X
    Categories: ซ่อนรักชายาลับทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 10-บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 10

 

ความแค้นเคืองของมารดาส่งอำนาจโดยอ้อมถึงเหลียนปิ่งหลัน ดังนั้นระหว่างญาติผู้พี่สองคนอย่างชุยสิงโจวกับจ้าวเฉวียน เหลียนปิ่งหลันจึงเลือกคนแรกอย่างไม่ลังเล เหตุผลไม่มีอื่น นิสัยของจ้าวเฉวียนคล้ายกับเหลียนหานซานบิดานางมากเกินไป ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ปราศจากความทะเยอทะยาน เป็นพวกไม่มีความสามารถใดทั้งนั้น

นางไม่อยากเป็นเหมือนมารดาที่มองดูเกียรติยศของผู้อื่น วันๆ เอาแต่ตัดพ้อฟ้าตัดพ้อคน

ดังนั้นนางจึงทำความเข้าใจนิสัยกับความชอบของญาติผู้พี่แต่เนิ่นๆ รู้ว่าเขาชอบหญิงสาวที่อ่อนโยนว่าง่าย กตัญญูต่อมารดา ดังนั้นนางจึงคล้อยตามท่านป้าไปเสียทุกเรื่องจนได้รับความเอ็นดูจากฉู่ไท่เฟย ในที่สุดก็จะได้แต่งเข้าจวนอ๋อง นับว่าชดเชยความเสียใจทั้งชีวิตของมารดา

ขอเพียงควบคุมท่านป้าไท่เฟยได้ ต่อให้ดอกไม้ข้างนอกจะสีสันจัดจ้านกว่านี้ก็ไม่มีทางสั่นคลอนตำแหน่งของนาง

คิดมาถึงตรงนี้เหลียนปิ่งหลันก็วางใจลงได้ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนไม่ควรหวั่นไหวไปตามมารดา ใช้ลูกไม้ชั้นต่ำ ตอนนี้มืดแล้วนางควรรีบนอนเสียที วันพรุ่งนี้จะได้สดชื่นแจ่มใสรับมือกับแม่สามีในอนาคต แล้วก็จะให้ญาติผู้พี่เห็นความดีของตนด้วย…

 

เพราะว่างานวันคล้ายวันเกิดของฉู่ไท่เฟยกำลังจะมาถึง พี่สาวที่แต่งงานไปไกลของชุยสิงโจว ชุยฝูจึงพาจิ่นเอ๋อร์บุตรชายวัยสองขวบของตนกลับมาบ้านเดิมด้วย

สามีของนางคือบุตรชายคนโตของชิ่งกั๋วกง จวนก็ตั้งอยู่ที่ฉงโจวซึ่งอยู่ต่างมณฑล กว่าจะได้กลับมาสักครั้งนั้นไม่ง่าย

อาศัยโอกาสก่อนหน้างานเลี้ยง ชุยฝูต้อนรับชุยสิงโจวที่มาเยี่ยมหลานชายจิ่นเอ๋อร์โดยเฉพาะพลางยิ้มถาม “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าไปทำงานที่เจิ้นหนาน แป้งชาดหอหานเซียงที่ข้าฝากเจ้าซื้อกลับมาได้ซื้อแล้วหรือไม่”

ชุยสิงโจวเขย่ากลองป๋องแป๋งหยอกล้อหลานชาย หยุดคิดก่อนตอบ “ซื้อมา…แต่ให้คนอื่นไปแล้ว ไว้ค่อยซื้อให้ท่านใหม่”

ชุยฝูถลึงตาใส่น้องชาย “แป้งชาดของหอหานเซียงจะต้องสั่งจองล่วงหน้าทุกครั้ง เพราะว่าผงดอกไม้ทำมาจากน้ำดอกเบญจมาศของชวนเป่ย* ก่อนน้ำค้างลง ปีนี้จองไม่ทันก็ต้องรอไปถึงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า…เป็นโฉมงามคนใดกันที่ทำให้น้องชายผู้รอบคอบของข้าหลงใหล ถึงกับยกแป้งชาดที่ข้าจองไว้อย่างยากเย็นให้ไป!”

ชุยสิงโจวคาดไม่ถึงว่าแป้งชาดที่ยกให้หลิ่วเหมียนถังส่งๆ จะมีความเป็นมาเพียงนี้ ตอนนั้นหลิ่วเหมียนถังขยันขันแข็งเย็บเสื้อนวมให้เขา เขาเองก็แค่ทำตามมารยาทถึงได้มอบแป้งชาดที่มีให้นางเป็นการตอบแทน

ตอนนี้พี่สาวยกเรื่องนี้มากล่าวหยอกเขา เขาเองก็ไม่พูดอะไร แค่เล่นกับจิ่นเอ๋อร์หลานชายไปเงียบๆ

ชุยฝูมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่มีทางหงุดหงิดน้องชายเพราะแป้งชาดตลับเดียว ส่วนที่ว่าน้องชายไปรู้จักหญิงสาวข้างนอกคนใดนั้น คิดว่าก็คงเป็นคนอ่อนหวานว่าง่ายเขาถึงได้ชอบ

ชุยฝูไม่เหมือนกับมารดา ตั้งแต่เด็กก็ไม่ชอบท่านน้าเหลียนฉู่ซื่อกับบุตรสาวที่ชอบมาเอาเปรียบผู้อื่น

ตอนที่มารดาโดนอนุสูงศักดิ์ในจวนเบียดเบียน จำเป็นต้องคลอดบุตรชาย บรรดาน้าๆ สกุลฉู่ชอบมาเยี่ยมมารดาบ่อยๆ ทว่าทุกครั้งที่ท่านน้าผู้นั้นมากลับมาดูมารดาขายหน้า คำพูดคำจาล้วนพูดว่าบิดาเป็นคนไม่ดี ชีวิตของพี่สาวช่างอาภัพนักจำพวกนี้

เป็นเช่นนี้เสียทุกครั้ง คำพูดของท่านน้าล้วนทำให้มารดาหลั่งน้ำตา

และตอนนี้ในที่สุดมารดาก็ทนผ่านมาได้ น้องชายได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ไหวหยางอ๋อง ท่านน้าผู้นั้นกลับมาร่วมวงด้วยเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ยกยอว่ามารดาเกิดมาโชคดี หมดทุกข์มาเจอความสุขแล้ว สรรหาวิธียัดเยียดบุตรสาวของนางเข้ามาในจวนอ๋อง

เป็นเพราะชุยฝูแต่งงานไปอยู่ไกล จึงไม่อาจดูแลเรื่องทางบ้านสกุลเดิมได้ หากยังอยู่บ้านล่ะก็ นางย่อมไม่มีทางให้สิงโจวแต่งกับบุตรสาวของท่านน้าอย่างแน่นอน

ดังนั้นเรื่องที่ชุยสิงโจวมีหญิงสาวคนอื่น ชุยฝูกลับรู้สึกยินดีให้เป็นไปเช่นนั้น

ถึงอย่างนั้นสองพี่น้องก็ได้แต่พูดคุยกันอย่างเร่งรีบ ไม่มีเวลาสอบถามเรื่องราวโดยละเอียด ชุยสิงโจวก็ต้องไปรับรองแขกที่เรือนหน้าแล้ว

งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของจวนอ๋องคึกคักอย่างมาก ต้องการจะจัดต่อเนื่องยาวนานถึงห้าวัน ในห้องโถงจัดงานก็เชิญคณะงิ้วที่มีชื่อเสียงจากที่ต่างๆ มาแสดง

ทว่าเทียบกับปีก่อนแขกเหรื่อที่มาอวยพรวันคล้ายวันเกิดที่จวนอ๋องในครั้งนี้ยังคงน้อยลงบ้าง

ชุยสิงโจวเข้าใจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างมากกับการที่มีคนในราชสำนักทัดทานเรื่องเขามีทหารในครอบครองมากเกินไป

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรู้สึกหวาดระแวงอ๋องต่างสกุลที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแต่งตั้งมาโดยตลอด ทุกวันนี้สถานการณ์โจรผู้ร้ายในเจินโจวดีขึ้นมากแล้วในหนึ่งปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ย่อมต้องการฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง* จนแทบทนไม่ไหว

ในราชสำนักให้ความสำคัญกับทิศทางลมมากที่สุด ตอนนี้สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาไม่ถึงเจินโจว แน่นอนว่าต้องมีพวกฉลาดเฉลียวเข้าใจพระราชดำริของฮ่องเต้ หลีกเลี่ยงไม่ยอมมา

เดินอยู่บนเส้นทางขุนนาง บางครั้งคือการลอยคออยู่ในมหาสมุทร แม้ในสวนดอกไม้ที่เรือนหน้าจะมีเสียงเครื่องดนตรีไผ่บรรเลงไม่ขาดสาย แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลาต่อไปจะเหยียบพลาดตกหุบเขา โดนฆ่าล้างทั้งครอบครัวหรือไม่

ภายในงานเลี้ยงพูดคุยสรวลเสดื่มสุรากัน คนที่นั่งร่วมโต๊ะกับชุยสิงโจวล้วนมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ทว่าในคำพูดต่างแฝงไปด้วยความนัย คล้ายมีเจตนาหยั่งเชิง

ส่วนคนอื่นๆ ก็มีแต่คำพูดประจบประแจง หวังจะได้รับประโยชน์จากงานเลี้ยงของจวนอ๋องในครั้งนี้ ขอตำแหน่งหน้าที่การงานจากปากไหวหยางอ๋อง

หากจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นเรื่องพวกนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชุยสิงโจวคุ้นชินนานแล้ว

อาศัยโอกาสช่วงหลังกินเลี้ยงเสร็จสิ้นและงานดื่มชาชมสวนเริ่มขึ้น ชุยสิงโจวจึงอ้างว่าเมาก่อนขอตัวไปพักผ่อนที่เรือนหนังสือ

ยามนี้ภายในห้องหนังสือไม่มีใครอยู่ ชุยสิงโจวนั่งอยู่ตามลำพังที่โต๊ะหนังสือไม้จันทน์ สายตามองดูท้องฟ้าสีครามภายนอกหน้าต่าง

บนโต๊ะมีจดหมายขอหน้าที่การงานให้ญาติสนิทวางอยู่หลายแผ่น แผ่นแรกๆ ล้วนเป็นบรรดาหลานของสกุลเหลียนของว่าที่พ่อตา

เพราะว่าท่านน้าเป็นคนนำมาให้เอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไว้หน้าบ้าง แต่พวกที่มาขอการงานเหล่านี้ต่างไร้ความสามารถกันทั้งนั้น เมื่อครู่นี้ในงานเลี้ยงท่านน้ายังผลักไสให้ท่านน้าเขยที่เป็นคนทึ่มทื่อมาคุย ท่านน้าเขยไม่ถนัดพูดจาอ้อมค้อมจึงพูดตะกุกตะกัก ต้องให้ชุยสิงโจวช่วยแก้ไขสถานการณ์อย่างเข้าอกเข้าใจแทน

หนี้น้ำใจประเภทนี้ทุกวันมีมานับไม่ถ้วน หากเป็นปกติชุยสิงโจวจะต้องเห็นแก่หน้าตาของว่าที่พ่อตา จัดการไปอย่างเหมาะสมก็พอแล้ว

แต่ไม่คาดคิดว่าว่าที่พ่อตาจะฟังคำพูดของท่านน้า เรียกบ่าวชายไปสอดส่องที่ตำบลหลิงเฉวียน ทว่ากลับแตะโดนเกล็ดย้อน* ของชุยสิงโจวเข้าให้

ตำบลหลิงเฉวียนหว่านแหคลุมไว้ทั่วเพื่อรอคอยให้โจรกบฏมาติดกับด้วยตนเอง ไฉนจะยอมให้คนมาก่อความวุ่นวายได้?

พวกเรื่องเกี่ยวกับงานเช่นนี้ เขาไม่มีทางอธิบายให้ท่านน้ากับญาติผู้น้องฟังแน่

ชุยสิงโจวไม่ชอบหญิงสาวที่คิดเองเออเอง ไม่ว่าข้อเสนอในวันนี้ของท่านน้ามีความตั้งใจของเหลียนปิ่งหลันอยู่หรือไม่ เขาก็จำเป็นต้องตักเตือนครอบครัวของญาติผู้น้องอ้อมๆ เสียหน่อย

ดังนั้น ‘จดหมายจากครอบครัว’ เหล่านั้นที่เหลืออยู่ เขาจึงโยนทิ้งไปในเตาข้างๆ ทันทีโดยไม่แม้แต่จะเหลือบดู

เรือนหน้ายังมีแขกอยู่มากมาย แต่ชุยสิงโจวรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมากะทันหัน ไม่อยากไปพบปะสังสรรค์เพื่อรักษาน้ำใจอีก บรรยากาศของจวนอ๋องครึกครื้นมีเสียงดังอึกทึกเกินไป เขาเพียงอยากอยู่เงียบๆ เท่านั้น

ดังนั้นจึงพาแค่บ่าวชายโม่หรูเดินออกจากประตูหลังของจวนอ๋องเลียบตามริมฝั่งไปขึ้นเรือ

แม้เวลานี้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศช่วงกลางคืนยังคงหนาวเหน็บ เขาดื่มสุราไปบ้างในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด พอถูกลมเย็นพัดใส่ก็รู้สึกว่าฤทธิ์สุราตีขึ้นมาเล็กน้อย

คนพายเรือถามบ่าวชายโม่หรูว่าต้องการจะไปที่ใด

โม่หรูมองท่านอ๋องที่นั่งพิงกราบเรือแล้วก็ตอบไม่ได้ แค่บอกให้อีกฝ่ายพายไปเรื่อยๆ…

ไม่พ้นครึ่งชั่วยามก็มาถึงท่าเรือของตำบลหลิงเฉวียน

งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของมารดายังไม่สิ้นสุด พรุ่งนี้เขายังต้องย้อนกลับไป หากไปที่ค่ายทหาร ระยะเวลาเดินทางไปกลับจะกระชั้นชิดเกินไป ดังนั้นจึงนึกถึงบ้านที่มีอยู่บนถนนสายเหนือขึ้นมาเป็นธรรมดา ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยของเขา นับว่าพอจะกล้อมแกล้มนอนหลับสักคืนได้

ดังนั้นหลังชุยสิงโจวสร่างเมาขึ้นมาบ้างแล้วจึงให้คนพายเรือจอดเรือเทียบฝั่ง จากนั้นเดินเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางดาราพร่างพราวเหนือศีรษะมาเคาะประตูบ้านบนถนนสายเหนือ

เมื่อพูดถึงหลิ่วเหมียนถัง นับตั้งแต่ซื้อร้านเรียบร้อยก็เร่งให้นายช่างปรับปรุงร้านค้าโดยด่วน

ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็ซ่อมบำรุงร้านเสร็จคร่าวๆ แล้ว แต่ไม่รู้ว่าสามีตามท่านหมอเทวดาจ้าวไปกินเลี้ยงที่ใดกัน ถึงไม่เห็นกลับมาเสียที

วันนี้ตอนที่นางไปเชิญช่างไม้มาประกอบชั้นวางที่ร้าน ยังคิดว่าสามีน่าจะใกล้กลับแล้วพอดี นึกไม่ถึงว่าพอตกดึกเสียงเคาะห่วงประตูจะดังขึ้นจริงๆ

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านหลิ่วเหมียนถังก็รีบลุกขึ้นมาทันที

สองสามวันมานี้นางกลัวว่าสามีจะกลับมาบ้านตอนกลางดึก ตนเองออกมาต้อนรับด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงจะดูไม่ดี ดังนั้นก่อนนอนจึงมักให้หลี่มามาช่วยถักเปียยาวให้นางเหน็บไว้หลังหู

ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของสามี นางเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงจีบรอบที่ดูเหมาะสม ทั้งยังแต้มชาดลงบนริมฝีปากนิดๆ จากนั้นสวมรองเท้าปักลายบุปผาเดินออกจากห้องไปต้อนรับในสภาพเรียบร้อย ส่งยิ้มขัดเขินให้สามี “ท่านพี่กลับมาแล้ว!”

เพราะตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว เดิมชุยสิงโจวตั้งใจจะเข้าไปนอนในห้องรองเงียบๆ ใครจะคิดว่าหลิ่วเหมียนถังกลับยังไม่นอน ไม่ทันที่เขาจะเข้าไปในห้องรองนางก็ออกมาต้อนรับแล้ว

มิหนำซ้ำไม่รอให้เขาพูดอะไร ภรรยาตัวน้อยก็เลิกม่านประตูขึ้นรอเขาเดินเข้ามาตาปริบๆ

ชุยสิงโจวเพ่งสมาธิมอง รู้สึกว่าไม่ได้พบหน้าหญิงสาวผู้นี้เพียงไม่กี่วัน นางคล้ายจะงดงามขึ้นอีกแล้ว แม้หลายปีมานี้ชีวิตนางจะยากลำบาก แต่คงเพราะรูปโฉมงดงาม ได้รับการทะนุถนอมจากบุรุษ ไม่เคยให้นางต้องได้รับความลำบากเรื่องกินนอน ผิวกายจึงนวลผ่อง สิ่งที่หมุนวนอยู่ในดวงตาคู่งามก็คือความไร้เดียงสาที่ไม่เคยแปดเปื้อนมาก่อน

เมื่อโดนดวงตาเช่นนี้มองมามักชวนให้คนปลดปราการป้องกันออกโดยไม่รู้ตัว…มิน่าถึงหลอกเถ้าแก่สองร้านนั้นให้ขายร้านแก่นางในราคาถูกๆ ได้

ชุยสิงโจวคิดเช่นนี้อย่างเกียจคร้านพลางเดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอย่างห้ามตนเองไม่อยู่

หลังมีประสบการณ์ถูกสามีบุกรุกตอนกลางดึกมาสองครั้ง หลิ่วเหมียนถังที่คิดว่าตนเองเป็นภรรยามือใหม่ที่ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว

สองสามวันที่ผ่านมานางพาหลี่มามาไปซื้อเนื้อแดดเดียว ทั้งเตรียมไข่ไก่ ข้าวสาร และน้ำมันไว้พร้อมสรรพ ต่อให้ตอนกลางคืนมี ‘ใครสักคน’ หิวก็สามารถหั่นเนื้อมาผัดหอมๆ กินกับข้าวได้ทันที

นอกจากนี้หลิ่วเหมียนถังยังซื้อถังน้ำใบใหญ่มากมาด้วย เพียงแต่การเผาฟืนต้มน้ำออกจะสิ้นเปลืองไปบ้าง ดังนั้นหลังซื้อมานางก็ตัดใจใช้เองไม่ลง คิดว่ารอสามีกลับมาค่อยต้มน้ำเดือดสองหม้อใหญ่ให้เขาได้แช่น้ำอุ่นคลายความอ่อนล้า

ดังนั้นหลังชุยสิงโจวเข้ามา หลิ่วเหมียนถังจึงเดินนำเขาไปดูเครื่องเรือนใหม่ที่เพิ่มเข้ามาหลังฉากบังลมอย่างกระตือรือร้น

“ฝีมือประกอบถังน้ำของครอบครัวแม่นางเผยแห่งถนนสายเหนือมีชื่อเสียงนัก ข้าเลยสั่งจากบ้านนางมาใบหนึ่ง เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกันนางยังเก็บเงินข้าน้อยลงอีกครึ่งหนึ่ง! ประเดี๋ยวข้าจะให้หลี่มามาต้มน้ำอุ่นเข้ามาให้ท่านได้อาบน้ำ…”

พูดไปได้ครึ่งทางหลิ่วเหมียนถังก็ได้กลิ่นสุราฉุนกึกลอยมาจากตัวชุยสิงโจว จึงเอ่ยถามอย่างลังเล “ท่านพี่ดื่มสุรามาหรือ”

ยามนี้ฤทธิ์สุราชั้นเลิศที่ดื่มไปในงานเลี้ยงกำลังตีขึ้นมา ชุยสิงโจวจึงผลักหลิ่วเหมียนถังออก แล้วล้มตัวนอนบนเตียงโดยไม่แม้แต่ถอดรองเท้า

วันนี้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ ไม่มีอารมณ์แสร้งทำตัวเป็นสามีจริงๆ แค่อยากจะนอนโดยไม่มีใครมารบกวนเท่านั้น

หากหญิงสาวผู้นี้วางแผนร้ายใดไว้ เวลานี้ก็นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว!…แม้ชุยสิงโจวจะโดนฤทธิ์สุรารบกวน ถึงอย่างนั้นก็ยังคงคิดอย่างเย้ยหยันตนเองถึงจุดนี้ได้

เขาปิดตาลงพลางฟังเสียงฝีเท้าแผ่วเบาภายในห้อง ไม่รู้ว่าหลิ่วเหมียนถังเดินออกไปพูดอะไรกับหลี่มามาที่ข้างนอก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเพิ่งกลับมา

ชุยสิงโจวหลับตานอนนิ่ง แต่หูกลับได้ยินเสียงสวบสาบ เพียงไม่นานผ้าอุ่นผืนหนึ่งก็โปะลงมาบนหน้าผากเขาเบาๆ

ที่แท้เมื่อครู่หลิ่วเหมียนถังไปยกอ่างน้ำมา จากนั้นชุบผ้าให้เปียกแล้วเช็ดใบหน้าชุยสิงโจวให้

แต่หลิ่วเหมียนถังเช็ดไปครู่หนึ่งก็เห็นชุยสิงโจวย่นคิ้วน้อยๆ คล้ายไม่พอใจที่มีคนมารบกวนการนอน

ยามนี้หากเป็นสาวใช้ในจวนอ๋องจะต้องสังเกตเห็นสีหน้า ไม่กล้ารบกวนการพักผ่อนของท่านอ๋องอีก ยิ่งไม่กล้านำผ้าเปียกมาเช็ดบนใบหน้าท่านอ๋องตรงๆ โดยไม่มีคำสั่งจากเขา

แต่หลิ่วเหมียนถังมิใช่สาวใช้ แต่เป็นคนที่หลงคิดว่าตนคือภรรยาตัวจริงของสามีสกุลชุย สุราเหล่านั้นมีกลิ่นหอมหวลยามอยู่ในไห ทว่าหลังลงท้องรอผ่านไปอีกสองสามชั่วยามก็จะส่งกลิ่นเหม็นไม่น่าดมแล้ว

บทที่ 11

 

หลิ่วเหมียนถังในฐานะภรรยาที่ดีจะปล่อยให้สามีนอนหลับไปทั้งที่ตัวเหม็นคลุ้งได้อย่างไร

ดังนั้นเมื่อเห็นชุยจิ่วมีท่าทีไม่พอใจ นางจึงคิดเสียว่ากำลังเอาอกเอาใจเด็กน้อยอยู่ “ท่านพี่นอนเฉยๆ ให้ข้าเช็ดก็พอ ปลอกผ้านวมผืนใหม่ในบ้านที่เอาไปซักยังไม่แห้ง หากติดกลิ่นเหม็นเข้าจะไม่มีผืนใหม่มาเปลี่ยนแล้ว”

ตั้งแต่เล็กจนโตชุยสิงโจวไม่เคยเจอใครพูดกับเขาตรงๆ ว่าตัวเขาเหม็นกลิ่นสุรา จึงอดปรือตาขึ้นมาถลึงตาใส่หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ พร้อมเอ่ยห้วนสั้น “ออกไป!”

หากเป็นสาวใช้จวนอ๋องโดนตวาดใส่เช่นนี้ จะต้องหน้าซีดรีบถอยออกไปอย่างแน่นอน

แต่หลิ่วเหมียนถังแค่ถือว่าสามีกำลังเมาสุรา อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ! เวลาดื่มแล้วนิสัยย่อมเปลี่ยนไปบ้าง ต่อให้เป็นสามีที่สุภาพมาโดยตลอดของนางก็ไม่เป็นข้อยกเว้น

นางกลับทำใจกว้างประหนึ่งไม่เห็นการเสียกิริยาของสามี มือเช็ดผ้าอุ่นลงบนใบหน้าชุยสิงโจวอย่างไม่เกรงใจสักนิด

ความจริงเหตุใดท่าทีของสามีดูไม่ค่อยดีเช่นนี้ นางเองก็พอจะคาดเดาได้

คาดว่าการตกต่ำมาอยู่ที่ตำบลหลิงเฉวียนเช่นนี้ สำหรับสามีแล้วนับเป็นความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง กิจการดีๆ ของตระกูลล่มจม ไม่ว่ากับบุรุษคนใดก็ล้วนเป็นปมในใจที่ยากจะแก้

แต่การอ้างฤทธิ์สุรามาระบายทุกข์ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด นางจะต้องเกลี้ยกล่อมสามีเสียหน่อย ป้องกันไม่ให้เขาเอาแต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจ จนอาศัยฤทธิ์สุรามาระบายเช่นนี้

“ไม่รู้ว่าสุราข้างนอกใส่อะไรบ้าง ฤทธิ์แรงเสียสุขภาพ หากครั้งหน้าท่านพี่อยากดื่มสุราอีก ข้าจะให้หลี่มามาซื้อสุรามันหวานที่ขายอยู่ในร้านสุราบนถนนมาอุ่นให้ท่านดื่ม รอสุราร้อนๆ ลงท้อง ท่านพี่เองก็มีที่ให้นอนแล้ว ดีกว่าตะลอนอยู่ข้างนอกรับลมเย็นไปเต็มท้อง”

น้ำเสียงของหลิ่วเหมียนถังไพเราะเสนาะหูเข้ากันกับรูปโฉมของนาง ทว่าก็ไม่ใช่ความอ่อนหวานที่จงใจทำ แต่แฝงน้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กๆ ที่ฟังดูจริงใจตรงไปตรงมาจนชวนให้คนผ่อนคลายสบายใจ

ชุยสิงโจวเห็นว่าไล่นางไปไม่สำเร็จจึงหลับตาลงไม่พูดอะไรอีกแล้วปล่อยให้นางเช็ดไป ทุกวันนี้เขายังต้องใช้ประโยชน์จากนาง ไม่ควรทำให้นางนึกสงสัยขึ้นมา

หลิ่วเหมียนถังเห็นสามีอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับตัวอีกก็รู้ว่าอีกฝ่ายรับฟังคำพูดนางเข้าไปในใจแล้ว ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเบาต่อ “ส่วนงานจิปาถะอื่นๆ ท่านพี่ก็ไม่ต้องหงุดหงิด ผู้ใดไม่มีช่วงเวลาม้าสูงโกลนเตี้ย* บ้างเล่า ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่เห็นว่าจะราบรื่นไปทั้งชีวิต แม้บ้านของพวกเราจะไม่ใหญ่โตเท่าตอนอยู่เมืองหลวง แต่ทุกวันนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม หากท่านพี่เหน็ดเหนื่อยกับการดูแลกิจการ แค่ปล่อยร้านกินค่าเช่าที่ก็พอ ข้าลองคำนวณดูแล้ว ต่อให้ไม่ทำการค้า อาศัยแค่เงินค่าเช่า ใช้จ่ายประหยัดหน่อยก็มากพอกับค่าใช้จ่าย…ข้าค่อยไปเรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยจากบรรดาเพื่อนบ้านอีกที ต่อให้ได้เงินไม่มาก แต่ทุกๆ ช่วงหนึ่งยังสามารถซื้อเนื้อมากินได้อยู่ ถึงเวลานั้นไม่ทุกข์ใจเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ท่านพี่เองก็ออกไปเดินหมากเยี่ยมเยือนสหายอย่างสบายใจได้แล้ว”

ประโยคนี้พูดราวกับว่าตนเป็นเทพธิดาชั้นฟ้าจุติลงมาช่วยเหลือหนุ่มเลี้ยงวัวผู้ยากจน ปัญหาทุกข์ใจทุกอย่างจะมลายหายไปดั่งเรื่องแต่งอย่างไรอย่างนั้น

ฟังหลิ่วเหมียนถังพูดจนติดลม ชุยจิ่วกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองนางที่กำลังช่วยนวดท้องนวดขาให้เขา

หลิ่วเหมียนถังโดนเขามองจนกระดากอาย ลูบใบหน้าพลางถาม “ท่านพี่มองอะไรอยู่หรือ”

แม้ฤทธิ์สุราของชุยสิงโจวในยามนี้จะเริ่มเลือนหาย แต่ร่างกายยังคงเกียจคร้าน เมื่อได้ยินหลิ่วเหมียนถังถามจึงเอ่ยว่า “ไม่เคยมีใครบอกให้ข้าหยุดพักมาก่อน เลยอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้…ครอบครัวเล็กๆ เองก็มีข้อดีของมัน…”

ประโยคนี้ของเขากึ่งจริงกึ่งเท็จ แต่ความสะท้อนใจในอกกลับเป็นเรื่องจริง มารดาอ่อนแอ ตั้งแต่เด็กๆ เขาก็ต้องแก่งแย่งชิงดีกับบรรดาพี่ชายที่เกิดจากอนุกับพวกอนุทั้งหลายที่ข่มอยู่เหนือศีรษะมารดา

พอได้รับตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา เขาก็ต้องต่อสู้กับบรรดาขุนนางในราชสำนักที่คิดอยากริบคืนที่ดินบรรดาศักดิ์ของเขาต่ออีก

ไม่เคยมีใครพูดกับเขาว่า ‘ไปพักผ่อน ไปเล่นสนุกเถอะ’ มาก่อน กลับมีแต่คนคอยเตือนว่าหากเขาล้มลง ก็จะกลายเป็นต้นไม้ล้มลิงค่างแตกซ่าน** พ่ายทั้งกระดาน อย่าคิดว่าจะได้ฟื้นตัวกลับมาอีก…

มีอยู่ช่วงสั้นๆ ที่จู่ๆ ชุยสิงโจวก็นึกอิจฉาชุยจิ่วขึ้นมา…แม้จะเป็นพ่อค้าตกอับ แต่งกับหญิงสาวที่ชื่อเสียงเสียหาย แต่หากอิงตามคำพูดของแม่นางหลิ่ว เรื่องราวทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายเพียงนั้น ถึงขั้นมีอิสรเสรียิ่งกว่าตระกูลอ๋องตระกูลโหวเสียอีก

ยามชุยสิงโจวช้อนสายตามองหญิงสาวที่อยู่ข้างเตียงอีกครั้ง เปียยาวทัดอยู่หลังใบหูดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ยามยิ้มอ่อนหวาน นัยน์ตาและคิ้วเรียวคล้ายว่ากระจุกรวมไปด้วยหมู่มวลดาราที่สุดขอบฟ้า…

นางสูญเสียความทรงจำไปก็ดี อย่างน้อยก็จดจำเรื่องอัปยศที่พบเจอในรังโจรไม่ได้ รอเรื่องนี้สิ้นสุดเขาจะมอบเงินส่วนหนึ่งให้นาง นางต้องการจะแต่งงานใหม่ หรือจะไปอยู่ในอารามชีก็แล้วแต่นางแล้วกัน…

คิดมาถึงตรงนี้ฤทธิ์สุราพลันตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง ชุยสิงโจวหลับตาลงก่อนจะหลับไปทั้งอย่างนี้

เขาไม่กลัวว่าหญิงสาวผู้นี้จะลอบสังหารอีกต่อไป หากนางตั้งใจจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน อีกอย่างก็เหมือนกับที่จ้าวเฉวียนพูด หญิงสาวตกต่ำผู้หนึ่งที่หนีออกมาจากรังโจรจะซาบซึ้งในบุญคุณของเขายังแทบไม่ทัน นางจะยังช่วยคนชั่วทำความชั่ว ทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเพื่อโจรพวกนั้นไปอีกเพื่ออันใด

 

วันรุ่งขึ้นเมื่อแสงอรุณทอส่องชุยสิงโจวลืมตาขึ้นมองหลิ่วเหมียนถังที่ซุกตัวนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดตนเอง ภายในใจยิ่งมั่นใจในความอ่อนโยนของนางมากขึ้น

แต่หากไม่ใช่เพราะความเมามาย เขาก็ไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับหญิงสาวผู้นี้อีกจริงๆ

แม้ชื่อเสียงนางจะเสียหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรวันหน้าก็ต้องหาคนฝากชีวิตด้วย หากเรื่องในบ้านหลังนี้แพร่กระจายออกไป หนทางที่นางจะได้แต่งงานใหม่ย่อมลำบากสักหน่อย แต่ถ้าแต่งงานไปไกลก็ไม่เป็นปัญหา…

ปกติชุยสิงโจวเป็นคนมีวินัย เรื่องออกจากบ้านตามอารมณ์ส่วนตัวเฉกเช่นเมื่อคืนนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งนัก

ทุกเช้าหลังตื่นมาเขามักจะรำหมัดออกกำลังกาย หลายปีมานี้นอกจากยุ่งมากจริงๆ ก็ไม่ค่อยขาดการฝึกเท่าไร

วันนี้ตื่นแต่เช้าเขาย่อมออกไปรำหมัดในลานบ้านสักรอบ

เพราะว่าไม่ใช่สนามฝึกชุยสิงโจวจึงเลือกวิชาหมัดสั้นๆ มาออกกำลังไปรอบหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกมิสามัญ รวมเข้ากับความแข็งแกร่งของแต่ละหมัดช่างน่าดูชมอย่างมาก

ตอนหลิ่วเหมียนถังตื่นขึ้นมาไม่เห็นสามีนอนอยู่ข้างๆ ย่อมต้องลงจากเตียงมาสวมรองเท้าพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

นางมองเห็นชุยจิ่วกำลังเหวี่ยงหมัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาอยู่ในสภาพสวมเสื้อบางๆ เหงื่อไหลรินลงมาพอดี

เมื่อมองผ่านชุดบางๆ ที่เปียกชุ่มก็มองออกว่าแม้สามีจะรูปร่างผอมมาก แต่หุ่นกลับมีกล้ามเนื้อกำยำ ไม่ได้เป็นอย่างบัณฑิตที่อ่อนปวกเปียก!

แต่ไหนแต่ไรมานางก็รักทางบู๊มากกว่าทางบุ๋น เดิมทีตนเองก็ชอบฝึกวรยุทธ์มาก แต่ทุกวันนี้เพราะได้รับบาดเจ็บ มือเท้าเหมือนจะออกแรงไม่ได้แม้แต่น้อย ตัดขาดความคิดนี้ไปนานแล้ว

แต่คาดไม่ถึงว่าสามีจะชอบฝึกยุทธ์เช่นกัน ดูแล้วยังทำได้ไม่เลวด้วย ทำเอาหลิ่วเหมียนถังเห็นแล้วคันไม้คันมือจริงๆ

สามีมีเหงื่อออกท่วมร่าง ในที่สุดถังอาบน้ำที่ซื้อมาใหม่ก็ได้ใช้ประโยชน์ หลี่มามารู้นิสัยของผู้เป็นนายดี ไม่ต้องให้หลิ่วเหมียนถังสั่งก็เตรียมน้ำร้อนไว้พร้อมนานแล้ว เทลงไปในถังไม้แล้วคุมความอุ่นร้อน ทั้งยังใส่น้ำมันหอมที่ไม่รู้ไปหามาจากที่ใดอีกด้วย

พอชุยสิงโจวรำหมัดเสร็จก็สามารถแช่น้ำอย่างผ่อนคลายได้

ตอนที่หลิ่วเหมียนถังตื่นมาล้างหน้าได้แกะผมเปียยาวออกรวบไว้บนบ่าแล้วค่อยๆ สางผม นอนหลับไปหนึ่งคืนผมยาวราวม่านน้ำตกก็กลายเป็นลอนคลื่นเพราะถักเปีย ให้กลิ่นอายแบบนางระบำชาวดินแดนซีอวี้* นิดๆ ขับเน้นให้ท่อนแขนหยกเสลาที่สางผมอยู่ยิ่งดูกลมกลึง เอวคอดกิ่วเองก็ผลุบโผล่อยู่ใต้เรือนผมยาว มีเสน่ห์เย้ายวนคนแฝงอยู่

ตอนที่ชุยสิงโจวเช็ดเหงื่อเดินเข้ามา ได้มองไปยังหลิ่วเหมียนถังที่หวีผมอยู่คล้ายเจตนาไม่เจตนา

หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่ามือไม้ตนเองงุ่มง่ามเกินไป พอไม่มีหลี่มามาคอยช่วย กระทั่งหวีผมยังทำได้ไม่ดี นางจึงเอียงศีรษะส่งยิ้มขวยเขินให้สามี ริมฝีปากแดงโดยไม่ต้องแต้มชาด เผยฟันขาวราวกับไข่มุก…

ตอนที่ดวงตามองสบกันชุยสิงโจวเบือนหน้าหนี จากนั้นเดินเข้าไปในห้องเล็กข้างในห้อง แช่น้ำอาบภายใต้การปรนนิบัติของหลี่มามา

หลิ่วเหมียนถังเห็นเขาเข้าไปแล้วก็ลอบโล่งอกในใจ

นางกลัวจริงๆ ว่าสามีจะเรียกให้นางเข้าไปปรนนิบัติ เมื่อครู่นี้ตอนดูเขารำหมัดก็หน้าแดงใจเต้นหนักอยู่แล้ว ถ้าต้องปรนนิบัติอาบน้ำใกล้ๆ อีก…แค่คิดก็รู้สึกหน้าเห่อร้อนจนต้มไข่สุกได้!

 

หลี่มามาอาศัยโอกาสช่วงที่เจ้านายอาบน้ำจัดการเตรียมอาหารต่ออย่างคล่องแคล่วว่องไว

อาหารเช้าให้ความสำคัญที่น้อยแต่ประณีต พวกกับข้าวที่หลี่มามาเตรียมไว้ต่างตกแต่งอย่างสวยงาม

นอกจากไข่พะโล้หมูตุ๋นถ้วยเล็ก ยังมีเนื้อแดดเดียวผัดถั่วลันเตา ไข่ตุ๋นนึ่งกุ้งสับ ยิ่งไม่อาจขาดสมบัติล้ำค่าของบ้านสกุลชุยที่ถนนสายเหนือ…หัวไช้เท้าแห้ง กินคู่กับข้าวต้มข้นๆ แล้วกลับอร่อยไม่เบา

รอทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามกันและกินอาหารเช้า หลิ่วเหมียนถังก็พูดเรื่องเปิดร้านขึ้นมา ชุยสิงโจวกินข้าวต้มไปพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าตัดสินใจเองทั้งหมดก็พอ ช่วงนี้ข้ากำลังศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมกับอาจารย์คนใหม่ เกรงว่าจะไม่มีเวลาดูแลเรื่องพวกนี้”

ประโยคจำพวกศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมจนไม่มีเวลาสนใจดูแลกิจการครอบครัวประเภทนี้ หากออกมาจากปากผู้อื่นจะต้องดูเป็นพวกคุณชายเสเพลที่พึ่งพาไม่ได้ ไม่ถูกภรรยาด่าจนกระอักเลือดสิแปลก!

ทว่ายามนี้ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วเหมียนถังเป็นบุรุษผู้สง่างามและหล่อเหลาคมคาย เมื่อมองดวงตาอบอุ่นลุ่มลึกของเขาคู่นั้น ประโยคไม่สนใจเรื่องราวทางโลกพวกนี้กลับดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที

หลิ่วเหมียนถังเองก็รู้สึกว่าให้คนที่สูงส่งอย่างสามีไปดูแลจัดการเรื่องเงินทองดูจะสร้างความลำบากให้เขาเกินไป นับประสาอะไรกับที่เขาเคยทำให้ร้านค้ามากมายในเมืองหลวงต้องปิดตัวลง เห็นได้ว่าเป็นคนไม่เชี่ยวชาญด้านการค้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะยังสร้างความลำบากให้สามีอีกไปไย?

ถึงอย่างไรนางก็ว่างงาน แค่รับเรื่องจิปาถะพวกนี้มาทำ รอจัดการเรียบร้อยค่อยส่งมอบให้สามีดำเนินการอีกทีก็พอแล้ว

เดิมทีคู่สามีภรรยาก็ถือเป็นหนึ่งเดียวกัน ไฉนเลยจะแบ่งแยกข้าเจ้าได้ชัดเจน เมื่อนึกถึงว่าก่อนหน้านี้สามีดูแลนางที่ป่วยหนักอย่างไรบ้าง เพียงความจริงใจที่ไม่ทอดทิ้งไปที่ใดเช่นนี้ก็มากพอให้หลิ่วเหมียนถังซาบซึ้งใจแล้ว

ดังนั้นพอได้ยินชุยจิ่วกล่าวเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังจึงรับปากทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องเปิดร้านท่านพี่แค่มอบหมายให้ข้าก็พอ ไม่ทราบว่าท่านพี่มีสหายคนใดอยู่ที่นี่บ้าง ถึงเวลาส่งเทียบเชิญพวกเขาให้มาช่วยเป็นหน้าม้าได้ก็ดีไม่น้อย”

ชุยสิงโจวไม่ได้เก็บคำถามของหลิ่วเหมียนถังไปใส่ใจ เขาออกมาทั้งคืน ทำตัวเหลวไหลไปพอสมควรก็ควรจะรีบกลับไปคารวะมารดาได้แล้ว

เมื่อคืนเป็นการแสดงงิ้วตลอดทั้งคืน มารดาที่ชอบฟังงิ้วจะต้องอดนอนอย่างแน่นอน คาดว่าน่าจะตื่นสาย เขากินอาหารเช้าเสร็จค่อยกลับไปน่าจะทันเวลาพอดี

ดังนั้นหลังเขากินอาหารเสร็จในไม่กี่คำก็ดื่มน้ำชาล้างปากพลางเอ่ย “ไม่ได้มีสหายที่ใด เจ้าเองก็ไม่ต้องให้ยุ่งยาก แค่เตรียมพวกประทัดและของที่สร้างเสียงดังเอาไว้ บอกว่าเปิดร้านแล้วก็พอ”

หลังจากนี้หลิ่วเหมียนถังต้องดูแลกิจการ สามารถพบเจอผู้คนมากขึ้นได้พอดี หากโจรกบฏผู้นั้นมีใจคิดรับภรรยาตนเองกลับไปก็จะมีโอกาสให้เข้าหาไม่น้อย

ดังนั้นชุยสิงโจวจึงสนับสนุนเรื่องที่หลิ่วเหมียนถังดูแลกิจการร้านมาก

แต่หลิ่วเหมียนถังกลับให้ความสำคัญกับเรื่องเชิญสหายมากจริงๆ หลังใคร่ครวญจึงเอ่ย “ท่านหมอเทวดาจ้าวจะต้องมาแน่ๆ ไม่รู้ว่าที่บ้านเขามีผู้ใดบ้าง หากมีเด็กๆ คงต้องเตรียมพวกลูกอมให้ด้วยใช่หรือไม่”

ชุยสิงโจวลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วตอบโดยไม่แม้แต่จะมองนาง “ช่วงนี้เขายุ่ง คาดว่าคงมาไม่ได้”

หลิ่วเหมียนถังเดินเข้าไปช่วยเขาจัดปกเสื้อ ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “แต่เมื่อวานท่านหมอเทวดาจ้าวฝากบ่าวรับใช้มาบอกที่บ้านว่าเปิดร้านเมื่อใดจะต้องบอกเขาให้รู้ ทั้งยังถามวันเปิดร้านจากข้า แต่ข้ายังไม่ทันได้ถามท่านพี่จึงไม่ได้บอกวันที่แน่นอนไป…”

แววตาของชุยสิงโจวชะงัก เขานึกไม่ถึงว่าจ้าวเฉวียนจะเลอะเลือนถึงขั้นนี้ เมื่อวานถึงกับส่งบ่าวรับใช้มาทำเรื่องเช่นนี้ด้วย

บทที่ 12

                                                                                  

ชุยสิงโจวเป็นทั้งสหายสนิทของจ้าวเฉวียน แล้วก็เป็นญาติที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น จะยอมปล่อยให้จ้าวเฉวียนทำตัวเหลวไหลเยี่ยงนี้ได้อย่างไร

เพื่อสะบั้นความคิดของจ้าวเฉวียน ชุยสิงโจวจึงเอ่ยว่า “เขามีภรรยากับอนุมากมาย หากเจ้าเชิญคนในครอบครัวเขา เกรงว่าจะเกิดความไม่เท่าเทียม ไม่ว่าละเลยผู้ใดไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ตัดปัญหาโดยการไม่เชิญเขามาเสียเลยดีกว่า”

หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วเอ่ยอย่างลังเล “ท่านหมอเทวดาจ้าวกับท่านพี่ดูสนิทสนมกันดี หากเสียมารยาทเช่นนี้…จะดีหรือ”

ชุยสิงโจวหลุบตาลง ตัดสินใจเอ่ยตัดปัญหาในภายหลัง “แม้สหายจ้าวจะมีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่เขามักจะรู้สึกว่าอาหารในจานผู้อื่นอร่อยกว่า คนที่สนิทกับเขาต่างหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาสนิทกับภรรยาหรืออนุของตนเองมากไป…หากไม่ใช่เพราะเจ้าป่วย ข้าก็ไม่มีทางเชิญเขามาหรอก”

หลิ่วเหมียนถังกะพริบตาปริบๆ ตอนนี้ถึงได้เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของสามี ที่แท้คนมีความสามารถอย่างท่านหมอเทวดาจ้าวก็ชอบลักขโมยภรรยาผู้อื่น! นี่มัน…ไม่ใช่พวกสุนัขป่าหิวกระหายหรอกหรือ!

เมื่อนึกไปถึงคราวก่อนที่เห็นสามีแสดงสีหน้าไม่พอใจตอนที่ท่านหมอเทวดาจ้าวกระตือรือร้นช่วยตนเอง นั่นมิใช่ว่าสามีหึงหวงหรอกหรือ

ทว่าตอนที่นางป่วยหนักเขากลับไม่สนใจว่าเหนือศีรษะจะมีเมฆเขียว* ปกคลุม ไม่ว่าอย่างไรก็จะเชิญตัวจ้าวเฉวียนที่สามารถช่วยชีวิตตนเองมาให้ได้ นี่เขามีความรู้สึกให้นางลึกซึ้งมากเพียงใดกันแน่

คิดมาถึงตรงนี้นางพลันรู้สึกผิดขึ้นมา รวมถึงรู้สึกหวานล้ำอย่างบรรยายไม่ถูก ก่อนจะรีบเอ่ยรับรองกับสามีทันที “ในเมื่อเขาเป็นคนเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไม่มองเขาด้วยซ้ำ…ท่านพี่ ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดคุยกับเขา ท่านเคยโกรธข้าหรือไม่”

หญิงสาวตรงหน้ารูปโฉมงดงาม ทว่าเวลาที่มีเสน่ห์ที่สุดกลับเป็นตอนที่นางมีดวงตาสุกสกาวแวววาว แก้มขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อเหมือนดั่งหลิ่วเหมียนถังตรงหน้าในตอนนี้ ดวงหน้าดั่งดอกท้อ นัยน์ตาดุจธาราฤดูสารท…ชุยสิงโจวมองนางอยู่สักพักใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด วันหน้าเจ้าไม่คุยกับเขาอีกจะดีที่สุด”

แม้จะอาลัยอาวรณ์เขาเพียงใด แต่เรื่องศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมของสามีนั้นก็สำคัญ ได้ยินว่าอาจารย์ดีๆ ท่านนั้นหาตัวได้ยากมาก เขาเกลียดคนเกียจคร้านเป็นที่สุด สามีจำต้องออกจากบ้านไปเล่าเรียนแต่เช้า

หลังส่งสามีออกจากบ้าน เห็นเขาผลุบเข้าไปในตัวรถม้า แล้วมองรถม้าแล่นออกไปจากตรอก หลิ่วเหมียนถังถึงได้เตรียมกลับเข้าไปข้างในอย่างยังนึกอาวรณ์อยู่

ตอนนั้นเองป้าจางที่ออกไปทิ้งปัสสาวะกลับมาเจอเข้าพอดี ทว่าเห็นเพียงม่านรถม้าที่พะเยิบไหวของรถม้าซึ่งรีบแล่นจากไป นางรีบชะโงกหน้าไปเรียกรั้งหลิ่วเหมียนถังไว้เสียงดัง “ชุยฮูหยินรอก่อน คนที่นั่งในรถม้าเมื่อครู่นี้ใช่สามีของเจ้าหรือไม่”

หลิ่วเหมียนถังยิ้มตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ”

ป้าจางจึงเอ่ยอย่างเสียดาย “เมื่อครู่นี้เห็นแต่ตอนเขาขึ้นรถม้า ข้าเองก็สายตาไม่ดี ทั้งเสื้อกันลมที่สามีเจ้าสวมใส่ก็ตัวใหญ่เกินไป บดบังใบหน้าไปเสียครึ่ง เห็นแค่ศีรษะเท่านั้น วันหน้าหากสามีเจ้าเดินอยู่ตรงหน้าข้า ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเป็นท่านชุยด้วยซ้ำ”

ได้ยินป้าจางพูดเช่นนี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ใส่ใจอะไร เพียงยิ้มแล้วเอ่ยตอบว่า “ทุกคนต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวนาน จะต้องมีวันที่ได้เจอหน้าแน่นอนเจ้าค่ะ”

หลังตอบรับเสร็จหลิ่วเหมียนถังก็ตั้งใจกลับเข้าไปในบ้าน

เมื่อครู่นี้ได้ยินหลี่มามาบอกว่าในหม้อยังเหลือน้ำร้อนอยู่มาก นางจะได้แช่ตัวพอดี หลายวันมานี้มีฝนตกลงมา อากาศทั้งชื้นและหนาวยะเยือก อาการบาดเจ็บตรงมือและเท้านางต่างปวดร้าวขึ้นมานิดๆ หากได้แช่น้ำอุ่นสักหน่อยก็จะสามารถบรรเทาอาการได้พอดี

แต่ป้าจางกลับเป็นคนชอบสืบหาข่าวเรื่องของผู้อื่น คิดแค่อยากอาศัยโอกาสนี้สืบเสาะเรื่องของเพื่อนบ้านเอาไว้ วันหน้าเวลาพูดคุยกับเพื่อนบ้านคนอื่นจะได้มีอะไรให้สนทนา

“ชุยฮูหยิน อย่าหาว่าป้าอย่างข้ายุ่งวุ่นวายเลย แต่ว่าสามีเจ้ามักจะกลับมาตอนดึกแล้วออกไปแต่เช้าตรู่ ไม่มีโอกาสให้พบหน้า เจ้าต้องบอกกับเขาด้วยว่าทำตัวเช่นนี้ไม่ดี พอผ่านไปนานวันเข้าจะโดนเพื่อนบ้านติฉินนินทาได้”

พูดถึงตรงนี้ป้าจางก็กดเสียงลงเอ่ยต่อ “เจ้าต้องรู้ว่าพวกขุนนางที่มีอนุต่างทำตัวเช่นนี้กันทั้งนั้น สภาพเหมือนกลัวใครมาเห็นเข้า ทำเอาบรรยากาศละแวกพวกเราดูไม่ดี ทุกๆ ระยะหนึ่งมักมีภรรยาเอกมาโวยวายถึงบ้าน ทำเอาคนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข…”

หลังพูดจบป้าจางก็จ้องใบหน้าชุยฮูหยินเขม็ง ดูว่านางจะแสดงสีหน้าร้อนรนออกมาหรือไม่

ทว่าหลิ่วเหมียนถังกลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างสง่าผ่าเผย “สามีข้าไม่ใช่คนเสเพล ย่อมมีเรื่องสำคัญต้องทำ บุรุษที่ทำงานคนใดไม่ออกจากบ้านแต่เช้ากลับมามืดค่ำบ้างเล่า เขาจะทำให้ตนเองเสียเวลางานเพื่อคำพูดนินทาของผู้อื่นไปเพื่ออันใด บางคนกินอิ่มแล้วว่างมานินทาเรื่องชาวบ้าน ข้าเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง หากมีใครใส่ร้ายสามีข้า ทำลายชื่อเสียงครอบครัวพวกเรา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าบุกไปด่าทอถึงบ้าน พังประตูบ้านเขา ดึงลิ้นยาวๆ ของเขาพาไปฟ้องร้องยังที่ว่าการเลย!”

ตอนที่ชุยฮูหยินพูดประโยคนี้บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอยู่ตลอดก็จริง แต่ป้าจางกลับรู้สึกว่าดวงตาคู่งามของอีกฝ่ายทอประกายอำมหิต ดูจากสภาพแล้วจะแค่ด่าทอดึงลิ้นอย่างง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ใดกัน!

ป้าจางขนลุกขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุ หมดความสนใจจะสืบเสาะเรื่องราวอีก แค่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วถือโถปัสสาวะเดินกลับบ้านไป

หลี่มามายืนอยู่ตรงประตูได้ยินทุกคำพูดของหลิ่วเหมียนถังไม่มีตกหล่น ในใจจึงเต็มไปด้วยสารพันความรู้สึก

แม้หลิ่วเหมียนถังจะพยายามรักษาชื่อเสียงของสามีอย่างสุดความสามารถ ทว่าไม่ได้รู้เลยว่าความจริงฐานะของตนเองดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าอนุของขุนนางพวกนั้น เมื่อมองสีหน้าผ่าเผยของนางแล้วก็ชวนให้คนทนไม่ได้จริงๆ

ตอนเที่ยงวันนั้นหลี่มามาทุ่มเทแรงใจทำไก่ตุ๋นโสมพุทราจีนให้หลิ่วเหมียนถังกินเป็นกรณีพิเศษ

หลิ่วเหมียนถังมองลูกเจี๊ยบสามตัวที่ตุ๋นจนเปื่อยอยู่ในหม้อดิน กลิ่นหอยลอยโชยเข้าจมูก

หลี่มามาเปิดฝาพลางเอ่ย “ช่วงนี้ฮูหยินเจออากาศหนาว คงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ในน้ำแกงจึงเติมพุทราแดง โก่วฉี่* และโสมคนลงไป สามารถบำรุงร่างกาย ขับไล่ไอหนาวได้…”

แต่หลิ่วเหมียนถังไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยอย่างปวดใจ “วัตถุดิบที่ดีเพียงนี้ต้องรอให้สามีกลับมาค่อยทำสิ! ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเหมือนครั้งก่อน สิ้นเปลืองเนื้อไปแต่ไม่เห็นเขากลับมา!”

หลี่มามาหน้าตึงเอ่ย “บุรุษไม่จำเป็นต้องบำรุงเช่นนี้เสียหน่อย ถึงอย่างไรสกุลชุยก็เป็นคหบดี ฮูหยินไม่จำเป็นต้องประหยัดเกินไป”

โบราณว่าไว้เขื่อนยาวพันลี้** พังทลายเพราะรังมด*** ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังนับว่ามองออกแล้ว…การตกอับของสกุลชุย นอกจากเจ้านายไม่ถนัดดูแลกิจการ บ่าวรับใช้ไม่รู้จักมัธยัสถ์เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างมาก

แต่หลี่มามาเองก็ปรารถนาดี ดังนั้นแม้หลิ่วเหมียนถังมองรากโสมต้นใหญ่แล้วจะปวดใจอย่างมากก็ไม่อาจตำหนิมากมาย ได้แต่กำชับว่าวันหน้าเวลาหลี่มามาใช้สมุนไพรราคาแพงเช่นนี้มาทำอาหารจะต้องบอกนางก่อน ทั้งยังต้องทำตอนที่สามีอยู่บ้านด้วย

พูดจนสีหน้าหลี่มามาดำคล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ตักน้ำแกงให้นางเงียบๆ ด้วยสีหน้ามึนตึง จากนั้นวางลงตรงหน้านางแรงๆ พร้อมเอ่ย “ฮูหยินพูดถูกแล้ว วันนี้บ่าวยุ่งมากไปเอง!”

หลิ่วเหมียนถังมองแล้วตักน้ำแกงดื่มอึกเล็กๆ เมื่อน้ำแกงอุ่นร้อนไหลลงท้องก็อุ่นซ่านไปทั่วร่างกายทันที

นางช้อนสายตาซึ้งใจมองหลี่มามาที่ยังคงมีสีหน้าโมโหก่อนเอ่ย “มามาอย่ารังเกียจที่ข้าบ่นจู้จี้ไปเลย เพียงแต่เงินทองในบ้านตอนนี้มีอยู่ไม่มาก รอเปิดร้านมีรายได้เข้ามาเมื่อใด ทุกคนในบ้านก็สามารถกินเนื้อทุกวันได้แล้ว…ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงข้าเลย แม้แต่มามาก็จะได้ดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมทุกวันด้วยซ้ำ มามาไม่เคยทอดทิ้งสกุลชุยไปที่ใด ข้าต้องขอบคุณมามาแทนสามีด้วย”

หลี่มามาได้ยินประโยคนี้ก็ทำหน้ามึนตึงต่อไปไม่ไหว เพียงถอนหายใจเบาๆ หยิบตะเกียบยาวขึ้นมาฉีกเนื้อไก่ออก แล้วคีบน่องชิ้นเล็กใส่ลงไปในถ้วยของหลิ่วเหมียนถัง

นางไม่รู้ว่าวันหน้าท่านอ๋องจะจัดการกับหญิงสาวผู้นี้เช่นไร แต่วันเวลาที่จะได้มีเนื้อกินเช่นนี้อาจเหลืออยู่ไม่มากแล้ว นางพูดไม่เก่ง สั่นคลอนความคิดของท่านอ๋องไม่ได้ เพียงแต่ด้วยความเห็นใจจึงทำอาหารจานเนื้อให้หญิงสาวน่าสงสารผู้นี้กินมากขึ้นหน่อย…

 

วันที่เปิดร้านภายใต้การเลือกสรรอย่างตั้งใจของหลิ่วเหมียนถังก็ได้กำหนดวันมงคลไว้เป็นช่วงกลางเดือน ประทัดสีแดงเพลิงยาวสองสายถูกแขวนไว้บนประตู มีป้ายร้าน ‘ร้านเครื่องเคลือบอวี้เซา’ ที่สั่งทำใหม่แขวนอยู่ ใช้ผ้าสีแดงผืนหนึ่งปิดเอาไว้ก่อน

แม้สกุลชุยจะไม่มีญาติสนิทมิตรสหายอยู่ที่นี่ แต่เพื่อให้บรรยากาศดูครึกครื้น หลิ่วเหมียนถังยังคงเชิญพวกเพื่อนบ้านมาเป็นแขกเหรื่อให้

มาถึงตอนนี้คนในตำบลถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วซื้อร้านทั้งสองไว้ก็คือสกุลชุยที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่บนถนนสายเหนือ

มีพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านสืบราคาที่ชุยฮูหยินซื้อร้านค้าทั้งสองมา ต่างพากันอิจฉาจนพูดไม่ออก ลอบทอดถอนใจถึงความเฉลียวฉลาดของชุยฮูหยิน

มองดูการตกแต่งใหม่ภายในร้าน เครื่องเคลือบดินเผาเงาวับ บวกกับที่ชุยฮูหยินจัดการทุกอย่างอย่างคล่องแคล่วฉับไว บรรดาหญิงออกเรือนที่ชอบเกาะกลุ่มนินทาเหล่านั้นกลับไม่รู้สึกว่าภรรยาพ่อค้าที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้เป็นอนุของขุนนางสักคนแล้ว

แม้ชุยฮูหยินจะงดงามเกินไปบ้าง แต่ก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงานหาเลี้ยงปากท้องจริงๆ

หากเป็นพวกหญิงนางโลมขายรอยยิ้ม แต่ละคนล้วนใช้ชีวิตสุขสบายมาจนเคยชิน แล้วก็ใช้เงินกันจนเคยตัว มือเติบฟุ่มเฟือย ทำตัวโอ้อวดต่อหน้าผู้คนทั้งนั้น ไฉนเลยจะทนความลำบากอย่างการทำการค้าได้

ในยามนั้นบรรดาเพื่อนบ้านต่างเอ่ยอวยพรกันจากใจจริง ขอให้กิจการของชุยฮูหยินเจริญรุ่งเรือง

แต่ในวันเปิดร้านเช่นนี้ทุกคนกลับไม่เห็นเถ้าแก่ร้านปรากฏตัวเสียที ได้ยินชุยฮูหยินบอกว่าสามีไปกราบไหว้อาจารย์หมากล้อมชื่อดังคนหนึ่งเป็นอาจารย์ การเรียนสำคัญ ไม่อาจลงจากภูเขามาได้

ทันใดนั้นทุกคนเข้าใจขึ้นมาทันควัน ที่แท้ก็เป็นบุปผางามบนโคลนเหลวที่ก่อเป็นกำแพงไม่ได้*!

ที่แท้สามีสกุลชุยผู้นี้ก็เป็นคุณชายเสเพลผู้หนึ่ง เถ้าแก่ร้านที่ปัดความรับผิดชอบตัวจริง! เอาแต่ปล่อยให้หญิงงามเพียงนี้ออกมาเปิดเผยใบหน้าดูแลกิจการ แต่เขากลับศึกษาพิณ หมาก คัดอักษร วาดภาพ ตีไก่ เล่าเรียนพวกเรื่องที่ล้วนทำเงินไม่ได้…

น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก! โฉมงามมีความสามารถปานนี้กลับฝากฝังชีวิตไว้กับคนที่ไม่เหมาะสม แต่งให้กับสามีที่ไม่ได้ความเช่นนี้!

นอกจากอารามทอดถอนใจ ยังมีพวกที่เห็นรูปโฉมงดงามของชุยฮูหยินแล้วเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา ในเมื่อสามีของชุยฮูหยินไม่ค่อยอยู่บ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าเรือนหอนั้นว่างเปล่าหรือไม่ รอยามวิกาลจะต้องแวะเวียนไปดูที่ประตูหลังบ้านชุยฮูหยินสักหน่อยแล้วว่าได้แง้มช่องไว้ให้คนมุดเข้าไปหรือไม่…

ช่วงเวลานั้นความคิดของผู้คนทั้งในและนอกร้านแตกต่างหลากหลาย รอเสียงประทัดห้าสายดังขึ้น หมายถึงความสุขทั้งห้ามาเยือน ผ้าสีแดงก็ปลดลงท่ามกลางเสียงตีฆ้อง ร้านค้าสกุลชุยเปิดกิจการอย่างเป็นทางการในตำบลหลิงเฉวียนแล้ว

แต่การเปิดร้านทำการค้าไม่ง่ายดายเหมือนกับการเปิดผ้าสีแดงออกเท่านั้น

ร้านเครื่องเคลือบดินเผาภายในตำบลมีอยู่มากมาย การแข่งขันนับได้ว่าดุเดือด ร้านเก่าแก่ที่ยืนได้มั่นคงเหล่านั้นต่างคุ้นเคยกันและมีลูกค้าประจำ ขอเพียงมีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องเส้นทางทำการค้าอีก ถึงขั้นมีหลายร้านที่เปิดโรงเตาเผาขึ้นเอง ผลิตเองขายเอง ประหยัดขั้นตอนไปได้มาก

แต่ร้านเครื่องเคลือบอวี้เซาเป็นร้านใหม่ บวกกับไม่ใช่คนท้องถิ่นจึงไม่ได้มีลูกค้าเก่าแต่อย่างใด บุ่มบ่ามเปิดร้านเช่นนี้ย่อมสิ้นเปลืองเงินอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังร้านใหม่คึกคักอยู่หนึ่งวันถ้วน หลายวันติดต่อกันจากนั้นล้วนเงียบกริบ ไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้านสักคน

 

* ชวนเป่ย คือพื้นที่ทางตอนเหนือของที่ราบลุ่มซื่อชวน ปัจจุบันคือเมืองก่วงหยวน เมืองปาจง และเมืองหนานชง

* ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ถีบหัวส่ง ลืมบุญคุณของผู้ที่เคยออกแรงเพื่อตน เฉกเช่นการฆ่าลาทั้งที่มันเพิ่งจะช่วยโม่แป้งเสร็จ

* เกล็ดย้อน คือเกล็ดบริเวณใต้คอมังกรซึ่งหันไปในทิศตรงข้ามกับเกล็ดทั่วไป เชื่อกันว่าหากผู้ใดแตะต้องจะทำให้มังกรโกรธเกรี้ยว ภายหลังมักใช้เปรียบเปรยถึงจุดอ่อนหรือขีดจำกัดที่ทำให้ผู้อื่นโมโห

* ม้าสูงโกลนเตี้ย เป็นประโยคเปรียบเทียบ หมายถึงสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ ไม่ว่าจะไปต่อหรือถอยหลังกลับล้วนยากทั้งคู่

** ต้นไม้ล้มลิงค่างแตกซ่าน เป็นประโยคเปรียบเทียบ หมายถึงหากผู้มีอำนาจตกอับ คนที่พึ่งพาอาศัยเขาเองก็จะกระจัดกระจาย

* ซีอวี้ (แดนตะวันตก) คือดินแดนทางตะวันตกของด่านอวี้เหมินและด่านหยางกวนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ปัจจุบันคือบริเวณเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางใต้ของเทือกเขาเทียนซาน (เทียนซานหนานลู่) เรื่อยไปจนถึงทางตะวันตกของที่ราบสูงปามีร์ รวมถึงแถบเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก และอินเดีย

* ในภาษาจีนมีคำว่า ‘โดนสวมหมวกเขียว’ หมายถึงโดนนอกใจ มีที่มาจากนิทานโบราณที่ว่าภรรยาที่ลักลอบคบชู้ผู้หนึ่ง ทุกครั้งที่สามีจะออกไปไหนไกลๆ หลายวันจะให้สามีสวมหมวกสีเขียว เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกชายชู้ว่าสามีจะไม่อยู่หลายวัน สามารถมาหาได้ ภายหลังหากพูดว่ามีสีเขียวอยู่บนศีรษะ จะมีความหมายในเชิงโดนนอกใจเหมือนกันหมด

* โก่วฉี่ เป็นผลไม้ในกลุ่มเบอรี่หรือที่ภาษาไทยเรียกว่าเก๋ากี้

** ลี้ (หลี่) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

*** เขื่อนยาวพันลี้พังทลายเพราะรังมด เป็นสำนวน หมายถึงเรื่องเล็กน้อยที่หากไม่ใส่ใจระมัดระวังก็อาจก่อความเสียหายยิ่งใหญ่

* โคลนเหลวที่ก่อเป็นกำแพงไม่ได้ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงคนที่ด้อยความสามารถ ไม่มีความสามารถพอจะประสบความสำเร็จ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: