บทที่ 3
เฉียวเจาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าบุรุษเฉกเช่นฉือชั่นนี้ ปกติต้องมีหญิงสาวแอบทอดสะพานให้เขาเป็นจำนวนไม่น้อย ถ้านางเรียกเขาไว้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี อาจถูกมองเป็นสตรีที่ไม่บริสุทธิ์ใจก็เป็นได้
อืม…เรียก ‘ท่านอา’ น่าจะทำให้เขาวางใจได้กระมัง
เฉียวเจาซึ่งทึกทักเอาเองว่าตนนึกถึงใจผู้อื่นเริ่มบอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวอย่างรัวเร็ว “ข้าเป็นบุตรสาวของท่านอาลักษณ์หลีในเมืองหลวง ตอนงานเทศกาลกำเนิดบุปผาถูกลักพาตัวมาที่นี่ ท่านอาได้โปรดช่วยข้าด้วย…”
ท่านอา…
สองคำนี้ทำให้มุมปากของฉือชั่นกระตุกไม่หยุด เสียงหลุดหัวเราะดังพรืดหลายทีลอยแว่วมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นของสองสหายรัก
เขาอายุมากกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่กี่ปีแท้ๆ ไฉนกลายเป็นท่านอาไปเสียแล้ว ต้องเรียกว่า ‘พี่ชาย’ จึงจะถูก
แต่ว่า…ถ้ามีหญิงสาวโผล่มาเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ ตอนกลางวันแสกๆ เกรงว่าท่าทีแรกของเขาก็คือไล่ตะเพิดนางไปกระมัง
เมื่อใคร่ครวญถึงจุดนี้ ดวงตาของฉือชั่นก็ทอแววลึกล้ำ เวลานี้เขาถึงกับเพ่งมองเฉียวเจาอย่างจริงจัง
เด็กสาวมีเรือนร่างผอมเล็ก ลักษณะท่าทางอ่อนแอผิวบางละม้ายดอกอวี้หลัน* แรกแย้มที่ต้านทานลมฝนไม่ไหว ชวนให้เอ็นดูทะนุถนอมเป็นพิเศษ หากแต่ไฝแดงตรงหว่างคิ้วกลับทำให้ดอกอวี้หลันดอกนี้ดูงามยวนใจขึ้นมา
นี่เป็นเด็กสาวที่ฉลาดเฉลียวนางหนึ่ง… ฉือชั่นคิดคำนึง
“นีนี** กลับมาเร็วเข้า อย่าชนถูกผู้สูงศักดิ์นะ” โจรค้าทาสสลัดเสี่ยวเอ้อร์หลุดไปได้ในที่สุดวิ่งตะบึงมาถึงแล้วยื่นมือมาจะฉุดเฉียวเจา
นางผลุบไปหลบหลังฉือชั่นเหมือนมัจฉาลื่นไหลปราดเปรียว
เขาคว้าได้แต่ลมก็ทั้งร้อนใจทั้งโมโห เอ่ยอธิบายขึ้น “คุณชาย นี่เป็นบุตรสาวข้า นางมีเรื่องขัดใจกับข้าเพราะไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านอย่าเชื่อคำพูดเหลวไหลของเด็ก…”
“นี่ เจ้าเป็นบุตรสาวของเขาหรือ” ฉือชั่นเอี้ยวกายไปมองเฉียวเจายิ้มๆ
“ไม่ใช่” น้ำเสียงของเด็กสาวหนักแน่นเป็นพิเศษยามเปล่งวาจาออกมาสองคำอย่างเยือกเย็น ผิดแผกจากรูปโฉมภายนอกที่บอบบางอ่อนแอ
“พี่ชาย นางบอกว่าไม่ใช่นะ” ฉือชั่นมองไปทางโจรค้าทาส
เขาเห็นว่าสถานการณ์ชักไม่เข้าที จึงรีบปั้นหน้าซื่อๆ อย่างเจียมตนทันที พลางกล่าวทอดถอนใจ “มีบางอย่างที่คุณชายไม่ทราบ สองวันก่อน บุตรสาวข้าผู้นี้ถูกเจ้าหนุ่มตัวเหม็นผู้หนึ่งหลอกให้หนีตามกัน กว่าข้าจะตามกลับมาได้มิใช่ง่ายๆ ใครจะรู้ว่านางจะโกรธเคืองข้า ไม่เห็นข้าเป็นบิดาแล้ว บอกกับคนอื่นว่าข้าเป็นโจรค้าทาส เพื่อจะได้ไปหาเจ้าหนุ่มตัวเหม็นนั่น”
เขามั่นใจว่าแค่กล่าวคำนี้ออกมา คนอื่นก็จะเลิกยุ่งไม่เข้าเรื่อง คราวก่อนแม่นางน้อยตัวดีผู้นี้หนีไป เขาก็ใช้เหตุผลนี้เหมือนกัน
เขาอดมองเฉียวเจาด้วยสายตาแฝงคำเตือนปราดหนึ่งไม่ได้
นางเด็กตัวดี อีกประเดี๋ยวค่อยสั่งสอนเจ้า!
เฉียวเจาสบตาเขาอย่างใจเย็นแล้วคลายยิ้มฉับพลัน
วันนี้ต่างจากวันวานแล้ว…
สาวน้อยหลีเจานั้นขอความช่วยเหลือจากพวกคนที่มุงดูอยู่ แม้นคนจะมาก แต่แท้จริงแล้วขอเพียงคนผู้นี้บอกเหตุผลที่พอฟังขึ้นสักข้อ คนเหล่านี้จะเห็นว่ามิใช่กงการอันใดของตนแล้วแยกย้ายกันไป
แต่นางขอความช่วยเหลือจากคนที่เจาะจงเลือกไว้ คนผู้นั้นย่อมบังเกิดความรู้สึกรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว จึงไม่ฟังความข้างเดียวจากบุรุษผู้นั้น
เหนือสิ่งอื่นใดเขาคือฉือชั่น หากเขาไม่มีกระทั่งความสามารถแยกแยะเรื่องแค่นี้ ไหนเลยจะคบค้าวิสาสะกับพวกเชื้อพระวงศ์และขุนนางสูงศักดิ์ที่มีจิตใจคดเคี้ยวเลี้ยวลดได้
“แม่นางน้อย เจ้าหนีตามคนอื่นไปจริงหรือ” ฉือชั่นโน้มกายน้อยๆ ทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เห็นชัดว่ากำลังตลกขบขันเฉียวเจาอยู่
นางไต่ถามด้วยสีหน้าขึงขัง “ท่านอา ถ้าบุตรสาวท่านหนีตามคนอื่นไป ท่านจะป่าวร้องออกมาโดยไม่นำพาชื่อเสียงหน้าตาของนางแม้แต่น้อยนิดหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่มีทางอยู่แล้วแน่นอน!
ฉือชั่นจะพูดตอบโดยไม่ทันคิด เขาต้องรีบยั้งปากไว้แทบไม่ทัน
ล้อเล่นอะไรกัน เขามีบุตรสาวโตถึงเพียงนี้ที่ใด ต้องเป็นเพราะได้ยินแม่นางน้อยผู้นี้เรียกท่านอาๆ มากเกินไปเป็นแน่
ฉือชั่นยืนห่างออกมาหนึ่งก้าวเงียบๆ เหลือบเห็นฝูงชนที่ค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาทางหางตาแล้วไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ต่อไป เขาเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “เจ้าทั้งคู่ล้วนกล่าวมีเหตุผล…”
“คุณชายเชื่อคำพูดเหลวไหลของเด็กได้อย่างไรเล่า อีกอย่างนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกข้าสองพ่อลูก…”
ฉือชั่นยิ้มกับโจรค้าทาส ด้วยเขารูปงามเหลือเกิน เพียงรอยยิ้มนี้ก็ทำให้ฤดูใบไม้ผลิยังต้องหมดสีสัน “พี่ชายท่านนี้วางใจได้ ข้ามิใช่พวกที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแน่นอน”
โจรค้าทาสลอบถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก เขาฉีกยิ้มกว้าง พลันก็ได้ยินบุรุษผู้หล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครนั่นพูดอย่างเนิบนาบ “ดังนั้นไปพบเจ้าหน้าที่ของทางการกันดีกว่า ให้ผู้ว่าการเมืองเป่าหลิงเป็นคนตัดสินว่าใครถูกใครผิด”
พอบุรุษตรงหน้าทำท่าอ้าปากค้าง เขาก็กล่าวปลอบเสียงนุ่ม “พวกข้าสามสหายจะพาพวกท่านไปส่งที่ที่ว่าการแล้วจะไม่ยุ่มย่ามเด็ดขาด”
“เจ้า…เจ้า…” เจอกับคนประหลาดผิดชาวบ้านพรรค์นี้ โจรค้าทาสถึงกับหมดคำพูดจะโต้กลับไปชั่วขณะ
ฉือชั่นย่นหัวคิ้วกะทันหัน หันหน้าไปเอ่ยกับบุรุษชุดสีน้ำเงิน “จื่อเจ๋อ ข้าจำได้ว่าสามปีก่อนผู้ว่าการเมืองเป่าหลิงผู้นี้เคยปฏิบัติหน้าที่ในอำเภอจยาเฟิงกระมัง”
เฉียวเจาสบช่องลอบพิศดูบุรุษชุดสีน้ำเงินแวบหนึ่ง
ท่านปู่มีสหายรักรู้ใจผู้หนึ่ง เป็นหมอเทวดาแห่งยุค ตอนท่านปู่ล้มป่วยในปีที่นางอายุแปดขวบ ท่านพาท่านย่ากับนางกลับไปพำนักที่จยาเฟิงตามคำแนะนำของหมอเทวดาหลี่ท่านนั้น
ในกาลก่อนทุกปีหมอเทวดาหลี่จะมาพักที่จยาเฟิงชั่วระยะสั้นๆ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้ท่านปู่ ปกตินางศึกษาตำราแพทย์อย่างหลากหลายกว้างขวางอยู่แล้ว ทุกครายามหมอเทวดามาเยือน นางจะฉวยจังหวะขอคำชี้แนะวิชาแพทย์จากเขา พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าปี นางก็นับว่าเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวของหมอเทวดาหลี่แล้ว ภายหลังสุขภาพของท่านปู่ก็ได้อาศัยนางเป็นคนฟื้นฟูให้เรื่อยมา
นางถ่วงเวลามาจนอายุสิบแปดถึงถูกท่านปู่ที่ป่วยหนักบังคับให้กลับเมืองหลวงออกเรือนไปกับบุตรชายคนรองของจิ้งอันโหว
สามีที่เพิ่งแต่งงานกับนางยังมิทันได้เปิดผ้าแดงคลุมหน้าเจ้าสาวก็รับคำสั่งไปออกศึกในวันงานพิธีมงคล ต่อมาไม่นานท่านปู่ก็ล่วงลับ ด้วยเหตุนี้ตลอดช่วงที่อยู่ในจวนจิ้งอันโหวนั้น นางพบปะคนภายนอกน้อยครั้งมาก ส่วนสามคนเบื้องหน้านี้ นางรู้จักแค่ฉือชั่นผู้เดียว มิหนำซ้ำสถานที่ที่ได้รู้จักกันยังเป็นที่จยาเฟิง
บุรุษชุดสีน้ำเงินไม่สังเกตเห็นว่าเฉียวเจาพินิจดูตนอยู่ เขาเอ่ยปากพูด “ที่นี่หาใช่เมืองหลวงไม่ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ว่าการเป็นผู้ใด สือซี หากข้าจำได้ไม่ผิด สามปีที่แล้วเจ้าเคยมาที่จยาเฟิงกระมัง”
ฉือชั่นพยักหน้า “อื้อ ตอนนั้นยังได้ดื่มน้ำชากับนายอำเภอจยาเฟิง มาหนนี้ข้าได้ข่าวแว่วๆ ว่าเขาย้ายมารับตำแหน่งที่เป่าหลิงแล้ว”
โจรค้าทาสได้ยินว่าฉือชั่นรู้จักกับผู้ว่าการ มีหรือจะกล้าราวีหาเรื่องอีก ฉวยโอกาสคนอื่นพูดคุยกันก้าวขาจะออกวิ่งหนีไป
บุรุษชุดสีเขียวซึ่งไม่ปริปากพูดมาโดยตลอดเงื้อเท้าถีบเขาจนหงายหลังล้มลงกับพื้น พลางกล่าวเสียงเย็น “ดูท่าว่าเจ้าคนผู้นี้จะเป็นโจรค้าทาสจริงๆ”
เฉียวเจาพูดเสียงดัง “ละเว้นเขาไม่ได้! เจ้าโจรค้าทาสผู้นี้ปั้นหน้าซื่อไร้พิษสงล่อลวงสตรีและบุตรสาวดีๆ ของชาวบ้านไปตั้งมากมายเท่าไรก็สุดรู้ ข้าโชคดีถึงได้ท่านอาช่วยเอาไว้ เกรงว่าหญิงสาวคนอื่นคงจะ…”
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ได้ยินคำกล่าวของนางต่างเดือดดาลไม่หยุดทันใด พากันเอ่ยขึ้น “พวกโจรค้าทาสน่าชิงชังที่สุด ตีเขา ตีเขาให้ตาย!”
พวกฉือชั่นสามคนพาเฉียวเจาหลบไปอยู่ด้านข้างเปิดทางให้กลุ่มคนผู้โกรธแค้นอย่างหัวไวยิ่ง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหมือนสุกรถูกเชือดของโจรค้าทาสดังลอยมา
พวกฉือชั่นเลี้ยวเข้าถนนที่ผู้คนบางตาสายหนึ่ง เห็นเด็กสาวเดินตามหลังมาต้อยๆ ก็มองหน้ากันไปมา
นี่จะทำอย่างไรกันดี
บุรุษชุดสีน้ำเงินกับบุรุษชุดสีเขียวส่งสายตากันแล้วมองไปทางฉือชั่นพร้อมกัน
คนใดก่อปัญหา คนนั้นสะสางเอง
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง อ้าปากพูด “น้อง…”
เขาคิดจะเรียกว่า ‘น้องสาว’ แต่พอนึกถึงว่าอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ ไม่หยุดปาก จึงพาให้ลิ้นพันกันไปชั่วขณะ
เฉียวเจาเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นพิเศษ นางรีบเอ่ยบอก “ท่านอาเรียกข้าว่าหลีซานก็ได้เจ้าค่ะ”
“หลีซาน…” มุมปากของฉือชั่นกระตุกริกอีกแล้ว เขาพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “ความจริงเจ้าเรียกข้าว่าพี่ฉือก็ได้นะ”
“พี่ฉือ” เฉียวเจาคล้อยตามอย่างหัวไว
ขอเพียงพานางกลับเมืองหลวง ให้เรียก ‘นายท่านฉือ’ ก็ยังได้
“อืม” ฉือชั่นไม่รู้สึกแสลงหูอีก เขาฉีกยิ้มกว้างพลางถามไถ่ “เรือนเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงหรือ”
เขาเห็นนางพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าพลางพูด “เช่นนั้นก็ไม่ถูกจังหวะเลย พวกข้ายังต้องไปที่จยาเฟิง ไม่สะดวกจะพาเจ้าไปด้วย มิสู้เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าไปจ้างรถม้าคันหนึ่งส่งเจ้ากลับเมืองหลวง”
จยาเฟิง?
เฉียวเจาใจเต้นรัวแรง
เรือนของหลีเจาอยู่ในเมืองหลวง แต่เรือนของนางเฉียวเจาอยู่ที่จยาเฟิงเสมอมา
นางยังไม่เคยไปโขกศีรษะหน้าหลุมศพท่านปู่ ทั้งไม่รู้ว่ายามนี้พวกท่านย่าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว
“ท่านอา เอ๊ย…ไม่ใช่…พี่ฉือ ข้าอยากไปกับพวกท่านเจ้าค่ะ” ไม่รอให้ทั้งสามเอ่ยปากพูด เฉียวเจาก็อธิบายต่ออย่างฉับไว “พี่ฉือจิตใจดีถึงจ้างรถม้าส่งข้ากลับเมืองหลวง แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ถ้าเกิดสารถีผู้นั้นคิดมิดีมิร้ายกับข้ากลางทางจะทำประการใดดีล่ะเจ้าคะ”
นางเข้าหาฉือชั่นตั้งแต่เริ่มแรก ขณะนี้ย่อมต้องดูว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่
พอเห็นเขายังสองจิตสองใจอยู่ เฉียวเจาก็ทำตาปริบๆ กล่าวว่า “บุญคุณที่พี่ฉือช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน…”
ฉือชั่นระแวงระวังขึ้นมาทันที
เด็กสาวผู้นี้คงจะไม่พูดต่อว่ามีเพียงพลีกายมอบใจให้กระมัง
ว่าแล้วเชียว ช่วยคนก็เสี่ยงเช่นเดียวกัน!
“แต่พอพี่ฉือส่งข้ากลับถึงเรือน ท่านพ่อท่านแม่ข้าต้องตกรางวัลก้อนโตเป็นการขอบคุณแน่เจ้าค่ะ”
ตกรางวัลก้อนโต? ฉือชั่นแทบสำลัก
ครั้นไม่เหมือนกับที่คิดไว้ เขาก็พลันรู้สึกคับใจอย่างมาก
บุรุษชุดสีน้ำเงินกับบุรุษชุดสีเขียวหัวเราะดังลั่นพร้อมกัน
บทที่ 4
ต้นหลิวสองฟากฝั่งน้ำสะบัดไหวลู่ลม เรือสำเภาลำไม่ใหญ่มากลำหนึ่งล่องไปตามลำน้ำงดงามในวสันตฤดูมุ่งหน้าสู่ทิศใต้
ฉือชั่นกับบุรุษชุดสีน้ำเงินนั่งประจันหน้ากันตรงหัวเรือกำลังเดินหมากล้อมอยู่ ด้านบุรุษชุดสีเขียวยืนพิงราวรั้วเรือเหม่อมองเกลียวคลื่นม้วนทบกันที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างเลื่อนลอยเบื่อหน่าย
เรือแล่นไปนานเท่าไรก็สุดรู้ เด็กหนุ่มชุดสีเขียวประคองถาดด้วยสองมือก้าวเท้าเลี้ยวออกมาจากห้องในตัวเรือ บนถาดวางน้ำชาไว้สี่ถ้วย เขาวางสองถ้วยลงใกล้ๆ มือสองคนที่ดวลหมากกันอยู่ และถือถ้วยหนึ่งเดินไปตรงราวรั้วยื่นส่งให้บุรุษชุดสีเขียว
บุรุษชุดสีเขียวรับมาจิบคำหนึ่งแล้วกล่าวยิ้มๆ “ยังคงเป็นหลีซานที่ดีกว่าใครๆ ไม่เหมือนพวกเขาสองคน พอได้เดินหมากก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น เป็นต้นเหตุให้ข้าต้องทนหิวอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆ”
ที่แท้ผู้ที่แต่งกายเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเฉียวเจานั่นเอง
เพราะนางพูดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เอ่อ…หรือจะตีความว่าตามเซ้าซี้ไม่ลดละก็ได้ ในที่สุดฉือชั่นจึงได้ยอมแพ้พยักหน้าตกลงพานางมาด้วย แต่มีข้อแม้ว่านางต้องปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อสะดวกต่อการเดินทาง
เพลานี้เรือแล่นมาได้สองวันแล้ว
“พี่หยาง อีกนานเท่าใดจึงจะถึงจยาเฟิงเจ้าคะ”
ร่วมเดินทางกันมาสองวัน เฉียวเจารู้แล้วว่าบุรุษชุดสีน้ำเงินชื่อจูอู่ ส่วนบุรุษชุดสีเขียวชื่อหยางเอ้อร์ เห็นชัดว่าทั้งสามคนไม่ปรารถนาจะบอกฐานะแท้จริงกับนาง ซึ่งนางเองก็ไม่ใส่ใจ
“หลังเที่ยงวันก็น่าจะถึงแล้ว แต่พวกเราไม่เข้าเมือง ถึงตอนนั้นจะเปลี่ยนเป็นขี่ม้าไปที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งเยี่ยมคารวะท่านเจ้าของ” หยางเอ้อร์กล่าว
เฉียวเจารู้สึกสะดุดใจ
สามปีก่อน ฉือชั่นเดินทางไปถึงคฤหาสน์ที่พำนักปลีกสันโดษของท่านปู่เพื่อขอร้องให้ท่านชี้แนะทักษะการวาดภาพ ทว่าท่านปู่บอกปัด
ฉือชั่นไม่ละความพยายาม ทำหน้าหนาดึงดันอยู่ที่นั่นนานสามวัน ท่านปู่จนปัญญาเลยมอบผลงานในสมัยวัยหนุ่มให้เขาไปภาพหนึ่งถึงทำให้เขายอมกลับไปได้
ตอนนั้นเองที่นางได้รู้จักกับฉือชั่น แน่นอนว่าเขากับนางเคยพบหน้าค่าตากันเพียงสองหน
พวกฉือชั่นสามคนจะไปเยี่ยมคารวะเจ้าของคฤหาสน์แห่งหนึ่งแถวๆ จยาเฟิง
หรือว่า…
เฉียวเจาคิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วลมหายใจก็ถี่รัวขึ้นหลายส่วน
หรือว่าที่ที่ฉือชั่นกำลังจะไปเยือนคือเรือนของข้า
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้จริงๆ หรือจะพูดว่านางลืมตาขึ้นมาแล้วกลายเป็นหลีเจานั้นเป็นชะตาลิขิตอันแสนลี้ลับกัน
เฉียวเจาก้มหน้าเพ่งมองมือของตนเอง
มือของแม่นางน้อยนุ่มนิ่มเรียวเล็กดุจลำเทียน ต่างจากมือของนางที่แม้จะสวยงามทว่าผิวหนังตรงปลายนิ้วกลับด้านแข็งเป็นแผ่นบางๆ
จวบจนบัดนี้ ถึงแม้จะมีความทรงจำของแม่นางน้อยหลีเจาอยู่ แต่นางยังไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนอีกคนหนึ่งได้อยู่ดี
กระนั้นชั่วขณะที่เพ่งมองมือคู่นี้ เฉียวเจาเริ่มเคว้งคว้างอยู่บ้าง นางสมควรอยู่ในเรือนตนเองด้วยฐานะหลีเจาเช่นไรเล่า
เฉียวเจาเดินย้อนกลับไปนั่งลงถือถ้วยชาไว้พลางจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
ความคิดในหัวนางวกวนไปมาเป็นร้อยเป็นพันตลบ เพียงรู้สึกว่านี่เป็นปัญหายุ่งยากที่แก้ไม่ตก ระหว่างที่ใจลอยอยู่นางได้ยินเสียงต่อปากต่อคำของคนทั้งสาม
“สือซี จื่อเจ๋อ พวกเจ้าจะเดินหมากไปถึงเมื่อไร ไม่กินข้าวหรือไร”
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นถึงพบว่าคนครัวบนเรือยกข้าวปลาอาหารมาวางบนโต๊ะแล้ว กลิ่นหอมของมันคล้ายลอยมุดเข้าไปถึงในท้อง
จูอู่ซึ่งกำเม็ดหมากดำไว้ในมือทำหน้าจนปัญญา “ไม่ใช่ข้าไม่อยากเลิก แต่สือซีใช้เวลาคิดมาหนึ่งเค่อแล้วโอ้เอ้ไม่ยอมวางหมากเสียที”
หยางเอ้อร์กวาดตามองกระดานหมากปราดหนึ่งก่อนส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น “สือซี นี่เจ้าจนแต้มแล้ว รีบยอมแพ้เถอะ อย่าทำให้ทุกคนเสียเวลาเลย”
ฉือชั่นคีบเม็ดหมากขาวใสแวววาวเม็ดหนึ่งด้วยปลายนิ้วเรียวยาว พูดด้วยสีหน้าไม่พึงใจ “จะยอมแพ้ได้อย่างไร ข้ายังไม่เคยเดินหมากแพ้มาก่อนนะ”
หยางเอ้อร์แค่นเสียงหัวร่อ เปิดโปงสหายต่อหน้าเฉียวเจาโดยไม่เกรงใจสักนิด “เจ้าย่อมต้องไม่เคยแพ้แน่นอน เวลาที่เจ้าเดินหมากหนึ่งก้าวเท่ากับชาวบ้านเล่นจบกระดานหนึ่ง ลงท้ายยังเดือดเนื้อร้อนใจว่าคนอื่นไม่เดินกับเจ้าแล้ว”
ฉือชั่นทำเสียงฮึเยาะๆ “เจ้าจะไปรู้อะไร นี่เพราะข้าคิดอย่างละเอียดลึกซึ้ง”
หยางเอ้อร์เบือนหน้าหนีอย่างขัดเคือง
คิดละเอียดลึกซึ้งอะไรกัน นี่มันหน้าด้านไร้ยางอายชัดๆ!
วันนี้คนครัวทำแกงเผ็ดปลา กลิ่นหอมของมันชวนให้น้ำลายสอท้องร้องจ๊อกๆ จูอู่ชูมือขึ้นพร้อมพูดอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “ข้ายอมแพ้แล้ว พอใจหรือไม่ กินข้าวเถอะ”
ฉือชั่นยึดตัวเขาไว้ “ทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเราวัดกันที่ฝีมือมาแต่ไหนแต่ไร”
จูอู่กับหยางเอ้อร์กุมขมับพร้อมกัน
หยางเอ้อร์พูดบ่นเสียงเบา “อยากให้สาวน้อยสาวใหญ่ในเมืองหลวงที่หลงเสน่ห์เจ้าพวกนั้นได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของเจ้าเสียจริง!”
“แค่กๆ” ฉือชั่นส่งเสียงไอดังๆ แล้วตวัดมองเฉียวเจาแวบหนึ่ง
ถ้อยคำนี้กล่าวต่อหน้าแม่นางน้อยไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ หยางเอ้อร์รู้ตัวว่าพลั้งปากไปก็ยิ้มอย่างเก้อกระดาก
“ผู้ชมหมากไม่พูดมาก จื่อเจ๋อ พวกเราเดินหมากกันต่อ ฝ่ายหมากขาวต้องมีทางออกอีกแน่ ข้าแค่คิดไม่ออกตอนนี้เท่านั้น”
“ดูทีว่าคงไม่ได้กินอาหารในชั่วประเดี๋ยวประด๋าวนี้แล้ว” หยางเอ้อร์บอกกับเฉียวเจา
นางกุมหน้าท้อง ชะรอยว่าร่างกายของแม่นางน้อยหลีเจาจะอ่อนแอ ผิดเวลาไปครู่เดียวก็เริ่มปวดท้องแปลบๆ
นางลิ้มรสความเจ็บปวดจากการถูกคมธนูเสียบทะลุอกบนกำแพงเมืองเยี่ยนที่แดนเหนือมาแล้ว บัดนี้ตราบเท่าที่สถานการณ์อำนวย นางไม่อยากทนรับความทรมานใดๆ อีก
อุตส่าห์ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง นางจะพยายามดีต่อตนเองให้มากขึ้น
“ดวลหมากจบก็กินอาหารได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“แน่นอน…” หยางเอ้อร์ไม่ทันกล่าวจบ ก็เห็นเฉียวเจาหยิบเม็ดหมากขาวจากในโถวางลงบนกระดานหมาก
เขารีบเข้าไปขวางทว่าไม่ทันกาล ลอบอุทานว่าแย่แล้ว ปกติฉือชั่นเป็นคนนิสัยไม่เลว แต่มีข้อต้องห้ามอยู่สองสามอย่าง
หนึ่งในนั้นคือไม่ชอบให้ผู้อื่นรบกวนเขาเดินเวลาหมาก
ฉือชั่นทำสีหน้าเย็นชา “หลีซาน หมากล้อมมิใช่ของเล่นนะ”
จู่อูซึ่งมองกระดานหมากอยู่ตลอดพูดเสียงหลง “สือซี เจ้าดูสิ…”
ฉือชั่นไม่แยแสเสียงบอกของจูอู่ ปรายตามองเฉียวเจาพร้อมกับเผยรอยยิ้มบาดตา “หลีซาน เจ้าทำกระดานหมากข้ายุ่งเหยิงหมดแล้ว สมควรทำประการใดดีนะ”
“สือซี…”
ฉือชั่นตัดบทจูอู่ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนต่างอยากช่วยพูดให้แม่นางน้อยผู้นี้ แต่ตามความคิดข้า แม่นางน้อยออกจะหัวไว จ้างรถม้ากลับเมืองหลวงคนเดียวมิใช่ปัญหา”
ฮึ…รบกวนข้าเดินหมากรึ มีคนช่วยเอาไว้ก็ไม่สำนึกตัวว่าต้องพลีกายตอบแทน หากที่สำคัญที่สุดคือเรียกข้าว่าท่านอา!
เด็กสาวพรรค์นี้ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย!
“สือซี ข้าจะบอกว่า…หมากขาวชนะแล้ว” ยามเปล่งคำพูดด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อนประโยคนี้ ตัวจูอู่เองยังรู้สึกว่าน่าแปลกพิสดารมาก
หมากดำของเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบมีโอกาสกำชัยในมือ แต่หลีซานผู้นี้เพียงวางหมากเม็ดหนึ่งตามสบายถึงกับพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ต้อนหมากดำจนมุมหมดทางสู้ต่อไปอีก
ฉือชั่นอึ้งงันไป ก่อนจะหันขวับไปดูกระดานหมาก
หยางเอ้อร์ขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วมองเฉียวเจาอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้าทำได้อย่างไร” ฉือชั่นตกตะลึง
เด็กสาวเม้มปากพูดเสียงอ่อนเบา “ข้าวางส่งเดช คงเผอิญสุ่มถูกโดยไม่ตั้งใจกระมังเจ้าคะ”
“ข้าอยากฟังเหตุผลที่เข้าท่า” ฉือชั่นงอนิ้วเคาะกระดานหมาก
วางหมากสุ่มสี่สุ่มห้าก็เหนือกว่าเขาที่เค้นสมองขบคิดตรึกตรองนานสองนานได้หรือ ยิ่งกว่านั้นเขารู้ว่าจูอู่หรือก็คือจูเยี่ยนผู้เป็นสหายมีทักษะชั้นใด พวกคนหนุ่มในเมืองหลวงที่เคยเอาชนะเขาได้มีอยู่ไม่มาก
ถ้อยคำนี้ของแม่นางน้อยเอาไว้หลอกผียังพอทำเนา
“อืม ถ้าอย่างนั้นคงเพราะข้ามีทักษะสูงกว่าเล็กน้อย”
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนสบตากันแล้วพร้อมใจกันยื่นมือปัดเม็ดหมากบนกระดานกระจัดกระจายปนกันทันใด ทั้งยังเอ่ยประสานเสียงกัน “มา! พวกเราประลองกันอีกกระดาน”
“ข้าหิวแล้ว” เฉียวเจาโพล่งขึ้นอย่างตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ
หลังกินอาหารเสร็จ…
จูเยี่ยนเพ่งมองกระดานหมากเนิ่นนานก่อนโยนเม็ดหมากลงโถ พลางกล่าวทอดถอนใจ “ฝีมือสู้ไม่ได้ ข้าแพ้แล้ว”
เขาลุกขึ้นสลับให้ฉือชั่นนั่งลง
ยามดวงตะวันเคลื่อนลงทางทิศประจิมทีละน้อย แลเห็นท่าเรือจยาเฟิงได้รำไร ฉือชั่นยังคงกำเม็ดหมากเค้นสมองครุ่นคิดอย่างหนัก
เด็กสาวฝั่งตรงข้ามหลุบตารอคอยเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
“ไม่น่าเชื่อว่าจะอดกลั้นไม่พูดเร่งสือซีได้ ลำพังแค่การฝึกฝนขัดเกลาตน เด็กสาวผู้นี้ไม่สามัญเลยนะ” จูเยี่ยนกระซิบพูดกับหยางเอ้อร์อย่างสะท้อนใจที่ตนเองเทียบไม่ได้
เด็กสาวที่สามารถเอาชนะจูเยี่ยนและอดทนฉือชั่นได้ผู้นี้ หยางเอ้อร์นึกเลื่อมใสเหลือหลาย เขามองเฉียวเจานิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วอดชะงักไปไม่ได้ จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงพิศวง “ไฉนข้ารู้สึกว่านางดูเหมือนหลับไปแล้วเล่า”
เชิงอรรถ
* ดอกอวี้หลัน หมายถึงดอกแม็กโนเลีย
** นีนี เป็นคำเรียกเด็กสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.