X
    Categories: Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 66

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 66

 อำเภอตันปาอยู่ในเขตพื้นที่ภูเขาสูง แม่น้ำต้าตู้ไหลผ่านพื้นที่ทั้งหมดตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ มีเทือกเขาตัดสลับต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ดังนั้นเมื่อมองจากที่สูงลงไปที่ต่ำแล้ว ทำให้ภูมิทัศน์ดูมีมิติมาก

ในเทือกเขาที่ราบสูงสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดูกาลได้ก่อนเสมอ ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงทิวทัศน์ช่างมีเสน่ห์งดงามเป็นที่สุด

ชูหนิงชื่นชอบชะง่อนผาที่ผุดเผินอย่างแปลกประหลาดของที่แห่งนี้ซึ่งไม่ได้เหมือนกับพื้นที่ราบกว้างขวาง แบบนี้แหละที่ยิ่งเหมือนกับชีวิตมนุษย์ที่มีขึ้นมีลง มีราบเรียบมียับย่น

บนภูเขาลมพัดแรงมาก อิ๋งจิ่งเอ่ยชวน “พวกเราลงไปกันเถอะ”

ชูหนิงเกิดความสนใจ กวักมือเรียกเขา “นายมานี่สิ”

ทั้งคู่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ กัน อิ๋งจิ่งโอบเอวของเธอไว้และมองเลนส์กล้องโทรศัพท์มือถือพร้อมกัน

แชะ

ในขณะเดียวกันนั้นชูหนิงก็หันหน้ามาจุ๊บที่ใบหน้าของเขา

อิ๋งจิ่งยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาวจั๊วะ เก็บภาพความสวยงามในช่วงเวลานี้เอาไว้แล้ว

“คุณจะโพสต์หน้าไทม์ไลน์ไหม” เขาถาม

ชูหนิงตอบอย่างซื่อสัตย์ “ไม่โพสต์”

“อือ” อิ๋งจิ่งยากที่จะปกปิดความผิดหวัง

“ในวีแชตของฉันมีลูกค้าเยอะมาก คบกันแบบผิวเผิน ไม่ค่อยสนิทมากเท่าไหร่ ฉันไม่อยากถูกพวกเขาจ้องวิจารณ์รูปลักษณ์หน้าตา”

“งั้นคุณส่งมาให้ผม ผมจะโพสต์ของผมเอง”

ทว่าชูหนิงก็ไม่ได้ตอบตกลง “รูปที่ฉันถ่ายเอง ทำไมฉันต้องให้นายด้วยล่ะ”

“โฮ่! ทำไมคุณถึงเป็นจอมเผด็จการได้ขนาดนี้”

“เดิมทีฉันก็เป็นประธานสาวจอมเผด็จการอยู่แล้วไง” เธอพูดอย่างฉะฉานมั่นใจในเหตุผล

อิ๋งจิ่งถลึงตาจ้องมองเธอและกลั้นหายใจ ไม่อาจพูดโต้แย้งเธอได้จริงๆ

ชูหนิงอารมณ์ดี เอามือสองข้างเกี่ยวคล้องลำคอของเขา เอียงศีรษะแล้วก็ยังพูดจาออดอ้อนว่า “ไหนบอกซิ รักเงินของฉันหรือว่ารักตัวฉัน”

อิ๋งจิ่งก้มศีรษะลง เอาหน้าผากชนกันกับหน้าผากเธอ “ไม่รู้สิ ก็แค่อยากจะใช้ชีวิตกับคุณไปตลอดมากๆ เลยนะ”

ชูหนิงเขย่งเท้า จูบประทับริมฝีปากของเขา

เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าตลอดทั้งชีวิตคือความยืดยาวและไร้ซึ่งความหมาย แต่ในขณะนี้คนคนนี้ทำให้ชูหนิงได้พบเจอกับความนัยอีกอย่างหนึ่งของ ‘ชั่วชีวิต’ ที่ควรค่าแก่การเฝ้ารอคอย

 

ช่วงบ่าย ทั้งสองคนไม่ได้อยากจะเดินทางไปไกล ก็แค่ท่องเที่ยว เลือกสถานที่ที่เป็นไฮไลต์ที่สุดแล้วละเมียดลิ้มชิมรสชาติสักหน่อยก็พอ มองจากเรื่องเล็กไปสู่เรื่องใหญ่ก็เป็นเหตุผลนี้ทั้งนั้น อิ๋งจิ่งพาเธอเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านทิเบต การพัฒนาของที่นี่ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว ทั้งหาของกินทั้งช็อปปิ้ง ทุกอย่างลงตัวพอเหมาะพอดีไปหมด

ชูหนิงชิมชาเนยของทิเบต แล้วก็กินขนมแป้งข้าวเหนียว ภายหลังเห็นคนใส่เสื้อผ้าของชนเผ่าทิเบตกำลังอาลัยอาวรณ์ถ่ายรูปที่จุดชมวิวอยู่ เธอรู้สึกสนใจมาก จูงมือของอิ๋งจิ่งไปอยากจะลองไปถ่ายดูบ้าง

อิ๋งจิ่งไม่ชอบเสื้อผ้าที่หยาบกระด้างแบบนี้ ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ผู้ชายที่ประณีตแบบเขา ให้ตายก็ไม่ยอมใส่

ดังนั้นชูหนิงก็เลยจัดการฉายเดี่ยว เลือกชุดต้าจิน* และสายรัดเอวที่สวยงามที่สุด ใส่ชุดคลุมสีกรมท่าตัวหนึ่งทับไว้ด้านนอก และสวมรองเท้าบูตโทนสีเดียวกัน สุดท้ายสวมวิกประดับตกแต่งบนศีรษะ ผมเปียยาวๆ สองข้างห้อยลงมาถึงตรงเอว แล้วอยู่ๆ เธอก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เอาชาดสีแดงๆ แต้มตรงกลางระหว่างคิ้วของตัวเอง

อิ๋งจิ่งมองอย่างตกตะลึง

ชูหนิงในตอนนี้ปลดความเย็นชาเฉยเมยที่มีตามปกติทิ้งไป ยิ้มแย้มงดงามปานดอกไม้เหมือนสาวน้อยแรกแย้มที่เพิ่งเริ่มเข้าใจในอารมณ์เสน่หา

ชูหนิงเดินมาเบื้องหน้าเขา สะบัดแขนเสื้อยาวและพูดจาอย่างมีเสน่ห์น่ารักไปอีกแบบ “ท่านบัณฑิต จะไปแห่งหนใดหรือเจ้าคะ”

สายตาอิ๋งจิ่งจับจ้องมองเธอ “จะไปในใจเจ้า”

ชูหนิงแสร้งทำเป็นสติหลุด จับแขนเขานิดหน่อย “เพ้อเจ้อจริงๆ”

อิ๋งจิ่งยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณไปยืนนิ่งๆ ตรงนั้น อย่าขยับนะ ผมจะถ่ายรูปให้”

ชูหนิงเองก็ใจป้ำ โพสหลายท่าแล้วพูดบ่นไม่หยุด “นายใส่ฟิลเตอร์แล้วยัง”

อิ๋งจิ่งพูดอย่างลำบากใจมาก “ฟิลเตอร์คงไม่ไหว เปลี่ยนหัวเลยดีที่สุด”

หลังจากนั้นเขาก็ถูกชูหนิงวิ่งไล่ทั่วภูเขา

ทั้งสองคนสนุกสนานกันเต็มที่ นักท่องเที่ยวที่มองอยู่รอบๆ ต่างพากันส่งเสียงหัวเราะ

อิ๋งจิ่งเอามือปิดศีรษะไว้และพูดว่า “ภรรยาผมคนนี้ใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับผมครับ!”

ชูหนิงทั้งขำทั้งโมโห “เพ้อเจ้อ!”

“เพ้อเจ้อที่ไหน ตรงที่คุณไม่ได้ใช้ความรุนแรงในครอบครัว หรือว่าคุณไม่ใช่ภรรยาของผม?”

ชูหนิงไม่แม้แต่จะคิด ตอบสนองตามสัญชาตญาณทันที “ใครใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับนายยะ!”

อิ๋งจิ่งได้คำตอบตรงตามที่ใจต้องการแล้ว “ฮ่า! คุณยอมรับว่าคุณเป็นภรรยาของผมแล้วสินะ!”

ชูหนิงพลันตกตะลึง มารู้ตัวเอาทีหลังก็อายจนแก้มร้อนผ่าว “ทำตัวหน้าไม่อาย”

คำพูดที่หลุดพลั้งปากออกมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็สามารถทำให้เขาดีใจไปได้อีกนาน เหมือนกับว่าเขาจะได้เป็นเจ้าบ่าวในวันพรุ่งนี้ได้เลย

ครั้นเลิกวอแวแล้วทั้งสองคนก็จูงมือกัน กลับมาเป็นคนที่รักกันมากเหมือนเดิมอีกครั้ง

“หนิงเอ๋อร์ หลังจากกลับไปแล้ว ผมอยากพาคุณกลับไปที่ลานสนามใหญ่”

ชูหนิงไม่ทันได้คิดให้ดีๆ “กลับไปอีกแล้ว? ฉันไปมาสองรอบแล้วนะ”

“ผมอยากให้คุณเจอพ่อแม่ผม ผมจะสารภาพบอกพวกเขา”

“…”

ชูหนิงอ้ำๆ อึ้งๆ “ระ…เร็วขนาดนี้เลย”

“จำเป็นนะ” อิ๋งจิ่งมองด้วยสายตาประหลาด “คุณไม่อยากเหรอ”

“มะ…ไม่ใช่”

“คุณไม่อยากเปิดตัวว่าคบกับผมเหรอ”

“เปล่า…”

“คุณไม่อยากแต่งงานกับผม?”

“…?!”

อิ๋งจิ่งร้อนรน กระตือรือร้นเต็มที่ “ทำไมคุณไม่ปล่อยให้ผมเปิดตัวในฐานะตำแหน่งเซ็นเตอร์ล่ะ!”

ชูหนิงกลั้นไว้ไม่ไหว ส่งเสียงหัวเราะฮ่าๆๆ ออกมา

เธอประคองศีรษะของเขาและขยี้จนผมยุ่งเหยิง “ทำไมนายเป็นคนคุยสนุกขนาดนี้นะ!”

อิ๋งจิ่งมีจิตใจคับแคบคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษ ตอกกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “สนุก? ถ้าสนุก ทำไมคุณไม่มาสนุกกับผมล่ะ เก่งจริงก็มาสนุกกับผมสิ!”

หลังใช้เวลาด้วยกันมาทั้งวัน เขาพูดถึงความหมายแฝงในเรื่องอย่างว่านี้มาหลายครั้งหลายหนจนชูหนิงเริ่มเกิดอารมณ์โมโห

“ทั้งวันในหัวสมองของนายเอาแต่คิดถึงเรื่องอะไร หา?”

“ยังจะคิดอะไรได้ คิดถึงคุณๆๆ ไง”

“พรูด” ต่อปากต่อคำกันได้ไม่ถึงห้าวินาที ชูหนิงก็หัวเราะออกมา “นายเป็นคนพูดจาปั่นประสาท”

อิ๋งจิ่งเอื้อมมือโอบไหล่เธอ “ความรู้สึกจากใจจริงยังจะถูกคนรังเกียจ ฟ้ายังมีความเป็นธรรมหรือเปล่า”

คราวนี้ชูหนิงทำตัวว่าง่าย คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขา ตบตรงหน้าอกของเขาเบาๆ “เจ้าคนขี้โมโห อย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกนะ เจตนาของนายชัดเจนเกินไป ฉันไม่กล้าที่จะเชื่อนายอีกแล้ว”

อิ๋งจิ่งหุบปากทันที

ฟังออกว่าเธอพูดหยอกเล่น แต่ที่เขาสนใจนั้นคือกลัวว่าเธอจะคิดจริงจัง ดังนั้นเขาก็เลยข่มความคิดเอาไว้ด้วยอารมณ์บูดบึ้ง

ชูหนิงเกี่ยวมือของเขา พลันพูดว่า “นี่ ฉันอยากไปขี่ม้า”

 

ทั้งสองคนเดินไปที่สนามม้านอกรั้วหมู่บ้าน ในเดือนนี้ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ชูหนิงสอบถามราคา ครึ่งชั่วโมงสามสิบหยวน เจ้าของม้าเองก็ใจกว้างมาก พูดภาษาจีนกลางแบบแปร่งๆ

“คิดๆ ดูแล้ว ไม่จำกัดเวลาในการขี่ม้าของคุณดีกว่า”

ชูหนิงเลือกลูกม้าตัวสีดำ เธอไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้จึงเลือกเอาตามที่เห็นแล้วถูกใจอย่างเดียว

ก่อนจะขึ้นขี่ม้า เถ้าแก่พูดอธิบายในจุดที่ต้องระมัดระวังให้เธอฟัง ชูหนิงฟังอย่างตั้งใจ เหลือบมองอิ๋งจิ่งที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้แยแสสนใจฟัง เด็ดเอาหญ้ามาคาบไว้ในปาก มองท้องฟ้าสีครามด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายๆ

“นายก็ฟังๆ ไว้หน่อยสิ เดี๋ยวฉันฟังคนเดียวจำไม่ได้” ชูหนิงตั้งอกตั้งใจ

อิ๋งจิ่งส่งเสียงขำเบาๆ เชื่อฟังที่เธอพูด แต่ยังคงทำตัวเล่นๆ ไม่จริงจัง ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย

หลังจากนั้นห้านาทีต่อมาก็ถึงเวลาขึ้นขี่ม้า

อิ๋งจิ่งอยู่ข้างหลังพูดอะไรบางอย่างกับเถ้าแก่ สุดท้ายก็เดินเข้ามาคนเดียว

ชูหนิงมองเถ้าแก่ที่เดินออกไปไกลก่อนจะขมวดคิ้ว “เอ๊ะ! ทำไมเขาไปแล้วล่ะ”

“คุณขึ้นขี่ม้าสิ ผมจะสอนคุณ”

ชูหนิงหรี่ตาสองข้างมองเขาและเอ่ยถาม “นายขี่ม้าเป็น?”

อิ๋งจิ่งพยักหน้า “เป็นสิ”

ชูหนิงมองด้วยสายตาสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก

“พ่อพาผมไปเล่นที่กองพันทหารม้าตั้งแต่เด็ก ผมขึ้นหลังม้าตามลำพังได้ตั้งแต่ตอนเจ็ดขวบแล้วล่ะ”

ครั้นพูดจบอิ๋งจิ่งก็ถีบขาข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็วาดขาขวาออกกระโดดข้ามไป ขึ้นไปอยู่บนม้าในชั่วพริบตา เขาเหยียดแขนออกมา ยื่นฝ่ามือให้ชูหนิง

“ขึ้นมาสิ”

ชูหนิงลังเล “ฉันไม่เคยเรียนเลย”

อิ๋งจิ่งจับมือของเธอเอาไว้แล้วเอ่ยบอก “มีผมอยู่นะ ผมปกป้องคุณเอง”

เขาพลันออกแรงดึงเต็มที่ ซึ่งชูหนิงก็อาศัยแรงขึ้นไปอยู่บนหลังม้าจนได้ เธออยู่ข้างหน้า ส่วนเขาอยู่ข้างหลัง หลังของเธอทาบติดกับแผงอกที่ร้อนรุ่มของเด็กหนุ่ม แนบชิดแทบจะไร้ซึ่งช่องว่าง เสียงหัวใจเต้นดังชัดเจน

อิ๋งจิ่งพลันหนีบขาสองข้างเป็นการควบม้าตะบึงไป ตอนแรกชูหนิงรู้สึกกังวลก่อน หลังจากปรับตัวได้ความตื่นเต้นก็เข้ามาแทนที่

ผืนฟ้าและแผ่นดินแสนกว้างใหญ่ เสียงสายลมพัดหวือดังหวีดหวิว

มีความหนักแน่นสุขสงบภายในจิตใจ คือความเงียบสงบอันไร้ขอบเขตอนันต์

ฟ้ามืดลงแล้ว มองเห็นตะวันตกดินจางๆ ขับแสงกับชั้นเมฆตรงภูเขาฟากนั้น

ภายในใจชูหนิงสั่นสะท้าน ด้วยสภาวะอารมณ์ที่เป็นสุข เธอเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “โคลงเคลงไปมาเหมือนกำลังนั่งเรือไหม”

ลมพัดโชยมา ส่งกลิ่นหอมรัญจวนทั้งปวงของหญิงสาวซึ่งอยู่ในอ้อมแขนเข้ามาสู่จมูก อิ๋งจิ่งใจสั่นสะท้าน มือกำลังสั่น หลังจากนั้นก็โอบกอดเอวของชูหนิงตามที่ได้คิดไว้

เขาพูดเสียงดังฟังชัด เป็นคำพูดไร้ที่ติและจริงจัง “ผมไม่รู้หรอกนะว่าเหมือนนั่งเรือหรือเปล่า ผมแค่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะให้ผมได้เป็นผู้ชายของคุณเสียที?”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมแรงเกินไปจนทำให้เขาไม่ได้ยินคำตอบของเธอ หรือว่าชูหนิงไม่ได้พูดอะไรเลยกันแน่

อิ๋งจิ่งกำลังกอดเธออยู่ ในชั่วขณะนี้ก็รู้สึกว่าไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว

ทั้งสองคนขี่ม้าวิ่งออกไปไกลขึ้นทุกที เหมือนวิ่งออกนอกเส้นทาง ค่อยๆ มีพงหญ้าพุ่มไม้มากขึ้น ทิวทัศน์ยิ่งมีความละมุนละไมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะว่ามีผู้คนหร็อมแหร็มบางตา

ชูหนิงรู้สึกกลัวนิดหน่อย “ไม่ต้องไปแล้วมั้ง เดี๋ยวกลับไปไม่ถูก”

อิ๋งจิ่งพูดปลอบ “ไม่เป็นไร ม้าตัวนี้สามารถจดจำทางและแยกแยะเส้นทางได้”

ชูหนิงก็เลยวางใจ

อา ไม่รู้ว่าเราเริ่มที่จะเรียนรู้ในการยอมรับและเชื่อมั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้เข้าไปในป่าพุ่มไม้ เมื่อออกมาอีกครั้งก็เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าราบอันกว้างไกล

รอบบริเวณล้วนเป็นแนวเทือกเขาล้อมรอบ สภาพอากาศช่างน่าอาวรณ์ ดวงดาวและดวงจันทร์อยู่เคียงตะวันยอแสง

อิ๋งจิ่งกับชูหนิงลงจากม้า ยืนอยู่บนหน้าผา หันหน้าไปชื่นชมความงามของภูเขาและลำธาร ร่วมกันเพลิดเพลินกับภาพผืนฟ้าที่ปรากฏดวงตะวันจันทราและดวงดาวเคียงเคล้ากัน

ทันใดนั้นทั้งคู่ก็จับมือสอดนิ้วประสานกัน ชูหนิงกระตุกเขา ตั้งใจจะเดินไปข้างหลังต้นไม้

อิ๋งจิ่งรับรู้และเข้าใจความหมาย หันหลังเดินตามไป ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบตลอดทาง

ต้นไม้สีเขียวครึ้มนับร้อยปี กิ่งก้านใบหนาแน่นเขียวชอุ่ม ยืนตระหง่านปกคลุม บดบังแสงอาทิตย์ตกดิน

ทั้งสองคนหลบซ่อนอยู่ในหมู่แมกไม้นั้น มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ชูหนิงมองเขา วินาทีต่อมาก็ถูกจูบประทับพร่างพรมลงมาอย่างรุนแรง

ทั้งคู่กอดกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการยับยั้งข่มใจเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป และก็ไม่ได้คิดเพียงที่จะลิ้มลองแค่ผิวเผิน หัวใจเต้นแรงเหมือนมีไฟฟ้าเชื่อมต่อ รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

จนกระทั่งหายใจไม่ทัน อิ๋งจิ่งก็ผละตัวออกมา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองออกแล้วปูลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เขานั่งยองๆ ชูหนิงก็คุกเข่าลงบนพื้น โผตัวเข้าไปหาเหมือนสัตว์ป่าตัวน้อยที่หิวกระหาย

ตั้งแต่ตอนที่เธอตัดสินใจมาหาเขาที่เสฉวนและทิเบตอย่างไม่มีลังเลนั้น ก็ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะหวนกลับไปได้อีก

ดาวชะตาหักล้างที่ถูกโชคชะตาลิขิตมาแล้ว ส่งมาเพื่อให้มอบความจริงใจสินะ

อิ๋งจิ่งกดเธอไว้ด้านล่างตัว ดวงตาเหมือนกำลังร่ำร้องปานขาดใจ

ความรักและความใคร่ไม่เคยแยกจากกันได้เลย

ในที่สุดชูหนิงก็เผยความจริงใจต่อหน้าเขา เป็นความซื่อตรงจริงใจอย่างสุดซึ้ง

การรุกเร้าของเธอที่ทั้งเร่าร้อนและไม่ได้ช่ำชอง ทั้งการตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งความกลัว ทำเอาอิ๋งจิ่งหลงใหลจนไม่อาจถอนตัว

ตรงขอบฟ้า นกสยายปีกบินเป็นแถว เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงร้องขับขาน

ชูหนิงกางแขนแล้วกอดเอวของเขาไว้ เอาหน้าหนุนอยู่บนอกอย่างแผ่วเบา อิ๋งจิ่งก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ส่งเสียงทุ้มออกมาเบาๆ

เบ้าตาของเขาแดงเรื่อ เขาจูบที่คิ้วและดวงตาของชูหนิง ก่อนจะพูดให้คำมั่นสัญญา “หนิงเอ๋อร์ ผมจะดีกับคุณนะ”

ทั้งสองต่างมองตากัน ชูหนิงไม่พูดจา แขนที่ผุดผ่องโอบรอบลำคอของเขา ใช้การจูบตอบกลับไป

ในที่สุดเมื่อประตูบานนั้นเปิดออก ชูหนิงแค่นเสียง กัดไหล่ของเขา น้ำตาคลอหน่วย “เจ็บ”

อิ๋งจิ่งหยุดชะงักไปจริงๆ มีหยาดเหงื่อบางๆ อยู่เต็มหน้าผาก เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า “แต่ผมทนไม่ไหวแล้ว”

งั้นก็ไม่ต้องทนแล้ว! ชูหนิงหลับตาลง เพลิดเพลินกับของขวัญตอบแทนที่ได้มาจากความรัก รับรู้ถึงเสียงหัวใจเต้นของผู้เป็นที่รัก

ทุกสิ่งเงียบสงัด ภูเขานิ่งงัน สายลมหยุดพัด

คนสองคนรักกันตลอดไป ในห้วงยามฤดูใบไม้ร่วงทั้งคู่ต่างเข้าอกเข้าใจกัน

 

* ชุดต้าจิน เป็นเสื้อผ้าพื้นเมืองแบบดั้งเดิมของชนเผ่าฮั่นและชนกลุ่มน้อยบางส่วน มีกระดุมด้านหน้าซึ่งมักติดจากทางซ้ายไปทางขวา

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: