บทที่ 421
ด้านเจ้าเมืองหลี่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นหลิวหู่กลับมา แต่กลับได้รับข่าวหนึ่งว่า ‘พบศพสายสืบที่นายอำเภอหวังส่งไปสะกดรอยตามกวนจวินโหวบนถนนนอกเมือง’
“กวนจวินโหวถึงกับสังหารคนเลยหรือนี่” ใบหน้าของเจ้าเมืองหลี่เริ่มตั้งเค้าพายุอารมณ์ เขาย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องหนังสือ
“ใต้เท้าอย่าเพิ่งร้อนใจ” ที่ปรึกษาพูดกล่อม
เจ้าเมืองหลี่หยุดนิ่ง “อาจารย์หาน ท่านว่าเขาจะตกอยู่ในมือของกวนจวินโหวหรือไม่”
“รอคนที่ไปสืบข่าวกลับมาก็จะรู้แล้ว เส้นทางที่กวนจวินโหวกลับจากเมืองจยาเฟิงมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นสายนั้นมีคนผ่านไปผ่านมาไม่มาก แต่อย่างไรก็ต้องมีคนมองเห็น กวนจวินโหวเลือกลงมือตอนกลางวัน ถ้าหลิวหู่ตกอยู่ในมือเขาจริงๆ คนทั้งคนจะหายสาบสูญไปมิได้”
เจ้าเมืองหลี่รอคอยอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาฝืนใจพยักหน้า
ที่ปรึกษาลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
หากรู้เช่นนี้แต่แรก จะเรียกหลิวหู่กลับมาเฝ้าดูกวนจวินโหวไปไยเล่า หลายปีมานี้ใต้เท้าพึ่งพาหลิวหู่มากเกินไป
ขณะที่เจ้าเมืองหลี่รู้สึกว่าหนึ่งวันเนิ่นนานราวกับหนึ่งปี ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ออกไปสืบข่าวก็นำข่าวกลับมาในที่สุด “ใต้เท้า มีชาวบ้านหลายคนเห็นคนหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาจับกุมคนผู้หนึ่งไปตอนกลางวันแสกๆ”
แม้ว่าจะสังหรณ์ใจอยู่แล้ว แต่เมื่อยืนยันว่าเป็นจริง เจ้าเมืองหลี่ยังคงใจหายวาบ “แย่แล้ว หลิวหู่ต้องตกอยู่ในมือกวนจวินโหวเป็นแน่ อาจารย์หาน ท่านมีความเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”
ที่ปรึกษาลูบเคราแพะ สีหน้าเขาเคร่งเครียด “กวนจวินโหวปราศจากความกริ่งเกรงระวังใดๆ เฉกนี้ เป็นไปได้มากว่าได้รับสิ่งที่เขาต้องการแล้ว”
“สิ่งที่เขาต้องการ?” เจ้าเมืองหลี่พึมพำทวนคำแล้วหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน “หรือว่าเขาพบหลักฐานอะไรอีกแล้ว”
“พิจารณาตามเหตุผลที่พึงเป็นแล้วมีความเป็นไปได้นี้อยู่”
“สมควรตาย!” เจ้าเมืองหลี่ทิ้งตัวลงนั่ง เขาตบโต๊ะปังใหญ่ “ข้าว่าแล้วเชียว สหายเก่าของสกุลเฉียวพวกนั้นต้องมีคนที่ทำเสียเรื่องจนได้ น่าชังนักที่จะสังหารให้หมดเป็นการตัดปัญหาไม่ได้”
“ใต้เท้า สิ่งสำคัญตอนนี้มิใช่สหายเก่าของสกุลเฉียว แต่เป็นกวนจวินโหว”
แววอำมหิตฉายชัดในดวงตาของเจ้าเมืองหลี่ “กวนจวินโหว ในเมื่อเขารนหาที่ตาย ก็อย่าโทษว่าข้าใจคอโหดเหี้ยม อาจารย์หาน คนพวกนั้นเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าวางใจได้ เตรียมการพร้อมพรักแล้ว”
เจ้าเมืองหลี่ลุกขึ้นยืน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก ลงมือราตรีนี้เลย!”
ที่พำนักขององครักษ์จินหลิน
เจียงอู่นวดๆ หว่างคิ้วพลางพูดเสียงพึมพำว่า “เหตุใดเจ้าเมืองหลี่ส่งคนสะกดรอยตามกวนจวินโหว เขามีแผนการร้ายอะไรอยู่”
เมื่อนึกไปถึงสองวันก่อนที่เจ้าเมืองหลี่เชิญเขาไปสังสรรค์ที่หอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแล้วกล่าวถ้อยคำแปลกๆ พวกนั้น ความรู้สึกในใจเจียงอู่ปนเปซับซ้อนอยู่บ้าง เขาสั่งกำชับผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตาดูเจ้าเมืองหลี่กับกวนจวินโหวอย่างใกล้ชิด หากมีอะไรผิดปกติรีบมารายงาน!”
ต้นอิ๋นซิ่งในลานเรือนงามสะพรั่งละลานตา เจียงอู่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง หากความคิดลอยไปไกลถึงเมืองหลวงแล้ว
ตอนเซ่าหมิงยวนพาคนกลับไปที่เรือนของหญิงขายเต้าหู้ ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงเห็นแล้วพากันตกใจยกหนึ่ง
“นี่…นี่เป็นคนในภาพวาดของคุณหนูหลีมิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงดึงตัวเซ่าหมิงยวนไปนอกเรือน เอ่ยถามเสียงค่อยๆ
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ
ฉือชั่นที่อยู่ด้านข้างถอนใจเบาๆ “หลีซานวาดได้เหมือนดีแท้”
หยางโฮ่วเฉิงพูดเออออไม่หยุด “เหมือนเป็นที่สุด ข้ามองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว ถิงเฉวียน พวกเจ้าหาคนผู้นี้เจอได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เดินเข้ามาติดกับดักเอง คนผู้นี้สะกดรอยตามข้ามาตลอดหลายวันนี้”
“สะกดรอยตามเจ้า?” หยางโฮ่วเฉิงขบขันอย่างสุดระงับ “คนผู้นี้รนหาที่ตายรึ”
“ไม่ใช่ ฝีมือเขายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ต้องบอกว่าเขาโชคไม่ดีเอง”
ถ้าเจ้านั่นสะกดรอยตามคนอื่น คงไม่พบกับบทลงเอยเช่นนี้
“หลีซานเล่า นางกลับมาถึงก็เข้าห้องแล้วไม่ออกมาเลยหรือ” ยามเอ่ยถึงเฉียวเจา สีหน้าของฉือชั่นไม่ผิดไปจากเดิมอีก ประหนึ่งว่าความรักแบบเด็กหนุ่มนั่นไม่เคยปรากฏมาก่อน
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้างกะทันหัน เขาเลียริมฝีปากแล้วกล่าว “คุณหนูหลีออกมาแล้ว”
ทั้งสามหันไปมองก็เห็นเด็กสาวในชุดเรียบๆ ถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟเดินมา
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา เห็นชัดว่าไม่กระจ่างแจ้งว่านี่เป็นเรื่องอะไรกัน
ส่วนเซ่าหมิงยวนรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เขายิ้มแหยๆ พลางกล่าวว่า “เจาเจา เหล็กเขี่ยไฟหนักหรือไม่”
ฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงกลอกตาขึ้นพร้อมกัน
พวกเขารู้สึกไม่วายว่านับแต่สหายรักเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อคุณหนูหลีแล้วยิ่งมายิ่งหัวทื่อ
“ไม่หนัก” เฉียวเจาเม้มปาก นางกล่าวถาม “คนผู้นั้นอยู่ข้างในหรือ ข้าไปดูสักหน่อย”
นางกล่าวจบแล้วไม่รอดูท่าทีของคนทั้งสาม ถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟก้าวเท้าเข้าไป
“เส้นเอ็นข้อมือของคนผู้นั้นขาดแล้ว หรือว่าคุณหนูหลีจะทำแผลให้เขา” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างไม่แน่ใจ ภาพท่อนเหล็กเขี่ยไฟหนาๆ ในมือเด็กสาวแท่งนั้นวาบผ่านเข้ามาในหัวสมองไม่หยุด
ฉือชั่นยิ้มเยาะ “ดูสีหน้าของหลีซานแล้ว เจ้ารู้สึกว่าใช่หรือไม่เล่า”
เซ่าหมิงยวนตามเข้าไปโดยไม่รอช้า
อีกสองคนเห็นแล้วตามไปด้วยทันที
เพลานี้หลิวหู่ที่เส้นเอ็นข้อมือขาดและกรามหลุดถูกมัดมือมัดเท้านั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่บนเก้าอี้ เด็กสาวสวมชุดสีเรียบนางหนึ่งพลันเดินเข้ามามองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เจ้ามีนามว่าอะไร” เฉียวเจาไต่ถาม
“เจาเจา เขาโดนดึงกรามหลุด พูดไม่ได้”
ดึงกรามให้หลุดย่อมเพื่อป้องกันเขาฆ่าตัวตาย
เฉียวเจาสาวเท้าไปตรงหน้าหลิวหู่ ล้วงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในถุงผ้าปักยัดใส่ปากเขาก่อนจะหันมาบอก “แม่ทัพเซ่า จับกรามเขากลับเข้าทีเถอะ”
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปยื่นมือบิดกรามเขาทีหนึ่ง
หลิวหู่ขยับๆ ปากพบว่าขยับได้แล้ว ทว่าปากด้านในอ่อนแรงไร้กำลัง แม่นางน้อยผู้นี้ให้เขากินอะไรกันแน่
“พูดได้แล้วนะ บอกนามของเจ้ามา” เฉียวเจาถามเสียงเย็นๆ
หลิวหู่เหยียดยิ้มไม่กล่าววาจา
นางเลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างคับข้องหมองใจเป็นอันมาก “เขาไม่พูดเองนะ เช่นนั้นข้าได้แต่ให้เขาเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ แล้วล่ะ”
กล่าวจบนางก็เงื้อท่อนเหล็กเขี่ยไฟในมือตีลงไปบนตัวหลิวหู่
เฉียวเจาเป็นหมอจึงแจ่มแจ้งดีที่สุดว่าส่วนใดบ้างเป็นจุดอ่อนที่ตีไม่ได้ นางหลบเลี่ยงจุดเหล่านั้น ออกแรงฟาดท่อนเหล็กเขี่ยไฟพร้อมกับนับในใจ หนึ่งที สองที สามที…
หยางโฮ่วเฉิงสะกิดสหายรักด้านข้างด้วยสีหน้างงงัน “สือซี เพราะอะไรข้ารู้สึกว่าคุณหนูหลีหาเหตุผลอะไรสักอย่างก็ได้เพื่อซ้อมเขา”
“เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครนึกว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” ฉือชั่นกล่าวเอื่อยๆ
ตีพวกที่ขวางหูขวางตาไม่กี่ทีแล้วเป็นอย่างไรหรือ แค่ไม่รู้ว่าเจ็บมือหรือไม่..
เฉียวเจาไม่แยแสความคิดของคนอื่น นางนับในใจจนถึงยี่สิบหกที แล้วยังตีแทนพวกนางสามพี่น้องอีกคนละหนึ่งทีถึงโยนท่อนเหล็กเขี่ยไฟไปด้านข้าง หยุดหอบหายใจน้อยๆ
ตอนที่ตีไปได้ยี่สิบหกที นางก็ใช้เรี่ยวแรงในกายไปจนหมดสิ้น กระนั้นคนที่สังหารชาวสกุลเฉียวไปยี่สิบหกชีวิตกลับสบายเช่นนี้
หากทำได้นางอยากสับคนผู้นี้เป็นหมื่นๆ ชิ้นถึงจะหายแค้นใจ
เพียงน่าเสียดายที่นางต้องไว้ชีวิตเขาเพื่อชี้ตัวผู้บงการที่แท้จริง
“พวกเราออกไปเถอะ คนพรรค์นี้ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ” เซ่าหมิงยวนปริปากพูด
ใช่ว่ายอดฝีมือระดับนี้ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำ แต่ต้องใช้วิธีพิเศษ คนทั่วไปถามไม่ได้ความอันใดหรอก
เซ่าหมิงยวนดึงกรามของหลิวหู่ให้หลุดออกอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็ออกไปพร้อมกัน
“ฉงซาน คืนนี้บอกคนของเจ้าว่าอย่านอนหลับ ตกดึกน่าจะมีศึกหนัก”
หยางโฮ่วเฉิงฟังแล้วอดฉีกปากยิ้มฝืดๆ ไม่ได้ “ถิงเฉวียน เจ้าอย่าขู่ให้ข้าตกใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าพวกนั้นให้กินดื่มเที่ยวเล่นข่มขู่คนน่ะได้ แต่ศึกหนักคงไม่ไหว”
บทที่ 422
เฉียวเจาเดินไปหาเขา “แม่ทัพเซ่า ท่านคิดว่าเจ้าเมืองหลี่จะลงมือคืนนี้หรือ”
เซ่าหมิงยวนทำหน้ายิ้มๆ “เป็นไปได้มาก”
“เขาจะใจกล้าถึงเพียงนี้เลยหรือ ลักลอบเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ทางการ นั่นศีรษะหลุดจากบ่าเชียวนะ” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างเหลือเชื่อ
ฉือชั่นหัวเราะหึๆ “ฟ้าอยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกล ขอเพียงตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก ไม่ปล่อยให้มีข่าวเล็ดลอดออกไป ใครจะอยากได้ศีรษะของเขา”
ใต้หล้านี้มีพวกใจกล้าบ้าบิ่นอยู่น้อยหรือไร พรรคพวกกบฏของซู่อ๋องยังกล้าปิดล้อมกระทั่งองค์หญิงใหญ่ เจ้าเมืองหลี่ยอมจับงูข้างหางเพื่อชีวิตและอนาคตจะมีอะไรน่าแปลก
“ตัดรากถอนโคน?” หยางโฮ่วเฉิงพึมพำสี่คำนี้แล้วเพียงรู้สึกหนาวยะเยือกตรงกลางอกระลอกหนึ่ง “เขาคงไม่ฆ่าคนหมดทั้งหมู่บ้านกระมัง”
เซ่าหมิงยวนมองไปทางประตูลานเรือน “คงไม่ถึงขั้นฆ่าล้างหมู่บ้าน ทว่าในสายตาเจ้าเมืองหลี่ ชาวไป๋อวิ๋นเป็นเครื่องสังเวยอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการกำจัดพวกเรา ย่อมอ้างฐานะเจ้าหน้าที่ทางการอย่างเปิดเผยไม่ได้แน่นอน”
“ถิงเฉวียน เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่” หยางโฮ่วเฉิงถูมือไปมาพลางเอ่ย
เซ่าหมิงยวนหันไปมองเฉียวเจา “เจาเจา เจ้าเห็นว่าคนพวกนั้นน่าจะแสดงตัวด้วยวิธีแบบใดมากที่สุด”
นางหลุบตาลงมองมือตนเอง นิ้วมือขาวกระจ่างเปื้อนฝุ่นเล็กน้อยตอนถือท่อนเหล็กเขี่ยไฟเมื่อครู่
หญิงสาวกล่าวอย่างเยือกเย็น “ปัญหานี้ข้าตรึกตรองซ้ำๆ ระหว่างทางที่กลับมาแล้ว ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าเมืองหลี่กล้าลงมือ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากออกหน้าเอง เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่าเขาจะให้คนพวกนั้นปลอมตัวเป็นโจรเร่ร่อนออกอาละวาด”
“โจรเร่ร่อน?” ฉือชั่นได้ยินคำนี้แล้วนัยน์ตาเขาทอประกายเย็นเยียบน่ากลัว
ครั้งนั้นพวกที่ทำให้พวกเขาสองแม่ลูกเกือบต้องจบชีวิต มิใช่อ้างเป็นโจรเร่ร่อนบังหน้าหรือไร เขาสมควรคิดได้แต่แรก!
หยางโฮ่วเฉิงแจ่มแจ้งในบัดดล “ไม่ผิด ไม่มีฐานะใดที่ตบตาคนได้ดีกว่านี้แล้ว โจรเร่ร่อนมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นก็ต้องเกิดการปะทะกับพวกเราอย่างแน่นอน หากสังหารพวกเราได้หมดแล้วหลบหนีลอยนวลไป เจ้าเมืองหลี่อย่างมากก็มีความผิดฐานรักษาความสงบไม่ดี ไม่ใคร่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาโดยสิ้นเชิง คุณหนูหลี ท่านคิดออกได้อย่างไร”
“คิดไปเรื่อยๆ ก็คิดออกแล้ว” เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ
สำหรับคนอื่นๆ ความจริงเบื้องหลังเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งที่พูดคุยกันได้โดยไม่รู้สึกรู้สา แต่สำหรับนางแล้วมันคืออดีตที่แสนเจ็บปวดรวดร้าวช่วงหนึ่ง
นางทุ่มแรงกายแรงใจที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับเรื่องนี้ จะคิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึงได้มีอะไรน่าแปลกเล่า
“ถิงเฉวียน เจ้าคะเนว่าฝ่ายนั้นจะส่งคนมาเท่าไร” หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยถาม
เซ่าหมิงยวนยักคิ้วยิ้มๆ “จะเล่นงานข้า ถ้าให้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาด คงไม่ต่ำกว่าร้อยคนกระมัง”
“ร้อยคน?” หยางโฮ่วเฉิงกระเด้งตัวขึ้นทันที เขาทึ้งผมตนเองทีหนึ่ง “อย่างนั้นคนของพวกเราไม่แคล้วต้องจบเห่จริงๆ”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนไม่แปรเปลี่ยน แววตานิ่งขรึมยิ่ง “หากผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้าพามาป้องกันตนเองได้ก็ไม่เป็นไร”
หยางโฮ่วเฉิงถอนใจเฮือก “สู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งอาจจะยังไหว แต่ถ้าสู้แบบสองต่อหนึ่งหรือสามต่อหนึ่ง เจ้าตั้งความหวังกับหมอนปักลายพวกนั้นได้หรือ”
“ที่ข้าเป็นห่วงจริงๆ คือชาวบ้านพวกนี้” เฉียวเจาอ้าปากพูด
หลายวันมานี้คนในหมู่บ้านเล่าลือเรื่องเรือนสกุลเฉียวมีผีโดยตลอด ถึงแม้เฉียวเจาได้ยินแล้วโกรธเคืองอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีความผิดร้ายแรง หากพวกเขาต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนจบชีวิตลง นางคงไม่สบายใจแล้ว
“ความปลอดภัยของชาวบ้านเป็นปัญหาหนึ่ง ดีที่พวกเรามาพำนักที่เรือนของหญิงขายเต้าหู้ เรือนนี้แยกออกมาโดดๆ อยู่ทางสุดทิศตะวันตก ต่อให้คนพวกนั้นจะใช้วิธีปล้นฆ่าวางเพลิงเพื่อให้การปลอมเป็นโจรเร่ร่อนดูสมจริงก็ต้องหลังจากที่กำจัดพวกเราได้แล้ว ก่อนหน้านี้หากพวกชาวบ้านไม่ออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นตอนดึกดื่น ก็จะรับรองความปลอดภัยได้ชั่วคราว” เซ่าหมิงยวนกล่าว
หยางโฮ่วเฉิงเบ้ปาก “หากพวกเราต้านทานไม่ไหวจริงๆ เล่า ชาวบ้านพวกนั้นจะทำอย่างไร”
ฉือชั่นยิ้มเย็นๆ “หยางเอ้อร์ ดูไม่ออกว่าเจ้ายังเป็นคนเมตตาปรานีด้วย ถ้าพวกเราต้านทานไม่อยู่จริงๆ ก็กลายเป็นผีอายุสั้น ยังจะสนใจอะไรมากมายปานนั้นได้อีกที่ใดกัน”
หยางโฮ่วเฉิงถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ตายในที่พรรค์นี้ก็ไร้ศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว เป็นบุรุษต้องห่อศพด้วยหนังม้าสิถึงมีเกียรติมากกว่ากันตั้งเยอะ”
ตายอย่างคับอกคับใจแล้วยังต้องถูกหัวเราะเยาะว่าโดนโจรเร่ร่อนสังหาร เขาไม่เอาด้วยหรอกนะ
เห็นสหายรักทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉือชั่นกลอกตาขึ้นอย่างระอาใจ เขาแค่นเสียงพูดว่า “วางใจเถอะ พวกเราไม่เป็นไรแน่ คนพวกนั้นบุกมา จะไม่ปล่อยให้รอดกลับไปแม้สักคน”
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้าง “ไม่ใช่กระมัง อาศัยพวกเราแค่สิบกว่าคนนี้น่ะหรือ แม้ถิงเฉวียนจะเก่งกาจ ทว่าเขาพาแต่เยี่ยลั่วกับเฉินกวงมา สองหมัดยากจะต่อกรสี่มือนะ!”
ฉือชั่นชายตามองเฉียวเจาก่อนพูดเรียบๆ “อาศัยว่าถิงเฉวียนไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับหลีซาน”
“เอ๊ะ?” หยางโฮ่วเฉิงอดมองไปที่นางไม่ได้
เฉียวเจาทำหน้าตะลึงงัน คาดไม่ถึงว่าฉือชั่นจะกล่าวเช่นนี้
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง”
ตรงเชิงกำแพงเมืองเยี่ยนที่แดนเหนือ เขาต้องปลิดชีพภรรยาโดยไม่มีทางเลือกใดๆ ความเจ็บปวดเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้เขาจดจำจวบจนวันตาย แล้วเขาจะกระทำผิดพลาดเฉกนี้ซ้ำสองอีกได้เช่นไร
ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “ถิงเฉวียน เจ้าเลิกทำลับลมคมในเสียที บอกมาเถอะว่ามีแผนสำรองอะไรไว้”
เซ่าหมิงยวนมองเยี่ยลั่วที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแวบหนึ่งถึงกล่าวยิ้มๆ “องครักษ์ของข้าเป็นคนที่สู้ได้แบบห้าต่อหนึ่งทั้งสิ้น”
ที่เขาบอกว่าสู้ได้แบบห้าต่อหนึ่งหมายถึงประจันหน้ากับชาวต๋าจื่อของเป่ยฉีที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายโหดเหี้ยม ไม่ว่าเจ้าเมืองหลี่จะเรียกทัพหนุนจากที่ใด เขาเชื่อว่าไม่มีทางดุร้ายโหดเหี้ยมไปกว่าชาวต๋าจื่อ
“ถึงจะสู้ได้แบบห้าต่อหนึ่ง แต่พวกเจ้ามีกันแค่สามคนนะ” หยางโฮ่วเฉิงนับนิ้วไปมาจู่ๆ ก็ยิ้มออกแล้ว “ถิงเฉวียน เจ้านับข้าด้วยใช่หรือไม่ แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ รวมกับองครักษ์จินอู๋พวกนั้น พวกเราก็รับมือได้หลายสิบคนเป็นอย่างมาก…”
“เจ้ายกหางตนเองจริงๆ” ฉือชั่นพูดเยาะ
หยางโฮ่วเฉิงไม่ชอบใจเสียแล้ว “นี่เป็นการยกหางตนเองอย่างไรกัน ไม่นับถิงเฉวียนกับองครักษ์สองคนของเขา ในบรรดาพวกเราข้ามีฝีมือดีที่สุด ดังคำกล่าวว่าเลือกคนสูงจากหมู่คนเตี้ย ก็ต้องยกให้ข้าแล้ว”
“ใช่ๆๆ เจ้าตัวสูงที่สุดในหมู่คนเตี้ย พอใจแล้วกระมัง” ฉือชั่นคร้านจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย เขามองไปทางเซ่าหมิงยวน
เขาประจักษ์แจ้งดีเรื่อยมาว่าในด้านนี้พวกตนห่างชั้นจากเซ่าหมิงยวนไกลลิบ
เซ่าหมิงยวนไม่อยากให้สหายรักสองคนต่อปากต่อคำกันอีก เขาจึงกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นว่า “ขอบอกพวกเจ้าอย่างไม่ปิดบัง เดินทางลงใต้มาหนนี้ ข้าพาองครักษ์มาด้วยสามสิบคน”
การเดินทางสู่แดนใต้ในคราวนี้ ด้วยตำแหน่งฐานะของเขาก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไหวในราชสำนักได้ง่าย พาองครักษ์มาด้วยจำนวนมากจะเป็นที่หวาดระแวงของเบื้องบน ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นล้วนไม่อาจเผยตัวในที่แจ้ง ได้แต่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านทั่วไปติดตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ฉือชั่นทำสีหน้าเป็นเชิงว่าไม่ผิดจากที่คาดไว้ เขารู้อยู่แล้วว่าเซ่าหมิงยวนใจเย็นถึงเพียงนี้จะต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นหญิงในดวงใจอาจมีอันตรายถึงชีวิต ไหนเลยจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเฉกนี้อยู่ได้เล่า
หยางโฮ่วเฉิงอึ้งไปแล้วอ้าปากหัวเราะ “เป็นเช่นนั้นก็ดีเลย คืนนี้พวกเราได้สู้อย่างหนำใจแล้ว”
การต่อสู้โดยปราศจากความตึงเครียดย่อมต้องดีกว่าโดนรุมล้อมโจมตีข้างเดียวมากนัก หยางโฮ่วเฉิงคิดไปเช่นนี้ก็ถึงกับเริ่มคันไม้คันมือแล้ว
บรรยากาศรอบกายพวกเขาผ่อนคลายลงทันใด
“ข้าไปกำชับกับผู้ใหญ่บ้านไว้สักหน่อย” เซ่าหมิงยวนเดินออกจากประตูลานเรือน
ม่านราตรีคลี่คลุมลงทีละน้อย เพราะข่าวลือว่าเรือนสกุลเฉียวมีผียิ่งมายิ่งหนาหูขึ้นทุกที เป็นเหตุให้ชาวบ้านทั้งหลายปิดประตูเรือนกันแต่หัววัน ทั่วทั้งหมู่บ้านเงียบเชียบ ไม่มีคนย่างเท้าออกนอกลานเรือนสักก้าว
จันทร์กระจ่างกลางหาวหลบเร้นอยู่หลังเมฆดำตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
คนชุดดำกลุ่มหนึ่งอาศัยความมืดบดบังกายมุ่งหน้าตรงไปทางท้ายหมู่บ้านอย่างลับๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.