บทที่ 433
เสี่ยวเอ้อร์เล่าจบพวกเขาก็สั่นสะท้านไปถึงตรงกลางใจพร้อมกับไฟโทสะลุกโชนขึ้นระลอกหนึ่ง
หยางโฮ่วเฉิงทุบโต๊ะเต็มแรง “เดรัจฉานแท้ๆ!”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ “อย่าเหยียดหยามเดรัจฉานได้หรือไม่”
“ใช่ เทียบเดรัจฉานไม่ได้” หยางโฮ่วเฉิงประจักษ์เป็นคราแรกว่าความปากร้ายของสหายรักช่างน่ารักน่าชังนักหนา
เซ่าหมิงยวนวางท่าเยือกเย็นผิดจากผู้อื่น แต่ลึกเข้าไปในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟเต้นระริกอยู่
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ลูกค้าที่เปล่งเสียงพูดสองคนนี้ไม่ทำให้เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกอะไร ทว่าลูกค้าที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าเรียบสนิทผู้นั้นกลับทำให้เขาเย็นยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กายโดยพลันจนขยับเท้าไปด้านข้างก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวเอ้อร์กำก้อนเงินในมือ รำพึงในใจว่า ช่างเถอะ เห็นแก่เงินก้อนนี้ เอ่ยเตือนพวกเขาสักคำดีกว่า
“ท่านทั้งหลาย พวกท่านกินอาหารเสร็จแล้วก็รีบไปเถอะขอรับ”
“เหตุใดหรือ มากินอาหารร้านเจ้ายังจะขับไล่ไสส่งกันอีก” หยางโฮ่วเฉิงถลึงตาใส่
“ไม่ใช่นะขอรับ ข้าน้อยหวังดีต่อพวกท่านต่างหาก” เสี่ยวเอ้อร์มองไปรอบๆ ก่อนพูดกระซิบ “ใกล้จะครบกำหนดส่งหญิงสาวไปให้ชาววอโค่วเต็มที แต่ทางการยังรวบรวมคนได้ไม่ครบ พวกท่านมีหญิงสาวตั้งสามคน ขืนไม่รีบไปจากที่นี่ เกรงว่าจะไม่ได้ไปแล้ว”
“ขอบใจพี่ชายที่ช่วยเตือน” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ
เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าพูดแล้วลูกค้าพวกนี้ยังใจเย็นเยี่ยงนี้ก็งุนงงไม่เข้าใจอย่างมาก
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยกับพวกฉือชั่น “รีบกินข้าวเถอะ”
หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า “ใช่ กินอิ่มแล้วถึงมีเรี่ยวแรงวิวาท”
เสี่ยวเอ้อร์อ้าปากค้าง คนพวกนี้เป็นใครมาจากที่ใดกันนี่!
เขาโคลงศีรษะเดินออกไป ไม่นานนักก็มีเสียงเอ็ดตะโรดังมาจากด้านนอก
“คนที่มากินอาหารในร้านพวกเจ้าอยู่ที่ใด!”
เสียงขององครักษ์จินอู๋หลายคนดังขึ้น “พวกเจ้าจะทำอะไร”
ในห้องส่วนตัวหยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วผุดลุกขึ้นยืน “มาแล้วจริงๆ”
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นมองเขา “อย่าวู่วาม กินเสร็จก่อนค่อยว่ากัน”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นก้าวขาเดินออกนอกห้องพลางเอ่ย “ข้าออกไปดูสักหน่อย”
“นี่! ไหนบอกว่ากินเสร็จค่อยว่ากันไม่ใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงตะโกนพูดอย่างสุดระงับ
บุรุษที่เดินถึงหน้าประตูไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง บอกด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ข้ากินเสร็จแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงจ้องมองชามเปล่าซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าที่นั่งของเซ่าหมิงยวนอย่างงงงัน จากนั้นเริ่มพุ้ยข้าวกินอย่างรีบเร่ง
ฉือชั่นวางตะเกียบลง “ข้ากินเสร็จแล้วเหมือนกัน”
“ไฉนพวกเจ้าล้วนกินกันรวดเร็วถึงเพียงนี้” หยางโฮ่วเฉิงพูดเสียงอู้อี้
ฉือชั่นลุกขึ้นพูดอย่างยิ้มย่อง “เพราะพวกข้ากินชามเดียว ส่วนเจ้ากินสามชามน่ะสิ”
หยางโฮ่วเฉิงมองชามที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง “…” นี่เป็นเรื่องจริง ข้าหมดคำพูดจะโต้ตอบแล้ว
ภายในโถงร้านสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด เห็นเซ่าหมิงยวนกับฉือชั่นเดินไล่หลังกันออกมา พวกองครักษ์จินอู๋ก็สำรวมตนขึ้นหลายส่วน ขณะที่พวกผู้มาถึงอดหันไปมองไม่ได้
เซ่าหมิงยวนมองสำรวจผู้มาเยือนเหล่านี้เช่นเดียวกัน
ผู้เป็นลูกพี่ตัวสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าเป็นสีแดงปลั่ง อาภรณ์บนกายแลดูสง่าภูมิฐานพอดู เขาจับจ้องมาทางหน้าประตูอย่างไม่วางตา
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วน้อยๆ
สายตาของอีกฝ่ายโอหังเกินไป ชวนให้ไม่สบอารมณ์ดีแท้
ฉือชั่นบันดาลโทสะแล้ว “มองอะไร ขืนมองอีกจะแทงตาสุนัขเยี่ยงเจ้าให้บอดไปเลย”
ผู้เป็นลูกพี่หัวเราะพรืดอย่างชอบใจ แววตาเคลิ้มลอยพลางเอ่ยว่า “น่าเอ็นดูนัก สาวน้อยผู้นี้ยอดเยี่ยมมาก โฉมงามถึงเพียงนี้ กลับปลอมตัวเป็นชายได้คล้ายคลึงอย่างยิ่ง กระทั่งเสียงพูดยังดัดได้เหมือน ถ้าไม่ใช่ข้าสายตาดี คงโดนตบตาแล้วจริงๆ”
รูปหน้าของฉือชั่นงามละเมียดละไมสมส่วน เรือนกายผอมบางกว่าหนุ่มฉกรรจ์ไปบ้าง ทว่าไม่ได้ดูอ้อนแอ้นอรชรเฉกอิสตรี สาเหตุที่ผู้มาถึงเห็นเขาเป็นสตรี ประการแรกเพราะได้ข่าวว่าในหมู่คนต่างถิ่นมีหญิงสาวถึงทึกทักเอาเอง ประการที่สองเพราะไม่ได้พบเจอหญิงสาวในเมืองมานานระยะหนึ่ง แวบแรกที่ได้เห็นคนงามเพียงนี้ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษ
เรื่องที่ฉือชั่นเกลียดชังที่สุดคือพวกบุรุษเห็นตนเป็นสตรี จึงพาให้เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟทันควัน เขาโกรธจัดแต่กลับยิ้ม “อย่างนั้นหรือ เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้จริงๆ รึ”
เขาก้าวออกมาจากกลุ่ม เดินด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะไปตรงเบื้องหน้าผู้เป็นลูกพี่
ลูกพี่กำลังหลงใหลเคลิบเคลิ้มจนลืมตัว เขาเอ่ยขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ “สาวน้อยอยากลองหรือไม่”
หญิงงามเช่นนี้เขาเพียงอยากเก็บซ่อนไว้ หักใจส่งตัวไปไม่ลงจริงๆ
“อย่างนั้นข้าก็จะลองดู” ฉือชั่นเผยรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตา ยกเท้าถีบตรงไปที่ท่อนล่างลำตัวของลูกพี่
บุรุษย่อมรู้ตำแหน่งกล่องดวงใจของบุรุษด้วยกันได้แจ่มแจ้งกว่าสตรีแน่นอน แรงถีบนี้ทั้งแม่นยำทั้งหนักหน่วง ลูกพี่ร้องโหยหวนเสียงหนึ่งแล้วล้มลงกับพื้นชักดิ้นชักงอทันใด เขาดิ้นไปแผดเสียงร้องอย่างน่าอนาถไป
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งกวาดอาหารบนโต๊ะจนเรียบวุธแล้วยืนอยู่หน้าประตู พูดเสียงพึมพำว่า “ทีนี้ดีล่ะ ในแผ่นดินก็มีขันทีเพิ่มขึ้นอีกคน”
“พวกเจ้า พวกเจ้ามัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด…ลุย…ลุยเข้า…” ลูกพี่ยังกล่าวคำว่า ‘ลุยเข้าไป’ ไม่จบก็ตาเหลือกสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด
ลูกสมุนที่เขาพามามองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้าไม่รีบพาเขาไปหาหมอหรือ บางทีอาจยังมีโอกาสต่อกลับเข้าที่นะ”
คนพวกนั้นอึ้งงันไป จากนั้นมีคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ใครจะพานายน้อยไปโรงหมอกับข้า พวกเจ้าที่เหลืออยู่อย่าปล่อยให้คนพวกนี้หนีไปได้”
สิ้นเสียงเขาคนทั้งกลุ่มแย่งกันพูดยกใหญ่ “ข้าไปๆ!”
อย่าล้อเล่น ใครจะกล้าอยู่ที่นี่เล่า กระทั่งนายน้อยยังโดนเตะกล่องดวงใจไปแล้ว คนใดอยู่คนนั้นเคราะห์ร้าย!
“อะไรกัน ไปกันหมดแล้วคนพวกนี้หนีไปจะทำเช่นไร พวกเขาหนีไป พวกเราจะกลับไปรายงานตัวอย่างไร บัดซบ!” คนผู้นั้นด่าทอคำหนึ่ง “เจ้าสี่ เจ้าไปกับข้า!”
เจ้าสี่ที่ถูกขานชื่อดีใจจนออกนอกหน้า เขากล่าวเสียงดัง “ขอรับ”
ทั้งคู่หามลูกพี่ที่สลบไสลไม่ได้สติพาออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเหาะ
คนที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างมีไหวพริบ “ข้าไปแจ้งข่าวนายตำบล!”
คนอื่นๆ ยื่นมือฉุดตัวเขาไว้ “อาศัยอะไรให้เจ้าไป ข้าไปเอง!”
พวกเขานึกไปถึงเหตุการณ์ที่นายน้อยโดนถีบกล่องดวงใจเมื่อครู่ก็แข้งขาอ่อนแรง อยากจะหนีไปให้พ้นๆ ใจจะขาด เมื่อเกิดการยื้อแย่งขึ้นมาย่อมจะไม่ลดราวาศอกสักนิด
สุดท้ายพอหมดหนทางแล้ว มีคนหนึ่งพูดเสนอขึ้น “หรือไม่ไปแจ้งข่าวพร้อมกัน”
“ดี!” ข้อเสนอนี้ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ ทันที
คนที่พูดเสนอขึ้นมองพวกเซ่าหมิงยวนแล้วทำใจดีสู้เสือกล่าวว่า “แน่จริงพวกเจ้าอย่าหนีนะ”
ฉือชั่นหัวเราะพรืดอย่างขบขัน “พวกเจ้าเบาปัญญาเลยนึกว่าคนอื่นก็เบาปัญญาเช่นกันหรือ”
ด้านเซ่าหมิงยวนกลับบอกเสียงเรียบ “ได้”
เอ๊ะ พูดง่ายถึงเพียงนี้?
คนพวกนั้นเบิกตากว้างมองเซ่าหมิงยวน
คำพูดของคนผู้นี้มีน้ำหนักหรือไม่กันแน่ ตอนนี้พวกเขาวิ่งไปแจ้งข่าวกับนายตำบล ประเดี๋ยวนายตำบลพาคนมาแล้วถ้าพบว่าคนพวกนี้หายตัวไปแล้วพวกเขาต้องแย่แน่ๆ
“วางใจได้ พวกข้าไม่หนีจริงๆ” แม่ทัพหนุ่มเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตามใจชอบ ริมฝีปากแฝงรอยยิ้มยามกล่าว “พวกเจ้าบอกมิใช่หรือว่าแน่จริงอย่าหนี”
หยางโฮ่วเฉิงหัวร่อลั่น “ใช่ คนไม่แน่จริงอย่างพวกเจ้ารีบๆ ไปเสีย”
คนพวกนั้นหน้าแดงจรดใบหู ฝืนทำใจแข็งพูดทิ้งท้ายไว้ “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ”
โถงร้านเงียบเชียบไปในอึดใจเดียว
หยางโฮ่วเฉิงหย่อนกายลงนั่ง เขาถามเซ่าหมิงยวน “ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร”
“พวกเราต้องซื้อหาเสบียงเพิ่มเติมเพื่อออกทะเลก็ต้องอยู่ที่นี่เป็นธรรมดา จะได้ดูว่านายตำบลที่ส่งหญิงสาวไปให้ชาววอโค่วผู้นั้นเป็นคนใหญ่คนโตจากที่ใดได้พอดี” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ตำบลนี้เล็กมาก แค่ราวสองเค่อร้านสุราก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งตีวงล้อมไว้แล้ว
บทที่ 434
“ใครทำร้ายบุตรชายข้าบาดเจ็บ ไสหัวออกมา!” เสียงตะโกนโวยวายดังมาจากด้านนอก
ในร้านสุราผู้ดูแลร้านปาดเหงื่อไม่หยุด “ลูกค้าทุกท่าน มีเรื่องอะไรพวกท่านก็ออกไปพูดกันข้างนอกดีกว่านะขอรับ ร้านสุราของข้าคับแคบ ไม่สะดวกจะสำแดงฝีมือ”
คนต่างถิ่นพวกนี้ล้วนเป็นชายหนุ่มวัยราวยี่สิบ ร่างกายกำยำบึกบึน ดูท่าทางมิใช่คนที่จะตอแยได้ ประเดี๋ยวถ้าชกต่อยกันขึ้นมา คงต้องพังร้านสุราราบคาบเป็นแน่ ถึงเวลาจะขอให้ใครชดใช้เล่า
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ “ออกไปดูกันเถอะ”
ทุกคนก้าวออกจากร้านสุราพร้อมกัน
ด้านนอกมีคนยืนอยู่หลายสิบคน หัวหน้ากลุ่มคือบุรุษอายุสี่สิบเศษ เรือนกายอวบอ้วน หน้าตาเหี้ยมเกรียม
หยางโฮ่วเฉิงพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหูฉือชั่น “สือซี คนผู้นี้ละม้ายคนที่โดนเจ้าถีบสลบไปอยู่เล็กน้อยนะ ดูทีว่าบุตรโดนตี บิดามาเอาเรื่องแล้ว”
ฉือชั่นเหยียดมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ เขาเห็นฝีมือพวกองครักษ์ของเซ่าหมิงยวนแล้ว รวมกับคนของพวกเขา หากถูกคนในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งปิดล้อมไว้ นั่นต่างหากถึงเป็นเรื่องตลก
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาจะปล่อยให้ตนเองต้องกล้ำกลืนฝืนทนไปไย
“นี่คือนายตำบลท่าปากทะเลของพวกข้า” คนที่วิ่งหนีไปก่อนหน้านี้เอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ ตำบลเล็กถึงเพียงนี้ถึงกับยังมีนายตำบลด้วยหรือ” ฉือชั่นกล่าวเสียงยียวน รอยเยาะหยันในน้ำเสียงชวนให้โมโหจนควันออกหู
ราชวงศ์ต้าเหลียงกำหนดพื้นที่เมืองออกเป็นอำเภอ พื้นที่อำเภอยังแบ่งเป็นตำบลและหมู่บ้าน กระนั้นนายตำบลที่เรียกกันมักจะเป็นผู้มีอำนาจเจ้าถิ่นที่นายอำเภอเลือกให้มารับตำแหน่งนี้ จึงไม่จัดว่าเป็นข้าราชสำนักอย่างแท้จริง
“เป็นเจ้าที่ทำร้ายบุตรชายข้าหรือ” นายตำบลจ้องฉือชั่นตาเขม็ง
คนแจ้งข่าวบอกว่าคนที่ทำร้ายบุตรชายเขาเป็นหญิงงามล้ำเหลือที่ปลอมตัวเป็นชายนางหนึ่ง ต้องเป็นคนตรงหน้าเขาผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่ถูก เขามีลูกกระเดือก!
นายตำบลพิศดูฉือชั่นอย่างละเอียดแล้วโกรธจนเต้นผางๆ
เจ้าพวกบัดซบตาบอด!
“ยังมัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด ลุยเข้าไป จับเจ้าเดรัจฉานที่ทำร้ายนายน้อยผู้นี้สับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!”
คนที่นายตำบลพามาล้วนวางอำนาจบาตรใหญ่จนเป็นนิสัย ในกาลก่อนก็ฉุดคร่าหญิงสาวในเมืองตามคำสั่งเบื้องบน ยังทุบตีคนจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา มาตรว่าคนที่เผชิญหน้าอยู่ยามนี้จะไม่พึงตอแยอยู่บ้าง แต่อาศัยว่าฝ่ายตนมีพรรคพวกมากกว่ากลับไม่กลัวเกรง ทันทีที่นายตำบลออกคำสั่งก็ดาหน้าเข้าไปพร้อมกัน
คนเหล่านี้เพียงมีร่างกายกำยำแข็งแรง อย่าว่าแต่วิชาหมัดมวย แม้แต่ตั้งท่าอวดลีลาก็ยังไม่เป็น เวลาต่อสู้ล้วนอาศัยกำลังและความรุนแรงเข้าปะทะอย่างเดียว กระทั่งปิงลวี่ที่ไม่ยอมจับเจ่าอยู่คนเดียวยังเข้าไปร่วมวง นางใช้เวลาไม่นานนักก็ล้มคว่ำคนเหล่านั้นไปได้ถึงสองคน
การโรมรันกันในศึกนี้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วอย่างที่ชาวบ้านของตำบลแห่งนี้คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายนายตำบลพ่ายแพ้ย่อยยับ
“พวกเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านนายอำเภอหรือ!” นายตำบลตะโกนพูดด้วยสีหน้าดุดันทั้งที่ใจเสียอยู่
“อ้อ ไม่รู้ว่านายอำเภอมีคำสั่งใดหรือ” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
นายตำบลแค่นเสียงเยาะ “ท่านนายอำเภอมอบอำนาจให้ข้าคัดเลือกหญิงสาว พวกเจ้าพาสตรีมาสามนางแต่กลับขัดคำสั่งอย่างอุกอาจ คิดจะกระด้างกระเดื่องรึ”
“มอบอำนาจให้คัดเลือกหญิงสาว?” ฉือชั่นยิ้มเยาะ “โอรสสวรรค์มิได้ทรงคัดตัวสาวงามทั่วแผ่นดินมานานหลายปี ไฉนพวกข้าไม่รู้ว่านายอำเภอยังมีอำนาจนี้ด้วย”
“อย่าพูดพล่าม วันนี้พวกเจ้าทิ้งสตรีสามคนนี้ไว้ ข้าละเว้นพวกเจ้าสักครั้งได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่ว่าใครอย่าหมายว่าจะได้ไปจากที่นี่”
แปะๆๆ
เสียงตบมือดังขึ้น
หยางโฮ่วเฉิงหัวร่อลั่นก่อนกล่าวขึ้น “เจ้าเบาปัญญาใช่หรือไม่ ตอนนี้คนที่ล้มกองบนพื้นพวกนี้เป็นใครกัน เจ้าอาศัยอะไรหน่วงเหนี่ยวพวกข้าไว้ที่นี่”
“อาศัยอะไรหรือ” นายตำบลเผยรอยยิ้มอำมหิต “พูดอย่างนี้ พวกเจ้าไม่ยอมทิ้งคนไว้สินะ”
“ไร้สาระ” หยางโฮ่วเฉิงแค่นหัวร่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้ว” ดวงตาของนายตำบลทอประกายดุจอสรพิษ
ต่อให้คนพวกนี้มอบสตรีสามนางนั้นให้ เขาก็ไม่คิดจะละเว้นใครสักคน ทำร้ายบุตรชายเขายังคิดจะจากไปอย่างปลอดภัยหรือ ฝันไปเถอะ!
นายตำบลกวาดตามองทุกคนอย่างช้าๆ แล้วพลันหมุนกายไปตะโกนพูดกับเหล่าคนที่มุงดู “มุงดูอะไรกันอยู่ ยังไม่ช่วยข้าจับตัวคนพวกนี้ไว้อีก!”
ชาวบ้านที่วิ่งออกมามุงดูต่างมองหน้ากันไปมา
ครอบครัวของนายตำบลไม่เคยทำความดีอันใด พวกเขาไม่อยากช่วยเหลือหรอกนะ
พอเห็นชาวบ้านยืนนิ่งเฉย นายตำบลแค่นหัวเราะ “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านนึกว่านี่เป็นการช่วยข้าหรือ ไม่เลย นี่เป็นการช่วยตัวพวกเจ้าเองนะ!”
คนโง่เขลาพวกนี้คิดแต่จะสอดรู้สอดเห็น ช่างไม่คิดเสียเลยว่าหากยังเสาะหาสตรีที่เหมาะสมไม่ได้ รอเมื่อชาววอโค่วมาแล้วจะทำเช่นไร
ได้ยินนายตำบลกล่าวเช่นนี้ คนที่มุงดูอยู่ยังไม่ขยับดุจเก่า
เขาเห็นดังนั้นแล้วโกรธจนทนไม่ไหว พูดตวาดเสียงดังว่า “พวกเจ้าลืมชาววอโค่วไปแล้วหรือ! สตรีที่ส่งไปคราวก่อนมีอายุมากเกินไปก็ถูกพวกเขาตำหนิติเตียน หนนี้ใกล้จะครบกำหนดรอมร่อแล้ว ถึงตอนนั้นไม่มีคนส่งไปให้ พวกเจ้านึกว่าชาววอโค่วพวกนั้นถือศีลกินมังสวิรัติใช่หรือไม่”
ถ้อยคำนี้ทำให้คนที่มุงดูอยู่หน้าเสียไปถนัดตา สายตาซึ่งมองไปทางพวกเฉียวเจาก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว
นายตำบลพูดต่ออย่างไม่ลดละความพยายาม “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนชาววอโค่วเคยปล้นฆ่าวางเพลิงในตำบลนี้อย่างไร ใช่หรือไม่ว่าอยู่อย่างสงบสุขมานานเกินไปเลยกลายเป็นคนโง่งมไปแล้ว ถ้าพวกเจ้าปล่อยให้คนพวกนี้จากไปต่อหน้าต่อตา รอเมื่อชาววอโค่วมาถึง คนที่เคราะห์ร้ายก็คือพวกเจ้า!”
ได้ยินคำพูดของนายตำบล คนที่มุงดูอยู่เดินทีละก้าวเข้าไปล้อมพวกเฉียวเจาไว้
หยางโฮ่วเฉิงทำสีหน้าตะลึงงัน “เสียสติไปแล้วรึ คนพวกนี้ล้วนเสียสติไปแล้วกระมัง ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่”
ฉือชั่นกำดาบยาวที่เอวไว้แน่น กล่าวอย่างเยาะหยัน “ความเป็นมนุษย์? ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาสักหน่อย เอาตัวพวกเราไว้ส่งมอบให้ชาววอโค่ว พวกเขาก็ได้ยืดลมหายใจอยู่รอดต่อไปอีกวันไม่ใช่หรือ”
“เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ถึงคราวต่อไปพวกเขาก็ต้องเคราะห์ร้ายอยู่ดีมิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงเพียงรู้สึกเหลือเชื่อ
“สามารถใช้คนต่างถิ่นที่ไม่มีความสำคัญอันใดฝ่าด่านในตอนนี้ไปได้ ใครยังจะคิดถึงคราวต่อไป” เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูดอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นฝูงชนย่างสามขุมเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หยางโฮ่วเฉิงมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก “ถิงเฉวียน พวกเราจะเอาอย่างไร คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านไร้ทางสู้ทั้งนั้น”
“เปิดเผยฐานะ หากยังทำให้พวกเขาล่าถอยไปไม่ได้ดุจเก่า เช่นนั้นค่อยใช้กำลังจนกว่าพวกเขาจะล่าถอย” แม่ทัพหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ชาวบ้านไร้ทางสู้? ตอนอยู่แดนเหนือเขาพบเจอชาวบ้านเช่นนี้มานักต่อนัก ยามโหดร้ายทารุณขึ้นมาทำให้อ้าปากตาค้างได้เลย
แต่ว่าชาวบ้านที่แดนเหนือจะดุร้ายปานใด ก็ไม่ส่งสตรีต้าเหลียงไปบรรณาการให้ชาวต๋าจื่อเองกับมือเช่นนี้
คนที่เขาจะปกป้องคุ้มครองก็สมควรมีสิ่งที่คู่ควรให้ปกป้องคุ้มครอง ถ้าคนพวกนี้มุ่งหมายทำร้ายคนที่สำคัญที่สุดของเขาและสูญสิ้นความเป็นคนไปแล้ว เหตุอันใดเขาต้องปกป้อง ‘คน’ ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนพวกนี้อีกเล่า
หยางโฮ่วเฉิงฟังแล้วยกมือชูป้ายคำสั่ง “พวกข้าคือกององครักษ์จินอู๋ที่ออกทะเลปฏิบัติหน้าที่ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา พวกเจ้ายังไม่รีบถอยไปอีก”
คนที่ตีวงล้อมเข้ามาชะงักฝีเท้าหันไปมองนายตำบล
เขาอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเยาะๆ “องครักษ์จินอู๋ที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา? ไฉนพวกเจ้าไม่บอกเสียล่ะว่าเป็นองครักษ์จินหลินที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามพระบัญชาของโอรสสวรรค์ ทุกคนมัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด อย่าไปฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหล!”
เพลานี้เองเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นระลอกหนึ่ง เสียงนั้นดังถี่กระชั้นขึ้นทุกที
สีหน้าของนายตำบลแปรเปลี่ยนไปยกใหญ่ เขาตะโกนพูด “ชาววอโค่วมาแล้ว! ทุกคนจับสตรีสามคนนั้นไว้เร็วเข้า”
เสียงฝีเท้าม้าเป็นดั่งยันต์สั่งตาย พวกชาวบ้านกรูกันเข้าใส่พวกเฉียวเจาโดยไม่ลังเลใจอีก
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.