บทที่ 751
เหล่าบัณฑิตหลวงในสำนักราชบัณฑิตที่ได้รับของพระราชทานเดือนสิบสองโห่ร้องด้วยความยินดีดังลั่น
บัณฑิตหลวงซึ่งได้รับเบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้นเหล่านี้ตั้งตารอคอยที่สุดคือของพระราชทานปีละหนึ่งครั้งนี่เอง อย่าลืมว่าเมื่อหลายปีก่อนสมัยท้องพระคลังยังนับว่าบริบูรณ์ ของพระราชทานที่แจกจ่ายให้ตอนใกล้สิ้นปีมากพอๆ กับเบี้ยหวัดทั้งปีของพวกเขาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ไม่อาจเทียบแต่ก่อนได้แล้ว จนกระทั่งปีก่อนถึงกับงดแจกจ่ายไปเลยด้วยซ้ำ แล้วก็เพราะเหตุนี้เองความยินดีปรีดาที่ได้รับของพระราชทานสองส่วนในตอนนี้จึงมิอาจพรรณนาเป็นถ้อยวาจาได้
หากที่น่ายินดียิ่งขึ้นไปอีกคือของพระราชทานถูกแจกจ่ายให้ในวันสุดท้ายก่อนที่ว่าการทุกแห่งจะปิดทำการ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าวันรุ่งขึ้นขุนนางเหล่านี้ล้วนได้หยุดพักนานหลายวัน สามารถดื่มสุราสังสรรค์หรือใช้เวลาอยู่กับภรรยาและบุตรได้ตลอดทั้งวัน
“ไปๆ ดื่มสุรากัน”
“ร้านไป่เว่ยดีหรือไม่”
เมื่ออยู่ในหมู่บัณฑิตหลวงด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องวางท่าสำรวมตนต่อหน้าผู้อื่น แต่ละคนกล่าววาจาอย่างหน้าชื่นตาบาน
“อาลักษณ์เฉียว ไปดื่มสุราด้วยกันหรือไม่”
เฉียวโม่ยกมุมปากโค้งพลางกล่าว “ข้ายังไว้ทุกข์อยู่ คงไม่ไปด้วย สหายทุกท่านร่ำสุรากันให้สำราญใจเถอะ”
สหายขุนนางที่เอ่ยชวนเพิ่งนึกขึ้นได้ในเวลานี้ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มกระดาก “จริงสิ เช่นนั้นพวกข้าไปล่ะ”
เขามองดูเหล่าสหายขุนนางเดินผละไปอย่างร่าเริงแจ่มใสแล้วแย้มยิ้มย่างเท้าออกจากสำนักราชบัณฑิต
ถนนศิลาเขียวด้านนอกผ่านการปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน มีหิมะถมทับกันอยู่สองข้างทางเป็นกองสูงถึงหลายฉื่อ
พอเฉียวโม่เดินผ่านนกกระจอกที่หาอาหารอยู่บนพื้นหิมะตัวหนึ่งก็ตื่นตกใจกางปีกบินหนีไปทันที เศษหิมะที่ติดขามันร่วงหล่นลงบนเรือนผมเขา
ชายหนุ่มยกมือปัดออกเบาๆ ก่อนสาวเท้าก้าวยาวไปทางรถม้าตรงหัวมุมถนนก่อนเอ่ยสั่งสารถีว่า “กลับจวนกวนจวินโหว”
รถม้าเริ่มออกแล่นดังครืดคราด เขาเลิกม่านขึ้นมองออกไปด้านนอก
หิมะประจำฤดูหนาวตกลงมาแล้ว ยามรถม้าวิ่งออกจากถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการมากมายจะเห็นคนแต่งกายมอซอตามถนนหนทางมากขึ้น พวกเขาเหล่านั้นมีสีหน้าชืดชา เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง เห็นแผลโดนความเย็นกัดเล็กๆ ใหญ่ๆ บนผิวกายที่โผล่พ้นอาภรณ์ออกมา ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่อพยพหนีภัยพายุหิมะมาที่เมืองหลวง
นัยน์ตาของเฉียวโม่หม่นลง
ฮ่องเต้ฝักใฝ่แต่การบำเพ็ญตบะ ปล่อยให้หลันซานกับบุตรชายกุมอำนาจบริหารราชการนานร่วมยี่สิบปีจนภายในราชสำนักฟอนเฟะ อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนทุกข์เข็ญ หากสองคนนี้ไม่ถูกกำจัดย่อมยากนักที่จะนำความสุขสงบคืนสู่แผ่นดินต้าเหลียง
ตอนกลับถึงจวนบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “คุณชาย ฮูหยินเชิญท่านไปพบขอรับ”
เขาพยักหน้าแล้วไปที่เรือนของเฉียวเจา
“พี่ใหญ่กลับจากที่ว่าการแล้วหรือเจ้าคะ” นางออกมาต้อนรับเขาทันที
“ท่านโหวเล่า”
“หารืองานอยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“น้องเจามีธุระอันใดหรือ” เขารู้จักน้องสาวของตนเองดี ย่อมแจ่มแจ้งเป็นธรรมดาว่านางส่งคนมาเชิญเขาทันทีที่กลับถึงจวน แสดงว่าต้องมีธุระอย่างแน่นอน
เฉียวเจามองพี่ชายก่อนคลี่ยิ้มละไมกล่าวว่า “ถิงเฉวียนได้รับของพระราชทานเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่หัวเราะ “รู้อยู่แล้วเชียวว่าปิดบังเจ้าไม่ได้”
“พี่ใหญ่ปฏิบัติงานอยู่ใต้จมูกของหลันซาน ไม่กลัวพวกเขาจับพิรุธได้หรือเจ้าคะ”
“ไม่กลัว ข้าอยู่ในสภาขุนนางมาหลายเดือน อ่านนิสัยของขุนนางคนสำคัญๆ พวกนั้นได้ปรุโปร่งแล้ว หลันซงเฉวียนผู้นี้ดื้อรั้นถือใจตนเป็นใหญ่ คงยากมากที่เขาจะยอมเชื่อในชั่วครู่ชั่วยามว่ามีคนสามารถลอกเลียนลายมือของเขาถึงขั้นแยกของจริงของปลอมไม่ออก ถึงอย่างไรก็ดีต่อให้เขาเริ่มแคลงใจจนแอบสืบลับๆ ก็ไม่มีวันสาวมาถึงตัวข้าได้”
“เพราะอะไรเจ้าคะ” เฉียวเจารู้ว่าพี่ชายเป็นคนสุขุมหนักแน่น ต่อให้อยากแล่เนื้อเถือหนังหลันซานกับบุตรชายใจจะขาดก็จะไม่ใจเร็วด่วนได้ ทว่านางยังคงถามด้วยความสนใจใคร่รู้
“พวกข้าแบ่งงานกันทำ คนที่รับผิดชอบตรวจทานส่วนของกรมโยธามิใช่ข้า แต่เป็นคนของหลันซาน”
เฉียวเจาเปล่งเสียงหัวร่อ “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันเองดีแล้ว”
เฉียวโม่ยื่นมือไปจะยีผมนาง แต่นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวไม่ใช่แม่นางน้อยแล้ว เขาจึงลดมือลงโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต “เรื่องในราชสำนักยกให้เป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่เถอะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
“อื้อ มีพี่ใหญ่อยู่ในราชสำนักคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกหลันซานได้ทุกเวลาเช่นนี้ก็สบายขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
มีกับไม่มีหูตาอยู่ในราชสำนักนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นี่คงเป็นเหตุผลที่ครอบครัวขุนนางผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนทุ่มเทกายใจอบรมบ่มเพาะบุตรหลานในตระกูลอย่างสุดความสามารถ หาไม่แล้วหากมีคนรุ่นหนึ่งเป็นสามัญชน เช่นนั้นก็จะค่อยๆ ตกต่ำลงกลายเป็นคนนอกวง
ขณะที่พวกขุนนางรับของพระราชทานเดือนสิบสองมาแล้วพากันไปดื่มสุราสรวลเสเฮฮากันในร้านสุราน้อยใหญ่อย่างครึกครื้นรื่นเริงใจ ด้านหลันซงเฉวียนกำลังเดือดดาลจนควันออกหู
“น่าโมโหนักๆ เอาเงินของข้าไปแล้วยังจะหัวเราะเยาะข้าอีก เจ้าพวกลูกเต่าบัดซบ!”
หลังขุนนางทั้งหลายคลายจากความยินดีที่ได้รับของพระราชทานเดือนสิบสอง ต่างก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นถึงที่มาของมัน ครั้นสอบถามได้ความแล้วก็พากันชอบอกชอบใจยกใหญ่ ที่แท้เป็นเงินที่หลันซงเฉวียนบุตรชายของท่านสมุหราชเลขาธิการจ่ายเพื่อให้รอดพ้นจากการเจ็บตัวไม่ต้องถูกโบยบั้นท้ายนั่นเอง
“เอาล่ะ เจ้าก็คลายโทสะลงได้แล้ว จะไปคิดเล็กคิดน้อยอันใดกับยาจกได้เบี้ยหวัดเดือนละไม่กี่ตั้นพวกนั้น” หลันซานเอ่ยปรามเสียงเรียบ
“ผู้ไร้ความสามารถโดดเด่นถึงไม่เป็นที่อิจฉาริษยา ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ” หลันซานเขียนคำโคลงคู่ด้วยอารมณ์สงบเยือกเย็น เขากล่าวยิ้มๆ “เจ้าว่าติดคำโคลงคู่แผ่นนี้ที่หน้าประตูใหญ่ตอนวันขึ้นปีใหม่เป็นอย่างไร”
หลันซงเฉวียนมองผ่านๆ แวบเดียวแล้วพูดอย่างขอไปที “ดียิ่ง ท่านพ่อ ข้าขอตัวขอรับ”
“ไปสิ” หลันซานวางพู่กันลง เพ่งมองคำโคลงคู่ที่เพิ่งเขียนเสร็จพลางถอนใจเฮือก
เขาชราภาพแล้ว บุตรชายที่เคยอยู่ในโอวาทเขาเสมอก็เริ่มควบคุมไม่อยู่ขึ้นทุกทีๆ ยังดีที่แม้นบุตรชายเขาเจ้าอารมณ์ไปบ้างแต่ก็มีความคิดเป็นของตนเอง หวังเพียงว่าจะรอจนถึงมู่อ๋องได้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างราบรื่นจึงจะดี
วันส่งท้ายปีเก่ามาถึงอย่างว่องไว เสียงจุดประทัดดังเป็นระยะมาจากด้านนอกคละเคล้าเสียงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นของเด็กน้อย
จวนกวนจวินโหวมีคนไม่มากและไม่ถือธรรมเนียมจุกจิกหยุมหยิม ถึงวันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสองก็เริ่มติดคำโคลงคู่อวยพรวันตรุษแต่เช้าตรู่
เซ่าหมิงยวนเอ่ยชวนเฉียวเจา “ไปกัน พวกเราเอาไปติดที่หน้าประตูใหญ่กันเองเถอะ”
“พี่เขย ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านได้ยินแล้วตื่นเต้นคึกคักยิ่ง นางเดินตามเซ่าหมิงยวนแจ
“ได้ ไปด้วยกัน”
เฉียวหว่านหันหน้าไปเรียกเฉียวโม่ “พี่ใหญ่ ไปด้วยกันสิเจ้าคะ”
ทั้งสี่คนมาถึงหน้าประตูใหญ่พร้อมกัน เซ่าหมิงยวนขอให้เฉียวโม่ติดคำโคลงวรรคหน้า ส่วนเฉียวเจาติดคำโคลงวรรคหลัง ขณะที่เขาเขียนอักษรคำว่า ‘ฝู’ ตัวใหญ่ด้วยสีหมึกผงทองแล้วติดกลับหัว*
เฉียวหว่านตบมือพลางกล่าว “โชคดีมาเยือนแล้ว”
เฉียวโม่มองดูอักษรสีทองอันเป็นมงคลพลางกล่าวเสียงพึมพำ “ใช่ โชคดีมาเยือนแล้ว”
“แต่ว่าพวกท่านติดไปหมดแล้ว ข้าจะทำอะไรเล่าเจ้าคะ” เฉียวหว่านคลายจากความตื่นเต้นแล้วถามขึ้นอย่างร้อนใจ
เซ่าหมิงยวนรับประทัดมาจากมือองครักษ์ หยักยิ้มแล้วบอกกับนาง “หว่านวานเป็นคนจุดประทัดดีหรือไม่”
นางเป็นเด็กใจกล้าจึงพยักหน้าทันควัน “ได้เจ้าค่ะ”
ไม่นานนักเสียงประทัดปังๆ ดังรัวเป็นชุด เฉียวหว่านยกมือปิดหูวิ่งไปหลบอยู่ไกลๆ นางหัวเราะไปพลางกระโดดโลดเต้นไปพลาง
เฉียวเจากับเฉียวโม่สบตากันแล้วสองพี่น้องก็พากันคลี่ยิ้ม
ย่ำเย็นทั้งสี่คนนั่งห่อเกี๊ยวด้วยกัน เฉียวหว่านหยิบดอกไม้ผ้ากำมะหยี่สีแดงสองดอกซึ่งได้จากที่ใดก็สุดรู้ออกมา
“พี่หลี ข้าเสียบดอกไม้ประดับผมให้ท่านนะเจ้าคะ เมื่อก่อนท่านแม่จะมอบดอกไม้ผ้ากำมะหยี่สีแดงให้แก่สตรีในเรือนตอนวันตรุษทุกปี บอกว่าเสียบดอกไม้สีแดงห่อเกี๊ยวก็จะไม่ถูกปีศาจเหนียน** คาบตัวไปเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ที่เฉียวหว่านกล่าวถึงหมายถึงท่านแม่ใหญ่โค่วซื่อ
“ได้สิ ขอบใจหว่านวานมาก” เฉียวเจาก้มศีรษะลงให้เด็กสาวเสียบดอกไม้ผ้ากำมะหยี่สีแดงดอกนั้นไว้บนเรือนผมสีดำสนิท
“พี่เขย พี่ใหญ่ พวกท่านดูสิ พี่หลีเสียบดอกไม้สีแดงแล้วงามมากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ชายหนุ่มสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
หญิงสาวอ่อนเยาว์มีผิวพรรณขาวผ่อง เส้นผมดกดำประดับด้วยดอกไม้สีแดงเล็กกะทัดรัดฝีมือประณีตดอกหนึ่งแล้วงดงามชวนมองอย่างยิ่งยวดโดยแท้
“พี่ใหญ่ แล้วข้าเสียบดอกไม้บ้างได้หรือไม่เจ้าคะ” เฉียวหว่านเอ่ยถามอย่างน่าสงสารระคนน่าเอ็นดู
“ได้สิ มา พี่ใหญ่เสียบผมให้เจ้าเอง”
เฉียวเจาอมยิ้มมองพี่ชายเสียบดอกไม้ลงบนผมของเฉียวหว่านอยู่ แต่จู่ๆ ก็มีคนดึงแขนเสื้อของนาง
บทที่ 752
“มีอะไร ท่านอยากเสียบดอกไม้เช่นกันหรือ” เฉียวเจาชายตามองเซ่าหมิงยวนพลางพูดกระเซ้า
ชายหนุ่มหัวเราะ “ถ้าเจาเจาเสียบให้ข้า อย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะ”
บุรุษทัดดอกไม้ในวันมงคลหาใช่เรื่องผิดขนบจารีตไม่ ซ้ำยังเป็นเรื่องปกติอย่างมาก กระนั้นโดยมากมักเป็นบัณฑิตปัญญาชน แต่สำหรับกวนจวินโหวแล้วออกจะตรงกันข้ามกับฉายา ‘แม่ทัพกระดูกเหล็ก’ นามกระเดื่องทั่วหล้ามากเกินไปสักหน่อย
“เมื่อครู่เรียกข้าด้วยเหตุใดหรือ” ยามอยู่ต่อหน้าพี่ชายกับน้องสาวคนเล็ก เฉียวเจาไม่ต่อปากต่อคำกับเขาเป็นธรรมดา
“เจาเจา เจ้าว่าเกี๊ยวที่ข้าห่อตัวนี้เป็นอย่างไร”
เฉียวเจามองๆ แล้วพยักหน้า “ห่อเรียบร้อยกว่าข้า”
ดังนั้นนี่เขาจะมาโอ้อวดหรือ
ยกข้อดีของตนข่มข้อด้อยของผู้อื่นรึ บุรุษผู้นี้สมควรถูกสั่งสอนเสียแล้ว!
“เจ้าดูนะ ข้าทำจีบเพิ่มไว้ตรงนี้ รอถึงยามจื่อตอนต้มเกี๊ยวกิน เจ้ากินตัวนี้นะ” เซ่าหมิงยวนลดสุ้มเสียงเบาลง “ข้าใส่น้ำตาลก้อนหนึ่งไว้ข้างใน”
กินเกี๊ยวคำแรกเจอน้ำตาลเป็นนิมิตดีว่าตลอดปีจะสุขสมหวานชื่น ไม่พบกับความทุกข์ยากลำบาก
“ท่านโกงนี่นา”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วสูง “ใครบอก ข้าไม่ได้บอกเจ้าตอนกินเกี๊ยวสักหน่อย”
“พี่เขย พวกท่านซุบซิบอะไรกันเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนนั่งตัวตรง แล้วเอ่ยตอบอย่างเคร่งขรึม “พี่เขยสอนพี่สาวของเจ้าห่อเกี๊ยว”
เฉียวหว่านมองๆ เฉียวเจาแล้วพูดอุบอิบ “เป็นพี่หลีต่างหาก”
พี่เขยบอกเช่นนี้ คนที่ไม่รู้จะนึกว่าพี่หลีคือพี่เจาของข้านะ
แม้นการได้อยู่ร่วมกันในช่วงที่ผ่านมานี้เฉียวหว่านจะรู้สึกว่าพี่หลีเป็นคนดีมาก แต่จะดีปานใดก็มิใช่พี่เจาอยู่ดี
ถึงแม่นางน้อยจะพูดเสียงเบามาก แต่อีกสามคนกลับได้ยินแล้วสบตาซึ่งกันและกัน จากนั้นนิ่งเงียบไปในชั่วขณะ
ทว่าก่อนเฉียวหว่านจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป เฉียวโม่ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “มา หว่านวาน พี่ใหญ่สอนเจ้าห่อเกี๊ยว”
บรรยากาศกลับมาชื่นมื่นกลมเกลียวในเวลาสั้นๆ
ถึงยามจื่อเสียงประทัดจากด้านนอกดังขึ้นไม่ขาดสาย เฉียวโม่ปลุกน้องสาวคนเล็กที่สะลึมสะลือหลับไปให้ตื่นขึ้น
“หว่านวาน ถึงเวลาตื่นขึ้นมากินเกี๊ยวได้แล้ว”
เซ่าหมิงยวนผินหน้าถามเฉียวเจา “ง่วงหรือยัง”
ในวันส่งท้ายปีเก่ามีธรรมเนียมเฝ้าปี* จะต้องรอจนถึงยามจื่อกินเกี๊ยวเสร็จแล้วถึงจะเข้านอนได้ ซึ่งเป็นเวลาดึกดื่นกว่าปกติมาก เซ่าหมิงยวนเป็นห่วงว่านางจะทนไม่ไหว
“ไม่เป็นไร ข้ายังไม่ง่วง”
ไม่นานนักเกี๊ยวต้มส่งควันฉุยก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เฉียวเจากวาดตามองก็พบว่าเกี๊ยวที่ต้มสุกแล้วไม่มีเครื่องหมายที่ทำไว้เป็นพิเศษเลย นางจึงสุ่มคีบตัวหนึ่งเข้าปาก
ครั้นกัดเปลือกเกี๊ยวแตกน้ำรสหวานก็แผ่ซ่านถึงปลายลิ้น เฉียวเจานิ่งขึงไปเล็กน้อย นางหันไปมองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ
“เป็นไส้อะไร”
“หวาน”
เซ่าหมิงยวนยิ้มหน้าระรื่น
อืม ประเดี๋ยวต้องตกรางวัลเป็นซองแดงซองใหญ่ให้คนครัวที่ตักเกี๊ยวแล้ว ทำได้ดีมาก
เฉียวเจามองเขาด้วยสายตาเป็นนัยๆ ถึงจะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องแฝงกลเม็ดบางอย่างเอาไว้ หากแต่ในใจนางกลับหวานล้ำ
ไม่ว่าอย่างไรนิมิตมงคลก็เป็นเรื่องน่ายินดี หวังว่าปีใหม่นี้นางกับเขาจะหวานชื่นดุจเสี้ยวเวลานี้
“พี่หลีโชคดีจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าเจอแต่เนื้อหมู” เฉียวหว่านอิจฉาสุดประมาณ
หลังทั้งสี่กินเกี๊ยวกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงจนหมด ดรุณีน้อยก็ง่วงงุนจนลืมตาไม่ขึ้นแต่แรกแล้ว
“ข้าไปส่งหว่านวานที่เรือนเอง” เฉียวโม่พาเฉียวหว่านออกไป
การเก็บจานชามย่อมมิใช่หน้าที่ของผู้เป็นนาย เซ่าหมิงยวนจูงมือเฉียวเจาพลางกล่าว “พวกเราไปล้างหน้าบ้วนปากแล้วพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องเข้าวังไปถวายพระพรวันตรุษอีก”
บัดนี้เฉียวเจาไม่ใช่บุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตที่ไร้ความสำคัญอีกต่อไป แต่เป็นถึงฮูหยินท่านโหวผู้ทรงเกียรติ วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งก็ต้องเข้าวังไปถวายพระพรต่อองค์ไทเฮาอย่างแน่นอน
ตลอดราตรีไร้เสียงสนทนา
ท้องฟ้ายังมืดอยู่ เฉียวเจาตื่นขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปากแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง เพียงสางผมผลัดอาภรณ์ก็ใช้เวลาไปมากกว่าครึ่งชั่วยาม
ในวันปีใหม่นี้นายหญิงตราตั้งกับขุนนางบุ๋นบู๊จะแยกกันถวายพระพร เซ่าหมิงยวนขี่ม้า ขณะที่เฉียวเจานั่งรถม้า ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
พระราชวังที่ประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าแพรสีขับไล่ความมืดมิดก่อนอรุณรุ่งออกไป แลดูตระการตาน่าเกรงขามท่ามกลางแสงไฟแพรวพราย
ตอนเฉียวเจาไปถึงที่นั่นมีนายหญิงตราตั้งรอคอยอยู่มากมาย พอเห็นขันทีน้อยถือโคมไฟนำทางนางเข้ามาก็พากันหันมามอง
สตรีที่กำลังเดินมาอย่างแช่มช้าสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีแดงเข้มอันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงศักดิ์ฐานะของฮูหยินท่านโหว มีผ้าคลุมไหล่สีเขียวแก่ปักลายไก่ฟ้าเดินเส้นนูนด้วยดิ้นทอง บนปิ่นมงกุฎที่สลักลวดลายซับซ้อนงามวิจิตรหรูหราตกแต่งด้วยไก่ฟ้าทองกระพือปีกคล้ายจะเหินบินขึ้น เครื่องแต่งกายตั้งแต่เรือนผมจรดปลายรองเท้าล้วนแผ่รัศมีสูงศักดิ์สง่างามอย่างที่ไม่อาจล่วงล้ำได้ ในดวงตาของเหล่านายหญิงตราตั้งไม่น้อยเผยแววริษยาออกมา
บุตรสาวสกุลหลีเพิ่งอายุเท่าไรเอง ได้ยินว่ายังไม่ปักปิ่นด้วยกระมัง แต่ได้สวมชุดราชสำนักประจำตัวฮูหยินท่านโหวมาถวายพระพรแล้ว ขณะที่บุตรสาวในวัยเดียวกับนางของจวนสกุลต่างๆ เพิ่งเริ่มตั้งต้นจากการเป็นหลานสะใภ้เท่านั้น
เฉียวเจาเดินไปถึงใกล้ๆ บริเวณที่จัดไว้ให้ฮูหยินท่านโหวทั้งหลายแล้วชะงักเท้าเล็กน้อย ขันทีน้อยที่นำทางนางกลับบอกอย่างยิ้มแย้ม “เชิญฮูหยินทางนี้ขอรับ”
ครั้นเห็นขันทีน้อยพานางไปตรงจุดที่ฮูหยินของท่านกั๋วกงซึ่งมีอยู่ไม่กี่ท่านรออยู่ บรรดานายหญิงตราตั้งเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ อย่างอดใจไม่อยู่อีก สายตาที่มองเฉียวเจาไม่อาจใช้คำว่า ‘อิจฉาริษยา’ มาบรรยายได้แล้ว
“เชอะ คนเรานี่แข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้จริงๆ ข้ายังคิดอยู่ว่าอายุเพียงสิบสี่สิบห้าก็ได้สวมชุดราชสำนักเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ทำบุญมากี่ชาติ ผลปรากฏว่านางเก่งกาจกว่าที่เราคิดไว้”
ฮูหยินของท่านกั๋วกงเป็นเกียรติยศชั้นใดกันเล่า ลองดูฮูหยินของท่านกั๋วกงซึ่งยืนเข้าแถวอยู่ด้านหน้าของนายหญิงตราตั้งที่แก่ชราจนแทบเดินเหินไม่ไหวสามสี่ท่านแรกนั่นในโถงตำหนักก็จะรู้เอง
“ก็นั่นน่ะสิ ลองคิดถึงตอนพวกเราอายุสิบกว่าปีสิว่าเป็นอย่างไร ยังก้มหน้าเจียมตัวคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่สามีอยู่เลยนะ”
คนด้านข้างหลุดหัวเราะพรืด “ท่านยังดีกว่าข้านะ ตอนนั้นนอกจากท่านแม่สามีแล้ว ข้ายังต้องปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่สามีของท่านแม่สามีอีกด้วย”
หวังซื่อฮูหยินของเสนาบดีศาลยุติธรรมยืนอยู่ในกลุ่มฮูหยินขั้นสามซึ่งปกตินับว่ามีศักดิ์ฐานะสูงส่ง แต่เพลานี้กลับไม่มีสิทธิ์นั่ง นางมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าแววตาที่ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก
นางอยากขอให้หลีซื่อตรวจร่างกายลูกสะใภ้คนเล็กของตนมาโดยตลอด แต่ยังไม่สมดังใจปรารถนาเรื่อยมา บัดนี้หลีซื่อมีสถานะล้ำหน้าตนไปแล้ว อยากจะให้อีกฝ่ายตอบตกลงคงยากขึ้นไปอีก
ต้องคิดหาวิธีอะไรสักอย่างจึงจะดี หวังซื่อเค้นสมองขบคิดอย่างหนัก
“ไทเฮาเสด็จ…”
ภายในโถงตำหนักเงียบกริบทันใด ทุกคนลุกขึ้นยืน
ไทเฮาซึ่งห้อมล้อมด้วยข้าราชบริพารเดินเยื้องย่างออกมา เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้น นางเสด็จขึ้นแท่นประทับ นายหญิงตราตั้งทั้งหลายถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นเหล่านายหญิงตราตั้งเริ่มถวายแผ่นคำอวยพรโดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามลำดับชั้นบรรดาศักดิ์
เฉียวเจากับฮูหยินของท่านกั๋วกงที่มีอยู่ไม่กี่คนยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงกับมู่หวังเฟยเท่านั้น ไทเฮาสังเกตเห็นนางอย่างรวดเร็ว
ไทเฮามองดูสตรีที่อ่อนวัยเหลือเกินในกลุ่มนายหญิงตราตั้งอย่างพินิจพิจารณาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ สักนิด เห็นนางวางตัวได้เรียบร้อยเหมาะสมในทุกอิริยาบถจนจับผิดไม่ได้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังสุขุมเยือกเย็นยิ่งกว่านายหญิงตราตั้งหลายคนแล้วอดประหลาดใจไม่ได้
นางรู้แต่แรกแล้วว่าสตรีผู้นี้แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาได้ไกลถึงจุดนี้
ถึงเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิต แต่คงมีกลเม็ดเด็ดพรายจริงๆ ถึงได้เกาะไม้ใหญ่อย่างกวนจวินโหวไต่เต้าขึ้นเป็นนางหงส์ได้ในชั่วข้ามคืน
ไทเฮาเก็บงำความไม่พึงใจในดวงตาไว้และเบนสายตาออกไปทางอื่นอย่างเงียบๆ
เมื่อไทเฮารับการถวายพระพรวันตรุษจากนายหญิงตราตั้งทุกคนเสร็จ เสียงดนตรีเทิดพระเกียรติดังขึ้น พระนางเสด็จเข้าสู่ด้านในของตำหนักและเรียกตัวนายหญิงตราตั้งเข้ามาสนทนากันตามลำพัง
การถวายพระพรวันตรุษเมื่อครู่นี้เป็นเพียงธรรมเนียมที่ทำกันมานานหลายปี แต่ตอนนี้ต่างหากถึงเป็นเวลาที่แสดงถึงความโปรดปรานที่ไทเฮามีต่อนายหญิงตราตั้ง หากไทเฮาเรียกตัวคนใดเข้าพบตามลำพัง ก็สามารถเชิดหน้าชูตาไปได้ทั้งปีเลยทีเดียว
พวกองค์หญิงใหญ่ฉางหรงได้เข้าไปก่อน ไม่นานนักขันทีอาวุโสไหลสี่ก็ขานบอกว่า “เรียกตัวหลีซื่อฮูหยินของกวนจวินโหวเข้าเฝ้า…”
* อักษร ‘ฝู’ หมายถึงโชคลาภ เนื่องจากคำว่า ‘เต้า’ (倒) ที่หมายถึงกลับหัว พ้องเสียงกับคำว่า ‘เต้า’ (到) ที่แปลว่ามาถึง ชาวจีนจึงมีธรรมเนียมติดอักษร ‘ฝู’ กลับหัวเพื่อสื่อความหมายว่าโชคลาภมาเยือน
** เหนียน เป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ หัวมีขนรุงรัง ดุร้ายเป็นอย่างมาก ทุกปีพอถึงวันสิ้นปีก็จะออกมาทำร้ายผู้คนและสัตว์เลี้ยง แต่มันกลัวสีแดง แสงไฟ และเสียงประทัด ดังนั้นทุกปีพอถึงวันสิ้นปี (คืนก่อนวันตรุษจีน) จึงมีธรรมเนียมจุดประทัดและแต่งกายด้วยสีแดง
* เฝ้าปี ชาวจีนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าในคืนสิ้นปีจะมีสัตว์ประหลาดชื่อว่า ‘เหนียน’ (แปลว่าปี) ออกมาทำร้ายผู้คน จึงไม่ยอมนอนในคืนนี้เพื่อรอขับไล่ตัวเหนียนไป กลายเป็นธรรมเนียมการอยู่โต้รุ่งตลอดคืน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.