเจ้าไว้เช่นไร”

“เจาเจา…อยากมา” เหอซื่อพูดอึกๆ อักๆ

เฉียวเจายื่นมือไปกุมมือฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไว้ ค่อยหมุนกายไปสบตากับเจียงหย่วนเฉา

ในใจชายหนุ่มปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบแม่นางน้อยผู้นี้อีกครั้งในสถานการณ์ขัดแย้งตึงเครียดเช่นนี้

ครั้นนางเดินหน้าก้าวหนึ่ง เจียงหย่วนเฉาก็ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

พวกองครักษ์จินหลินมองหน้ากันไปมา

ท่านสิบสามของพวกเขาเป็นอะไรไป ถึงกับตกใจกับบาดแผลบนใบหน้าของเด็กสาวผู้หนึ่ง นี่ไม่พ้องกับปกติวิสัยเอาเสียเลย!

เฉียวเจายืนอยู่ตรงหน้าเจียงหย่วนเฉา นางลอบสะทกสะท้อนใจ

นี่ก็คือองครักษ์จินหลิน ผู้ที่ไม่มีวันเป็นสหายได้ตลอดไป ด้วยไม่รู้ว่าวันใดที่ได้พบกันอีกครา อีกฝ่ายจะหันหลังให้อย่างสิ้นไมตรี

ฝ่ายเจียงหย่วนเฉาพลันรู้สึกว่าสายตาของเด็กสาวตรงหน้าบาดตาอยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็เจ็บตรงกลางอกแปลบหนึ่ง ราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างไป แต่เขากลับไม่อาจรู้ได้

น่าจะ…เป็นเพราะเห็นสิ่งที่สวยงามถูกทำลายลงอย่างโหดร้าย ในใจถึงบังเกิดความเสียหายกระมัง

เขาเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเฉกเดียวกัน เป็นมนุษย์ก็ย่อมต้องมีเลือดเนื้อและจิตใจ

สีหน้าแววตาของชายหนุ่มอ่อนละมุนลง น้ำเสียงเขาสุภาพนุ่มนวลยิ่ง “คุณหนูหลี บาดแผลบนใบหน้าท่านไม่พึงโดนแสงแดดโดยตรง ท่านมิสู้เกลี้ยกล่อมท่านย่าของท่านเข้าไปในที่ว่าการก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่านะ”

หลีกวงเหวินฉุนโกรธ “อย่าพูดคุยกับบุตรสาวข้า!”

เจียงหย่วนเฉาอึ้งงัน “…”

พวกองครักษ์จินหลินอึ้งงันมากยิ่งกว่า “…” ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เหมือนกับที่คิดไว้อยู่สักหน่อย

องครักษ์จินหลินสองคนในบรรดานั้นสบตากันแล้วแจ่มแจ้งในบัดดล

นึกออกแล้ว วันที่ฝนตกหนักวันนั้นมิใช่เจ้าคนทึ่มผู้นี้ขวางหน้าพวกข้าไว้แล้วด่าทอสาดเสียเทเสียหรือ ท่านสิบสามไม่เพียงไม่ถือสาหาความ ยังให้พวกข้าพาเจ้าคนทึ่มที่หลงทางผู้นี้ไปส่งถึงเรือนอีกด้วย

หรือว่าท่านสิบสามใจกว้างถึงเพียงนี้เพราะคุณหนูหลีท่านนี้?

องครักษ์จินหลินทั้งสองรู้สึกได้เลาๆ ว่าค้นพบเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ทว่ายังบอกคนอื่นไม่ได้!

เฉียวเจานิ่งมองเจียงหย่วนเฉาเงียบๆ นางนึกในใจ

มิน่าเจียงหย่วนเฉาอายุยังน้อยๆ ก็เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินได้แล้ว ตัดสินใจได้เด็ดขาดฉับไวจนคลี่คลายสถานการณ์ที่ท่านย่าสร้างขึ้นได้มากกว่าครึ่ง เพียงความใจกล้าเชื่อมั่นในตนโดยไม่กลัวเสียงประณามก็หาได้ยากแล้ว

สำหรับชื่อเสียงของคุณหนูเจียง…

ในใจเฉียวเจาชักสับสนงุนงง

ดูท่าทางเจียงหย่วนเฉามิได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของคุณหนูเจียงสักเท่าไร

เพราะเห็นว่าไม่ว่าชื่อเสียงของคุณหนูเจียงจะเป็นเช่นไร คนอื่นล้วนได้แต่เก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดซึ่งๆ หน้าใช่หรือไม่

เฉียวเจาลอบยิ้มเยาะ นางไม่กระทำเรื่องที่เสียเปรียบ ในเมื่อเจียงซือหร่านยิงธนูดอกที่สามแล้ว วันหน้าก็จะคบหาสมาคมกับหมู่สตรีชั้นสูงไม่ได้อีก

องครักษ์จินหลินอาจมีอำนาจบารมีล้นฟ้า ทว่าท้ายที่สุดแผ่นดินนี้หาใช่แผ่นดินของพวกเขาไม่ เพียงแต่คุณหนูเจียงไม่เคยสำเหนียกถึงจุดนี้มาก่อนเท่านั้นเอง

จุดมุ่งหมายของท่านย่าลุล่วงไปเกินครึ่ง ตอนนี้เจียงถังจะขอขมาหรือไม่มิใช่เรื่องสำคัญ เพราะทุกคนล้วนเห็นว่าชาวสกุลหลีก้าวออกมาแล้ว

สิ่งที่พวกท่านย่าต้องการในขณะนี้คือเอาตัวรอดไปได้อย่างปลอดภัยหลังได้พบกับเจียงถัง

แล้วเรื่องนี้คือหน้าที่ของนาง

ปัญหาที่นางก่อขึ้นย่อมสมควรให้นางสะสางเป็นธรรมดา

เฉียวเจาผงกศีรษะน้อยๆ กับเจียงหย่วนเฉา

เขาลอบผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง ดีชั่วในครอบครัวนี้ก็มีคนที่เข้าใจเหตุผลผู้หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกท่านเข้าไปข้างในเถอะ”

เฉียวเจาหันหน้าไปพยักพเยิดกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง

นางไม่ได้กล่าววาจาสักคำ แต่พอสบสายตาสุขุมเยือกเย็นของหลานสาว ในใจหญิงชราก็บังเกิดความมั่นใจแล้วโดยพลัน

ในเมื่อนางตั้งความหวังให้หลานเจาปกป้องดูแลลูกหลานรุ่นหลังในภายภาคหน้า ไยวันนี้ไม่ฉวยจังหวะนี้ดูฝีมือของหลานเจาเล่า

บางทีสิ่งที่นางต้องมอบให้หลานเจามากขึ้นคือความไว้ใจและการสนับสนุน

“ได้ พวกเราเข้าไปรอข้างใน” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลุกขึ้นในที่สุด

ชะรอยจะนั่งนานเกินไป อีกทั้งสูงวัยแล้ว หญิงชราตัวเซไปวูบหนึ่ง

“ฮูหยินผู้เฒ่าระวังเจ้าค่ะ!” เหอซื่อพยุงมารดาสามีไว้

เฉียวเจาหลับตาลงกลั้นน้ำตาไว้ นางคาดคำนวณไว้หมดทุกสิ่ง ลืมเลือนเพียงอย่างเดียวก็คือความห่วงใยและสงสารของชาวสกุลหลี

วันหน้าไม่มีซ้ำสองอีก…

เฉียวเจาลืมตาขึ้นอีกครา ชำเลืองมองเจียงหย่วนเฉาแวบหนึ่งก่อนย่างเท้าเข้าไป

เขาอึ้งไปเล็กน้อย แม่นางน้อยร่ำไห้แล้วใช่หรือไม่

สายตาของชายหนุ่มกวาดผ่านพวงแก้มที่เป็นแผลของเด็กสาวแล้วเลื่อนลงมองปราดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เขานิ่งขึงไปกะทันหัน

ตรงเอวของนางเหน็บถุงผ้าปักไว้ใบหนึ่ง ปักลายลูกเป็ดน่ารักน่าเอ็นดูไว้ตรงมุม แต่ตาเป็ดสีเขียวสดใสราวกับผิวน้ำทะเลสาบในวสันตฤดูคู่นั้นกลับทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น

บทที่ 183

แรกวสันต์จวนมาเยือน สายน้ำอุ่นเป็ดรู้ก่อน*

ดวงตาเป็ดที่ปักเป็นสีเขียว เขาเคยเห็นมาแล้ว

ฤดูใบไม้ผลิของแดนเจียงหนาน* งดงามหนักหนา เฝ้าคะนึงหาหญิงในดวงใจยากลืมเลือน

ริมฝีปากของเจียงหย่วนเฉาไม่หลงเหลือรอยยิ้มให้เห็นอีก สีหน้าปึ่งชาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขาคว้าข้อมือเฉียวเจาหมับพานางเข้าไปในที่ว่าการ

พวกองครักษ์จินหลินตกใจจนอ้าปากค้าง

องครักษ์จินหลินสองคนที่จำหน้าหลีกวงเหวินได้สบตากันพลางคิดคำนึงอย่างใจตรงกัน

ใจร้อนเกินไปแล้ว ดีชั่วใต้เท้าก็ต้องรอให้บิดาของนางกลับไปแล้วสิ!

หลีกวงเหวินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “บัดซบ! ปล่อยบุตรสาวข้านะ”

ถึงเขามีเรือนกายผอมบาง แต่พละกำลังที่ปลดปล่อยออกมาในเวลานี้กลับไม่น้อยเลย ทั้งพวกองครักษ์จินหลินกำลังงุนงงกับการกระทำของท่านสิบสามของพวกตนอยู่ ชั่วขณะที่เขาโถมเข้าใส่ก็โดนชนกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง

เจียงหย่วนเฉากล่าวคำหนึ่งห้วนๆ โดยไม่เหลียวหลัง “เชิญพวกเขาไปนั่งในเรือนก่อน”

เมื่อมีคำกล่าวนี้ของผู้บังคับบัญชา องครักษ์จินหลินก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาเชื้อเชิญกึ่งบังคับพวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเข้าสู่เรือนทันที

เฉียวเจาไม่คิดว่าเจียงหย่วนเฉาจะเสียสติกะทันหัน ร่างนางเซถลาอย่างตั้งตัวไม่ติดจนกระเทือนถูกบาดแผล แต่กลับพูดไม่ได้อีก นางเจ็บจนน้ำตาร่วงทันใด

เมื่อเห็นน้ำตาของเด็กสาวอย่างไม่ทันตั้งตัว เจียงหย่วนเฉาอึ้งไป เขาคลายมือออกโดยไม่รู้ตัว

เฉียวเจายืนตัวตรงมองเขาโดยไม่ปริปาก

เจียงหย่วนเฉายื่นมือปิดประตูดังปัง

ภายในห้องเล็กๆ มีเพียงเขากับนางสองคน

“นี่ได้มาจากที่ใด” เขากระตุกถุงผ้าปักจากตรงเอวของเฉียวเจาแล้วยื่นไปตรงหน้านาง

ถุงผ้าปักใบนี้?

ดวงตาของเฉียวเจาเปล่งประกายวูบหนึ่ง หรือจะบอกว่าเมื่อครั้งที่นางช่วยชีวิตเขาไว้โดยไม่ตั้งใจในตอนนั้น เขาสังเกตเห็นถุงผ้าปักเช่นนี้

คนผู้นี้ไม่เสียทีที่เป็นองครักษ์จินหลิน ผ่านมาตั้งนานหลายปี ถึงกับจดจำถุงผ้าปักพกติดกายของเด็กสาวที่พานพบกันโดยบังเอิญได้อย่างแม่นยำเช่นนี้

“ไฉนไม่พูดไม่จา” เจียงหย่วนเฉายกมือดันตัวเฉียวเจาไปชิดผนังห้อง ดวงตาทั้งคู่ตรึงแน่นอยู่ที่นางราวกับตะขอเกี่ยว

เฉียวเจาหลับตาลง นี่เป็นเรื่องยุ่งยากที่เหนือคาดจริงๆ

บนเปลือกตาพลันมีบางสิ่งอุ่นๆ แตะลงมา เป็นนิ้วมือของอีกฝ่าย

“ลืมตาขึ้น” บุรุษผู้มีรอยยิ้มเป็นนิจใช้ปลายนิ้วลูบไล้เปลือกตาของนาง พลางพูดสั่งเสียงเย็นๆ

แล้วความเย็นเช่นนี้หาใช่ความเย็นที่ไร้ความร้อน มันละม้ายภูเขาไฟโดนหิมะน้ำแข็งปกคลุมไว้ที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ

เหตุใดเขาต้องสนใจมันถึงเพียงนี้ แม่นางเฉียวขุ่นเคืองแกมสงสัย

นางลืมตาขึ้นจะดีกว่า คนผู้นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมจนรับรู้ถึงลมหายใจได้แล้ว

“สิ่งนี้…ไปได้มาจากที่ใดกันแน่” นัยน์ตาทั้งคู่ของชายหนุ่มคมปลาบดุจใบมีด หมายมองทะลุไปถึงความคิดในใจของคนตรงหน้า

สุ้มเสียงของเขาทุ้มต่ำลง หากคำเตือนที่แฝงอยู่ในนั้นเด่นชัดเหลือเกิน “คุณหนูหลี ข้าไม่อยากพูดซ้ำเป็นครั้งที่สามนะ”

ถ้าไม่ใช้วาจาพิฆาตอีกฝ่าย ก็ใช้กำลังกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง จนใจที่ยามนี้แม่นางเฉียวไม่มีทั้งสองอย่าง แม้นนางจะโกรธเคืองสุดจะกล่าว ก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม จับมือของเจียงหย่วนเฉาขึ้นมา

เขาหลุบตาลง

ฝ่ามือเรียวบางนุ่มนิ่มของเด็กสาวมีขนาดเล็กกว่าเขามากมายนัก นางใช้นิ้วชี้เขียนทีละขีดๆ เป็นตัวอักษรตรงกลางฝ่ามือเขา

นางเขียนคำแรกว่า ‘เจ็บ’ ก่อน จากนั้นเหลือบตามองเขาเงียบๆ

จู่ๆ เจียงหย่วนเฉาก็ไม่ใคร่กล้ามองตาเด็กสาวกะทันหัน

เมื่อครู่นี้เขา…วู่วามเกินไปจริงๆ!

“คุณหนูหลี ตอนนี้ท่านพูดไม่ได้?”

เฉียวเจากะพริบตา

หากไม่ใช่เช่นนั้นจะเป็นนางกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ จึงชม้ายชายตาให้เขาตลอดตอนอยู่นอกที่ว่าการหรืออย่างไร

ในใจชายหนุ่มรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน แต่ถุงผ้าปักใบนั้นเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้จนทนรอไม่ไหว กระทั่งผู้มีความอดทนเฉกเขาก็ไม่อาจสะกดความร้อนรนนี้ไว้ได้

“ถุงผ้าปักใบนี้เป็นของท่านใช่หรือไม่”

เฉียวเจาพยักหน้า

“เพราะอะไรท่านถึงมีถุงผ้าปักเช่นนี้ แล้วไฉนถึงปักตาเป็ดเป็นสีเขียว” เจียงหย่วนเฉาหลับตาแล้วลืมตาขึ้นจ้องนางเขม็ง “ข้าเคยเห็นถุงผ้าปักเช่นนี้มาก่อน อย่าบอกว่านี่เป็นแค่ความบังเอิญ”

เขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ใช้นิ้วเชยคางเด็กสาวขึ้นแล้วกล่าวเอื่อยๆ “คนที่เป็นองครักษ์จินหลินปกติแล้วไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ คุณหนูหลี ท่านเป็นคนฉลาด อย่าทดสอบความอดทนของข้าดีหรือไม่”

เขาก้มศีรษะแล้วยื่นหน้าไปริมใบหูเฉียวเจา พลางพูดกระซิบ “อย่าลืมนะว่าบิดามารดาและคนในครอบครัวท่านล้วนดื่มชาอยู่ในห้องด้านข้าง”

ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายกร้าววูบหนึ่ง องครักษ์จินหลินล้วนเป็นพวกบัดซบเลือดเย็นไร้ความรู้สึกดังคาด!

ก่อนหน้านี้พบกันหลายครั้ง ดีชั่วเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ยังรักษากิริยามารยาทดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองก็เผยธาตุแท้ออกมาจนสิ้น

ทว่าแค่ถุงผ้าปักใบหนึ่ง เขาจะคาดคั้นอย่างไม่ลดละไปด้วยเหตุใดกัน

เป็นคราครั้งแรกที่เฉียวเจาจับต้นชนปลายไม่ถูกโดยสิ้นเชิง

หากเปลี่ยนเป็นฉือชั่นซึ่งมีนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นางยังไม่รู้สึกแปลกใจ แต่เจียงหย่วนเฉาในความรู้สึกของนางเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึกพอสมควร คนที่ได้นั่งตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินตั้งแต่อายุยังน้อยได้ จะควบคุมตนเองไม่อยู่จนฉุดนางเข้ามาในห้องต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้นี้ฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ

“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับสกุลเฉียวแห่งจยาเฟิงกันแน่”

เฉียวเจาสั่นสะท้านไปทั้งกาย

เจียงหย่วนเฉาจ้องตาเฉียวเจาตรงๆ พร้อมเอ่ยถามซ้ำ “หรือจะพูดว่าเจ้ากับคุณหนูใหญ่สกุลเฉียวมีความสัมพันธ์อะไรกัน”

เฉียวเจากลับสงบจิตใจลงได้แล้ว นางอยากเหยียดมุมปากขึ้นทว่าทำไม่ได้ ได้แต่ใช้นิ้วขีดเขียนบนฝ่ามือเขาว่า ‘คุณหนูเฉียวกับท่านมีความสัมพันธ์อะไรกัน’

เจียงหย่วนเฉาตอบไม่ออก

คุณหนูเฉียวกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน แน่นอนว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกันสักนิด

ความเกี่ยวข้องเพียงประการเดียวคือเขาลอบมีจิตปฏิพัทธ์ต่อคุณหนูเฉียวข้างเดียว ส่วนคุณหนูเฉียวไม่มีทางได้รับรู้อีกแล้ว และเขาก็หมดโอกาสที่จะได้เอื้อนเอ่ยออกจากปากไปตลอดกาล

นัยน์ตาสุกใสแวววาวทั้งคู่ของเด็กสาวดำขลับดุจน้ำหมึก ต่อให้อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางยังปราศจากท่าทางแตกตื่นลนลานให้เห็น มีเพียงความสงบเยือกเย็น

กระนั้นสายตาเช่นนี้ก็ทำให้เขาปล่อยใจลอยไปไกลโดยไม่รู้ตัว หวนประหวัดถึงคนผู้นั้นครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ไม่วาย

เจียงหย่วนเฉาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าอารมณ์ชั่ววูบนี้มาจากที่ใด ขณะมองสบดวงตาคู่นี้ เขากล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ข้าชมชอบนาง”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 65)

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: