X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม บทที่ 427-บทที่ 428

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 427

มือธนูมีมากถึงหนึ่งร้อยคน นอกเหนือจากนี้ยังมีทหารซึ่งจับจ้องพวกเจ้าเมืองหลี่อย่างไม่วางตาอีกเกือบพันคน

เจ้าเมืองหลี่หน้าถอดสีไปถนัดตา เขาตวาดถาม “พวกเจ้าเป็นใครกัน!”

บุรุษวัยกลางคนเรือนกายบึกบึนผู้หนึ่งก้าวออกมาอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน ชายหนุ่มรูปงามล้ำเหลือผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือฉือชั่นที่หายตัวไปนานครึ่งค่อนวันนั่นเอง

สายตาของเจ้าเมืองหลี่ตรึงแน่นอยู่ที่ใบหน้าบุรุษเรือนกายบึกบึน

คนผู้นั้นกล่าวเสียงขรึม “ได้ยินคุณชายฉือมาแจ้งว่ามีโจรเร่ร่อนบุกมารังควานหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนานจึงมุ่งหน้ามาปราบโจร!”

เจ้าเมืองหลี่ตัวเซวูบ

เหตุใดเซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนานถึงเอาตัวเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้

มุ่งหน้ามาปราบโจรอะไรกัน ถ้าเซียวเฉียงไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เขาจะตัดศีรษะตนเองออกให้คนอื่นใช้เตะแทนลูกหนังเลย!

เหตุใดเซียวเฉียงถึงยอมเสี่ยงที่จะล่วงเกินเขาหรือที่สำคัญกว่าคือล่วงเกินสมุหราชเลขาธิการหลันเพื่อมาช่วยกวนจวินโหว

เจ้าเมืองหลี่เค้นสมองคิดอย่างหนักก็ไม่เข้าใจ

เวลานี้เองเสียงหัวร่อเบาๆ ดังลอยมา เขาได้ยินจึงหันไปมอง พบว่าเป็นเจียงอู่ที่เปล่งเสียงหัวเราะ

เจียงอู่ในขณะนี้มีโลหิตเปรอะไปทั่วชุดแพรบนกาย ข้างแก้มขาวเกลี้ยงดุจหยกเย็นเปื้อนรอยเลือดเป็นริ้วๆ กอปรกับแววตาเหี้ยมเกรียมเย็นชาดุจน้ำแข็ง ชวนให้อกสั่นขวัญผวาอย่างไร้สาเหตุ

เจ้าเมืองหลี่มองดูเจียงอู่จนลืมกล่าววาจาไปชั่วขณะ

เจียงอู่พลันสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ในระหว่างที่ข้าอยู่ในจยาเฟิงนี้ได้ใต้เท้าหลี่คอยช่วยเหลือดูแล จะขอตอบแทนน้ำใจของท่านในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ท่านคงอยากรู้เป็นอันมากใช่หรือไม่ว่าเพราะอะไรเซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนานถึงมุ่งหน้ามาช่วยเหลือ”

“เพราะอะไร” เจ้าเมืองหลี่เปล่งเสียงพูดคำนี้ช้าๆ วันนี้ต้องปราชัยเป็นที่แน่นอนแล้ว ถึงเขาจะตายก็ขอรู้เหตุผลที่ตายด้วย

เจียงอู่หัวเราะในลำคอ “เพราะว่ารองผู้บัญชาการเซียวเฉียงมีบุตรชายผู้หนึ่งปฏิบัติงานอยู่ใต้อาณัติของกวนจวินโหว อ้อ โทษมิได้ที่เจ้าเมืองหลี่จะไม่รู้ ก็เรื่องนี้เป็นความลับพอดู”

เขามองเจ้าเมืองหลี่ที่มีสีหน้าท้อแท้สิ้นหวังปราดหนึ่งถึงพูดต่อท้ายอีกคำ ยั่วอีกฝ่ายให้โกรธแทบคลั่งแต่ทำอะไรไม่ได้ “นอกจากตัวรองผู้บัญชาการเซียวเองแล้ว น่าจะมีแต่พวกข้าองครักษ์จินหลินที่ล่วงรู้กระมัง”

พอกล่าวถึงตรงนี้เจียงอู่พลันตะเบ็งเสียงดังขึ้นกะทันหัน “รองผู้บัญชาการเซียว หลี่จงอวี้เจ้าเมืองจยาหนานสมคบคิดกับโจรเร่ร่อนร่วมมือกันก่อกรรมทำเข็ญ เจียงอู่แห่งกององครักษ์จินหลินขอร้องให้รองผู้บัญชาการเซียวช่วยพวกข้าอีกแรงหนึ่ง จับกุมคนชั่วมาดำเนินคดี”

ไม่เห็นข้าเจียงอู่อยู่ในสายตารึ หมายให้บิดาถูกฝังเป็นเพื่อนกวนจวินโหว?

ฮึ ไม่กำจัดพวกปัญญาทึบเยี่ยงพวกเจ้าให้สิ้นซากในคราวเดียว คงไม่รู้พิษสงขององครักษ์จินหลินเสียแล้ว!

“ข้าต้องทุ่มเทกำลังปราบโจรชั่วให้ราบคาบอย่างเต็มที่แน่นอน” เซียวเฉียงชูมือขึ้น

เหล่าทหารที่มากับเจ้าเมืองหลี่ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

เซ่าหมิงยวนหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขึ้นในจังหวะนี้ “พี่น้องทุกท่านไม่เตรียมตัวช่วยท่านรองผู้บัญชาการมณฑลทหารหรือ อ้อ จริงสิ ข้อเสนอของข้าเมื่อครู่นี้ยังยืนยันดังเดิมนะ”

ข้อเสนอ…ข้อเสนออะไร แน่นอนเป็นข้อเสนอที่ว่าใครอุดปากเจ้าเมืองหลี่ได้ตกรางวัลหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน!

อย่าว่าแต่มีข้อเสนอนี้ ถึงไม่มีข้อเสนอนี้ กวนจวินโหวก็เปิดทางลงให้พวกเขาแล้ว

ตอนนี้หากไม่เร่งรีบแสดงท่าที หรืออยากโดนมือธนูที่รองผู้บัญชาการเซียวนำมายิงธนูใส่จนพรุนทั้งร่าง หากจุดสำคัญคือต่อให้โดนธนูเสียบพรุนทั้งร่างก็ไม่ได้รับแม้แต่เบี้ยเยียวยา ซ้ำร้ายต้องโดนตราหน้าว่าสมคบคิดกับโจรเร่ร่อน

เมื่อเป็นเรื่องของตนเองไม่มีใครสักคนที่โง่งม สิ้นเสียงเซ่าหมิงยวนไม่ทันไร เจ้าหน้าที่ทางการนับไม่ถ้วนพากันกรูเข้าใส่เจ้าเมืองหลี่

เซียวเฉียงลดมือลง เป็นขุนนางอยู่ในอาณาเขตจยาหนานเหมือนกัน ไม่ต้องลงมือกับเจ้าหน้าที่ทางการพวกนี้ได้ย่อมดีกว่า เพียงจับตัวพวกเจ้าเมืองหลี่ที่เป็นผู้กระทำความชั่วคนสำคัญก็กลับไปรายงานตัวได้แล้ว

กวนจวินโหวมีบุญคุณช่วยชีวิตและส่งเสริมบุตรชายของเขา เขาไม่อาจไม่ตอบแทนน้ำใจนี้ของอีกฝ่าย

อีกประการหนึ่ง…

เซียวเฉียงมองดูสีหน้าแตกตื่นลนลานของเจ้าเมืองหลี่แล้วแววตาปึ่งชาไปโดยพลัน

เจ้าหลี่จงอวี้ผู้นี้ออกจะกำแหงเกินไป มีสมุหราชเลขาธิการหลันซานหนุนหลังก็กล้ากำจัดพวกกวนจวินโหวให้สิ้นซาก ยังมีชาวบ้านไป๋อวิ๋นอีก หลี่จงอวี้อ้างว่าโจรเร่ร่อนก่อความวุ่นวายบังหน้า เตรียมจะก่อเหตุนองเลือดในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นใช่หรือไม่

คนเยี่ยงนี้เดิมก็มีโทษสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง

เซียวเฉียงยืนเอามือไพล่หลัง เขาเบนสายตาไปที่ตัวเจียงอู่อีกคำรบหนึ่ง

เหตุใดองครักษ์จินหลินถึงเข้ามายุ่งเกี่ยว ทั้งยังลงเรือลำเดียวกับกวนจวินโหว เขาฉงนใจอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี

พอมีคำกล่าวประโยคนั้นของเจียงอู่ แทนที่เขาจะเป็นตัวตั้งตัวตีก็กลายเป็นผู้ช่วยกององครักษ์จินหลินทำคดี เมื่อเป็นอย่างนี้ถึงเวลาถ้าสมุหราชเลขาธิการหลันซานบันดาลโทสะ ก็จะมีเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินอยู่ข้างหน้าสกัดไฟโทสะไว้ให้

เซียวเฉียงมองไปทางกวนจวินโหว

กลางกองทหารนับพัน ร่างคนหนุ่มผู้นั้นสูงเด่นผึ่งผาย สายตาเย็นเยือก มุมปากประดับรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านราวกับว่าความสับสนวุ่นวายตรงหน้าไม่ส่งผลใดๆ ต่อเขาแม้สักเศษเสี้ยว

เขาถึงขั้นเหลียวไปมองประตูลานเรือนเบื้องหลัง ยามที่หันศีรษะกลับมา มีแววอ่อนโยนผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง

เซียวเฉียงถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างสุดระงับ

นี่ก็คือกวนจวินโหวผู้ที่ราษฎรต้าเหลียงในแดนเหนือเห็นเป็นเทพสวรรค์ สมคำเล่าลือโดยแท้

ทอดสายตามองไปทั่วหล้า ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีทหารนักรบมากมายประหนึ่งดวงดาวบนฟ้า ทว่าคนที่เทียบเคียงคนตรงหน้าผู้นี้ได้น่าจะเป็นเจิ้นหย่วนโหวเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว

เพียงน่าเสียดาย…

เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ เขาเบนสายตามองไปที่เซียวเฉียง

เซียวเฉียงดึงความคิดคืนมา ประสานมือคารวะเขาจากระยะไกล

ชายหนุ่มคารวะตอบ เขาเห็นว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมโดยสิ้นเชิงแล้วก็หมุนกายเดินเข้าลานเรือนทันที

เฉียวเจาเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก นางเอ่ยถามเฉินกวง “ยุติลงแล้วใช่หรือไม่”

“น่าจะยุติแล้วขอรับ” เฉินกวงพลันขมวดคิ้ว “มีคนมาแล้ว คุณหนูหลีลองเดาดูสิว่าเป็นใครขอรับ”

นางพิศดูสีหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น “แม่ทัพเซ่า?”

เฉินกวงฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวทั้งปากทันใด “ถูกต้อง เป็นท่านแม่ทัพของพวกเรานั่นเอง เสียงฝีเท้าของท่านแม่ทัพคุ้นหูข้าดี…”

แย่แล้ว พลั้งปากจนได้ ตอนแรกอยากจะดูคุณหนูหลีเป็นห่วงท่านแม่ทัพสักหน่อย

เซ่าหมิงยวนปรากฏกายขึ้นตรงหน้าประตู

เฉินกวงลุกลนวิ่งออกไป “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสามรอคอยท่านอยู่ตลอด พวกท่านคุยกันตามสบายนะขอรับ”

เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก “เฉินกวงจะวิ่งไปที่ใด”

“คงจะเป็นวัวสันหลังหวะกระมัง” เฉียวเจาเดินเข้าไปหาเขา

“หือ?” เขางงงันไป

นางไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เพียงมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านบาดเจ็บแล้วหรือ”

“เปล่า ล้วนเป็นเลือดของคนอื่น…” เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วย่นหัวคิ้วเข้าหากัน

“เป็นอะไร”

แม่ทัพหนุ่มสูดปากเบาๆ ทีหนึ่ง “เจ็บตรงไหล่ซ้ายอยู่บ้าง”

ปกติแผลเล็กๆ พวกนี้ในสายตาของเขาล้วนไม่นับว่าบาดเจ็บ แต่จังหวะนี้ไม่ให้เจาเจาสงสารเขาสักหน่อย เขาก็เป็นคนโง่แล้ว

“ข้าขอดูหน่อย” เฉียวเจาได้ยินก็ขมวดคิ้วจริงๆ นางเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วยกมือดึงเสื้อของเขาลงเบาๆ เผยหัวไหล่ซ้ายออกมา

เซ่าหมิงยวนหน้าแดงเรื่อๆ “เลือดทั้งนั้น เปื้อนมือเจ้าหมดแล้ว”

นางขึงตาใส่เขา “ตอนนี้ท่านจะพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอย่างนี้ไปด้วยเหตุใด”

รอยแผลฉีกขาดเหวอะหวะตรงไหล่ซ้ายทำให้ดวงตาของเฉียวเจาทอแววตึงเครียด นางรู้สึกแปลบปลาบใจอย่างปราศจากเหตุผล แต่ปากยังพูดดุเขา “ไหนบอกว่าล้วนเป็นเลือดของคนอื่นมิใช่หรือ ตรงนี้มีแผลไม่เล็กเลยนะ”

มาตรว่าบาดแผลภายนอกไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ร่างกายคนไม่ได้ตีจากเหล็ก ย่อมต้องเจ็บแน่นอน

“ปวดหรือไม่” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น

เฉียวเจางุนงงกับคำถามนี้ ปวดหรือไม่ตัวเขาไม่รู้หรือไร ไฉนถึงถามนาง

แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าหัวเราะ เขาจ้องตาเด็กสาว “เจาเจาปวดใจหรือไม่”

บทที่ 428

เฉียวเจาหน้าแดงก่ำอย่างรวดเร็ว เพราะอะไรในเวลาเช่นนี้เจ้าคนผู้นี้ยังทำสีหน้าจริงจังกล่าวถ้อยคำหน้าไม่อายเฉกนี้ได้

“นั่งลง ข้าใส่ยาให้” เฉียวเจาเฉไฉไม่ตอบ นางชี้เก้าอี้ด้านข้าง

เซ่าหมิงยวนไม่ได้นั่งลง กลับยกมือยึดมือนางไว้ สายตาเปล่งประกายแรงกล้า “ประเดี๋ยวค่อยใส่ยา ข้าจะไปพูดคุยไต่ถามทุกข์สุขกับรองผู้บัญชาการเซียวสักหน่อย”

เขาหมุนกายเดินไปถึงหน้าประตูแล้วหันหน้ามาบอกยิ้มๆ “เจาเจา รอข้านะ”

หลังเขาออกไปในห้องว่างเปล่าเงียบเชียบลงทันใด เฉียวเจานั่งบนเก้าอี้ปล่อยใจล่องลอยไป

ดูเหมือนนางยิ่งมายิ่งไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรกับเซ่าหมิงยวนดี

นับแต่บุรุษผู้นั้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง นับวันจะยิ่งใจกล้ามากขึ้นตามลำดับ ซ้ำยังหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางหมายมั่นปั้นมือของเขาทำให้นางเห็นแล้วอยากทุบเขาเต็มแรงใจจะขาด

เขาถือสิทธิ์อะไร หรือจะบอกว่านางเคยเป็นภรรยาเขา ก็ต้องยึดคติที่ว่ายามอยู่เป็นคนของเขา ยามตายเป็นผีของเขา ต่อให้ยืมศพคืนวิญญาณ นางยังคงต้องเป็นภรรยาเขาด้วยหรือ

ช่างฝันหวานนัก!

ปิงลวี่วิ่งพรวดพราดเข้ามาขัดจังหวะภวังค์ของแม่นางเฉียว

“คุณหนู ชนะแล้วๆ พวกเราชนะแล้ว!” สาวใช้น้อยกระโดดโลดเต้นจนสะบัดเลือดกระเด็นไปเลอะตัวผู้เป็นนาย

เฉียวเจามองอีกฝ่ายนิ่งงัน “…”

ปิงลวี่ชะงักกึก “คุณหนู ข้าไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ”

เฉียวเจาถอนใจ “เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ค่อยๆ เล่ามาว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรกันแน่”

“มีทหารมาเยอะแยะล้อมพวกเจ้าเมืองหลี่เอาไว้ คนพวกนั้นยังเอาธนูมาด้วยเจ้าค่ะ เจ้าเมืองหลี่กลายเป็นพวกสวะปลายแถวไปทันทีเลย จริงสิ คุณหนู ตอนนี้เจ้าเมืองหลี่ใกล้จะปากฉีกแล้ว ตลกเหลือเกินเจ้าค่ะ”

“เหตุใดหรือ”

ปิงลวี่ทำสีหน้าเลื่อมใส “ก็เพราะท่านแม่ทัพน่ะสิเจ้าคะ ตอนนั้นเจ้าเมืองหลี่พูดว่าใครบั่นศีรษะท่านแม่ทัพได้จะตกรางวัลให้หมื่นตำลึงเงิน ท่านแม่ทัพของพวกเราเลยพูดว่าใครอุดปากเน่าๆ ของเจ้าเมืองหลี่ได้ก็ตกรางวัลให้หมื่นตำลึงเงินโดยไม่เกี่ยงว่าอยู่ฝ่ายใด”

เฉียวเจาเม้มปาก

ท่านแม่ทัพของพวกเรา? ดูทีว่าหลังประสบผ่านเหตุนี้ สาวใช้ของข้าก็ไปสวามิภักดิ์ต่อเซ่าหมิงยวนเสียแล้ว

ประเดี๋ยวนะ อุดปากเจ้าเมืองหลี่ตกรางวัลหมื่นตำลึงเงิน?

เฉียวเจาโคลงศีรษะ

เจ้าคนล้างผลาญ มีเงินจนไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ใดหรืออย่างไร

ปิงลวี่ยังกล่าวหน้าระรื่น “คุณหนู ท่านว่าท่านแม่ทัพฉลาดหรือไม่เจ้าคะ เจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นก็ไม่เบาปัญญา รู้ว่าเอาชีวิตของกวนจวินโหวเป็นเรื่องยาก แต่อุดปากเจ้าเมืองหลี่น่ะง่ายกว่าเป็นกอง ตอนหลังทัพหนุนของพวกเรามาถึง เจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นก็ยื้อแย่งกันเข้าไปอุดปากเจ้าเมืองหลี่ ทั้งผ้าเช็ดเหงื่อเอยผ้าเช็ดหน้าเอย ล้วนเอาออกมาจนหมด ยังมีคนไม่น้อยที่ถอดถุงเท้าเสียเลย…”

เฉียวเจานึกภาพเหตุการณ์นั้นแล้วพลันรู้สึกว่าใช้หมื่นตำลึงเงินนี้ได้คุ้มค่ายิ่งนัก

ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ “พอท่านแม่ทัพเห็นว่าควบคุมสถานการณ์ได้ ท่านเดาดูว่าท่านแม่ทัพทำอะไรเป็นเรื่องแรกเจ้าคะ”

“อะไรหรือ” เฉียวเจาสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก

ตอนนั้นนางไม่กล้าทำให้เขาเสียสมาธิ จึงรออยู่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยมตามที่เขากำชับ แต่แท้จริงแล้วในใจแสนจะทุรนทุรายด้วยห่วงพะวงเหตุการณ์ด้านนอกอยู่ตลอด

เห็นคุณหนูของตนก็มีเวลาที่โง่เขลาเช่นกัน ปิงลวี่จึงยกมือปิดปากพูดอย่างชอบใจ “เรื่องแรกที่ท่านแม่ทัพทำก็คือกลับมาหาท่านน่ะสิเจ้าคะ”

เฉียวเจาหน้าร้อนซู่ นางกระแอมกระไอเสียงหนึ่งก่อนกล่าว “เลิกเรียกท่านแม่ทัพๆ ไม่ขาดปาก เจ้าเป็นสาวใช้ของข้า ไม่ใช่ของเขา”

“เป็นของใครก็ไม่แตกต่างกันนี่” สาวใช้น้อยพูดเสียงอุบอิบ

“เจ้าว่าอะไร” แม่นางเฉียวปั้นหน้าตึงพลางเอ่ยถาม

ปิงลวี่หาได้เกรงกลัวไม่ ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของนางพลางพูดกลั้วเสียงหัวเราะคิกคัก “คุณหนู ข้าไม่เคยเห็นบุรุษที่เก่งกาจห้าวหาญไร้ใดผู้เทียมทานและฉลาดปราดเปรื่องอย่างท่านแม่ทัพมาก่อน ท่านลองใคร่ครวญรับรักท่านแม่ทัพเถอะนะเจ้าคะ”

สาวใช้น้อยพูดจบก็เผ่นหนีเอาตัวรอดอย่างฉับไวจนหวุดหวิดจะชนกับอาจูตรงหน้าประตู

อาจูที่ยกถ้วยน้ำชาไว้รีบหลบออกด้านข้าง นางโคลงศีรษะก่อนเดินเข้าไป “คุณหนู ดื่มน้ำชงน้ำผึ้งเจ้าค่ะ”

เฉียวเจายกถ้วยน้ำชงน้ำผึ้งขึ้นพลางเหลือบมองสาวใช้

นางไม่ได้สั่งให้อาจูไปชงน้ำผึ้งเสียหน่อย

อาจูเอ่ยอธิบายต่อนางอย่างเข้าใจความหมาย “แม่ทัพเซ่าบอกว่าน้ำผึ้งทำให้จิตใจสงบได้…”

มือของเฉียวเจาที่ถือถ้วยไว้ชะงักไปเล็กน้อย ดังนั้นนี่มิใช่จะบอกว่าสาวใช้สองคนของนางล้วนไปสวามิภักดิ์ต่อท่านแม่ทัพผู้องอาจกล้าหาญมีวรยุทธ์ล้ำเลิศเหนือใครแล้วหรือ

นางหลุบตาลงดื่มน้ำผึ้งคำหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งสนิท

น้ำชงน้ำผึ้งมีรสหวานมาก ขับไล่ความวิตกหวาดหวั่นนานัปการที่ทับถมอยู่กลางใจออกไปได้ในพริบตา

น้ำผึ้งมีสรรพคุณกล่อมอารมณ์และช่วยให้นอนหลับ นี่กลับเป็นเรื่องจริง คนผู้นั้นรู้อะไรๆ ไม่น้อยจริงๆ

แม่นางเฉียวกุมถ้วยน้ำชงน้ำผึ้งไว้ด้วยสองมือแล้วเริ่มใจลอย

อาจูยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม มิได้รบกวนผู้เป็นนายอย่างรู้กาลเทศะ

 

เรื่องของเจ้าเมืองหลี่นับว่าคลี่คลายลงแล้ว

เจียงอู่สั่งให้องครักษ์จินหลินคุมตัวเจ้าเมืองหลี่เข้าเมืองหลวงในความผิดฐานสมคบคิดกับโจรเร่ร่อนก่อความเดือดร้อนให้ราษฎรพร้อมหลักฐานแน่นหนา ต้องโดนตัดสินโทษประหารชีวิตอย่างหนีไม่พ้น ถึงแม้ผู้หนุนหลังเขาจะเป็นต้นไม้ใหญ่เฉกสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ทว่าหนนี้ก็สุดปัญญาจะคุ้มหัวเขาได้อีกต่อไป

แน่นอนว่าบทลงเอยของพวกลูกสมุนของเจ้าเมืองหลี่อย่างที่ปรึกษาของเขารวมถึงนายอำเภอจยาเฟิงก็มิได้ดีไปกว่ากัน ทั้งหมดถูกองครักษ์จินหลินจับขึ้นเกวียนลำเลียงกรงขังนักโทษคุมตัวเข้าเมืองหลวงเช่นเดียวกัน

หน่วยองครักษ์ที่ต่อสู้กับพวกทหารในคืนนั้นหายตัวไปเงียบๆ ดังเดิมราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน คนที่หายตัวไปด้วยยังมีองครักษ์ฝีมือสูงส่งของเจ้าเมืองหลี่นามว่าหลิวหู่ซึ่งเป็นคนที่ลงมือกับชาวสกุลเฉียว

ยามก้าวออกจากประตูทางเข้าเรือนของหญิงขายเต้าหู้ เฉียวเจาได้กลิ่นคาวโลหิตที่ดูเหมือนยังไม่จางหายไปแล้วถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง

ความสุขสงบนั้นหาได้ยาก แต่การทำลายมันกลับเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน

เห็นทีว่าคนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นต้องอยู่กันอย่างหวาดผวาไปอีกเวลานาน

“ถ้าพวกเรามุ่งหน้าลงใต้ต่อไปล่ะก็ จะไม่สามารถประจานความชั่วร้ายที่เจ้าเมืองหลี่ได้กระทำกับชาวสกุลเฉียวของข้าได้ทันทีแล้ว” เฉียวเจากล่าวทอดถอนใจ

แม้ว่าพวกนางจะมีพยานหลักฐานอยู่ในมือ แต่เซ่าหมิงยวนไม่กลับเมืองหลวง ความจริงที่เกี่ยวกับเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวก็ไม่อาจเปิดเผยให้รู้กันทั่วได้ในตอนนี้

เซ่าหมิงยวนยกมือแตะเรือนผมของนางเบาๆ แล้วลดมือลงอย่างรวดเร็ว เขากล่าวปลอบนางว่า “อย่าใจร้อน เจ้าเมืองหลี่ถูกองครักษ์จินหลินคุมตัวเข้าเมืองหลวงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง หลังจากไปถึงยังต้องผ่านการไต่สวนของสามตุลาการ ถึงจะปิดคดีและนำตัวเข้าคุกหลวง กว่าจะประหารชีวิตก็ต้องรอฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า เขาหนีความผิดที่กระทำไว้กับสกุลเฉียวไม่พ้นหรอก”

เฉียวเจาพยักหน้า “ข้าเข้าใจดี สกุลเฉียวประสบเภทภัยร้ายแรงในครานี้มีต้นเหตุมาจากแม่ทัพคั่งวอสิงอู่หยาง ไม่มีเรื่องที่เขายักยอกเบี้ยหวัดทหารและขุนนางกับโจรสมคบคิดกันก็จะไม่มีสมุดบัญชีสองเล่มนั้น ชาวสกุลเฉียวคงไม่ต้องจบชีวิตโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นนี้ กระนั้นต้นตอที่แท้จริงยังคงเป็นหลันซานสมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบัน พวกเจ้าเมืองหลี่เป็นเพียงผู้ร่วมก่อกรรมทำชั่ว”

จะเป็นสิงอู่หยางก็ดี หรือหลันซานก็ดี พวกเขากระทำความผิดต่อสกุลเฉียวมากกว่าเจ้าเมืองหลี่มากมายนัก การกำจัดผู้ที่เป็นคนลงมืออย่างเจ้าเมืองหลี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ส่วนสิงอู่หยางกับหลันซาน ช้าเร็วนางต้องคิดบัญชีนี้กับพวกเขาทีละคน

ด้วยเหตุนี้การเดินทางสู่ทิศใต้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มีเพียงไปถึงที่นั่นและเสาะหาหลักฐานยืนยันว่าแถบชายทะเลตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย โอรสสวรรค์ผู้ฝักใฝ่ชีวิตอมตะพระองค์นั้นถึงยอมให้ความสำคัญโดยไม่กลัวปัญหายุ่งยาก คนในครอบครัวของนางจึงจะได้รับความเป็นธรรม

“แม่ทัพเซ่าพักรักษาตัวอีกสองสามวัน พวกเราค่อยออกเดินทางเถอะ”

เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงมองเด็กสาวข้างกายโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา

เฉียวเจาเหลือบตาขึ้น “มีอะไรหรือ”

เขาถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “เมื่อคืนเจาเจาเรียกข้าว่าพี่เซ่าแท้ๆ ไฉนเพิ่งหลับไปตื่นเดียวก็เปลี่ยนไปแล้ว”

แม่นางเฉียวกลอกตาขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

พอกันที ท่าทางเหมือนถูกคนหลอกลวงทิ้งขว้างเช่นนี้ของเขาไปหัดมาจากที่ใดกันแน่

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: