X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 6

เซียวฮูหยินใช้คำพูดประโยคเดียวบีบให้น้องสะใภ้ล่าถอย จากนั้นไปยืนอยู่อีกด้านเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจาอีก กลับเป็นต่งหลี่ว์ซื่อลูกสะใภ้ผู้ซึ่งประคองแม่สามีที่ร่ำไห้มาโดยตลอดนั้น เงยหน้ามองเซียวฮูหยินอย่างฉับไว ใครจะรู้เซียวฮูหยินราวกับมีดวงตางอกเงยอยู่ข้างแก้ม หันขวับไปสบตาอีกฝ่ายอย่างเหมาะเหม็ง แล้วเพ่งมองอย่างลึกซึ้งคล้ายแฝงความนัยอันลึกล้ำ

ต่งหลี่ว์ซื่อในใจตื่นตระหนก รีบก้มหน้าลงทันที

เฉิงสื่อทางนั้นยังคงคุกเข่าอยู่ กำลังชี้แจงต่อฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง “…ก่อนหน้านี้ข้าแจ้งท่านแม่ในจดหมายแล้ว ท่านน้ามือไม้ไม่สะอาดมิใช่แค่หนสองหน ยังดีมีข้าอยู่ด้านข้าง ส่วนที่ชดเชยได้ก็ชดเชยไป ส่วนที่ปกปิดได้ก็ปกปิดให้ ทว่าศึกที่อี๋หยางเมื่อครึ่งปีก่อนแม่ทัพวั่นรักษาอาการบาดเจ็บอยู่แนวหลัง ข้าถูกโยกย้ายไปนำทัพใต้สังกัดแม่ทัพใหญ่หาน ย่อมไม่อาจพาท่านน้าตามไปคุมยุทโธปกรณ์ในความดูแลของแม่ทัพใหญ่หานกระมัง ก่อนไปข้าพร่ำชักจูงแล้วชักจูงอีก ไม่คาดคิด แค่ไม่กี่เดือนท่านน้ากลับทนไม่ไหว ถูกผู้อื่นจับกุมจนได้! ท่านแม่จะให้ข้าทำเช่นไรเล่า! จะให้ข้าปล่อยโอกาสที่ดีงามเพียงนี้ไม่ไปไขว่คว้าลาภยศผลงาน มัวแต่คอยเฝ้าจับตาท่านน้าผู้เดียวหรือไรกัน!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจนคำพูดไปชั่วขณะ นางรู้แต่แรกว่าน้องชายคนเล็กยักยอกยุทโธปกรณ์ เพียงแต่นางหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอดเพราะอาศัยว่ามีบุตรชายช่วยกลบเกลื่อนให้ ครั้นบัดนี้ถูกย้อนถาม นางจึงลำคอตีบตันอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยได้ “อย่างนั้นตอนนี้น้าชายเจ้าจะทำเช่นไร จะให้เขาไปตาย? จะให้สกุลต่งถูกริบทรัพย์หรือ”

พอได้ยินคำว่า ‘ริบทรัพย์’ น้าสะใภ้ต่งก็ฟูมฟายเสียงดังกว่าเก่า ใต้รูจมูกมีสิ่งที่เหลืองข้นลากย้อยลงมาสองสาย พาให้อวี๋ไฉ่หลิงสะอิดสะเอียนไม่คลาย

เฉิงสื่อแสดงความลำบากใจด้วยสำนวนราชการ “หาใช่ไม่ยินยอม หากแต่ไม่สามารถจริงๆ”

พอได้ยินคำตอบนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็อาละวาด งัดเอากำลังแขนอันล่ำสันกับพลังกายอันเปี่ยมล้นเช่นที่เคยขึ้นเขาลงนาในอดีตออกมาเตะโต๊ะเล็กบนพื้น ซึ่งเดิมวางจานขนมกับชามน้ำแกงของอวี๋ไฉ่หลิงจนกระเด็นในเท้าเดียว ขว้างปาเครื่องตกแต่งในห้องจนระเนระนาดไปทั่ว ก่อนขยุ้มตัวเสื้อด้านหน้าของเฉิงสื่อไว้ราวคีมเหล็ก ทั้งด่าว่าทั้งร้องไห้พร้อมน้ำลายที่กระเซ็นว่อน “เจ้าเด็กใจดำ! เจ้าจะเบิกตามองน้าชายตนเองไปตายเช่นนี้หรือ…ขะ…ข้าจะไปฟ้องร้องเจ้าฐานเนรคุณ…”

หากบุตรธิดาอกตัญญู สามารถไปฟ้องทางการฐานเนรคุณได้ สถานเบาปรับเงินรับโทษโบย สถานหนักถอดยศปลดตำแหน่ง…ความคิดไม่เข้าท่านี้เก่อซื่อเป็นผู้เสนอ หลายปีที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมักงัดมาใช้ขู่เล่นงานบุตรชายกับลูกสะใภ้ ล้วนแต่เห็นผลดียิ่ง

เฉิงสื่อพยายามดึงคอเสื้อของตนไว้พลางเอ่ยอย่างหัวเสีย “ท่านแม่ไปฟ้องก็แล้วกัน เรื่องบ้านเมืองกับเรื่องครอบครัว อย่างใดหนักอย่างใดเบา ความผิดฐานยักยอกของท่านน้าฟ้องต่อเบื้องบนไปแล้ว ข้าไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของท่านแม่ไปวิ่งเต้นให้ท่านน้าพ้นผิด ‘พฤติกรรมอกตัญญู’ เยี่ยงนี้ต่อให้ฟ้องไปถึงฝ่าบาท ข้าก็ไม่กลัว”

สตรีชนบทเช่นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีหรือจะรู้อันใดมากมาย นางรู้แต่เพียงว่า ‘ไม่เชื่อฟัง’ ก็คือ ‘อกตัญญู’ ในเมื่อ ‘อกตัญญู’ ก็สามารถฟ้องทางการได้ ทั้งผู้ถูกฟ้องล้วนได้รับโทษกันทุกราย ทว่าตอนนี้ฟังแล้วกลับยังมีบ้านเมืองที่ใหญ่กว่า ‘ความกตัญญู’

นางพลันสิ้นไร้หนทาง ได้แต่ตะเบ็งเสียงร่ำไห้ ขณะเดียวกันก็ล้มตัวลงบนตั่งดุจหมูป่า เกลือกกลิ้งเปะปะชั่วขณะหนึ่ง

อวี๋ไฉ่หลิงชมดูอย่างออกรส ครั้นสัมผัสได้ว่ายาในชามจวนจะเย็นชืดแล้วก็รีบแหงนคอดื่มจนหมดในรวดเดียว มีละครให้ดู ถึงกับไม่รู้สึกว่ายาขมปร่ายากกลืนอีก ใครจะรู้กลับถูกสายตาอันเรียบเย็นของเซียวฮูหยินเห็นเข้าอย่างถนัดถนี่ ชิงชงคอยสังเกตเซียวฮูหยินอยู่ตลอด พอมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปจึงเห็นพฤติกรรมของอวี๋ไฉ่หลิงพอดีเช่นกัน ชั่วขณะนั้นในใจนางพลันไม่รู้ว่าควรอุทานเช่นไร

เซียวฮูหยินกล่าวเสียงหนัก “อาจู้ คลุมเสื้อให้เหนียวเหนี่ยวมิดชิดหน่อย แล้วพาไปพักผ่อนในห้องข้า” ถึงอย่างไรฉากวิวาทระหว่างผู้เป็นย่ากับผู้เป็นบิดาก็ไม่ควรให้ผู้เยาว์ชมดูเรื่อยไป

อวี๋ไฉ่หลิงผิดหวังอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ขณะที่มือไม้อันคล่องแคล่วของอาจู้สวมเสื้อนอกทับด้วยเสื้อคลุมให้คุณหนู เหลียนฝางกับเฉี่ยวกั่วที่อยู่อีกด้านต่างเร่งฉวยหมอนอิง เบาะรอง กับของว่างอีกหลายกล่องเป็นพัลวัน จากนั้นทั้งสามก็ล้อมพาคุณหนูออกจากห้องนี้ไปโดยไว อ้อมผ่านทางระเบียงที่ยาวเพียงสิบกว่าก้าว ผลุบเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง

เห็นชัดว่าห้องนี้เก็บกวาดขึ้นเฉพาะกิจ เครื่องตกแต่งภายในห้องเรียบสมถะยิ่งกว่าห้องของตนเสียอีก อวี๋ไฉ่หลิงกัดผลไม้แช่อิ่ม พลางเงี่ยหูฟังเสียงก่นด่าปนร้องไห้ที่แว่วมาจากทางนั้นแล้วคิดภาพว่าการศึกเป็นเช่นไร น่าเสียดายที่ตนไม่ได้เห็นการถ่ายทอดสดเหตุการณ์แบบวันนี้อีกเลย

 

หลายวันต่อมาอวี๋ไฉ่หลิงล้วนกินข้าว ดื่มยา นอนพัก แล้วก็เดินวนในห้องสามรอบเช่นเคย ดูเหมือนเฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินจะงานรัดตัวอย่างยิ่ง ในแต่ละวันมีเวลาเกินครึ่งวันที่ไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าวุ่นทำอันใดกันอยู่ ทุกวันมีแต่ชิงชงฮูหยินที่แวะมานั่งสนทนาในห้องของอวี๋ไฉ่หลิงช่วงสั้นๆ รวมถึงสอบถามว่าร่างกายฟื้นตัวเป็นอย่างไรแล้ว

ชิงชงฮูหยินเพียงมีรูปโฉมธรรมดา ทว่าโดดเด่นที่คิ้วตาหมดจดนุ่มนวล มุมปากสองข้างประกอบด้วยลายเส้นราวแต้มยิ้มอยู่เสมอ ยามที่ไม่ยิ้มก็ดูคล้ายกำลังยิ้มอยู่ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเอง เดิมอวี๋ไฉ่หลิงนึกว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสอนกฎระเบียบตน ผู้ใดจะรู้ว่าชิงชงฮูหยินเพียงชวนคุยสัพเพเหระปนยิ้มละไม บางครั้งนำของว่างเลิศรสที่อวี๋ไฉ่หลิงไม่เคยเห็นมาด้วย บางครั้งก็เป็นปิ่นหยกปิ่นทองหรือต่างหูที่เล็กประณีต ไม่กี่วันต่อมาอวี๋ไฉ่หลิงจึงค่อยๆ เก็บความระแวดระวังไป

“นายหญิงกับใต้เท้านำสิ่งของหลายอย่างกลับมาให้คุณหนูเล็กด้วย ล้วนใส่หีบมัดอยู่ในรถคันใหญ่ที่ด้านหลัง เพียงแต่หลายวันนี้มีงานปลีกย่อยมากมายจึงยังไม่ทันกระทั่งจะแกะเชือก ไว้สะสางงานเสร็จจึงจะค่อยมาเปิดหีบ” ชิงชงฮูหยินเอ่ยปนยิ้มน้อยๆ สองมือวางซ้อนกันบนตัก นั่งตัวตรงอย่างให้เกียรติ

อวี๋ไฉ่หลิงผงกศีรษะขานตอบ “เจ้าค่ะ ใกล้จะฉลองวันปีใหม่แล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ย่อมจะงานยุ่ง”

ในดวงตาของชิงชงฮูหยินสั่นไหวเล็กน้อย ไม่กล้าเล่าออกไป

 

เนื่องจากได้พูดคุยกันทุกวัน อวี๋ไฉ่หลิงจึงเพิ่งรู้ว่าชื่อจริงของตนคือ ‘เฉิงเซ่าซาง’ มีพี่ชายฝาแฝดอีกคนชื่อ ‘เฉิงเซ่ากง’ เล่ากันว่าเดิมทีนายท่านผู้เฒ่าเฉิงปู่ของตนป่วยเรื้อรัง นอนซมมาหลายเดือนจนลมหายใจแผ่วเบาราวกับใยแมงมุมแล้ว แต่พอได้ยินว่าเซียวฮูหยินคลอดบุตรแฝดชายหญิง ด้วยอารามยินดีเป็นล้นพ้น เขาพลันไอเอาเสมหะที่เหนียวข้นออกมาคำหนึ่ง ถึงกับทำให้อยู่ต่อได้อีกครึ่งปีกว่า แม้ต่อมาจะยังคงตายจากไป ทว่าเวลาครึ่งปีกว่านี้กลับเป็นความโชคดีใหญ่หลวงสำหรับเฉิงสื่อซึ่งตอนนั้นกำลังทำศึกขับเคี่ยวอยู่ในห้วงสำคัญ

ผู้คนต่างพูดกันว่านี่เป็นครรภ์มงคล นักดนตรีอย่างนายท่านผู้เฒ่าเฉิงดีอกดีใจยิ่ง จึงอวดความรู้ยกคำอ้างอิงจากตำราโบราณมาเอ่ยว่า ‘ข้าไม่นึกเลยว่ายังสามารถเห็นหน้าเด็กสองคนนี้ พิณของเสินหนง* นั้นมีห้าสาย เหวินหวังเพิ่มเติมอีกสองสาย** เรียกว่าเซ่ากงกับเซ่าซาง ใช้นามนี้เป็นชื่อของเด็กก็แล้วกัน’

ไม่ผิดคาดโดยสิ้นเชิง เว้นแต่ท่านสามเฉิงจื่อที่ตอนนั้นเล่าเรียนอยู่ข้างนอก คนทั้งครอบครัวก็มีแต่เซียวฮูหยินที่รู้ว่านายท่านผู้เฒ่าเฉิงกำลังพูดอันใด ด้วยเหตุนี้นาม ‘เฉิงเหนี่ยว’ ซึ่งเดิมเตรียมไว้ให้ทารกหญิงแรกเกิดนั้น จึงกลายมาเป็นชื่อเล่นแทน

 

* เสินหนง (เทพแห่งการเกษตร) หรือเหยียนตี้ (จักรพรรดิแดง) คือผู้นำชนเผ่าหนึ่งในยุคบรรพกาล เล่ากันว่าเป็นผู้สอนให้มนุษย์รู้จักเพาะปลูก ใช้สมุนไพรรักษาโรค รวมถึงเป็นผู้ประดิษฐ์พิณห้าสายที่เรียกกันว่า ‘พิณเสินหนง’

** เหวินหวัง คือโจวเหวินหวังพระบิดาของโจวอู่หวังผู้สถาปนาราชวงศ์โจว บางตำราว่าโจวเหวินหวังเพิ่มสายพิณหนึ่งสาย โจวอู่หวังเพิ่มสายพิณอีกหนึ่งสาย โดยเซ่ากงคือชื่อสายพิณสายที่หก เซ่าซางคือชื่อสายพิณสายที่เจ็ด

“พวกพี่ชายจะกลับบ้านมาเมื่อใดหรือเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางยิ้มรับชื่อใหม่ของตนจนดวงตายิบหยี ละทิ้งชื่อที่พ่ออวี๋ตั้งให้โดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย อย่างไรตนก็ต้องปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ดีๆ

“คุณหนูเล็กอย่าได้ร้อนใจไป ความจริงขบวนที่ตามหลังมายังมีม้า รถ ทหารในสังกัด แล้วก็ข้าวของจิปาถะอีกจำนวนหนึ่งซึ่งต้องให้เหล่าคุณชายดูแล นายหญิงกับใต้เท้ารุดกลับมาก่อน” ชิงชงฮูหยินกล่าว

เฉิงเซ่าซางได้ยินคำว่า ‘ข้าวของจิปาถะ’ ก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจความนัย ขณะเดียวกันก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง เหตุใดคนในบ้านท่านใหญ่เฉิงสื่อล้วนชอบเรียกตนว่า ‘คุณหนูเล็ก’ เห็นกันอยู่ว่าตนเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านใหญ่ แต่หากนับรวมคุณหนูสกุลเฉิงทั้งสามบ้าน อาสะใภ้สามก็ยังมีบุตรสาวที่อ่อนกว่าตนอยู่อีกคนนี่

 

สุขภาพของเฉิงเซ่าซางดีขึ้นตามลำดับแล้ว เพียงแต่วันเวลาช่างน่าเบื่อจืดชืดไร้รสชาติ ทุกวันนางจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง “เรื่องของสกุลต่งเป็นเช่นไรแล้ว”

อาจู้มิได้ปิดบังคุณหนู ทว่านางไม่มีพรสวรรค์ด้านซุบซิบนินทาเลยจริงๆ คำตอบจึงมีเพียง ‘ใต้เท้าไม่ยินยอม’ กับ ‘ใต้เท้ายังคงไม่ยินยอม’ มีให้เลือกข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น บางครั้งแสดงฝีมือเกินกว่าปกติ ก็เพียงตอบมาว่า ‘ใต้เท้าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอม’

ต่างจากอาจู้ผู้เงียบขรึมซื่อตรง เหลียนฝางที่รับใช้อยู่ด้านข้างมีความคิดริเริ่มไม่น้อย นางเป็นบุตรสาวบ่าวของเฉิงสื่อ ดูแลน้องชายน้องสาวโขยงใหญ่ในบ้านมาแต่เล็ก พอเห็นสองตาของคุณหนูเล็กเปล่งประกายทว่าไม่ยินยอมพร้อมใจจะถูกกักอยู่ในห้อง เหลียนฝางก็ผุดความคิดขึ้นในใจ หลายวันถัดจากนั้นล้วนเล่า ‘ละครเด็ด’ ที่ได้ยินได้เห็นจากข้างนอกให้เฉิงเซ่าซางฟังเป็นประจำ

เฉี่ยวกั่วเห็นแล้วกังขา จึงสอบถามเป็นการส่วนตัว “เมื่อแรกชิงชงฮูหยินสอนพวกเราว่าต้องพูดให้น้อย ฟังและทำให้มาก พี่สาวหมั่นเอาเรื่องข้างนอกมาพูดให้คุณหนูฟัง นี่จะได้อย่างไรกัน”

เหลียนฝางยิ้มตอบ “คุณหนูไม่ได้พบนายหญิงนับสิบปี แล้วจะให้ความใกล้ชิดกับพวกเราที่เป็นคนของนายหญิงได้อย่างไร วันหน้าพวกเราสองคนต้องติดตามคุณหนู หากนางไม่ไว้ใจไม่ให้ความใกล้ชิดกับพวกเรา มิเสียแรงที่ชิงชงฮูหยินอบรมชี้แนะหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่ข้าเล่าก็เป็นสิ่งที่รู้กันทั้งจวนอยู่แล้ว เล่าให้คุณหนูได้แก้เบื่อบ้างเท่านั้นจะเป็นไรไป”

เฉี่ยวกั่วฟังจบก็รีบขอบคุณเหลียนฝางที่ชี้แนะ

เพียงไม่กี่วันอาจู้ก็ค้นพบว่าเหลียนฝางคาบข่าว เดิมคิดจะตำหนิสักยก ใครจะรู้เหลียนฝางกลับแก้ต่างพร้อมคลี่ยิ้มจนตาหยี “เสี้ยมสอนยุแยงคือปั้นแต่งเรื่องที่ไม่มีกระทั่งเงา บิดเบือนเพื่อเรียกความโปรดปรานจากเจ้านาย ทว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่มีความเท็จแม้ส่วนเสี้ยวนะเจ้าคะ”

เห็นสีหน้าของอาจู้ยังคงไม่พอใจ นางก็ชี้แจงต่อ “ชิงชงฮูหยินมักเอ่ยชมว่านายหญิงของพวกเราทั้งเปี่ยมเหตุผลทั้งมีความสามารถไม่แพ้บุรุษ ตั้งแต่หกเจ็ดขวบนายหญิงก็ช่วยคุมงานเรือนแล้ว แต่พวกเรากลับจะปิดครอบคุณหนูเล็กอยู่ในกรงผ้าห่มจนชั่วชีวิต ไม่ให้นางรับรู้มรสุมภายนอกเลยหรือไร หากข้าพูดไม่ถูกต้อง ท่านตีข้าด่าข้าก็แล้วกัน ไม่ว่าดีหรือร้ายล้วนควรให้คุณหนูรับรู้ไว้บ้าง จึงจะฝึกแยกแยะได้มิใช่หรือเจ้าคะ”

อาจู้มองเหลียนฝางอยู่เป็นนาน ในใจคิดว่าวาจานี้ไม่ผิด เพียงแต่สาวใช้คนนี้ไม่แคล้วมีความสุขุมไม่มากพอ

กระนั้นอีกใจหนึ่งก็คิดว่าให้คุณหนูรู้เรื่องบุญคุณความแค้นของผู้ใหญ่ไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ยึดติดกับความผูกพันที่เลี้ยงดูมาสิบปีจนกระทั่งห่างเหินกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด นับแต่นั้นมาอาจู้ก็ไม่ว่าอะไรอีก เพียงลอบสังเกตดูเงียบๆ

วาทศิลป์ของเหลียนฝางต่างจากอาจู้ราวฟ้ากับดิน น้ำเสียงและอารมณ์ยามถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินมาล้วนน่าประทับใจ เช่นนี้เองเฉิงเซ่าซางค่อยรู้สึกว่าวันเวลามีรสชาติขึ้นบ้าง

ที่แท้วันนั้นหลังจากแม่ลูกสกุลเฉิงแยกย้ายกันไปอย่างไม่รื่นรมย์ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็พูดปนสบถว่าตนจะควักเงินไปวิ่งเต้นให้น้าต่งเอง น่าเสียดาย หีบเงินว่างลงไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ยังคงไม่เห็นผลที่คาดหวัง ตรงข้ามกลับเห็นน้าต่งถูกคุมตัวมาถึงเมืองหลวงในรถนักโทษ พี่สาวกับน้องชายคู่นี้กอดคอกันร้องไห้ดังระงม ตามคำพูดของหญิงรับใช้อาวุโสที่ติดตามไปด้วย บอกว่าน้าต่งซูบเซียวอเนจอนาถยิ่งยวด

ภายหลังฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไปอาละวาดกับบุตรชายอีกหลายรอบทว่ายังคงป่วยการเปล่า จึงงัดกระบวนท่า ‘อดอาหาร’ ซึ่งเป็นไม้ตายสุดท้ายออกมา เล่ากันว่าไทเฮาหลายพระองค์ในราชวงศ์ก่อนก็มักใช้กระบวนท่านี้จัดการฮ่องเต้ผู้เป็นบุตร น่าเสียดายในอดีตที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงผ่านช่วงชีวิตอันทุกข์ยากนั้นหิวโซจนเข็ดขยาดแต่แรกแล้ว หลายปีมานี้ไม่มีเนื้อสัตว์ล้วนไม่สุขใจ ดังนั้นเพิ่งจะทนหิวได้สองมื้อก็ทานทนไม่ไหว จากคำบอกเล่าของหญิงรับใช้อาวุโสในห้องครัว มื้อแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับมากินอาหารดังเดิม ถึงกับกินไก่รมควันไปหนึ่งตัว ห่านย่างครึ่งตัว ขาหมูตุ๋นน้ำปรุงรสสองขา กับข้าวสาลีหุงสุกสามชามใหญ่ เพื่อช่วยย่อยอาหารยังตามหมอมาจัดยาด้วยหนึ่งเทียบ

ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงออกฤทธิ์ออกเดชอยู่ทางนี้ สถานการณ์ทางด้านสกุลต่งกลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ต่งหย่งบุตรชายของน้าต่งก็ถูกจับกุมเช่นกัน ร้านค้ากับไร่นาที่อยู่นอกเมืองของสกุลต่งล้วนถูกยึดตรวจสอบ ต่งหลี่ว์ซื่อภรรยาของต่งหย่งแสดงออกดีเยี่ยม เพื่อแสดงว่าจะไม่ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงต่อสู้เพียงลำพัง นางจึงขายอนุกับสาวใช้ยี่สิบกว่าคนในเรือนของสามีทิ้งรวดเดียว รวบรวมได้เงินก้อนโตมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงใช้หมุนเวียน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเป็นหลานสะใภ้แสนดีที่สั่งสมกุศลร้อยชาติจึงจะได้มา

ข่าวล่าสุดคือพักนี้น้าสะใภ้ต่งล้วนมาร่ำไห้หนึ่งยกทุกวัน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกินอาหารแล้วดื่มสุราไปสองจอก สุราทำให้คนเราขวัญกล้าขึ้น นางถึงกับฉวยมีดเล็กสำหรับตัดผ้าไปขู่บังคับบุตรชายอีกหน บอกว่าหากบุตรชายไม่ยอมช่วยเหลือ นางจะตายให้เขาดู จากนั้นค่อยฟ้องร้องเขาฐานเนรคุณ…เฉิงเซ่าซางรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าลำดับขั้นตอนนี้มีปัญหา

เฉิงสื่อสุดจะทนรับการรังควานเช่นนี้แล้วจึงหลุดปากออกไปว่า “มิใช่ไม่มีหนทางช่วยท่านน้า ก็คือข้าไปแบกความผิดนี้เอง บอกว่าท่านน้ายักยอกเพราะทำตามคำสั่งของข้า จากนั้นข้าไปรับโทษประหารตัดศีรษะ แลกตัวท่านน้าคืนกลับมา บ้านเราถูกริบทรัพย์แทนสกุลต่ง ท่านแม่เห็นว่าอย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเป็นใบ้ไปทันที แม้นางจะรักน้องชาย แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาบุตรชายไปแลกกับน้องชายเด็ดขาด ใครจะรู้น้องสะใภ้ที่อยู่อีกด้านกลับได้รับแรงบันดาลใจ โพล่งออกจากปากว่า “หลานชายเป็นขุนนางใหญ่ ต่อให้กระทำความผิดก็จะไม่เป็นอันใดหรอก อย่างมากปรับเงินก็จบเรื่อง มิสู้ให้หลานชายไปยอมรับความผิดนี้?!” พอวาจานี้พูดออกมา แม่ลูกสกุลเฉิงล้วนโกรธจนสีหน้าเผือดขาว

ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องคิดว่ายังดีที่สกุลต่งไร้สามารถ กระทั่งคุกยังไม่อาจเข้าไปเยี่ยมน้าต่งได้ ไม่เช่นนั้นหากสมคบนัดแนะกัน น่ากลัวว่าน้าต่งอาจจะให้ร้ายสกุลเฉิงขึ้นมาจริงๆ

เฉิงสื่อระเบิดโทสะออกมาทันตา ตะโกนใส่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่ยืนอยู่กลางโถงโดยไม่สนว่ามีใครอื่นได้ยินหรือไม่ “ได้! อันคุณธรรมทั้งปวงนับความกตัญญูเป็นอันดับแรก ขอเพียงท่านแม่สั่งมาคำเดียว ข้าจะไปมอบตัวรับผิดแทนท่านน้าที่คุกเป่ยจวิน* เดี๋ยวนี้เลย! ต่อไปท่านแม่ก็ใช้ชีวิตอยู่กับน้องรองและน้องสามแล้วกัน!”

วาจานี้ผู้คนไม่น้อยทั้งในและนอกโถงล้วนได้ยิน หญิงรับใช้อาวุโสกับพ่อบ้านต่างพูดกันว่าฮูหยินผู้เฒ่าของพวกตนเสียสติไปแล้ว มีเพียงเซียวฮูหยินที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องคลี่ยิ้มน้อยๆ ดังคำกล่าวว่ายามด่าทอไร้วาจาที่ชวนฟัง เมื่อใดที่เริ่มมีปากเสียงกัน สายสัมพันธ์ไม่ว่าดีสักเพียงใดก็ต้องถูกบั่นทอน

ตอนนั้นเองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงค่อยตกใจจนสร่างเมา ตบหน้าน้าสะใภ้ต่งเต็มแรงเสียงดังกังวาน แล้วกลับไปสลดอยู่ในห้องของตนเองไม่ออกมาอีก ต่อให้ถัดจากนั้นจะได้ยินเฉิงสื่อกำชับบ่าวในจวนว่าห้ามน้าสะใภ้ต่งเหยียบเข้าจวนสกุลเฉิงอีกแม้ครึ่งก้าว ผู้ใดปล่อยคนเข้ามาจะฟาดขาคนผู้นั้นให้หัก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ไม่กล้าสอดปาก เรื่องราวชะงักงันเพียงเท่านี้ จวบจนวันที่สามต่งหลี่ว์ซื่อมาขอขมาถึงที่จวน

 

* คุกเป่ยจวิน คือสถานที่คุมขังทหารต้องโทษหรือขุนนางที่ล่วงเกินเบื้องสูง ตั้งอยู่ภายในที่ทำการของหน่วยทหารรักษาเมืองหลวงที่เรียกว่าเป่ยจวิน (ทัพอุดร)

ตามคำพูดของชิงชงฮูหยินซึ่งได้เหลียนฝางนำมาเล่าให้ฟังนั้น สกุลต่งคนพ่อรักในทรัพย์ คนลูกรักในราคะ คนแม่เป็นพวกเลอะเลือน ลูกสะใภ้ต่งหลี่ว์ซื่อเป็นคนเดียวในสกุลต่งที่เข้าใจเหตุผล เพียงแต่ความเข้าใจนี้ก็ต้องใช้ความทุกข์ยากมากมายแลกมา

เดิมทีต่งกับหลี่ว์สองสกุลล้วนเป็นครอบครัวชาวนาที่มีฐานะดี บิดาของสองสกุลหมั้นหมายรุ่นหลานกันไว้แต่แรก ไม่คาดนายท่านผู้เฒ่าต่งกลับด่วนจากไป ประกอบกับใต้หล้าโกลาหลหนัก ทำให้ทรัพย์สินในสกุลต่งร่อยหรอลงทุกวัน ต่างจากสกุลหลี่ว์ที่ยังประคับประคองตัวได้ เพื่อรักษาสัจจะนายท่านผู้เฒ่าหลี่ว์ยังคงให้หลานสาวคนเล็กแต่งเข้าสกุลต่งที่แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม ช่วงปีแรกๆ น้าต่งกับน้าสะใภ้ต่งยังนับว่าปฏิบัติกับลูกสะใภ้คนนี้ไม่เลว ใครจะคิดว่าสหายเฉิงเก่งกาจเกินคาด เพียงไม่กี่ปีก็สร้างตัวได้แล้ว ครั้นเห็นสะใภ้ที่แต่งกับสามพี่น้องสกุลเฉิงหากมิใช่ร่ำรวยก็คือมีฐานะสูง สองสามีภรรยาสกุลต่งจึงพลันรู้สึกว่าลูกสะใภ้ของตนขัดนัยน์ตา หากมิใช่ต่งหลี่ว์ซื่อให้กำเนิดบุตรชายหญิงแล้วจำนวนหนึ่ง ทั้งยังเอาใจเก่ง เกรงว่าคงถูกหย่าทิ้งไปแต่แรก

ไม่รู้ว่าต่งหลี่ว์ซื่อพูดคุยอันใดกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสว่างจนถึงเที่ยงวัน ส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคลายโทสะจนสิ้น ตกเย็นถึงกับแสดงท่าทียอมอ่อนข้อ สั่งตะกุกตะกักให้คนไปตามเฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินมา

ยามที่ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเรียกพบ เฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินเพิ่งเรียกเฉิงเซ่าซางมากินอาหารร่วมกันและถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก ครั้นเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างประตู ชิงชงฮูหยินก็คลี่ยิ้มกล่าว “เร็วกว่าที่นายหญิงคาดการณ์เสียอีก ดูท่าต่งหลี่ว์ซื่อผู้นี้จะมีคารมเป็นเลิศ”

เซียวฮูหยินแย้มยิ้มไม่เอ่ยวาจา ลุกขึ้นเตรียมจะออกไป ก่อนออกจากประตูเฉิงสื่อยังไม่ลืมกำชับบุตรสาว “เหนียวเหนี่ยวกินข้าวไปเองก่อนเลยนะ กินเนื้อสัตว์ให้มากๆ หน่อย!”

อิริยาบถลุกขึ้นยกแขนของเฉิงเซ่าซางชะงักไปเล็กน้อยก่อนขานรับ “เจ้าค่ะ น้อมส่งท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่กลับมาเร็วๆ นะเจ้าคะ”

เสียงของเด็กสาวนิ่มนุ่มราวคลึงก้อนแป้ง ในใจเฉิงสื่อให้เบิกบานยิ่ง เขายิ้มแฉ่งจนดวงตายิบหยี ผงกศีรษะแล้วเดินออกไป

เฉิงเซ่าซางนั่งคุกเข่าต่อ ก้มหน้ากินอาหารด้วยอารมณ์ขุ่นมัว อาจู้ที่อยู่อีกด้านแปลกใจอยู่บ้าง ชิงชงฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ชี้แจงพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูอย่าขุ่นเคืองไปเลย วันหน้านายหญิงกับใต้เท้าจะมากินอาหารเป็นเพื่อนท่านบ่อยๆ แน่ เพียงแต่วันนี้มีธุระจริงๆ”

เฉิงเซ่าซางขานตอบเสียงเบา

น่าเสียดาย แม้แต่ชิงชงฮูหยินผู้ละเอียดอ่อนหลักแหลมก็ทายผิดแล้ว เฉิงเซ่าซางมิได้คิดเรื่องนี้…นางเพียงแต่ไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่า ‘เหนียวเหนี่ยว’ เพราะเดิมนางในชาติก่อนมีชื่อเล่นว่า ‘หลิงนัน’ แม้ว่าผู้ที่เรียกชื่อนี้จะล่วงลับไปแล้วก็ตามที

 

ทุกครั้งที่เดินเข้าห้องพักของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เซียวฮูหยินจะรู้สึกดวงตาพร่าลายเสมอ มารดาสามีตั้งข้อเรียกร้องกับห้องพักง่ายยิ่ง นั่นคือหรูหรา หรูหรา แล้วก็หรูหรา ตั้งแต่พื้นกระดานไปจนถึงโต๊ะเตียงและที่นั่ง ขอเพียงเป็นจุดที่สามารถประดับทองคำได้ ล้วนแต่ถูกประดับด้วยไหมทองแพรทองทั้งสิ้น

แรกเริ่มฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังพูดจาในอาการขัดเขินอยู่บ้าง ต่อมาเมื่อหีบคำพูดเปิดออกแล้ว จึงยิ่งพูดยิ่งคล่อง นางจับจูงมือเฉิงสื่อ เอ่ยพร้อมน้ำหูน้ำตาไหล “ภรรยาน้องต่งของเจ้าพูดได้ดี ยามแก่ตัวแล้วจะพึ่งพาผู้ใดได้ มิใช่ต้องพึ่งพาบุตรชายหรอกหรือ หลายปีมานี้เจ้าตะลุยกองเพลิงกองโลหิตเพื่อสร้างคุณความชอบ แม่ถึงสามารถกินเนื้อดื่มสุรามีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วแม่จะไปเห็นความเป็นความตายของเจ้าสำคัญกว่าผู้อื่นได้อย่างไร…”

เฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินเพียงสบตากัน ต่างก็ไม่เอ่ยวาจา

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงร่ำไห้กล่าวต่อ “ก่อนสิ้นลมท่านตาของเจ้าฝากฝังให้แม่ดูแลทางบ้านให้มากๆ ทว่าแม่ดูแลบกพร่อง น้าชายคนอื่นๆ ของเจ้าที่ตายก็ตาย ที่พลัดพรากก็พลัดพราก เหลืออยู่แค่คนเดียวนี้ แม่รู้สึกผิดต่อบิดามารดาผู้ล่วงลับ จึงได้คิดจะช่วยเหลือสกุลต่งมากหน่อย ต่อไปหากเจ้าไม่ยินดี แม่จะไม่เรื่องมากอีกเด็ดขาดได้หรือไม่เล่า…”

ในใจเซียวฮูหยินทึ่งในตัวต่งหลี่ว์ซื่อ นี่เพิ่งจะครึ่งวันกว่าก็โน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจนเปลี่ยนจุดยืนโดยสิ้นเชิงแล้ว นางเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง เฉิงสื่อก็เข้าใจความนัย “ท่านแม่ น้องสะใภ้แซ่หลี่ว์ยังว่าอย่างไรอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจดจำถ้อยคำของต่งหลี่ว์ซื่อได้ขึ้นใจ…แสดงความอ่อนแอ ต้องแสดงความอ่อนแอ ดังนั้นนางจึงตอบเสียงอ่อยๆ “นางบอกว่า…ขอเพียงเจ้าเลื่อนยศสร้างผลงาน สกุลต่งย่อมได้พึ่งพาบารมี ให้น้าต่งของเจ้าไปทำงานในกองทัพกลับจะเป็นตัวถ่วงขุดฐานกำแพง* ของเจ้า” เอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนวูบ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “ที่แท้หลายปีที่ผ่านมา สกุลต่งเองก็ไม่ได้เก็บสะสมเงินทองไว้สักเท่าใด หากไม่ใช่ถูกน้องต่งของเจ้าเอาไปเที่ยวสตรีหาความสำราญ ก็ถูกน้าสะใภ้ของเจ้าที่ชั่วร้ายไร้หัวจิตหัวใจเอาไปเจือจานสกุลเดิม!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแม้ชอบจุนเจือสกุลเดิมของตน ทว่าจงเกลียดจงชังผู้อื่นที่กระทำเช่นนี้ เมื่อแรกเซียวฮูหยินจุนเจือสกุลเดิม นางก็ก่นด่าเรื่องนี้ตั้งหลายปี บัดนี้รู้ว่าเงินที่ตนเกื้อหนุนน้องชายจำนวนไม่น้อยถูกน้องสะใภ้ขนไปปรนเปรอสกุลเดิม ย่อมจะเดือดดาลสุดระงับ ในใจคิดว่าวันใดมีเวลาจะต้องบุกไปถึงบ้าน จิกกระชากเรือนผมน้องสะใภ้แล้วตบระบายแค้นให้เต็มที่สักยก

“ลูกแม่” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตีแขนเฉิงสื่อติดๆ กัน “เจ้าก็ช่วยน้าต่งของเจ้าสักครั้งเถิดนะ พวกเขามีที่นาแล้ว มีบ้านช่องแล้ว ย่อมจะไม่หิวโหยไม่เหน็บหนาว ต่อไปแม่จะไม่สร้างความยุ่งยากแก่เจ้าอีกเด็ดขาด!” นางหันไปหาเซียวฮูหยินก่อนเอ่ย “วันหน้าเรื่องในจวนล้วนให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าแก่แล้ว พักผ่อนเสพสุขเป็นพอ”

แววตาของเซียวฮูหยินประหนึ่งบึงน้ำลึก นิ่งสนิทไร้ระลอก เข้ามาในห้องเนิ่นนานป่านนี้ค่อยปริปากกล่าว “เห็นทีท่านแม่จะคิดได้กระจ่างแล้ว อันที่จริงใช่ว่าท่านน้าจะไร้ซึ่งหนทางช่วย…”

เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกำลังปาดน้ำตาพลางแอบกลอกลูกตาอยู่ วาจานี้ของเซียวฮูหยินยังไม่ทันเอ่ยจบ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็เต้นผางจนตัวลอยสูงสามจั้ง* ระเบิดเสียงโวยวาย “ดีนักนะ! น้องชายข้าถูกพวกเจ้าคนไร้หัวใจสองคนให้ร้ายเพื่อจะมาเล่นงานข้าจริงเสียด้วย ข้าเป็นแม่เจ้านะ! เป็นแม่เจ้า เจ้าถึงกับกล้าทำเยี่ยงนี้ ข้าจะ…ข้าจะ…”

“ท่านแม่จะทำอันใดข้า” เซียวฮูหยินตัดบทเสียงเย็น “ท่านแม่สามารถทำอันใดข้าได้หรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจนคำพูดไปชั่วขณะ เฉิงสื่อเองก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ในห้องจึงเงียบกริบไปทั่วบริเวณ

เซียวฮูหยินลุกขึ้นช้าๆ ปิดม่านประตูให้มิดชิดขึ้น ก่อนหมุนตัวมากล่าว “ก็แค่หย่าข้าเท่านั้น คิดว่าท่านแม่น่าจะได้ยินเสียงเล่าลือมาบ้าง หลายปีมานี้หลังเสร็จศึกข้าที่อยู่ในเมืองก็พอจะมีผลงานอันน้อยนิดเช่นกัน ยังไม่เอ่ยถึงว่าท่านจะสามารถบังคับให้ใต้เท้าหย่าข้าได้หรือไม่ ต่อให้หย่าได้แล้วอย่างไร ข้าก็ยังคงมีชีวิตอยู่…”

นางคลี่ยิ้มน้อยๆ มุมปากประดับเส้นโค้งที่ให้อารมณ์เยาะหยันอันพิเศษชนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “ข้ายังคงมีชีวิตอยู่ ผู้อื่นนั้นกลับไม่แน่แล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแข็งค้างไม่ไหวติง ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบหนึ่งอ่าง

เซียวฮูหยินนิ่งมองอีกฝ่ายชั่วครู่ค่อยเอ่ยต่อ “ต่งหลี่ว์ซื่อพูดไปตั้งมากมาย หรือว่าไม่ได้พูดถึงข้อนี้?”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเนื้อตัวสั่นเทิ้มขึ้นทุกที บุตรชายเล่นงานนางด้วยเรื่องของน้องชาย ใช่ว่านางไม่เคยคิดจะเล่นงานบุตรชายด้วยเรื่องของลูกสะใภ้ ทว่าถ้อยคำของต่งหลี่ว์ซื่อยังคงชัดก้องอยู่ข้างหู…

‘ข้าอยู่ข้างนอกได้ยินว่าพี่สะใภ้เซียวอยู่แนวหน้าช่วยคนเจ็บ ปลอบขวัญชาวบ้านที่ประสบภัยสงคราม ผู้คนมากมายทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างยกย่องชื่นชม แม้แต่ราชสำนักยังปูนบำเหน็จชมเชย ต่อให้ท่านฝืนบังคับให้ใต้เท้าหย่านาง นั่นแล้วอย่างไร จะทำให้นางหิวตาย แข็งตาย อับอายตายได้หรือ รังแต่จะทำให้ผู้อื่นหาว่าท่านใจดำเลอะเลือน ซ้ำไฟโทสะที่สุมเต็มท้องของใต้เท้ามิใช่ยังคงระเบิดมาบนศีรษะสกุลต่งอีก น้องชายกับหลานชายของท่านยังจะรอดชีวิตได้อย่างไร! รอจนท่านล่วงลับไป ใต้เท้าค่อยแต่งนางกลับมา นางก็เสพสุขมีลูกหลานเต็มเรือนเช่นเดิม ทว่าสกุลต่งเล่า…’

เพียงเห็นใบหน้าของเซียวฮูหยินนิ่งสนิทปานน้ำแข็งยะเยือก สุ้มเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ถูกสกัดอยู่ในลำคอ นิ้วมือสั่นระริก ได้แต่หันหน้าไปเอ่ยกับเฉิงสื่อ “ลูกแม่ เจ้าจะมองดูนางรังแกแม่เยี่ยงนี้น่ะหรือ”

เฉิงสื่อกล่าวเสียงหนัก “ข้ารู้ท่านแม่มักรู้สึกว่าข้าเข้าข้างหยวนอี ทว่าท่านแม่ตรองดูเอาเถิด พอข้าแต่งงานก็เป็นเช่นนี้เลยหรือไร สิบกว่าปีมานี้ทุกการกระทำของหยวนอีกับทุกการกระทำของท่านแม่ ข้าล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น” เขาหันไปพิศมองภรรยา ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง “ประสงค์ของหยวนอี…ก็คือประสงค์ของข้า สกุลต่งไม่อาจปล่อยปละต่อไป ท่านแม่ ท่านเองก็ควรวางมือพักผ่อนได้แล้ว อันใดไม่ควรที่ท่านจะยุ่งเกี่ยว ต่อไปท่านก็อย่าได้ยุ่งเกี่ยวอีก”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพลันทรุดนั่งลงกับพื้น ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง จะพูดก็พูดไม่ออก จะด่าก็ด่าไม่ออก

ในใจเฉิงสื่อบังเกิดความสงสาร ครั้นเงยหน้ามองเซียวฮูหยิน เห็นนางผงกศีรษะให้นิดๆ เขาจึงเอ่ยปาก “เจ้ากลับห้องไปก่อน ให้คนปิดประตูแน่นหนาหน่อย”

เซียวฮูหยินมองสามีพลางขานรับปนยิ้มน้อยๆ “เจ้าค่ะ”

 

 

* ขุดฐานกำแพง หมายถึงบ่อนทำลาย เฉกเช่นกำแพงที่ถูกขุดฐานด้านล่างจนเสียสมดุลพังครืนลงมาทั้งหมด ปัจจุบันยังหมายถึงการดึงเอาบุคลากรกับเทคโนโลยีของคู่แข่งไป ทำให้ตนเองได้รับประโยชน์สูงสุด และสร้างความเสียหายถึงฐานรากแก่คู่แข่ง

* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: