บทที่ 425
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น สายตาทุกคู่พุ่งไปที่ตัวเฉียวเจาทันที
ใต้แสงคบเพลิงส่องสว่าง เด็กสาวในชุดเรียบง่ายถูกอาบย้อมด้วยประกายสีแดงอมทองระเรื่อ วงหน้างามละเมียดละไมดุจภาพวาด
ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย นางไม่ประหวั่นพรั่นพรึงแม้สักเศษเสี้ยว เพียงมองสบตากับเจียงอู่อย่างเยือกเย็น
ดวงตาของเจียงอู่มีแววนึกสนุกผุดขึ้นวูบหนึ่ง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณหนูหลีจะให้ข้าอยู่ที่นี่หรือ”
เขาหันไปมองเซ่าหมิงยวนก่อนถามยิ้มๆ “อาศัยอะไร ข้ามิใช่กวนจวินโหวนะ”
กวนจวินโหวมีความรักลึกซึ้งต่อแม่นางน้อยตรงหน้าผู้นี้อย่างเห็นได้ชัดเจน ทว่าสำหรับเขาแล้วนางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง
เขายอมรับว่านางแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็มีเพียงแค่นี้
จะให้เขาอยู่ที่นี่รึ เขาไม่รู้ว่าสมควรหัวเราะที่แม่นางน้อยผู้นี้ไร้เดียงสาหรือว่าไม่ประมาณตนดี
“แม่นางน้อย ผ่านไปอีกสักสองสามปีเจ้ากล่าวคำนี้ บางทีข้าอาจจะใคร่ครวญดูนะ” เจียงอู่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเฉยชา น้ำเสียงแฝงรอยเยาะหยันอยู่ในที
ประกายอำมหิตจุดวาบขึ้นในดวงตาเซ่าหมิงยวน มือนุ่มนิ่มข้างหนึ่งพลันกุมมือเขาไว้ ทำให้เขาลืมเลือนไปชั่วขณะว่าจะเอาเรื่องกับเจียงอู่
เฉียวเจาปล่อยมือเซ่าหมิงยวนทันใดแล้วสืบเท้าขึ้นหน้า กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะแผ่วเบา “ใต้เท้าเจียงลองดูสิ่งนี้ก่อนค่อยพูดก็ได้นะ”
เด็กสาวยกมือขาวกระจ่างชูป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งกะทันหัน
เจียงอู่หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาถลันมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนขวางหน้าเขาไว้
“ท่านโหวโปรดหลีกทางด้วย ข้าอยากดูว่าในมือคุณหนูหลีเป็นสิ่งใด”
เซ่าหมิงยวนไม่ขยับกายสักนิด
“พี่เซ่า ท่านให้ใต้เท้าเจียงเข้ามาเถอะ เขาไม่มีทางทำร้ายข้าหรอก” เฉียวเจาพูดเสียงเบา
ถึงจะรู้สึกว่าเรียก ‘พี่เซ่า’ นั้นกระดากปากมาก แต่ในยามคับขันเช่นนี้ใช้ได้ผลก็พอ แม่นางเฉียวคิดคำนึงในใจ
เซ่าหมิงยวนได้ยินคำเรียกขานว่า ‘พี่เซ่า’ นั่นแล้วก็หัวใจพองโต ถึงแม้ยังจับจ้องเจียงอู่ตาเขม็งดุจเก่า แต่ก็ยอมเปิดทางให้อย่างว่องไว
“ของในมือของคุณหนูหลีคืออะไร” เจียงอู่ถามเสียงร้อนรน
น้ำเสียงของเฉียวเจาไร้ความรู้สึกใด “ใต้เท้าเจียงไม่รู้จักจริงหรือ”
นางโยนป้ายคำสั่งไปที่มือเขาโดยไม่ลังเล
หากเจียงถังมีอำนาจเหนือเจียงอู่มากพอ เช่นนั้นมอบป้ายคำสั่งไว้ในมือเจียงอู่ เขาก็ต้องช่วยเหลือสุดกำลัง ถ้าเจียงอู่ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของเจียงถังสักเท่าไร ป้ายคำสั่งนั่นก็คือของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ถึงนางกำไว้ในมือแน่นๆ ก็เปล่าประโยชน์
เฉียวเจาคิดอ่านได้ทะลุปรุโปร่งเสมอมา ย่อมไม่กระทำอะไรเยี่ยงผู้มีจิตใจตื้นเขิน
เมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักของป้ายคำสั่งในมือ เจียงอู่กวาดตามองอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าเป็นป้ายคำสั่งอักษรฟ้าของกององครักษ์จินหลินอย่างไม่ต้องสงสัย
เขามองเฉียวเจาอย่างหวาดหวั่นไม่แน่ใจ
เหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงมีป้ายคำสั่งอักษรฟ้าของกององครักษ์จินหลิน
ป้ายนี้เป็นของสำคัญยิ่ง ทำให้พวกเขาสิบสามราชองครักษ์ก้มหน้ารับคำสั่งได้
“คุณหนูหลีได้ป้ายคำสั่งนี้มาจากที่ใด”
เฉียวเจาอมยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้าเจียงเห็นว่าอย่างไรเล่า คงไม่มีทางเป็นข้าแย่งชิงเอามากระมัง”
เจียงอู่ย่อมจะรู้ว่าเด็กสาวเบื้องหน้ากล่าวล้อเล่นอยู่
หากป้ายคำสั่งอักษรฟ้าของกององครักษ์จินหลินอันทรงเกียรติถูกแย่งชิงไปได้ คงไม่ต้องมีกององครักษ์จินหลินอยู่อีกต่อไป
เจียงอู่ก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน หลังจากหายตกตะลึงในทีแรก เขาคืนป้ายคำสั่งให้นาง “คุณหนูหลีต้องการให้ข้าทำอะไร”
เฉียวเจากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อครู่ข้ากล่าวอย่างชัดเจนมากแล้ว ข้าต้องการให้ใต้เท้าเจียงอยู่ที่นี่ รุกถอยพร้อมกับกวนจวินโหว”
รูม่านตาของเจียงอู่หดแคบลง
เป็นสตรีที่ฉลาดเหลือเกิน นางกล่าวคำเดียวก็ทำให้องครักษ์จินหลินที่ประจำการอยู่ในจยาเฟิงต้องลงเรือลำเดียวกับพวกกวนจวินโหว ทั้งยังสร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่เจ้าเมืองหลี่
สตรีผู้นี้กำลังเดิมพันอยู่ เดิมพันว่าเจ้าเมืองหลี่จะยกเลิกการตีวงล้อมกำจัดกวนจวินโหวเพราะกริ่งเกรงองครักษ์จินหลินหรือไม่
ชนะเดิมพันเป็นเรื่องดีแน่นอน กลุ่มของกวนจวินโหวจะรอดไปได้อย่างปลอดภัย หากแพ้เดิมพัน หลังเหตุการณ์ผ่านไป เจ้าเมืองหลี่คงยากจะให้คำอธิบายกับกององครักษ์จินหลินทางเมืองหลวงได้ ท่านพ่อบุญธรรมต้องไปเอาเรื่องกับสมุหราชเลขาธิการหลันแน่นอน ด้านสมุหราชเลขาธิการหลันอยากดับไฟโทสะของท่านพ่อบุญธรรม ดีไม่ดีอาจสละเจ้าเมืองหลี่เป็นการแสดงน้ำใจก็เป็นได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นถือว่านางเด็กน้อยผู้นี้ระบายความแค้นให้พวกกวนจวินโหวได้อีก
เจียงอู่โคลงศีรษะกับตนเอง เขาคิดได้อย่างไรว่านี่เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง ทำให้ท่านพ่อบุญธรรมมอบป้ายคำสั่งอักษรฟ้าให้ได้ นางยังต้องมีความพิเศษที่เขาไม่ล่วงรู้อีกเป็นแน่
เจียงอู่หันหลังกลับมองไปทางเจ้าเมืองหลี่
สีหน้าเขาเปลี่ยนไป “ท่านเจียงอู่ นี่ท่าน…”
เจียงอู่ยักคิ้วยิ้มๆ “คำกล่าวของคุณหนูหลีเมื่อครู่ ใต้เท้าหลี่สมควรได้ยินแล้ว”
เจ้าเมืองหลี่มองเฉียวเจาอย่างพินิจ จวบจนเพลานี้เขาเพิ่งเพ่งความสนใจไปที่ตัวแม่นางน้อยผู้หนึ่งเป็นครั้งแรก
เจียงอู่หมายความว่าอะไร
เจ้าเมืองหลี่เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีรางๆ เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากทีหนึ่งถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “ได้ยินแล้วขอรับ แต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก…”
“ความต้องการของคุณหนูหลีก็คือความต้องการของข้า” เจียงอู่พูดเสียงราบเรียบ
บนหน้าผากของเจ้าเมืองหลี่มีเหงื่อแตกพลั่ก เขาถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าฉายรอยขุ่นมัว “ท่านเจียงอู่จะยื่นมือยุ่งเรื่องปราบโจรหรือ”
เจียงอู่ตวัดสายตามองอย่างปึ่งชา เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “โจรเร่ร่อนคือคนชุดดำพวกนั้นกระมัง ข้าไม่ก้าวก่ายใต้เท้าหลี่ปราบโจรแน่นอน ข้าแค่คุ้มครองความปลอดภัยของพวกกวนจวินโหวเท่านั้นเอง”
เจ้าเมืองหลี่ไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องที่หมายมั่นปั้นมือไว้จะเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ เขาอดถลึงตามองเฉียวเจาอย่างดุดันไม่ได้
ล้วนเป็นเพราะนางเด็กตัวดีผู้นี้ พูดคำเดียวก็บีบให้ข้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้!
เขาแตกหักกับกวนจวินโหวแล้ว หากว่าคืนนี้ปล่อยอีกฝ่ายไปจะมีผลร้ายตามมาไม่สิ้นสุด ทั้งยังไม่อาจให้คำอธิบายต่อท่านสมุหราชเลขาธิการหลันอีก
ทว่าขณะนี้องครักษ์จินหลินแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่ายืนอยู่ข้างเดียวกับกวนจวินโหว หากเขาไม่คิดจะละเว้นกวนจวินโหว ก็ต้องจัดการองครักษ์จินหลินพวกนี้ไปด้วยพร้อมกัน ถึงตอนนั้นก็ยากจะให้คำอธิบายกับทางเมืองหลวงดุจเดียวกัน
ในใจเจ้าเมืองหลี่ขัดแย้งกันอย่างหนัก ใบหน้าของเขาประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีด
ที่ปรึกษาซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกระซิบเตือน “ใต้เท้า พึงเด็ดขาด ไม่เด็ดขาดจะยุ่งยากไม่จบไม่สิ้น”
เจ้าเมืองหลี่ฉุกใจได้
อาจารย์หานกล่าวไม่ผิด บัดนี้ลูกธนูพาดอยู่บนสายแล้ว หรือว่ายังเก็บกลับที่เดิมได้อีก
เมื่อยิงลูกธนูดอกนี้ออกไปในวันนี้ต้องล่วงเกินเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินอย่างแน่นอน แต่ว่ากันว่าเจียงอู่ผู้นี้ถูกไล่มาอยู่จยาเฟิงเพราะสร้างความไม่พอใจให้เจียงถัง จะอย่างไรเจียงถังคงไม่ผิดใจกับท่านสมุหราชเลขาธิการหลันเพราะเจียงอู่ผู้เดียวกระมัง
จริงอยู่ว่าเพื่อคลายโทสะของเจียงถัง ท่านสมุหราชเลขาธิการหลันอาจจะลงดาบกับเขา แต่เขาทำงานให้ท่านสมุหราชเลขาธิการหลันมาหลายปีดีดัก ถึงไม่มีความชอบก็มีความดีอยู่บ้าง ท่านสมุหราชเลขาธิการหลันไม่มีทางทำกับเขารุนแรงเกินไปจนทำให้ผู้อยู่ใต้อาณัติต้องเสียขวัญกำลังใจ
ถึงอย่างไรถูกท่านสมุหราชเลขาธิการหลันลงโทษในภายหลังยังดีกว่าโดนกวนจวินโหวเอาคืนอย่างบ้าคลั่ง
นัยน์ตาของเจ้าเมืองหลี่ทอประกายกร้าว “ในเมื่อท่านเจียงอู่กล่าวเช่นนี้ ข้าคงต้องล่วงเกินแล้ว”
“ใต้เท้าหลี่ ท่านใจกล้าไม่น้อย อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน” เจียงอู่กล่าวเสียงปึ่งชา
ในกาลก่อนเขาประเมินเจ้าเมืองหลี่ผู้นี้ต่ำไปจริงๆ
“ลงมือ!” เจ้าเมืองหลี่ตัดสินใจได้แล้วย่อมไม่ลังเลอีก เขายกมือออกคำสั่ง
เหล่าทหารดาหน้าเข้าใส่
เซ่าหมิงยวนผลักเฉียวเจาไปอยู่ด้านหลัง ตะเบ็งเสียงบอก “เฉินกวง! คุ้มกันคุณหนูหลีกลับเข้าห้อง”
เฉียวเจาโดนเฉินกวงดึงแขนไว้ นางรู้ว่าจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นในเวลานี้ไม่ได้ จึงตามเฉินกวงถอยกลับเข้าไปในเรือนแต่โดยดี
ไม่นานนักนางกับเซ่าหมิงยวนก็อยู่ห่างจากกันไกลระยะหนึ่ง
ใต้แสงไฟดวงตาลุ่มลึกของบุรุษผู้นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยแววอ่อนโยนระคนปลอบประโลม
เฉียวเจาพลันรู้สึกแปลบปลาบตรงกลางอก นางตะโกนพูด “พี่เซ่าระวังตัวด้วยนะ!”
บทที่ 426
แม่ทัพหนุ่มอึ้งไปชั่วอึดใจ จากนั้นพยักหน้าเบาๆ “วางใจได้”
เขาพุ่งกระโจนออกไป ดาบยาวในมือแผ่ประกายเย็นเยียบ
เฉียวเจาเพียงทันได้เห็นโลหิตสีแดงฉานทั่วบริเวณ ก็ถูกเฉินกวงพาตัวเข้าเรือนไป
นางกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ต่อให้เซ่าหมิงยวนนับเป็นเทพสงครามตามคำเล่าขาน ไม่มีเมืองใดตีไม่แตก ไม่มีศึกใดรบไม่ชนะ แต่ถึงที่สุดแล้วเขาก็เป็นมนุษย์มีเลือดมีเนื้อผู้หนึ่งอยู่ดี
นางเคยเห็นเขาทำเรื่องโง่งม เคยเห็นเขาทำหน้าหนา ทั้งยังเคยเห็นเขามีน้ำตาคลอเบ้าด้วยซ้ำไป
ขอเพียงเป็นมนุษย์ก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บเสมอ
ถึงหน่วยองครักษ์ประจำตัวพวกนั้นจะฝีมือดี แต่หลังจากต่อสู้กับคนชุดดำโขยงนั้น ด้วยศัตรูมีจำนวนมากกว่าย่อมต้องสูญเสียกำลังกายไปมาก แล้วจะรับมือทหารเกือบพันคนต่อได้เช่นไร
เซ่าหมิงยวน แผนสำรองของท่านคืออะไร ฉือชั่นไปตามทัพหนุนมาใช่หรือไม่
เฉียวเจาสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าฉือชั่นหายไปไม่เห็นวี่แววตั้งแต่ฟ้ามืด แต่เขาไม่พูดนางก็ไม่ถาม
ทว่าเวลานี้นางอดตัดพ้อต่อว่าคนผู้นั้นไม่ได้แล้ว เขาจะเลิกทำลับลมคมในมิได้หรือไร
สถานการณ์การรบด้านนอกกำลังดุเดือดเลือดพล่าน
องครักษ์ของเซ่าหมิงยวนล้วนเป็นยอดฝีมือ มาตรว่ายามนี้ยังไม่มีคนล้มตาย แต่กลับบาดเจ็บเสียเลือดกันถ้วนหน้า
“ถิงเฉวียน ไม่ไหวแล้ว ต้านทานไม่อยู่แล้ว” หยางโฮ่วเฉิงนำกำลังองครักษ์จินอู๋สิบกว่าคนปักหลักอยู่นอกประตูลานเรือน รับหน้าที่จัดการพวกปลาหลุดจากแหที่ฝ่าแนวป้องกันของหน่วยองครักษ์ประจำตัวเซ่าหมิงยวนมาได้
แต่ยิ่งมาพวกปลาหลุดจากแหยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หยางโฮ่วเฉิงยังนับว่ามีวรยุทธ์ดี ส่วนองครักษ์จินอู๋คนอื่นๆ รู้วิชาหมัดมวยแบบงูๆ ปลาๆ ขณะนี้ล้วนแตกตื่นลนลานกันไปหมด ส่งผลให้อันตรายคืบคลานเข้ามาจากทุกทิศทาง
มีคนใจเสาะเริ่มร้องไห้ด่าทออย่างห้ามไม่อยู่ “หัวหน้า ไหนตอนแรกพูดว่าพวกเรามาทางทิศใต้เพื่อท่องชมทิวทัศน์ธรรมชาติ ไม่ได้บอกว่าต้องเอาชีวิตเข้าแลกนะ…”
“หุบปาก พูดเรื่องเช่นนี้ในเวลานี้จะมีกำลังใจขึ้นหรือไม่ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ เจ้าเมืองหลี่นั่นวิกลจริตไปแล้ว กระทั่งองครักษ์จินหลินยังกล้าลงมือ พวกเจ้านึกว่าเขาจะละเว้นพวกเราหรือ วันนี้พวกเราเหลือเพียงสองทาง ไม่อยู่ก็ตาย พี่น้องทั้งหลายเลือกกันเอาเองเถอะ!” หยางโฮ่วเฉิงตวาดเสียงดุดัน
“ต้านไว้อีกครู่หนึ่ง” เซ่าหมิงยวนยกเท้าถีบทหารผู้หนึ่งออกไป หางตาเขาเหลือบเห็นทหารสองสามคนเข้าไปรุมหยางโฮ่วเฉิงก็ม้วนตัวเตะกวาดพวกนั้นล้มลงพร้อมกับเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง
หยางโฮ่วเฉิงเบิกตากว้างกะทันหัน เขาตะโกนดังลั่น “ถิงเฉวียนระวัง!”
เขาเป็นคนเสียงดัง เฉียวเจาที่อยู่ในห้องได้ยินชัดถนัดหูแล้วหน้าเปลี่ยนสีอย่างสุดระงับ นางลุกพรวดขึ้นกล่าวถาม “เฉินกวง แม่ทัพเซ่าบาดเจ็บใช่หรือไม่”
เฉินกวงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยตอบ “ต้องได้รับบาดเจ็บแน่ๆ ขอรับ คนเจ็ดแปดร้อยคนล้อมโจมตีพวกท่านแม่ทัพสิบกว่าคน แม่ทัพเซ่าก็ไม่ได้หนังทองแดงกระดูกเหล็กสักหน่อย”
เขาพูดแล้วลอบชายตามองสีหน้านาง
ใบหน้าของเฉียวเจาซีดขาวราวกระดาษ นางล้วงขวดกระเบื้องจากถุงผ้าปัก สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนกล่าว “เฉินกวง เจ้าออกไปดูทีว่าท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บให้รีบเอายาขี้ผึ้งทาตรงปากแผลแล้วค่อยสู้ต่อ”
เขาไม่รับขวดกระเบื้องที่นางยื่นให้ “ท่านแม่ทัพให้ข้าคุ้มครองท่าน ข้าไปไม่ได้ขอรับ”
เฉินกวงหวั่นใจว่านางจะพูดต่อไป เขาจึงกล่าวเสริมขึ้นอีกคำ “อีกอย่างสถานการณ์ในสมรภูมิพลิกผันปรวนแปรในชั่วพริบตา จะมีเวลาใส่ยาที่ใดกันเล่าขอรับ”
เฉียวเจาอดกำขวดกระเบื้องในมือแน่นๆ ไม่ได้ เหตุผลข้อนี้นางย่อมเข้าใจได้เป็นธรรมดา
เฉินกวงชำเลืองมองนางแวบหนึ่งแล้วกล่าวทอดถอนใจ “ท่านว่าถ้าท่านแม่ทัพของข้าเป็นอะไรไปจะทำประการดีขอรับ”
เฉียวเจามุ่นคิ้วมองเขา นางไม่เคยรู้สึกรังเกียจความปากเสียของสารถีน้อยเช่นนี้มาก่อน
เซ่าหมิงยวนจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร เขาบอกไว้มิใช่หรือว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นกับพวกนางอย่างแน่นอน เช่นนั้นสิ่งที่ต้องรักษาไว้เป็นอันดับแรกคือความปลอดภัยของตัวเขาเอง
แต่ว่าจะเตรียมการรอบคอบรัดกุมปานใดก็ยังเกิดเหตุไม่คาดฝันได้กระมัง
เจ้าเมืองหลี่มาดหมายจะเอาชีวิตของเซ่าหมิงยวนให้ได้ กำลังคนส่วนใหญ่ต้องพุ่งเป้าไปที่เขาแน่ ถึงเขาเป็นดั่งเทพเซียนมาจุติ สองหมัดก็ยากจะต่อกรกับสี่มือได้
ถ้าเกิด…
หัวใจของหญิงสาวคล้ายถูกบีบรัด นางไม่อยากคิดต่อไป
เฉินกวงเห็นเฉียวเจาเป็นเช่นนี้ก็แอบร้อง ‘ไชโย’ ในใจ
เขามองดูท่านแม่ทัพวิ่งไล่ตามคุณหนูหลีทั้งวัน แต่นางมักทำท่าเฉยเมยเย็นชาอยู่ร่ำไป เขายังนึกว่าจะเป็นดังคำโบราณที่ว่าเซียงอ๋องใฝ่ฝันหา เทพธิดาไร้หัวใจ* เสียอีก ตอนนี้ถึงรู้ว่าคุณหนูหลีก็ห่วงใยท่านแม่ทัพของเขาอยู่มาก
เห็นหรือไม่เล่า คุณหนูหลีดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“เฮ้อ…ท่านแม่ทัพของข้าน่าสงสารนัก อายุตั้งยี่สิบกว่าเข้าไปแล้วไม่เคยแม้แต่จะได้จับมือสตรี ถ้าเป็นอะไรไปจริงๆ คงแทบจะเสียชาติเกิดเลยทีเดียว…” เฉินกวงเริ่มรำพึงรำพัน
เฉียวเจาฟังแล้วทำสีหน้าพิกล
ไม่เคยจับมือสตรี? ใครบอกกัน ข้าไม่นับเป็นสตรีใช่หรือไม่
เจ้าคนผู้นั้นมิใช่แค่เคยจับมือสตรี…
พอคิดมาถึงตอนท้าย เฉียวเจากลับสงบจิตใจลงได้ นางนั่งกลับลงบนเก้าอี้อย่างแช่มช้า
“คุณหนูสาม?” เฉินกวงทำตาปริบๆ
คุณหนูหลีแสดงท่าทางนี้ไม่ค่อยถูกต้องนะ หรือว่ามิได้ห่วงใยท่านแม่ทัพของข้าจริงๆ
“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นกับแม่ทัพเซ่าได้ ข้าง่วงแล้ว จะหลับตาพักสักหน่อย เจ้าเฝ้าอยู่หน้าประตูเถอะ”
นางพะวักพะวนจนเสียกระบวนไปเองจริงๆ เฉินกวงเป็นองครักษ์ประจำตัวเซ่าหมิงยวนยังมีแก่ใจพูดจาเหลวไหลกับนางได้ แสดงว่าไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นกับเขาแน่นอน
ใช่ เจ้าคนทึ่มผู้นั้นจะไม่เป็นอะไรไปอย่างแน่นอน
เฉียวเจาพิงพนักเก้าอี้ปิดตาไว้เบาๆ ภาพรอยยิ้มใสบริสุทธิ์อบอุ่นของคนผู้นั้นกลับวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด
มือที่วางอยู่บนเท้าแขนเก้าอี้ของนางสั่นระริกคราหนึ่ง
เซ่าหมิงยวน…ท่านคงไม่ปล่อยให้ข้าตายต่อหน้าท่านอีกครั้งหนึ่งกระมัง
หากเป็นอย่างนั้น ถึงได้พบกันอีกในปรโลก ข้าก็จะไม่มองหน้าเจ้าคนทึ่มเช่นท่านอีกแล้ว
ดวงจันทร์เยี่ยมหน้าจากผืนเมฆลอยเคลื่อนไปทางทิศตะวันตกทีละน้อยตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
หมู่บ้านเล็กๆ กลางเขาที่สงบเงียบในกาลก่อนอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต เสียงอาวุธเหล็กกระทบกันดังสนั่นขึ้นทุกที
สถานการณ์รบดำเนินไปอย่างรุนแรงขึ้นตามลำดับ
การต่อสู้แบ่งออกเป็นสองวงโดยมีเซ่าหมิงยวนกับเจียงอู่อยู่ตรงใจกลาง ตรงนอกวงมีศพกองสูงขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าเมืองหลี่เลือดเข้าตาแล้ว “ฆ่าให้หมด! ฆ่าได้คนหนึ่งตกรางวัลสองร้อยตำลึงเงิน ทำให้กวนจวินโหวบาดเจ็บตกรางวัลห้าร้อยตำลึง ถ้าเอาชีวิตกวนจวินโหวได้ ตกรางวัลหมื่นตำลึงเงิน!”
อาภรณ์สีเขียวบนตัวเซ่าหมิงยวนเปียกโลหิตจนชุ่มโชก แต่สีหน้ายังเยือกเย็นดุจเดิม เขาได้ยินวาจานี้ก็พูดกลั้วเสียงหัวเราะก้องกังวาน “ไม่คิดว่าในใจใต้เท้าหลี่ ข้ามีราคาเพียงหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น”
ใต้แสงจันทร์แม่ทัพหนุ่มยักคิ้วหัวเราะเบาๆ “ข้าตั้งเงินรางวัลหมื่นตำลึงเงิน มีใครอยากอุดปากใต้เท้าหลี่บ้าง เงินรางวัลก้อนนี้ไม่ว่าอยู่ฝ่ายใดล้วนมอบให้ทั้งสิ้น”
เมื่อเซ่าหมิงยวนกล่าวประโยคนี้จบ เจ้าเมืองหลี่สัมผัสได้ว่าบรรยากาศเงียบงันชอบกลๆ ไปอึดใจหนึ่ง ถึงขั้นรู้สึกได้ว่าเหล่าทหารที่อารักขาอยู่รอบกายหันมามองเขาด้วยสายตาลุกวาวในชั่วพริบตา
เขาเต้นผางๆ ด้วยความโกรธ พูดเสียงกราดเกรี้ยวขึ้นว่า “เจ้าพวกปัญญาทึบ! เรื่องเช่นนี้พวกเจ้าก็เชื่อด้วยหรือ ต่อให้กวนจวินโหวตั้งเงินรางวัลหมื่นตำลึงเงินจริงๆ ใครจะมีชีวิตอยู่ได้ใช้บ้าง”
โอกาสกำชัยในมือที่อุตส่าห์สร้างขึ้นเมื่อครู่นี้ถูกคำกล่าวที่เปรยขึ้นลอยๆ ของเซ่าหมิงยวนทำลายลง เป็นเหตุให้เจ้าเมืองหลี่หัวเสียยกใหญ่
ดวงตาของเจียงอู่ที่มองไปทางเซ่าหมิงยวนมีแววเลื่อมใสจุดวาบขึ้น สุดท้ายเขากล่าวโอดครวญขึ้น “ท่านโหว เห็นทีว่าวันนี้กององครักษ์จินหลินของข้าต้องถูกฝังพร้อมกับท่านเสียแล้ว”
พานพบคนเหล่านี้ เขาต้องโชคร้ายแปดชาติจริงๆ
เซ่าหมิงยวนยกมือชี้ “คำกล่าวนี้ของใต้เท้าเจียงผิดถนัด ท่านดูทางโน้นสิ”
มีคนไม่น้อยมองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้นิ้วไป
เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ดังกระหึ่มเป็นระลอกค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา
ยามนี้กองทหารสวมชุดเกราะก็ไหลบ่ามาจากทุกสารทิศจนมืดฟ้ามัวดิน ปลายคมธนูในมือทอประกายเย็นเยียบเล็งตรงไปที่พวกเจ้าเมืองหลี่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.