บทที่ 5
ฉือชั่นเอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้าเดินหมากกับข้าถึงกับนอนหลับเชียวหรือ”
เฉียวเจาสะดุ้งตื่นขึ้น ยกมือวางหมากบังเกิดเสียงกังวานใส
“ท่านดูผิดแล้ว” สุ้มเสียงของสาวน้อยอ่อนหวานนุ่มนวล นางแค่สัปหงกเท่านั้นเอง
“ข้าเห็นเมื่อครู่นี้เจ้าหลับตาอยู่นะ” ฉือชั่นฉีกยิ้มกล่าวขึ้น หากแต่น้ำเสียงชวนให้หนังศีรษะคนฟังชาวาบ
“ไม่เชื่อท่านดูสิว่าข้าเดินหมากผิดหรือไม่” นิ้วมือขาวนวลเนียนดุจหยกของเด็กสาวแตะกระดานหมากทำจากไม้ชิว* เบาๆ
ในช่วงชีวิตอันสงบสันโดษ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเดินหมากจึงเหมาะสำหรับฆ่าเวลาอย่างยิ่ง คนที่เคยดวลหมากกับท่านปู่เช่นนางประมือกับคนเบื้องหน้าผู้นี้ ถึงนางหลับตาก็ไม่มีทางเดินผิดจริงๆ
เมื่อคิดไปเยี่ยงนี้คล้ายจะรังแกคนอยู่บ้าง
ฉือชั่นไล่สายตาไปยังจุดที่นิ้วมือของเด็กสาวหยุดนิ่งโดยไม่รู้ตัว มองเห็นหลังอีกฝ่ายวางหมากเม็ดนั้นแล้ว เขาก็เสียหมากอย่างหนักอีก เป็นคราแรกที่นึกสงสัยในความเข้าใจของตน
เมื่อครู่นี้คงจะ…น่าจะ…เป็นไปไม่ได้ที่แม่นางน้อยผู้นี้จะนอนหลับกระมัง
“เลิกได้แล้ว เก็บข้าวของกันเร็วเข้า ใกล้เทียบฝั่งแล้ว” หยางเอ้อร์กลั้นยิ้มตัดบทคนทั้งคู่
ไม่นานนักเรือก็เข้าเทียบฝั่ง จากนั้นก็มิได้เข้าเมืองตามที่หยางเอ้อร์พูดไว้ ฉือชั่นเสาะหาคอกม้าแห่งหนึ่งพบที่นอกเมืองอย่างคุ้นเคยที่ทางแล้วคัดเลือกอาชาพ่วงพีมาสามตัว
เขาตบๆ หลังม้าพลางเอ่ยกับเฉียวเจา “พวกข้าสามคนไม่มีใครสะดวกจะขี่ม้าตัวเดียวกับเจ้า ประเดี๋ยวข้าพาเจ้าเข้าเมืองไปหาที่พักในโรงเตี๊ยมสักแห่งก่อน”
“ข้าขี่ม้าเป็นเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าว
ฉือชั่นชะงักไปเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลงมองสำรวจแม่นางน้อยที่ยังตัวสูงไม่ถึงใต้รักแร้ตน เหยียดมุมปากออกแล้วเลือกม้าอีกหนึ่งตัว “ในเมื่อขี่เป็น เช่นนั้นก็พาเจ้าไปด้วย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือก เผยรอยยิ้มกว้างๆ สาวเท้าไปหาม้าสีปลั่งตัวนั้น
หยางเอ้อร์อดพูดกระซิบกับจูเยี่ยนไม่ได้ “จู่ๆ สือซีกลายเป็นคนพูดง่ายได้อย่างไร”
จูเยี่ยนเหลือบมองเฉียวเจาแล้วกล่าวคาดคะเนแบบไม่ถนอมน้ำใจคน “คงจะเห็นว่าแม่นางน้อยปีนขึ้นม้าไม่ได้ เลยอยากจะหัวเราะเยาะนางกระมัง”
“ข้าว่านะ สงสัยสือซีคงต้องผิดหวังแล้ว แม่นางน้อยนั่นลึกล้ำน่าดู อายุเพียงแค่นี้ก็เดินหมากชนะเจ้าได้ ไม่แน่ว่าทักษะการขี่ม้าอาจสูงส่งกว่าข้าก็เป็นได้นะ”
จูเยี่ยนมองตรงไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าแปลกพิกล
หยางเอ้อร์มองตามสายตาของอีกฝ่ายไป เห็นอาชาสีปลั่งสูงใหญ่ตัวนั้นสลัดเด็กสาวตกพื้นด้านข้าง แล้วออกวิ่งเหยาะๆ ไป
เด็กสาวล้มหน้าคว่ำจูบดิน สำลักกระอักกระไอยกใหญ่
“ทักษะการขี่ม้าสูงส่งดังคาด” จูเยี่ยนหัวร่อเสียงดัง
เฉียวเจามองม้าที่วิ่งจากไปอย่างงุนงงอยู่สักหน่อย นางขี่ม้าเป็นจริงๆ นะ…
“เจ้ารอพวกข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมเถอะ” ฉือชั่นอมยิ้ม แววพึงใจฉายออกมาทางสายตาโดยไม่เก็บงำแม้แต่น้อย
คนผู้นี้อยากสลัดข้าทิ้งใจจะขาดกระมัง เฉียวเจาหลุบตาครุ่นคิด
กระนั้นนางไม่ตัดพ้อต่อว่าอะไร
เดิมทีนางกับสามคนนี้พานพบกันโดยบังเอิญ พวกเขายินยอมยื่นมือช่วยนางไว้สมควรซาบซึ้งในบุญคุณแล้ว
แต่คราวนี้ นางได้แต่ต้อง ‘เนรคุณ’ แล้ว
“ข้าอยากไปกับพวกท่านเจ้าค่ะ พี่ฉือให้ข้านั่งซ้อน…”
“ไม่ได้ ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน” ฉือชั่นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ไฉนแม่นางน้อยถึงได้หน้าไม่อายถึงเพียงนี้นะ
“ข้าไม่ถือสา”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น พูดอย่างไม่ไว้หน้า “ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าไม่ถือสา แต่ข้าถือสา!”
อย่าโทษว่าเขากล่าววาจาแล้งน้ำใจ หากเขาเป็นคนอ่อนโยนกว่านี้อีกสักนิด เกรงว่าตอนอยู่ในเมืองหลวงคงไม่กล้าออกนอกเรือนแล้ว
เฉียวเจาได้ยินฉือชั่นพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับหัวเราะเบาๆ
ปีนั้นคนผู้นี้ก็ทำหน้าหนารบเร้าท่านปู่เช่นนี้ บัดนี้เปลี่ยนเป็นนางตามตื๊อเขา ช่างเข้าตำรากรรมสนองกรรมอยู่สักหน่อย
“เจ้าหัวเราะอะไร” ฉือชั่นมุ่นคิ้ว
แม่นางน้อยผู้นี้พิลึกพิลั่นอยู่บ้าง เขาไม่อาจมองนางเป็นเด็กสาววัยสิบสองสิบสามทั่วๆ ไปได้
“ข้าหัวเราะเพราะว่าหากหนนี้พวกท่านไม่พาข้าไปด้วย หวั่นใจว่ายากจะสมหวังดั่งประสงค์น่ะสิ”
นัยน์ตาของฉือชั่นทอแววกระด้างทันใด เขามองสบสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสาวน้อย หัวเราะหึๆ ก่อนพูดเยาะ “พวกเด็กสาวก็ชอบแสร้งมีลับลมคมใน นึกว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะพาเจ้าไปด้วยรึ ฮ่าๆ พาเจ้าไปก็ไม่มีอันใดเสียหาย เว้นแต่ว่าเจ้าบอกได้ว่าที่ที่พวกข้าจะไปคือสถานที่ใด”
“สือซี เจ้าเลิกเย้าแหย่หลีซานเสียที” หยางเอ้อร์เริ่มบังเกิดความสงสาร
จูเยี่ยนกล่าวเสริมขึ้น “นั่นสิ ไม่อย่างนั้นข้าขี่ม้าตัวเดียวกับนางเอง”
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง
จูเยี่ยนเป็นซื่อจื่อ* ของไท่หนิงโหว ไม่เพียงฐานะสูงศักดิ์ ยังมีความสามารถโดดเด่น ผ่านการสอบขุนนางได้เป็นจวี่เหริน** ตั้งแต่อายุยังน้อย
ปกติเขาดูเป็นคนสุภาพนุ่มนวล แท้จริงแล้วมีนิสัยถือตนอยู่หลายส่วน ทว่าตอนนี้กลับเต็มใจขี่ม้าตัวเดียวกับเด็กสาวผู้หนึ่ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจดีแท้
จูเยี่ยนโดนฉือชั่นมองจนชักกระดากใจ เขากระแอมกระไอเบาๆ ก่อนกล่าว “อย่าคิดมาก ข้าเพียงรู้สึกว่าพานางไปก็ไม่มีอันใดเสียหาย”
ระดับฝีมือเดินหมากบ่งบอกอุปนิสัย สตรีที่เอาชนะเขาได้ด้วยความเก่งกาจเฉียบขาด ไม่น่าจะกระทำเรื่องอาศัยบารมีผู้สูงศักดิ์ไต่เต้าเลื่อนฐานะพรรค์นี้ได้ เหนือสิ่งอื่นใดนางยังเป็นเพียงแม่นางน้อยที่ยังไม่เจริญวัยเป็นหญิงสาวจริงๆ
“สกุลเฉียวที่สวนซิ่งจื่อ***” เฉียวเจาอ้าปากเปล่งเสียงกล่าวหกคำนี้
สายตาสามคู่หันขวับไปมองนาง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หยางเอ้อร์หลุดปากพูด
เฉียวเจาโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เดิมพันถูกแล้ว!
ฉือชั่นเคยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่เมื่อสามปีก่อน มาตรว่าตอนนี้ท่านปู่จากไปแล้ว แต่พวกท่านพ่อล้วนกลับมายังจยาเฟิง นางนึกไม่ออกจริงๆ ว่าโอรสขององค์หญิงใหญ่ผู้ทรงเกียรติจะดั้นด้นรอนแรมมาถึงที่นี่โดยไม่ระย่อต่อความลำบากตรากตรำเพื่อเที่ยวเล่นเพียงประการเดียว
เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะมาเยี่ยมคารวะท่านพ่อ
ถ้านางเดาถูก ฉือชั่นต้องพานางไปด้วยแน่ ไม่ว่าเขาจะทำไปด้วยความสนใจใคร่รู้หรือระวังป้องกันก็ตามที
แต่หากเดาผิด…พวกฉือชั่นไม่ได้ไปที่เรือนนาง แน่นอนว่านางก็ไม่จำเป็นต้องติดตามไปแล้ว
ถึงที่สุดแล้ว นอกจากพูดสร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นแล้วไม่เป็นผลเสียใดๆ ต่อนางทั้งสิ้น
ทว่าสายตาของสามคนนั้นเปลี่ยนไปตามๆ กัน
ฉือชั่นถึงขั้นลืมเรื่อง ‘ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกัน’ คว้าข้อมือของเฉียวเจาไว้หมับ “เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าเป็นใครกันแน่”
“เดาเจ้าค่ะ” เฉียวเจายิ้มน้อยๆ “แล้วก็ข้าเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์หลีที่เมืองหลวง พำนักอยู่ในตรอกซิ่งจื่อบนถนนสายตะวันตก”
เฉียวเจาเอ่ยคำนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย
ตรอกซิ่งจื่อ…
เรือนของนางอยู่ที่สวนซิ่งจื่อ เรือนของแม่นางน้อยหลีเจา…อยู่ในตรอกซิ่งจื่อ
บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ
“ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระพรรค์นี้ เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้” ฉือชั่นมองสำรวจเฉียวเจาอีกคำรบหนึ่ง
ตอนพินิจดูนางเช่นนี้ในคราแรก เขาแค่นึกทึ่งที่เด็กสาวผู้นี้ฉลาดแกมโกงอยู่หลายส่วน
แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยนี่…ร้ายลึกจริงๆ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาเฉกสาวน้อยอย่างแนบเนียนเต็มที่ “มันมิได้สลับซับซ้อนอย่างที่พี่ฉือคิดหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่…”
นางหยุดเว้นจังหวะก่อนกล่าวต่อ “ข้าแค่นับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียวอย่างล้นเหลือ ถึงได้คาดเดาเอาว่าพี่ชายทั้งสามมาจยาเฟิงเพื่อไปที่เรือนของอาจารย์เฉียว”
อันว่าบุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง* แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ท่านเฉียวจัวกลับได้รับการยอมรับจากบัณฑิตทั่วหล้าว่าคือคนเก่งอันดับหนึ่ง ฉะนั้นเหล่าปัญญาชนจะนับถือเลื่อมใสเขาย่อมชอบด้วยประการทั้งปวง
เด็กสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสามมีทักษะเดินหมากสูงส่งเช่นนั้น ย่อมต้องออกอ่านเขียนได้เป็นธรรมดา
“อาจารย์เฉียว…สิ้นบุญไปแล้ว” น้ำเสียงของฉือชั่นแปลกชอบกล
เฉียวเจาปวดร้าวใจ นางช้อนตาขึ้นสบตาเขา “ใช่เจ้าค่ะ แต่ใต้เท้าเฉียวยังอยู่”
ใต้เท้าเฉียวอดีตข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายคือบิดาของนาง หลังท่านปู่ล่วงลับ ท่านพาครอบครัวกลับสู่จยาเฟิงเพื่อไว้ทุกข์ให้
ท่านพ่อมีนิสัยเคร่งครัดเข้มงวดไม่เหมือนกับท่านปู่ที่ห้าวหาญรักอิสระ ส่วนทักษะด้านดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนอักษร และวาดภาพ หากว่ากันตามจริง แล้วยังเทียบนางไม่ได้ ทว่าคนใต้หล้าไม่ล่วงรู้
“เจ้าเดาได้เพราะอย่างนี้จริงหรือ”
“จยาเฟิงหาได้มีภูเขาชื่อดังหรือสายน้ำน่าชม ดังนั้นเหตุผลที่พี่ชายทั้งสามเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่จึงคาดเดาได้ไม่ยากปานนั้นเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นเขม้นตามองเฉียวเจาเป็นนานถึงเอ่ยถามต่อ “แล้วไยเจ้ามั่นใจนักว่าหากไม่พาเจ้าไปด้วย ข้ายากจะสมหวังดั่งประสงค์?”
เขามาจยาเฟิงย่อมต้องมีเป้าหมาย
เฉียวเจาแย้มยิ้มหวาน เอียงคอพูดอย่างซุกซน “รอเมื่อถึงสวนซิ่งจื่อแล้ว พี่ฉือก็จะทราบเองมิใช่หรือเจ้าคะ”
ฉือชั่นพลิกกายขึ้นม้าแล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปหาเฉียวเจา “ขึ้นมา”
นางส่งมือให้เขา เพียงรู้สึกถึงพละกำลังมหาศาลแผ่มาระลอกหนึ่ง ตัวนางก็ลอยขึ้นจากพื้นไปอยู่บนหลังม้าในพริบตา
ในระหว่างที่เจ้าอาชาวิ่งห้อเต็มเหยียดประหนึ่งลมกรด ข้างหูได้ยินแต่เสียงลมฟิ้วๆ สุ้มเสียงเอื่อยเฉื่อยทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้นเหนือศีรษะ “พวกเขาสองคนพูดง่ายกว่าข้าชัดๆ ไฉนก่อนหน้านี้เจ้าไม่ขอขี่ม้าตัวเดียวกับพวกเขา”
เอ่อ…ถึงเหตุผลสำคัญที่สุดคือข้ารูปงามหล่อเหลา แต่ข้าก็ยังอยากได้ยินอะไรแปลกใหม่สักหน่อย
เฉียวเจากล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มละไม “เป็นเพราะเรื่องเดียวกันไม่พึงรบกวนคนที่สองน่ะสิเจ้าค่ะ”
นางเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน ในเมื่อต้องจดจำบุญคุณที่ติดค้างฉือชั่นไว้ แล้วจะให้ติดค้างอีกคนหนึ่งคงไม่ได้กระมัง
ฉือชั่นทำหน้าบึ้งตึง ที่แท้จะจิกหัวใช้เขาคนเดียวนี่เอง
เขานึกไว้แล้วเชียว แม่นางน้อยผู้นี้ไม่น่ารักเลยสักนิด
บทที่ 6
สวนซิ่งจื่อมิใช่ชื่อของคฤหาสน์นอกเมืองอันใด แต่เพราะด้านหลังสวนซิ่งจื่อผืนนั้นเป็นเรือนหลังใหญ่ของสกุลเฉียว ที่พำนักของจอมปราชญ์นามกระเดื่องทั่วหล้า นานวันเข้าถึงถูกชาวบ้านบริเวณรอบๆ เรียกว่า ‘สวนซิ่งจื่อ’ แทนเรือนสกุลเฉียว
อยากไปสวนซิ่งจื่อก็ต้องผ่านหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
ขณะใกล้ถึงยามโพล้เพล้ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังทำลายความสงบเงียบของที่นี่
คนในหมู่บ้านยืนจับตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ จับจ้องผู้มาเยือน
พวกเขานิ่งเงียบมาก แต่คนทั้งสี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศชอบกลบางอย่างในความเงียบที่ชวนให้อึดอัดนี้ได้
ไม่มีชาวบ้านพูดคุยหัวเราะกันเสียงดัง ไม่มีเด็กเล็กๆ ล้อมวงมุงดูคนแปลกหน้า ทุกคนที่นี่สวมชุดสีขาวทั้งๆ ที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว เมื่อมีแสงสีทองทั่วท้องนภาเป็นพื้นหลังกลับทำให้หนาวยะเยือกในอก
“สือซี ไฉนข้ารู้สึกว่าชาวบ้านเหล่านี้แปลกๆ จะลงม้าถามไถ่ดูสักหน่อยหรือไม่” หยางเอ้อร์ชักม้าไปหาฉือชั่นแล้วเอ่ยถาม
เฉียวเจาซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าตัวฉือชั่นมองดูทุกๆ อย่างที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา นางกวาดสายตามองดวงหน้าเฉยชาแกมเศร้าหมองของชาวบ้านไปทีละคน ในใจพลันหนักอึ้ง ลมหายใจก็เริ่มติดขัด
นางบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร คลับคล้ายตรงกลางอกถูกหินก้อนมหึมากดทับไว้ เสียงฝีเท้าม้านั่นราวกับไม่ได้ย่ำกับพื้น หากแต่เหยียบลงบนหัวใจนาง
“รีบไปเถอะ…” เฉียวเจาพยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติของตนอย่างสุดกำลัง นางเปล่งเสียงพูดคำนี้อย่างยากเย็น
ฉือชั่นรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นเดียวกัน เขาบอกกับหยางเอ้อร์ “ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้าจำทางได้”
เขาใช้สองเท้ากระทุ้งท้องม้าแรงๆ มันก็ออกวิ่งเร็วขึ้น จูเยี่ยนกับหยางเอ้อร์รีบไล่ตามไป
อาชาพ่วงพีสามตัวห้อฝีเท้าเต็มเหยียดจากไปจนฝุ่นตลบตลอดทาง พวกชาวบ้านสบตากันแล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ จากนั้นแยกย้ายกันไปเงียบๆ
พอข้ามหมู่บ้านนี้ไป แลเห็นสวนซิ่งจื่อผืนนั้นอยู่ลิบๆ
ยามนี้ดอกซิ่งผลิบานแล้ว มองจากไกลๆ ดุจดั่งปุยเมฆย้อมแสงสนธยางดงามผืนใหญ่ ส่องสะท้อนกับแสงทองสุดท้ายของวันตรงปลายฟ้าทอประกายเรืองรองละลานตา
ขอบตาของเฉียวเจาแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
ท่านปู่เคยบอกว่าดอกซิ่งทนความหนาวได้ อากาศยิ่งหนาวยิ่งผลิบานเร็วขึ้น อีกทั้งช่วงเวลาออกดอกยาวนานกว่าดอกท้อ
ท่านปู่ชื่นชอบดอกซิ่ง
บัดนี้ดอกซิ่งยังอยู่ แต่คนที่นางเคารพรักมากที่สุดกลับหลับใหลไปชั่วนิรันดร์แล้ว
“ย่าห์…” ฉือชั่นไม่มีแก่ใจชมความงามของทิวทัศน์อย่างเห็นได้ชัด พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าสวนซิ่งจื่อ เขาพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วผูกโยงมันไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง พาทุกคนเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆ ในสวน
เฉียวเจาลอบกำมือเป็นหมัด กลางอุ้งมือเต็มไปด้วยเหงื่อ
นางตื่นเต้นถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ กระทั่งตอนเข้าพิธีมงคลใหญ่โตยังไม่เคยเป็นเช่นนี้
นี่คงเป็นดังคำกล่าวที่ว่ายิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งพรั่นใจกระมัง เป็นธรรมดาของปุถุชน เฉียวเจาปลอบใจตนเองเช่นนี้
ฉือชั่นที่เดินอยู่ข้างหน้านางจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า
เฉียวเจาใจกระตุกวูบ “เกิดอะไร…”
ถ้อยคำหลังขาดหายไปกะทันหัน ภาพซากปรักหักพังเบื้องหน้าทำให้ใบหน้านางซีดเผือดทันควัน ร่างโงนเงนไปมาจนนางต้องคว้าอะไรบางอย่างใกล้ๆ ไว้แน่นถึงฝืนทรงตัวไว้ได้
ฉือชั่นไล่สายตาลงมองมือของเด็กสาวที่จับแขนเสื้อตนไว้
ฝ่ามือข้างนั้นเรียวเล็กบอบบางและขาวเนียนดุจหยก เห็นเส้นเลือดสีเขียวบนนั้นได้ชัด
เขานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะมองหยางเอ้อร์แวบหนึ่ง
หยางเอ้อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเข้าไปสำรวจดู
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาย้อนกลับมาบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นเพลิงไหม้ ดูท่าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นไม่นาน”
คนทั้งสามมองหน้ากันไปมา พลันก็กระจ่างแจ้งถึงความผิดปกติของชาวบ้านเหล่านั้น
ด้วยชื่อเสียงและคุณงามความดีของสกุลเฉียวในที่แห่งนี้ เมื่อเกิดเหตุร้ายกับคนในตระกูลนี้อย่างไม่คาดฝัน ชาวบ้านจะสวมชุดสีขาวเพื่อพวกเขาก็มิใช่เรื่องแปลก
สายลมพัดมา ดอกซิ่งร่วงพรูประหนึ่งเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาชวนให้วังเวงหนาวเหน็บใจ
ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจา
หัวใจของเฉียวเจาเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนลูกธนูดอกนั้นเสียบทะลุอกบนกำแพงเมืองเยี่ยน
ไม่สิ นี่มิอาจยกมาเปรียบเทียบกันได้เลย
ตอนนั้นลูกธนูเสียบทะลุอก นางเจ็บแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ถึงขั้นไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของมันให้ดีๆ ก็จมลงสู่ความมืดมิด ลืมตาขึ้นอีกทีก็กลายเป็นแม่นางน้อยหลีเจาไปแล้ว
ทว่าเสี้ยวเวลานี้ ความเจ็บปวดนี้ยังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนและคงไม่มีวันจบสิ้นตลอดไป
นางกระทำผิดอันใดเล่า ถึงต้องตายแล้วเกิดใหม่มาเผชิญกับเหตุการณ์น่าเศร้าสลดเยี่ยงนี้
เฉียวเจากำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าทำข้าเจ็บแล้วนะ” ฉือชั่นกล่าวเสียงเรียบ
หยางเอ้อร์กับจูเยี่ยนสบตากัน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่พวกเขาในฐานะสหายรักกลับแจ่มแจ้งดีว่าขณะนี้ฉือชั่นกำลังอารมณ์เสียอย่างมาก
ดั้นด้นเดินทางมานับพันลี้กลับลงเอยเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครคงไม่มีทางอารมณ์ดีได้ ยิ่งกว่านั้นนอกจากเป้าหมายล้มเหลวแล้ว ได้เห็นสกุลเฉียวประสบเคราะห์กรรมต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดที่รู้สึกสบายใจได้
เฉียวเจาดึงสติคืนมา เมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงหน้าเฉยเมยเย็นชาของบุรุษรูปงามหาที่เปรียบมิได้ผู้นั้นก็คลายมือออกช้าๆ
ท่านปู่สอนสั่งให้นางทะนงตนไม่พึ่งพาผู้ใด ย่อมจะรบกวนให้ผู้อื่นมาปลอบประโลมจิตใจนางไม่ได้
“ไปกันเถอะ ไปถามชาวบ้านพวกนั้นดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉือชั่นหมุนกายย่างเท้าไปทางสวนซิ่งจื่อ
เฉียวเจาเดินโผเผตามไป สองเท้าหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยกระสอบทรายจนค่อยๆ รั้งท้ายในที่สุด
จูเยี่ยนหันหลังกลับหยุดฝีเท้าแล้วรอคอยนาง แม้ว่าแม่นางน้อยมิได้ร่ำไห้ แต่เขารู้สึกได้ว่านางโศกเศร้าอย่างสุดแสน
เหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้
“เจ้ายังสบายดีกระมัง”
เฉียวเจามองเขาพลางเหยียดมุมปากออก “คงเห็นได้ชัดสินะเจ้าคะว่าข้าไม่สบายมาก”
จูเยี่ยนชั่งใจเล็กน้อยก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่พับทบกันอย่างเรียบร้อยจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ “หากทุกข์ใจ ร้องไห้ออกมาจะดีกว่า”
แม้เขาไม่รู้ว่าแม่นางน้อยเสียใจถึงเพียงนี้เพราะอะไร ในใจกลับบังเกิดความรู้สึกสงสารอยู่หลายส่วน
ที่แท้บางครั้งสตรีไม่ร้องไห้น่าปวดใจยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
น้ำใจในช่วงเวลาที่ไม่ปกติเฉกนี้ เฉียวเจาไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งไม่คิดจะปฏิเสธด้วย
นางยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้ามาซับๆ ดวงตาแล้วก็เช็ดจมูก จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณจากใจจริง “พี่จู* ท่านช่างแสนดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
‘พี่จูผู้แสนดี’ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”
ชั่วครู่ใหญ่ เขาถึงกล่าวตอบคำหนึ่ง “เจ้าสบายขึ้นแล้วก็ดี”
เมื่อเดินทะลุสวนซิ่งจื่อออกมา จูเยี่ยนมองดูฉือชั่นที่มีท่าทางห่อเหี่ยวอย่างชัดเจน เขาลังเลใจครู่หนึ่งถึงไต่ถามเฉียวเจา “หรือไม่เจ้ามานั่งซ้อนกับข้า”
เฉียวเจาชะงักไป
ฉือชั่นตวัดมองตาขุ่น พูดอย่างหงุดหงิด “มัวยืดยาดอะไรอยู่ ยังไม่ขึ้นม้าอีก”
เขายื่นมือดึงเฉียวเจาขึ้นมาบนหลังม้าแล้วควบตะบึงไปข้างหน้า
ทั้งสี่คนย้อนกลับมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นอีกครั้ง เอาก้อนเงินเล็กๆ ให้เด็กหนุ่มรุ่นกระทงผู้หนึ่งพาพวกตนไปหาผู้ใหญ่บ้าน
“ท่านผู้มาเยือนคงจะมาเยี่ยมคารวะใต้เท้าเฉียวกระมัง” ผู้ใหญ่บ้านถามเข้าเรื่องทันที
ฉือชั่นกำลังอารมณ์ไม่ดี จูเยี่ยนจึงอ้าปากตอบแทน “ไม่ผิด พวกข้าเดินทางไกลมาเพื่อเยี่ยมคารวะใต้เท้าเฉียว คาดไม่ถึงว่าพอผ่านสวนซิ่งจื่อไปกลับได้เห็น…”
ผู้ใหญ่บ้านถอนใจเฮือกหนึ่ง “ท่านทั้งหลายคงไม่ล่วงรู้ว่าหลายวันก่อนเรือนสกุลเฉียวโดนไฟไหม้ครั้งใหญ่ ครอบครัวของใต้เท้าเฉียวฝังร่างกลางทะเลเพลิงกันหมดแล้ว…”
เฉียวเจาสั่นเทาไปทั้งสรรพางค์กาย โชคดีที่นางนั่งอยู่ในมุม จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“จู่ๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้” ฉือชั่นพูดโพล่งขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าระทมหม่นหมอง เขากล่าวทอดถอนใจ “ใครจะรู้เล่า เกิดไฟไหม้ตอนพลบค่ำ กว่าพวกข้าจะเห็น ไฟก็ลุกลามโหมแรงมากจนเข้าไปไม่ได้เลย บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวไม่ฟังเสียงห้ามปรามของทุกคน เสี่ยงตายบุกเข้ากองเพลิงช่วยน้องสาวคนเล็กของเขาออกมาได้ หลังจากนั้นเรือนทั้งหลังก็พังทลาย…”
“บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว?” เฉียวเจารับฟังด้วยหัวใจที่แหลกสลาย จวบจนได้ยินคำนี้หัวใจนางถึงเริ่มเต้นแรงขึ้น
พี่ใหญ่ของข้ายังมีชีวิตอยู่?
“คุณชายเฉียวยังมีชีวิตอยู่หรือ” จูเยี่ยนถามสิ่งที่เฉียวเจาอยากถามมากที่สุด
“ก็ชาวสกุลเฉียวออกทุกข์แล้วมิใช่หรือ วันนั้นคุณชายเฉียวออกจากเรือนไปเยี่ยมสหายพอดีถึงพ้นเคราะห์ภัยนี้มาได้ ตอนคุณชายเฉียวกลับมาพบว่าเรือนกำลังไฟไหม้ ถึงได้ฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยชีวิตน้องสาวคนเล็กไว้” ผู้ใหญ่บ้านพูดอธิบาย
“ถ้าเช่นนั้นคุณชายเฉียวกับคุณหนูเฉียวล้วนปลอดภัยดี?” เฉียวเจาเพียรเก็บงำความรู้สึกเต็มที่ นางกล่าวถามเสียงเบา
คุณหนูเฉียวตามคำเรียกขานจากปากผู้ใหญ่บ้านคือเฉียวหว่าน น้องสาวต่างมารดาของนาง
ผู้ใหญ่บ้านมองปราดไปที่เฉียวเจาก่อนเอ่ยขึ้น “ดูคล้ายคุณหนูเฉียวจะไม่เป็นอะไร ส่วนคุณชายเฉียว…”
“เป็นอย่างไร” ทั้งสี่คนร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน
“คุณชายเฉียวเสียโฉมแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านตอบแล้วถอนหายใจยาวเหยียด
เสียโฉมแล้ว?
พวกฉือชั่นสามคนต่างเคยเห็นหน้าเฉียวโม่มาก่อน รูปลักษณ์ที่โดดเด่นเลอเลิศเหนือใครในแผ่นดินของเขาผุดวาบขึ้นในหัวสมองอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อครั้งเฉียวโม่อยู่ในเมืองหลวง มีกิตติศัพท์ความหล่อเหลาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉือชั่น ยากจะนึกภาพออกว่าใบหน้านั้นเสียโฉมไปแล้วจะมีสภาพเช่นไร
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ผู้ใหญ่บ้านพูดสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจออกมา
เฉียวเจาอ้าปากขมุบขมิบ ไม่น่าเสียดาย ขอแค่พี่ชายของข้ามีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว!
“เช่นนั้นตอนนี้คุณชายเฉียวอยู่ที่ใด”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ศพของชาวสกุลเฉียวยังต้องอาศัยคนในหมู่บ้านช่วยกันจัดการฝังพร้อมกับคุณชายเฉียว พอเสร็จเรียบร้อย เขาก็พาน้องสาวจากไปโดยไม่ล่ำลา ใบหน้ายังมีบาดแผลแท้ๆ ไม่รู้ว่าไปที่ใดได้”
“เมืองหลวง” เฉียวเจาหลุดปากพูดออกมา
ทุกคนหันมามองอย่างหลากใจ
เชิงอรรถ
* ไม้ชิว (Chinese Catalpa) เป็นไม้เนื้อดีมีค่าของประเทศจีน ใช้ทำเครื่องเรือนหรือปลูกเป็นไม้ประดับ
* ซื่อจื่อ เป็นคำเรียกทายาทผู้จะสืบทอดชั้นยศ ปกติคือบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
** จวี่เหริน คือการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับชั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
*** ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต
* บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง เป็นสำนวนจีน หมายถึงความสามารถด้านบุ๋นนั้นยากจะวัดได้ชัดเจนว่าใครเป็นที่หนึ่ง ในขณะที่ความสามารถด้านบู๊ใช้วิธีประลองฝีมือเพื่อชิงความเป็นหนึ่งได้
* คำว่า จู พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า “หมู” ซึ่งมักใช้เป็นคำด่าในเชิงว่าไม่มีสมอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.