X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง เล่ม 4 บทที่ 107-108

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 107

หน้าประตูบรรพต อาภรณ์สีครามของชายหนุ่มย้อมด้วยโลหิต สะพายกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง

ลูกศิษย์ที่ลงมาจากบรรพตเซียนเหิงหยางกระซิบกระซาบกัน “เขายังอยู่ตรงนี้อีก ไม่รู้หรือไรว่าทุกคนชิงชังเขามาก ศิษย์พี่ผู้คุมกฎมัวทำอะไรอยู่ ยังไม่โยนเขาออกจากประตูบรรพตไปอีก”

อีกคนหนึ่งพูด “ไล่เขาไป ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวตรงนี้อีกอยู่ดี”

“เขายังเพ้อฝันอยากพบอวี้หลิงเซียนจื่ออยู่อีกหรือ เขาไม่รู้หรือไรว่าอีกไม่กี่วันอวี้หลิงจะแต่งงานกับศิษย์พี่ฝูหยาแล้ว”

เพิ่งจะขาดคำ ชังจิ่วหมินที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่โต้ตอบ ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้นก็ปราดมาข้างกายศิษย์ผู้นั้นและขยุ้มเสื้อด้านหน้าของเขา “เจ้าว่าอะไรนะ!”

ศิษย์ชายผู้นั้นถูกเขาประชิดตัวพลันหวาดกลัวไปชั่วขณะ แต่พอคิดว่าหลีซูซูกลับจากแดนเผิงไหลในสภาพบาดเจ็บเช่นนั้น ก็ยากที่จะปั้นหน้าพูดดีกับเขาได้

“ข้าบอกว่าอวี้หลิงกับเยวี่ยฝูหยากำลังจะแต่งงานกัน หากเจ้ายังรู้ตัวอยู่บ้าง ก็ไสหัวกลับแดนเผิงไหลของเจ้าไปเสีย อย่ามาทำให้ที่นี่แปดเปื้อน”

นิ้วมือของชังจิ่วหมินกำแน่น มองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น

ขณะที่ศิษย์เหิงหยางคิดว่ากำลังจะเผชิญศึกหนัก นึกว่าเขาต้องลงมือแน่ เขาพลันคลายมือ หันกายจากไปโดยไม่พูดอะไร

ตอนบ่ายเหยากวงมา เห็นเขาไม่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว จึงถามศิษย์ข้างกาย “เขาไปที่ใดแล้ว”

ศิษย์ผู้นั้นตอบว่า “เมื่อเช้าตอนรู้ข่าวว่าหลีซูซูกำลังจะแต่งงาน เขาก็จากไป คงถอดใจแล้วกระมัง”

เหยากวงทอดถอนใจ มองไปยังทิศทางที่เขาจากไป “ไปเสียก็ดีเหมือนกัน”

รอให้อาการบาดเจ็บของหลีซูซูดีขึ้น เจ้าสำนักต้องไปเอาความกับแดนตงซู่แน่ ดีไม่ดีเหิงหยางกับตงซู่อาจเปิดศึกกัน ชังจิ่วหมินเป็นบุตรชายของประมุขตงอี้ เรื่องระหว่างเขากับหลีซูซูเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ระหว่างทางกลับนางได้พบเยวี่ยฝูหยา

เหยากวงมองชุดวิวาห์ในมือเขา “ให้หลีซูซูหรือ”

เยวี่ยฝูหยา “อืม”

เขาหลุบตา สีหน้าที่ดูแปลกประหลาดมาโดยตลอด ยามมองชุดวิวาห์ฉายแววอ่อนโยนมากขึ้นหลายส่วน

เหยากวงพูด “ข้าคิดว่าเจ้าไม่เต็มใจเสียอีก”

เยวี่ยฝูหยาโคนหูแดงเรื่อ ตอบสั้นกระชับว่า “ข้าเปล่า”

เหยากวงคลี่ยิ้ม “วันหน้าดูแลหลีซูซูให้ดีล่ะ”

บัดนี้นอกจากหลีซูซู ทุกคนในเหิงหยางต่างรู้ว่าเยวี่ยฝูหยากำลังจะแต่งงานเป็นคู่บำเพ็ญของนาง เรื่องนี้ฉวีเสวียนจื่อก็ยอมรับอย่างเงียบๆ แล้ว ความปลอดภัยของหลีซูซูเป็นเรื่องที่ฉวีเสวียนจื่อให้ความสำคัญมากที่สุด

เพียงแต่สำหรับเยวี่ยฝูหยา ด้วยสภาพร่างกายของหลีซูซูเขาต้องเป็นฝ่ายเสียสละ มอบพลังตบะจำนวนมากให้นางฟื้นฟูร่างกาย บอกว่าเป็นการบำเพ็ญคู่ แท้จริงแล้วเป็นการซ่อมแซมวิญญาณชีวิตให้นางต่างหาก การมอบพลังตบะให้นางเช่นนี้อาจทำให้ตัวเขาเองพัฒนาต่อไปได้ยาก

เดิมทีเหยากวงกลัวว่าเยวี่ยฝูหยาจะตะขิดตะขวงใจเรื่องนี้ ไม่คิดว่าเขากลับมองเรื่องนี้อย่างหวานล้ำปานน้ำผึ้ง ในเมื่อเจ้าตัวเองยังไม่รู้สึกเป็นทุกข์หรือลำบากใจ เหยากวงจึงหัวเราะ

ศิษย์น้องหญิงก็น่าจะมีความสุขมากกระมัง

 

มารฝันประคองลูกแก้วหลิวหลี หัวใจสิ้นหวังดั่งเถ้าธุลี อุตส่าห์ทุ่มเทเต็มที่สร้างความฝันอันงดงามขึ้นมา ขจัดศัตรูตัวฉกาจอย่างกงเหยี่ยจี้อู๋ออกไป กลับลืมไปว่ายังมีเยวี่ยฝูหยาอยู่อีกคน

ว่าก็ว่าเถอะ ราชันมารหายไปไหนแล้วเล่า

 

ก่อนวันวิวาห์หนึ่งวัน หลีซูซูถึงได้รู้เรื่องนี้

เหยากวงกลัวนางจะร้องไห้อาละวาด ใครจะคิดว่าหญิงสาวกลับนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเนิ่นนาน มองวิหคศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวข้างนอก

นานครู่ใหญ่จึงถามว่า “ฝูหยาเต็มใจหรือ”

เหยากวงรีบพยักหน้า “แล้ว…เจ้าล่ะ”

หลีซูซูริมฝีปากขาวซีด นางระบายยิ้ม “เขาทำเพื่อช่วยข้า ข้าจะไม่เต็มใจได้อย่างไร เพียงแต่ลำบากเขาแล้ว”

เหยากวงกดเสียงเบา “ข้าคิดว่าเจ้ายังคิดถึงชังจิ่วหมินอยู่เสียอีก” พอคำพูดหลุดจากปาก เหยากวงก็รู้ว่าตนพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไป จึงรีบเอ่ยว่า “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…”

หลีซูซูหลุบตาลงพลางส่ายหน้า

เหยากวงอดถามไม่ได้ “เจ้าชอบเยวี่ยฝูหยาหรือไม่”

การแต่งเป็นคู่บำเพ็ญไม่เหมือนการแต่งงานในโลกมนุษย์ ในวันวิวาห์จะต้องผสานเลือดหัวใจหยดหนึ่งของตนเองลงในวิญญาณเซียนของอีกฝ่าย นับแต่นี้ไปอีกพันปีหมื่นปี หากเฉิดฉายก็เฉิดฉายไปด้วยกัน หากดับสูญก็ดับสูญไปด้วยกัน ใช้ได้ผลยิ่งกว่าสัญญาทุกข้อในโลกมนุษย์

หลีซูซูตอบ “ข้าไม่รู้”

นางกุมหัวใจ ตรงนี้…ว่างเปล่าไปหมด เหมือนประตูบานหนึ่งที่ถูกปิด ไม่อาจรับรู้อารมณ์ใดๆ กระทั่งตอนที่เหยากวงพูดคำว่า ‘ชอบ’ สำหรับนางแล้ว นั่นยังเป็นเพียงคำคำหนึ่งที่ไม่มีความหมายใดๆ

อะไรคือความชอบ ความรู้สึกเช่นไรที่เรียกว่าชอบ แน่นอนว่านางชอบเยวี่ยฝูหยา แต่นั่นใช่ความรู้สึกที่เหยากวงหมายถึงจริงๆ หรือไม่

หลีซูซูคิดถึงใครอีกคน เหตุใดตอนอยู่ในแดนเผิงไหลภายใต้ธงสามวิญญาณ ตอนเห็นชังจิ่วหมินทำร้ายนาง นางจึงรู้สึกเสียใจ

วันต่อมาหลีซูซูเปลี่ยนมาสวมชุดวิวาห์ ทั่วทั้งสำนักเหิงหยางถูกประดับตกแต่งจนดูชื่นมื่นมงคล

กวางเซียนเก้าตัวมารออยู่ที่บรรพตฉางเจ๋อตั้งแต่เช้า

ตอนหลีซูซูถูกประคองขึ้นรถเซียน สีหน้านางเหม่อลอยชั่วขณะ

เมฆมงคลลอยผ่านข้างกายไป รถเซียนเหาะจากท้องฟ้าเหนือบรรพตฉางเจ๋อไปยังตำหนักใหญ่ของสำนักเหิงหยางอย่างช้าๆ

นางเห็นคนผู้หนึ่งยืนรอนางอยู่ตรงนั้น เป็นเยวี่ยฝูหยา

เขาเงยหน้า สายตาจับจ้องนางแน่วนิ่ง

ชั่วขณะนั้นหลีซูซูรู้สึกเหมือนว่าเขารอนางอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว

จังหวะที่เห็นนาง ดวงตาสีดำของเขามีรอยยิ้มกระเพื่อม พาให้หลีซูซูรู้สึกเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก

เยวี่ยฝูหยาเข้ามารับนาง ชั่วขณะหนึ่งที่นิ้วมือของทั้งสองสัมผัสกัน หลีซูซูบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ…มือของชายหนุ่มเย็นเฉียบ

เคล็ดกระบี่ที่เยวี่ยฝูหยาฝึกฝนแข็งกร้าวและบริสุทธิ์ยิ่ง อุณหภูมิร่างกายของเขาจะเย็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ

กระนั้นใบหน้าตรงหน้ากลับเป็นเยวี่ยฝูหยาจริงๆ

หลีซูซูบอกตนเองว่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน ฉวีเสวียนจื่อก็อยู่ที่นี่ พิธีร่วมบำเพ็ญคู่จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด

วิญญาณชีวิตของนางได้รับความเสียหายทำให้ร่างกายอ่อนแอ ฝีเท้าหยุดชะงักเล็กน้อย ทำให้เขาหยุดตาม เอ่ยเบาๆ ว่า “ระวัง”

เขาจูงมือนาง พลังวิเศษอ่อนโยนถูกถ่ายมาให้ไม่สิ้นสุด หลีซูซูพลันรู้สึกเบาสบายขึ้น

ตลอดพิธีการ หลีซูซูรู้สึกว่าความคิดของตนเองล่องลอย แต่คนข้างกายกลับขึงขังจริงจังมาก

จวบจนนิ้วมือเขาแตะลงตรงหว่างคิ้วตน เลือดหัวใจหยดลงมาในห้วงรับรู้ นางจึงเหลือบตามองเขาอย่างเหม่อลอย เขาลูบพวงแก้มนางแผ่วเบา ก้มศีรษะลง จับมือนางมาวางตรงหว่างคิ้วเขา

“หลีซูซู” เขาเอ่ยเสียงแหบ “ตาเจ้าแล้ว”

นางขบริมฝีปาก เห็นผู้คนรอบด้านกำลังมองตนอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงหยดเลือดหัวใจของตนเองลงในห้วงรับรู้ของเขาอย่างเชื่องช้า

การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในห้วงรับรู้ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วให้ความรู้สึกใกล้ชิดยิ่งกว่าการสัมผัสทางร่างกายหลายเท่า

ชั่วขณะที่ห้วงรับรู้ของทั้งสองคนเชื่อมโยงกัน ความรู้สึกประหลาดเอ่อท้นขึ้นมา นางลนลานถอยหลังก้าวหนึ่ง แตะกลางหน้าผากของตนเอง พวงแก้มแดงซ่านอย่างห้ามไม่อยู่

ท่าทางเขินอายกระวนกระวายของนาง ทำให้รอยยิ้มของคนข้างกายเข้มยิ่งขึ้น

หลีซูซูไม่รู้ว่าตนเองอดทนจนพิธีการเสร็จสิ้นได้อย่างไร

นับแต่โบราณมา พิธีแต่งงานเป็นคู่บำเพ็ญยังถูกเรียกว่าพิธีรวมวิญญาณด้วย ชั่วขณะที่เลือดหัวใจของตนสัมผัสกับห้วงรับรู้ของอีกฝ่าย จะสามารถสัมผัสถึงความรักที่อีกฝ่ายมีต่อตนได้

หลีซูซูรู้สึกว่าเลือดหัวใจของตนเหมือนปลาตัวเล็กจ้อยที่กระโจนลงสู่ห้วงสมุทรกว้างใหญ่น่ากลัวในแดนนรกโดยไม่ทันตั้งตัว ความรักที่สัมผัสได้อย่างเลือนราง ทำให้นางตกใจและทำอะไรไม่ถูก

เยวี่ยฝูหยา…ทำเพื่อช่วยตนมิใช่หรือ หากบอกว่ามีความชอบอยู่เล็กน้อย หลีซูซูเชื่อ ทว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ความรักของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแดนนรกเวิ้งว้างที่ตามติดพัวพันจนวันตาย

หลีซูซูมิได้สังเกตว่าตอนชายหนุ่มข้างกายหดมือกลับไป แววตาเจือความหม่นหมองอึมครึมเล็กน้อย

แน่นอนว่าเขาก็สัมผัสถึงความรักของหลีซูซูได้เช่นกัน

ในห้วงรับรู้มีเพียงความว่างเปล่า ขาวโพลน…ไม่มีอะไรเลย

ท่าทางชะงักงันและความเย็นชาของเขาคงอยู่เพียงชั่วขณะ ก่อนที่รอยยิ้มบริสุทธิ์จะฉายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง

 

หลีซูซูกลับมาที่ตำหนักเซียน เดิมทีนางควรจะขบคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับเยวี่ยฝูหยาอย่างไร แต่พอถึงเตียง นางก็หลับไปทันที บัดนี้วิญญาณชีวิตไม่สมบูรณ์ นางอดทนมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าไม่ง่ายแล้ว

นางหลับไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มในชุดวิวาห์สีแดงก็เข้ามา มีคนย่อกายคารวะด้วยท่าทางตื่นลน “เซียนจวิน เซียนจื่อหลับไปแล้วเจ้าค่ะ”

ชายหนุ่มมิได้แสดงความไม่พอใจ เพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจะดูแลนางเอง”

เขาเดินอ้อมฉากบังลมปักลายกระเรียนเซียน มองดวงหน้าโสภาที่หลับสนิท

สีหน้าอ่อนโยนของเขาหายไป แววตาเย็นเยียบดุจดังน้ำนิ่งในบ่อลึกที่มองไม่เห็นก้น เขาซุกหน้ากับซอกคอนาง คล้ายงูพิษที่แลบลิ้นอย่างเย็นชาและพัวพันนางไว้

ทว่าสุดท้าย แม้สีหน้าของเขาจะดุดันน่ากลัว แต่กลับมีเพียงจุมพิตแผ่วเบาประทับลงบนพวงแก้มนาง

หลีซูซูนอนหลับครั้งนี้กินเวลาหลายวัน

นางลืมตาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก้มมองเสื้อผ้าของตนเอง ถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว

ชุดวิวาห์สีแดงสดกลายเป็นชุดกระโปรงไหมสวรรค์สีม่วงอ่อน ชายกระโปรงแผ่ออกไป เจือประกายระยิบระยับ เอวแบบบางของนางมีเชือกถักประณีตห้อยอยู่ การแต่งกายเช่นนี้งดงามพิถีพิถันยิ่งกว่าการแต่งกายของตนสมัยก่อน

หลีซูซูเล่นเชือกถักพลางเดินออกไปข้างนอก นางไม่เห็นเยวี่ยฝูหยา จึงถามศิษย์ที่กวาดพื้นอยู่ในตำหนัก “เซียนจวินเล่า”

ลูกศิษย์ตอบว่า “ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ! เซียนจวินอยู่ที่เขาด้านหลัง เขากำชับว่าถ้าท่านตื่นขึ้นมาเมื่อไร ให้ดื่มของสิ่งนี้”

ในมือหลีซูซูมีขวดที่ทำจากหยกเพิ่มมาหนึ่งใบ

นางเปิดออก กลิ่นหอมอ่อนจางลอยออกมา เป็นน้ำค้างจุ้ยหยาง ของสิ่งนี้ว่ากันว่ามีเฉพาะในเผ่าวาฬกลืนนภาในทะเลทักษิณเท่านั้น ช่วยบำรุงวิญญาณ แต่เผ่าวาฬกลืนนภาดุร้ายใจแคบเป็นที่สุด เยวี่ยฝูหยาไปเอาของสิ่งนี้มาได้อย่างไร

หลีซูซูมาที่เขาด้านหลัง ได้กลิ่นคาวโลหิตจางๆ พอสูดดมอีกทีก็ดูเหมือนจะหายไปเสียแล้ว

เยวี่ยฝูหยาเดินออกมาจากในป่า อุ้มกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง เมื่อเห็นนางแล้วเขาชะงักไป ก่อนจะยิ้มทักทาย “หลีซูซู”

หลีซูซูลูบกระต่ายน้อย “สิ่งนี้ให้ข้าหรือ”

“อืม เวลาที่ข้าไปปราบมาร มันสามารถอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้” เขาลูบผมนาง พยายามปรับน้ำเสียงแข็งกระด้างในอดีตให้อ่อนโยน “ไฉนจึงออกมาเล่า”

“ข้ามาหาเจ้า” หลีซูซูขยี้ตาอย่างง่วงงุน “ฝูหยา เจ้าไปทะเลทักษิณต่อสู้กับวาฬกลืนนภามาหรือ”

“มิได้ไป” เขาตอบนาง “ข้าจะไปก่อเรื่องที่ทะเลทักษิณได้อย่างไร น้ำค้างจุ้ยหยางเป็นสิ่งที่ได้มาโดยบังเอิญตอนฝึกวิชาข้างนอกในอดีต ข้างนอกอากาศเย็น ตอนนี้ร่างเซียนของเจ้ายังไม่แข็งแรงดี จะทำให้ไม่สบายได้ ข้าพาเจ้ากลับไปดีกว่า”

หลีซูซูมองดูเขาครู่หนึ่ง ยื่นมือออกไปพลางยิ้มพูด “แบกข้าหน่อย”

เขาโค้งริมฝีปาก คราวนี้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นมาก รอยยิ้มแผ่ออกไปในก้นบึ้งดวงตาชั้นแล้วชั้นเล่า เขาย่อตัวลงตรงหน้าหลีซูซู

หลีซูซูเกาะหลังเขา เมื่ออยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ นางสูดดมข้างลำคอเขาอย่างแนบเนียน

กลิ่นคาวเลือดเจือกลิ่นหอมสดชื่นของต้นสน…คล้ายมีคล้ายไม่มี

เขากำลังโกหก เขามิเพียงไปทะเลทักษิณ ยังฆ่าวาฬกลืนนภาไปมิใช่น้อย ถึงรวบรวมน้ำค้างจุ้ยหยางขวดนั้นมาได้ ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ จึงหลบมาอยู่ที่เขาด้านหลัง มิได้กลับตำหนักเซียนในทันที

หัวใจของหลีซูซูเกิดระลอกคลื่นประหลาด ทำให้นางรู้สึกปวดใจเล็กน้อย นางเหม่อมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม ผ่านไปครู่ใหญ่มือจึงทาบลงบนใบหน้าเขาเบาๆ

ฝีเท้าของเขาพลันชะงัก หันหน้ามามองนาง

นางยังไม่ทันหดมือกลับไป ก็ประสานสายตากับเขาจังๆ

“เจ้าทำอะไร” เขาเอ่ยถามเสียงแหบ

หลีซูซูก็ไม่รู้เหมือนกัน นางอยากทำเช่นนี้ จึงทำเช่นนี้ ท่าทีของเขาซ้อนทับกับคนที่เดินออกมาจากป่าซิ่งบนเกาะเซียนเผิงไหลอย่างเลือนราง

นางจะตั้งใจมองให้ดี เขากลับก้มหน้าลง น้ำเสียงเจือแววหัวเราะ “ต่อให้เจ้าอยาก…ก็ต้องกลับตำหนักก่อนค่อยว่ากัน”

หลีซูซูเข้าใจความหมายของเขา จึงโต้แย้งอย่างขัดเขินปนโมโห “เหลวไหล!”

จวบจนเขาวางตนลงบนเตียง

หลีซูซูกุมมือเขา พูดอย่างจริงจังว่า “ข้าพูดจริงๆ นะ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเจ้า เจ้าทำเพื่อข้าเช่นนี้…จะทำลายพลังตบะของเจ้าได้”

เขาย่อตัวลง จ้องตานาง กุมมือนางและเอ่ย “ข้าเต็มใจ”

หลีซูซูส่ายหน้า นางจ้องมือตนเองที่ถูกเขารวบกุมไว้ “ฝูหยา เจ้ายังจำกล่องไม้ที่ข้ามอบให้เจ้าในปีที่เจ้ากราบอาจารย์ได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นมัน”

ชายหนุ่มร่างกายแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอาจารย์ให้ข้าไปทำภารกิจ ข้าทำมันหล่นหาย ขออภัยด้วย”

หลีซูซูช้อนตาขึ้นมองเขาครู่ใหญ่ ขณะที่เขากำลังจะรักษาหน้ากากของความอ่อนโยนไว้ไม่อยู่ นางพลันเอ่ยปาก “ไม่เป็นไร มิใช่ของสำคัญอันใด หายไปแล้วก็ช่างเถิด”

“ต่อไปของทุกอย่างที่เจ้ามอบให้ ข้าจะไม่มีทางทำหายอีก” เขาพูดเสียงค่อย

หลีซูซูส่งเสียงอืม วางคางบนไหล่เขา “ฝูหยา ร่างกายเจ้า…มีกลิ่นหอมอะไรหรือ ข้าไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้จากตัวเจ้ามาก่อน”

เขาตอบเสียงเรียบ “ไปเขาด้านหลังแล้วไม่ระวังเลยติดมาน่ะ”

หลีซูซูคิดในใจ สุขุมทีเดียวนี่ ชังจิ่วหมิน

โคมวิญญาณของเยวี่ยฝูหยายังไม่มอดดับ แสดงให้เห็นว่าเยวี่ยฝูหยาตัวจริงมิได้เกิดเรื่อง เขาน่าจะถูกชังจิ่วหมินกักขังไว้

 

เดิมทีหลีซูซูอยากจะรอดูว่าชังจิ่วหมินจะเผยพิรุธเมื่อไร แต่นางคิดไม่ถึงว่าชังจิ่วหมินจะพยายามเลียนแบบเยวี่ยฝูหยาอยู่จริงๆ ความเคยชินในชีวิตประจำวันของเยวี่ยฝูหยา น้ำเสียงเวลาพูดจา การไปปฏิบัติภารกิจของสำนัก หรือแม้แต่วิชากระบี่ของเหิงหยาง เขามองปราดเดียวล้วนลอกเลียนแบบได้

มีครั้งหนึ่งหลีซูซูเห็นเขาที่หน้าประตูตำหนัก กำลังหลุบตาพูดคุยกับลูกศิษย์ในสำนักอย่างสุภาพ

นางรู้ว่าชังจิ่วหมินดูแคลนการทำเช่นนี้

แต่บัดนี้เขายินดีเป็นเงาของคนอีกคน เลียนแบบคนอีกคน ทุกวันตอนเช้าและพลบค่ำเขาจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้นางอย่างเอาใจใส่

นางคิดถึงความรักร้อนแรงในห้วงรับรู้ของเขาแล้วเหม่อลอยเล็กน้อย

จนกระทั่งตอนที่เขาหันกลับมา หลีซูซูก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนคิดอะไรอยู่ จึงฉีกยิ้มให้เขาโดยไม่รู้ตัว

พริบตาถัดมานางเห็นดวงตาดำมืดคู่นั้นเปล่งประกาย คล้ายดวงดาวที่ทอแสง

บทที่ 108

การเล่นละครของชังจิ่วหมินครั้งนี้ ท่าทางเหมือนจะเล่นไปจนชั่วฟ้าดินสลาย

หลีซูซูยังมิได้ร่วมบำเพ็ญคู่กับเขาชั่วคราว ชังจิ่วหมินคิดอะไรได้ กลับอดมิได้ที่จะโค้งริมฝีปาก

นางมีความตะขิดตะขวงใจ นี่แสดงให้เห็นว่าในใจนางมิได้มีเยวี่ยฝูหยาอยู่ใช่หรือไม่

หลีซูซูรออยู่อีกหลายวัน เห็นเขายิ่งเล่นละครยิ่งสมจริง ตอนนี้ศิษย์สำนักเหิงหยางเห็นเขาเป็นศิษย์เอกที่น่าเคารพนับถือแล้วจริงๆ

หมาป่าที่มีอุบายชั่วร้ายแฝงตัวเข้ามาในฝูงแกะ แต่กลับต้องข่มสัญชาตญาณดั้งเดิม แสร้งทำตัวบริสุทธิ์เถรตรง

หลีซูซูมีใจอยากจะกลั่นแกล้งเขา ในเมื่อเจ้าอยากเล่นละคร เช่นนั้นก็ได้ ต้องอดทนให้ได้ล่ะ

ตอนกลางวันนางสั่งให้เซียนรับใช้ยกกระถางหญ้าเซียงหลัน* เข้ามา ตกกลางคืนชังจิ่วหมินกลับมา มองปราดเดียวก็เห็นในห้องมีหญ้าเซียงหลันเพิ่มมาสองกระถาง

หลีซูซูยืนอยู่ด้านข้าง รดน้ำให้พวกมัน วันนี้สีหน้านางดูไม่เลว ดูสดชื่นกว่าที่ผ่านมาไม่น้อย

เขามองดูครู่หนึ่ง ดวงตาเจือแววอ่อนโยนหลายส่วน โอบกอดนางจากข้างหลัง “วันนี้ไฉนจึงมีเรี่ยวแรงมาทำเรื่องพวกนี้เล่า”

นับตั้งแต่ทั้งสองคนแต่งงานเป็นคู่บำเพ็ญ น้อยครั้งที่จะมีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้

ชังจิ่วหมินระมัดระวังตัวมาก เยวี่ยฝูหยานิสัยค่อนข้างทึ่มทื่อเก็บตัว ไม่มีทางเป็นฝ่ายเข้าหานางมากเกินไป ดังนั้นต่อให้เขากอดนาง ก็มิกล้ากอดแน่นจนเกินไป

หลีซูซูลอบยิ้ม รู้ว่าการที่เขาจะรักษาความเหมาะสมและมารยาทเอาไว้เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย นางพูดขึ้น “ข้าเห็นว่าในตำหนักเซียนไม่มีสีสันอะไร จึงให้เซียนรับใช้หาต้นไม้ใบหญ้ามาเพิ่มสองสามกระถาง”

ริมฝีปากของชังจิ่วหมินไล้ผ่านลำคอนางอย่างผิวๆ สุ้มเสียงแหบพร่า “หากเจ้ารู้สึกว่าตำหนักเซียนน่าเบื่อ พรุ่งนี้พวกเรากลับฉางเจ๋อกัน”

“ไม่ต้องหรอก ฉางเจ๋อเงียบเหงาเกินไป ตำหนักเซียนดีทีเดียว”

“ตอนนี้ง่วงหรือยัง” เขาเอ่ยถาม สายตาจับอยู่ที่ลำคอขาวเนียนของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจือแววหยั่งเชิง “แต่งงานมาหลายวันแล้ว วิญญาณชีวิตของเจ้ายังไม่ได้รับการซ่อมแซมสักที”

การซ่อมแซมวิญญาณชีวิตต้องบำเพ็ญคู่ในตอนที่นางมีสติ

เรื่องนี้บอกไม่ถูกว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ สถานการณ์ของหลีซูซูตอนนี้ทำได้เพียงให้ชังจิ่วหมินถ่ายพลังให้นางเท่านั้น พลังตบะของเขาไม่มีทางก้าวหน้า มีแต่จะถดถอย

หลีซูซูหมุนตัวในอ้อมกอดเขา เขาเกือบเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน สีหน้าชะงักค้าง ก่อนจะมองนางด้วยท่าทีขัดเขิน แววตากระจ่างใส คล้ายไม่มีความคิดชั่วร้ายแม้แต่น้อย

หลีซูซูคิดในใจ เจ้าอยากให้ข้าตอบตกลงหรือว่าปฏิเสธกันนะ

นางกลั้นยิ้ม คิดถึงละครฉากเด็ดที่กำลังจะเกิดขึ้น นางจึงให้ความร่วมมือกับเขา มองเขาหน้าแดงและพยักหน้าเบาๆ

สีหน้าของชังจิ่วหมินเย็นชาไปชั่วขณะ มือรวบเข้าด้วยกันแน่นทันใด

หลีซูซูเห็นสีหน้าเขาก็เดาได้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ ไม่พ้นคิดว่าตนยินดีบำเพ็ญคู่กับเยวี่ยฝูหยา

นางพอจะเข้าใจแล้ว หากในหัวของคนผู้นี้มีแต่เรื่องต่ำช้า เขาต้องไม่โกรธแน่นอน ยังจะแอบดีใจด้วยซ้ำ

แต่เมื่อตนพยักหน้า เขากลับโมโห ชั่วขณะหนึ่งที่เขาแทบลืมไปว่าตนเองสวมบทเป็นเยวี่ยฝูหยาอยู่ เกือบจะฉีกหน้ากากออก มือบีบแน่นจนนางรู้สึกเจ็บเอว

หลีซูซูแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว มองเขาด้วยความฉงน “ฝูหยา?”

โทสะถูกเขากดข่มลงไป เขาพูดว่า “ขออภัย”

หลีซูซูสาบานได้ว่านางได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจากน้ำเสียงของเขา ทั้งที่ไฟโทสะจะกลบสติสัมปชัญญะอยู่แล้ว ยังต้องแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น

ภายใต้สายตาของหลีซูซูที่จ้องมองอยู่ เขาถึงขั้นเค้นรอยยิ้มออกมา ทว่านัยน์ตาดำสนิทกลับไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย หลีซูซูจงใจหลุบตาลง จะปลดสายคาดเอวของเขา

เขานิ่งเงียบไม่ขยับ ดวงตาจ้องกระหม่อมนางเขม็ง

“เจ้าชอบเยวี่ย…ข้าหรือไม่” เขาเชยคางของหลีซูซูขึ้นมา “มองข้า”

หลีซูซูอยากเตือนสติเขาสักคำว่า ‘เจ้ากำลังเล่นละครเป็นเยวี่ยฝูหยาอยู่ มิใช่คู่แค้นที่คิดจะสังหารข้า’ นางพลันอยากรู้เหลือเกินว่าคนผู้นี้จะอดทนได้ถึงเมื่อไร

ภายใต้สายตาคาดคั้นของเขา นางขบริมฝีปากตอบว่า “ก็ต้องชอบอยู่แล้ว ฝูหยา เจ้าเป็นอะไรไป สีหน้าย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ข้าชอบเจ้า…เจ้าไม่ดีใจหรือ”

เขาหลับตาลง ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็คลี่ยิ้มให้นาง “ดีใจสิ จะไม่…ไม่ดีใจได้อย่างไร”

เขาดึงตัวนางเข้ามา เพียงชั่วพริบตาเสื้อตัวนอกที่เขาสวมใส่ให้หลีซูซูอย่างพิถีพิถันในตอนเช้าก็ขาดกระจุยในฝ่ามือเขา

หลีซูซูรู้ว่าเขาโมโหแล้ว เดาว่าตอนนี้คงอยากบีบคอนางให้ตาย พอเห็นเขาโมโห หลีซูซูก็ยิ่งอยากหัวเราะ

ตอนที่เขาทาบกายลงมา หลีซูซูรู้ว่าตอนนี้ไม่ได้ ขืนให้เขาทำจริงๆ เวลาเช่นนี้เขาคงเคี่ยวกรำนางปางตายแน่นอน

นิ้วมือนางขยับนิดๆ เซียนรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างนอก

“อวี้หลิงเซียนจื่อ อวี้หลิงเซียนจื่อ…” เซียนรับใช้วิ่งเข้ามาแล้ว ถึงได้เห็นสภาพของสองคนในเวลานี้ก็รีบก้มหน้าลง ใบหน้าแดงก่ำ

ชังจิ่วหมินเอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวออกไป”

เซียนรับใช้กระดากใจยิ่งนัก รีบร้อนจะเดินออกไป

หลีซูซูถาม “มีเรื่องอะไร”

ในสำนักเหิงหยางฐานะของหลีซูซูถึงอย่างไรก็สูงกว่าเยวี่ยฝูหยา เซียนรับใช้จึงรีบพูด “ตอนกลางวันข้าหยิบผิด เดิมทีจะเอาหญ้าปี้เสียที่ใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้ายมาให้ สุดท้ายกลับหยิบเอาหญ้าเซียงหลันมา ทว่าเซียนจวินแพ้หญ้าเซียงหลัน…”

พูดจบนางก็ก้มหน้าลง อุ้มหญ้าเซียงหลันสองกระถางวิ่งออกไป ไม่กล้ามองหลีซูซูกับชังจิ่วหมินอีก

ฟังนางพูดจบ หลีซูซูหันกลับมาไถ่ถามอย่างเป็นห่วง “นั่นสิ ข้าเกือบลืมไป เจ้าแพ้หญ้าเซียงหลันมาโดยตลอด เวลาเข้าใกล้ร่างกายจะเกิดผื่นแดงและตัวร้อน เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”

คนบนตัวนางชะงักไปครู่หนึ่ง นางยกมือขึ้น แตะลงบนหน้าผากเขา เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่…”

เขาคว้ามือนางไว้ทันใด คลี่ยิ้มอย่างสุขุม “รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่เมื่อครู่ไม่ทันได้สังเกต” เขาทำตัวแนบเนียน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงวางมือของหลีซูซูลงบนหน้าผากตนเอง

หลีซูซูแตะดู หน้าผากที่เมื่อครู่อุณหภูมิยังปกติ บัดนี้กลับร้อนผ่าว นางแก้ปมที่ชายแขนเสื้อเขา เลิกแขนเสื้อขึ้นมา ดังคาด บนแขนกำยำของชายหนุ่มมีผื่นแดงปรากฏประปราย

นางเกือบจะหัวเราะออกมา ทว่าสีหน้ากลับฉายแววร้อนรน “ฝูหยา รอประเดี๋ยวนะ ข้าจะไปหยิบยามาให้”

นางผลักเขาออก หยิบขวดสีน้ำเงินใบหนึ่งออกมาจากกล่องใส่เครื่องประดับ มุมปากยกโค้ง กลับมาข้างกายเขา พูดอย่างกระตือรือร้น “กินสิ่งนี้ลงไปก็ไม่ทรมานแล้ว”

ชังจิ่วหมินจ้องขวดยาในมือนาง แววตาไหววูบพลางยิ้มตอบ “ได้”

หลีซูซูเทยาลูกกลอนออกมาสองเม็ด พูดไปเรื่อยเปื่อยด้วยท่าทีจริงจัง “ยาลูกกลอนชนิดนี้ใช้การหัวเราะยับยั้งความคัน ฝูหยา เจ้ากินเข้าไปแล้วอาจจะหัวเราะไม่หยุด แต่ไม่เป็นไร หัวเราะสักหน่อยก็หายดีแล้ว”

สีหน้าเขาชะงักเล็กน้อย หลีซูซูบีบหน้าเขา

เนื่องจากมั่นใจว่าด้วยฐานะของ ‘เยวี่ยฝูหยา’ เขาไม่กล้าขัดขืนแน่นอน นางจึงป้อนยาให้เขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง มองดูชังจิ่วหมินที่สีหน้าไร้อารมณ์ นางเอ่ยด้วยความฉงน “ไฉนเจ้าจึงไม่หัวเราะเล่า ยานี้มีประสิทธิภาพมากเลยนะ”

เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากเขาเต้นตุบๆ ตอบว่า “ข้ากลั้นไว้”

นางยังจะพูดอะไรต่อ เขากลับกดนางลงไปอย่างหมดความอดทน ขายาวทับนางไว้ “คนดี นอนเถอะ”

เมื่อรู้สึกได้ว่าชังจิ่วหมินถูกตนปั่นหัวจนจะทนไม่ไหวเต็มที นางจึงเอนกายลงอย่างว่าง่าย ตัดสินใจว่าวันนี้ปล่อยเขาไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

คนผู้หนึ่งไม่มีทางที่จะแสดงเป็นคนอีกคนได้ตลอดไป หากจะเป็นคนอีกคน ย่อมต้องอดทนกับความอึดอัดใจและความยากลำบากมากมาย

หลีซูซูผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปเนิ่นนานหลีซูซูได้สติอีกครั้ง เหิงหยางเข้าสู่ราตรีแล้ว ไข่มุกในตำหนักเซียนทอแสงงดงาม นางรู้สึกสบายตัวเหลือเกิน เหมือนแช่อยู่ในน้ำอุ่นกระนั้น

พอลืมตาขึ้นมา ถึงได้พบว่าชังจิ่วหมินกำลังถ่ายพลังให้นางอยู่

นิ้วมือขาวซีดของเขากดตรงหว่างคิ้วนาง รัศมีสีฟ้าไหลเวียนอยู่ระหว่างพวกเขา หลีซูซูหลับสนิททุกคืน วันนี้ถึงรู้ว่าที่แท้เป็นเพราะอย่างนี้เอง

มิน่าเล่า แม้สองคนยังไม่ได้บำเพ็ญคู่ แต่นางกลับไม่รู้สึกทรมานเพราะวิญญาณชีวิตขาดหายไป ที่แท้เป็นเพราะชังจิ่วหมินถ่ายพลังให้นางทุกวันนี่เอง

ทว่าภายใต้วิญญาณชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ พลังตบะเหล่านี้มีแต่จะรั่วไหลออกไปอย่างรวดเร็ว

เขาตระหนักว่านางตื่นขึ้นมา จึงลูบผมนางเบาๆ “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงที่ใดหรือ”

ความรู้สึกในใจนางผสมปนเป พลันรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง

จุดหลิงไถที่กระจ่างใสคล้ายถูกบางสิ่งพันธนาการ เป็นอีกครั้งที่นางสัมผัสถึงรสชาติเช่นนั้น ปวดร้าวฝาดเฝื่อน ทำให้คนขอบตาแดงอยากจะร้องไห้

หลีซูซูโอบคอเขา เขาหลุบตามองนาง ในดวงตาเดิมทีมีแต่ความเย็นชาไร้อารมณ์ที่ติดตัวชังจิ่วหมินมาแต่กำเนิด แต่บัดนี้กลับถูกเขาเปลี่ยนให้กลายเป็นความอ่อนโยนว่าง่ายของเยวี่ยฝูหยา

นางไม่เอ่ยอะไร จู่ๆ ก็หยัดกายขึ้น จุมพิตใบหน้าเขา

ชังจิ่วหมินชะงักงัน มองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงได้สติ กดนางไว้ในอ้อมอก ฝืนข่มอารมณ์เสียดสีและขมขื่นไว้ “นอนเถิด หลีซูซู”

มือของนางจับเสื้อเขาเบาๆ มุมปากยกขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

มิใช่อยากหอมแก้มเยวี่ยฝูหยา แต่เป็นเจ้า ชังจิ่วหมิน

การได้เห็นชังจิ่วหมินเล่นละครเป็นเยวี่ยฝูหยาทุกวันช่างทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน จนหลีซูซูเกือบลืมไปว่ายังมีเรื่องของประมุขตงอี้ที่ยังมิได้จัดการ

หลังการหารือของฉวีเสวียนจื่อกับผู้อาวุโสหลายท่าน เหิงหยางกับตงซู่แตกหักกันโดยสมบูรณ์ เคล็ดวิชา เพลงกระบี่ อาคมเซียน ต่อจากนี้ไปจะไม่ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์คนใดของตงซู่อีก หากศิษย์ตงซู่ปรากฏตัวในเขตแดนของเหิงหยาง จุดจบคือดวงจิตแตกซ่านวิญญาณสูญสลาย

หลายหมื่นปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความร้าวฉานระหว่างสำนักเซียน

ผลกระทบของเรื่องนี้มิอาจดูแคลน อย่างน้อยสำนักเซียนที่ใกล้ชิดกับเหิงหยางก็แสดงจุดยืนของตน ไม่ไปมาหาสู่กับตงซู่อีก

สูญเสียเคล็ดวิชา มิอาจเข้าร่วมการประลองใหญ่ทุกๆ ร้อยปีอีก ถึงขั้นที่ว่าหากบรรพตเซียนในเหิงหยางปรากฏแดนลับ ก็ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ของตงซู่เข้ามา สำหรับตงซู่แล้ว นี่เป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง

หลีซูซูมองท่าทีของชังจิ่วหมิน เขาหลุบตาลง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มิได้ใส่ใจมากนัก ราวกับเรื่องของตงซู่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา

อันที่จริงหลีซูซูไม่หวังว่าประมุขตงอี้จะก้มศีรษะขอขมาตน ถึงอย่างไรในฐานะผู้อาวุโสที่อยู่มาหลายพันปี ท่านเซียนเช่นนี้ย่อมนิยมการต่อสู้และมีทิฐิมากอยู่แล้ว ประมุขตงอี้ยินดีเป็นปรปักษ์กับเหิงหยางก็ไม่มีทางก้มศีรษะให้เด็กน้อยผู้หนึ่ง

ทว่าเมื่อนางหมดสติไปเพราะวิญญาณชีวิตพร่อง ตื่นมาอีกครั้งกลับอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนผมขาวอาภรณ์สีครามกำลังเดินหมากอยู่ตรงข้าม

นางตระหนก มองเขาอย่างระแวดระวัง “ประมุขตงอี้? ท่านคิดจะทำอะไร” นางรู้ว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้คิดจะเอาชีวิตนาง

ประมุขตงอี้พูด “ยายหนู เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่อยากคุยกับเจ้าเท่านั้น มา นั่งลงเถิด เดินหมากเป็นเพื่อนข้าสักตา”

หลีซูซูมองเขา รู้ว่าพลังตบะของตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงมิได้ปฏิเสธ นั่งลงอย่างผ่าเผยและเริ่มเดินหมากส่งเดช

ดังคาด ผ่านไปไม่นานสีหน้าของประมุขตงอี้ก็บึ้งตึง มองนางอย่างขุ่นเคือง

สำหรับผู้ที่รักการเดินหมาก สามารถทนได้หากผู้อื่นชนะเขา แต่จะทนไม่ได้เลยหากผู้อื่นเดินหมากได้น่าเกลียดเหมือนถ่ายมูลเช่นนี้

เขาโบกมือวูบ กระดานหมากหายวับ เขาถอนหายใจและมองนาง ครู่หนึ่งจึงหัวเราะออกมา

“น่าสนใจทีเดียว”

ทั้งยังเฉลียวฉลาด มิน่าเจ้าลูกอกตัญญูผู้นั้นถึงชอบนางถึงเพียงนี้

“ท่านจะพูดอะไรกันแน่”

“ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่” ประมุขตงอี้นั่งอย่างเคร่งขรึม ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “เปิดออกดูสิ”

ข้างในเป็นคทาหรูอี้* ผลึกม่วงด้ามหนึ่ง

หลีซูซูเงยหน้า “นี่คือ?”

หากนางเดาไม่ผิด นี่เป็นวัตถุเซียนของนายแห่งตงซู่มาทุกยุคสมัย สามารถดูดซับปราณวิเศษฟ้าดิน ถึงขั้นมีตำนานเล่าว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถทำให้มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติใดๆ แม้แต่น้อยสร้างลูกกลอนทองคำขึ้นในร่างกายได้

“ขอขมาต่อเจ้า” ประมุขตงอี้คล้ายรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ “อย่าคิดเพ้อฝัน ตำนานอย่างไรก็คือตำนาน คทาหรูอี้ผลึกม่วงร้ายกาจก็จริง แต่จะใช้ได้ในขั้นหลอมรวมเท่านั้น”

“เหตุใดจึงมอบของสิ่งนี้ให้ข้า” ประมุขตงอี้ดูไม่เหมือนคนที่จะยอมก้มศีรษะให้ใคร มิต้องพูดถึงว่ายังนำวัตถุเซียนระดับนี้ออกมา นี่มิใช่แค่เพียงการขอขมาแล้ว

ผ่านไปเนิ่นนานประมุขตงอี้จึงเอ่ยว่า “ถือว่าข้าขอร้องเจ้า ดีกับเขาหน่อย”

เขาลุกขึ้น พูดอย่างเศร้าสลด “เจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด ต่อให้เขาทุ่มหมดตัว ก็อยู่กับเจ้าได้อีกไม่นาน ถือเสียว่าสงสารเขา อย่าให้ชีวิตนี้ของเขาต้องโศกเศร้าเกินไปนักเลย”

เขาจากไปนานแล้ว หลีซูซูยังนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง มองดูคทาหรูอี้ผลึกม่วง

หมายความว่าอย่างไร

ประมุขตงอี้ก็รู้เรื่องที่ชังจิ่วหมินปลอมตัวเป็นเยวี่ยฝูหยาเหมือนกันหรือ

 

ผ่านไปไม่นานชังจิ่วหมินก็รุดมาถึงอย่างร้อนใจ เขากวาดตามองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หลีซูซูจับกระแสความร้อนรนในน้ำเสียงเขาได้อย่างที่พบเห็นน้อยครั้ง “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เขาทำอะไรเจ้าหรือไม่”

หลีซูซูส่ายหน้า

“เขามอบสิ่งนี้ให้ข้า” หลีซูซูประคองคทาหรูอี้ขึ้นมาให้เขาดู

ชังจิ่วหมินนิ่งไป “มอบของสิ่งนี้ให้เจ้าด้วยเหตุใด”

หลีซูซูเงียบไป ก่อนจะยิ้มพูด “บอกว่าอวยพรให้พวกเราครองคู่ยืนยาวจวบจนผมขาว ข้าคิดว่าของล้ำค่าถึงเพียงนี้ไม่เอาก็เสียเปล่า จึงรับคำอวยพรของเขาไว้”

เขาจับจูงมือนาง คลี่ยิ้มอย่างสงบ “ได้”

ชังจิ่วหมินก้มหน้า ประทับจุมพิตบนหน้าผากนาง

โลกนี้มีการครองคู่ยืนยาวจวบจนผมขาวที่ใดกัน

เขาคิดอย่างเสียดสี

ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้คิดจะสลัดข้าออกไปเลย ต่อให้ร่างกายเปื่อยเน่าผุสลาย ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้า เจ้ามาพบข้า…ช่างน่าสงสารโดยแท้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: