X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 10 บทที่ 761-762

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 761

เฉียวเจาพลันรู้สึกเนื้อตัวเย็นวาบ นัยน์ตาฉาบประกายน้ำฉ่ำๆ ของนางมองดูบุรุษที่หอบหายใจอย่างพยายามข่มกลั้นเต็มที่ด้วยความงุนงงอยู่หลายส่วน

เซ่าหมิงยวนดึงผ้าห่มแพรมาห่มร่างนาง บอกเสียงพร่าว่า “หรือไม่…รอไปอีกสักหน่อยเถอะ…”

นางก้มหน้ามองรอยแดงคล้ายกลีบดอกท้อที่ประทับติดอยู่ตามเนินอกและแขนของตนเองนับไม่ถ้วน ค่อยมองชายหนุ่มที่ไร้อาภรณ์บดบังเรือนกายบึกบึนไว้อีกคราแล้วอดหรี่ตาลงไม่ได้

มาถึงขั้นนี้แล้ว เขากลับพูดคำนี้กับข้าหรือ

“ข้าอยากรู้เหตุผล” เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งปล่อยให้ผ้าห่มเลื่อนหลุดอวดหัวไหล่ขาวนวลเนียน

เซ่าหมิงยวนราวกับแตะโดนถ่านไฟ เขาเบนสายตาออกทันที ลมหายใจถี่รัวมากขึ้น

“หรือจะพูดว่าท่านมิได้มีความรักต่อข้าถึงเพียงนั้น…”

“ไม่ใช่นะ” เซ่าหมิงยวนโอบกอดนางไว้อย่างห้ามใจไม่อยู่แล้วห่มผ้าห่มให้

ชั่วขณะนี้อารมณ์รัญจวนใจยังวูบวาบอยู่ในกายไม่เลือนหายไป พอคนทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันทำให้ความสามารถในการควบคุมตัวที่ชายหนุ่มภาคภูมิใจเสมอมาถึงกับเจียนแตกทลาย

ชายหนุ่มกัดริมฝีปากสุดแรง สูดลมหายใจลึกๆ

“เพราะอะไรกันแน่” เฉียวเจาถามคาดคั้น

“ข้า…” เซ่าหมิงยวนละล้าละลังเล็กน้อย แต่พอสังเกตเห็นแววน้อยใจในดวงตานาง เขาถึงบอกเหตุผลออกมา “ทันทีที่ข้าคิดถึงคำกล่าวของท่านหมอเทวดาก็ทำต่อไม่ได้แล้ว”

หลังจากหมอเทวดาหลี่พูดเช่นนั้นไว้ก่อนหน้านี้ ไหนเลยเขาจะกล้าเสี่ยงที่จะสูญเสียนางเพราะกระหายในความสุขชั่วครู่ชั่วยาม สิ่งที่เขาปรารถนาคือทั้งสองได้อยู่ครองคู่กันไปอย่างยืนยาวจนผมเผ้าหงอกขาว มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

“ท่านปู่หลี่บอกอะไรท่าน”

“ท่านบอกว่าก่อนเจ้าย่างวัยสิบแปดเต็มจะตั้งครรภ์ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายถึงชีวิต” เซ่าหมิงยวนยิ่งพูดยิ่งกระวนกระวายใจ อารมณ์ปรารถนาพวกนั้นมลายหายไปทันใด กระทั่งร่างกายที่ร้อนรุ่มก็เย็นเยือกลง

เฉียวเจาชำเลืองมองชายหนุ่มที่ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย นางถามยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะรอจนข้าอายุสิบแปดหรือ”

เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างอิดเอื้อน ถึงแม้เขาไม่มั่นใจว่าจะอดทนจนถึงตอนนั้นได้หรือไม่ แต่เขาจะพยายามเต็มที่

อืม…หรือว่าวันพรุ่งนี้เริ่มไปนอนที่ห้องหนังสือเลยก็แล้วกัน

นางเลิกคิ้วสูง “เป็นอะไร ท่านคงไม่ได้ตั้งใจว่าวันหน้าจะนอนที่ห้องหนังสือกระมัง”

ครั้นถูกนางเดาใจได้ เขาก็นิ่งเป็นเบื้อใบ้ ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ กับสตรีในดวงใจ

เฉียวเจาเม้มปากแล้วจู่ๆ ก็โยนผ้าห่มไปด้านข้าง ก่อนยื่นสองแขนไปโอบรอบคอเขา

เซ่าหมิงยวนตัวแข็งทื่อฉับพลัน เขาส่งเสียงเรียกอย่างข่มอารมณ์ “เจาเจา?”

นางอมยิ้มละไม “คนโง่ ขืนรออีกสามปีท่านก็ชราแล้ว”

กลิ่นอายหอมหวานของหญิงสาวกำจายมาประหนึ่งสุราเก่าแก่ที่ทำให้คนเมามายทั้งกายใจ บนหน้าผากของเซ่าหมิงยวนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราย ส่วนหนึ่งของร่างกายตื่นตัวจนเขาปวดหนึบๆ

“เจาเจา เจ้า…อย่าทำอย่างนี้…”

เฉียวเจากลับขึ้นไปนั่งลงบนตัวเขาเสียเลย นางเอ่ยถามพร้อมลมหายใจหอมรวยรินพ่นรดใส่ชายหนุ่ม “อย่าทำอย่างใดหรือ”

เขาเต็มใจรอแต่นางไม่อยากรออีกต่อไป นางไม่อยากให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตแต่งงานที่ได้มาอย่างไม่ง่ายดายไปกับการรอคอย และไม่อยากให้วันใดมีพระราชโองการมาถึงแล้วเขาต้องไปออกศึกอีกโดยที่เขากับนางยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง

ชีวิตคนเราผันแปรไม่แน่นอนเกินไป นางอยากคว้าความสุขที่อยู่ตรงหน้า

“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนเริ่มแตกตื่นเมื่อรับรู้ได้ว่าความสามารถในการควบคุมตนเองกำลังจะหมดสิ้นลง เขาอาจจะทาบทับคนในอ้อมอกไว้ใต้ร่าง ครอบครองนางตามใจปรารถนาโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นได้ทุกเมื่อ

กลีบปากนุ่มนิ่มประทับลงมา สุ้มเสียงอ่อนหวานออดอ้อน “ข้าก็อยู่นี่ เรียกข้าด้วยเหตุใดกัน…”

“เจาเจา เจ้าอย่า…” เซ่าหมิงยวนพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ทว่าฝ่ามืออ่อนนุ่มคู่นั้นกลับออกแรงผลักเขานอนลงแนบสนิทกับเตียง ผ้าปูเตียงหนานุ่มยุบยวบลงในพริบตา

“ถิงเฉวียน…”

“หือ?”

“ท่านแม่สอนข้าแล้ว จากนั้นค่อยกินอาหารผสมสมุนไพรบางอย่างประกอบกัน ไม่เป็นไร…”

ยามแสงสีขาวจับขอบฟ้า ม่านโปร่งสีแดงอ่อนถึงค่อยๆ หยุดนิ่ง

เฉียวเจาหมดแรงจนแม้แต่จะขยับนิ้วก็ยังไม่ไหว เรือนผมสีดำดุจน้ำตกแผ่สยายสะเปะสะปะทั่วผ้าแพรปูเตียงสีแดงเข้ม นางกัดริมฝีปากพลางถลึงตามองชายหนุ่มที่มีสีหน้าอิ่มเอมในอารมณ์

“มีอะไรหรือ” เซ่าหมิงยวนหอมแก้มนาง น้ำเสียงของเขาหลังสุขสมแจ่มกระจ่างนุ่มนวลยิ่ง

“ท่านยังมีหน้ามาถามอีกหรือ”

เซ่าหมิงยวนละอายใจอยู่บ้าง เขาตระกองกอดนางพลางพูดเอาใจ “วันหน้าข้าจะระวังมากขึ้น รับรองว่าไม่ทำหลายครั้งเช่นนี้แล้ว”

เขากับนางยังไม่สวมอาภรณ์ พอร่างกายแนบชิดกัน เฉียวเจารู้สึกได้ว่าคนบางคนมีอาการตอบสนองอีกแล้วทันที นางลุกลนผลักเขาออกก่อนพูดเสียงขุ่นๆ ว่า “ท่านรีบไปชำระกายเลย เลิกนอนอู้ได้แล้ว”

“เช่นนั้นข้าเรียกสาวใช้เข้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้านะ หลังจากนั้นเจ้านอนต่อเถอะ นอนเต็มอิ่มแล้วค่อยตื่นขึ้นมากินข้าว”

“ไม่ต้อง ข้าทำเองได้ ห้ามเรียกพวกนางนะ” เฉียวเจารีบห้ามเขาไว้

สภาพนางตอนนี้เจอหน้าใครได้ที่ใดกัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะให้คนอื่นเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้

“เจ้ายังขยับตัวไหวหรือ” ชายหนุ่มกระซิบถามกลั้วเสียงหัวเราะขลุกขลักที่ข้างหูนาง

“แล้วเป็นฝีมือใครเล่า” เฉียวเจามองบุรุษที่ได้สมดังใจแล้วยังแกล้งถามตาเขียวปัด

เซ่าหมิงยวนสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปนอกห้อง ไม่นานนักก็ย้อนกลับมาพร้อมอ่างน้ำติดมือมาหนึ่งใบ

นางเห็นแล้วนิ่งอึ้งไป

“เจ้ากระดากใจที่จะให้พวกนางทำ เช่นนั้นข้าทำให้เอง”

“ถิงเฉวียน อย่า…” เฉียวเจาผลักชายหนุ่มที่อุ้มนางขึ้นอย่างอ่อนแรง

“นี่จะเป็นไรไป ถึงอย่างไรทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือข้า…”

ผ่านไปครู่หนึ่งเซ่าหมิงยวนห่มผ้าห่มแพรให้เฉียวเจาอย่างมิดชิดแล้วประทับจูบบนหน้าผากนาง ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน “นอนเถอะ ข้าล้างหน้าบ้วนปากเสร็จจะไปฝึกเพลงมวยสักชุดหนึ่งแล้วกลับมา”

“อื้อ” เฉียวเจาได้ทำความสะอาดร่างกายแล้วรู้สึกสบายไปหมด นางพยักหน้าและหลับตาลง

นางนอนหลับไปถึงตอนบ่าย ตอนลืมตาขึ้นได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของปิงลวี่

“ฮูหยิน ท่านตื่นเสียที”

ใบหน้าของเฉียวเจาร้อนผะผ่าว

ตื่นเสียทีหมายถึงอะไร สาวใช้ผู้นี้นับวันยิ่งพูดจาไม่เข้าท่าแล้ว

“ฮูหยินหิวแล้วกระมัง ข้ายกโจ๊กใส่พุทราแดงมาให้ท่านกินรองท้องก่อนนะเจ้าคะ” อาจูที่หน้าแดงอยู่มองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนจะลุกลนออกไป

เฉียวเจาขยับตัวแล้วพบว่าทั่วทั้งสรรพางค์กายไม่มีตรงที่ใดไม่ปวด นางจำต้องส่งเสียงเรียก “ปิงลวี่ พยุงข้าลุกขึ้น”

ปิงลวี่รีบพยุงผู้เป็นนายลุกขึ้นแล้วกระวีกระวาดปรนนิบัตินางล้างหน้าบ้วนปากมือเป็นระวิง ตอนที่เห็นรอยแดงเป็นวงๆ ตามผิวเนื้อที่โผล่พ้นอาภรณ์ออกมาของนางก็อุทานด้วยความตกใจอย่างสุดระงับ “ฮูหยิน นี่คงเจ็บน่าดูกระมัง”

ตายแล้ว การออกเรือนน่ากลัวเหลือเกิน ข้าขอรับใช้คุณหนูของข้าไปตลอดชีวิตดีกว่า

เฉียวเจาปรายตามองสาวใช้ “เจ้าจะปรนนิบัติข้าแบบเงียบๆ ได้หรือไม่”

ตอนนี้นางจำเป็นต้องปรับจิตใจที่สับสนปนเปหลังเปลี่ยนจากเด็กสาวมาเป็นหญิงมีสามีแล้ว มิใช่มีคนคนหนึ่งอยู่ด้านข้างคอยย้ำเตือนความจริงที่ว่านางเพิ่งบรรเลงรักอย่างลืมตัวกับเจ้าคนบัดซบบางคนมาทั้งคืน

“เจ้าค่ะๆ” ปิงลวี่แลบลิ้น นางไม่กล้าปริปากพูดอีก

เฉียวเจาล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เพิ่งกินโจ๊กไปไม่กี่คำก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังลอยมาจากนอกประตู

“ฮูหยินตื่นแล้วใช่หรือไม่”

“ฮูหยินตื่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านโหวโปรดรอสักครู่…”

อาจูยังพูดประโยคหลังไม่จบ เซ่าหมิงยวนก็แหวกม่านบุสำลีเดินเข้ามา

เทียบกับเฉียวเจาที่กำลังเปราะบางอ่อนแรงในเวลานี้ คนบางคนแลดูสดชื่นผ่องใสมาก คล้ายว่าความอัดอั้นตันใจที่ทับถมมานานหลายปีได้รับการปลดปล่อยจนหมดสิ้น กระทั่งรอยยิ้มก็ยังแจ่มกระจ่างกว่าปกติหลายส่วน

“กินโจ๊กหรือ” เขาเดินสองสามก้าวมาถึงข้างเตียงแล้วทรุดกายลงนั่งติดกับนาง

ชะรอยว่าเพราะเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงแล้ว เขากับนางจึงดูใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีกขั้นโดยไม่รู้ตัว ไม่เหลือช่องว่างให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกได้เลยจริงๆ

ปิงลวี่ถอยออกไปโดยไม่ต้องรอใครสั่ง นางพูดกระซิบกระซาบกับอาจู “อาจู เจ้ารู้สึกว่าท่านแม่ทัพกับฮูหยินเหมาะสมกันเหลือเกินหรือไม่”

อาจูที่ยังหน้าแดงอยู่พยักหน้า “ข้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน”

บทที่ 762

สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวแรกสัมผัสความหรรษาจากรสเสน่หาจะปล่อยตัวปล่อยใจไปบ้างก็ช่วยไม่ได้ ทั้งคู่ใกล้ชิดคลอเคลียกันทุกเช้าค่ำ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ในจวนกวนจวินโหวยังอบอวลด้วยบรรยากาศหวานชื่น แต่ภายนอกกลับเกิดคลื่นลมขึ้นอีกคราหนึ่ง

อนุสามคนของรุ่ยอ๋องให้กำเนิดบุตรต่อๆ กัน ในวังรุ่ยอ๋องจึงมีพระราชนัดดาน้อยสี่พระองค์

ได้บุตรชายติดกันสองคนทำให้รุ่ยอ๋องยินดีเจียนคลั่งเลยทีเดียว พอข่าวดีแพร่ไปถึงหูฮ่องเต้หมิงคัง พระองค์ดีพระทัยมากเช่นกัน ของพระราชทานก็หลั่งไหลมาที่วังรุ่ยอ๋องไม่ขาดสาย

กระนั้นมีคนเป็นสุขย่อมมีคนเป็นทุกข์ บ่าวไพร่ในวังมู่อ๋องไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง ส่วนมู่อ๋องทำหน้าบึ้งตึงจนใครๆ เข้าหน้าไม่ติดแล้ว

“ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนพระทัย ก่อนหน้านี้พวกเราวางแผนไว้แล้วมิใช่หรือ รุ่ยอ๋องจะมีโอรสหรือไม่ก็ไม่ส่งผลกระทบมากเท่าไร” ที่ปรึกษาพูดกล่อม

สีหน้าของมู่อ๋องทอแววเหี้ยมเกรียม “ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่คิดถึงท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้าห้าตอนนี้ ข้าก็หงุดหงิดใจยิ่งนัก”

หากเจ้าห้าไม่มีโอรสไปเรื่อยๆ สำหรับเขาบัลลังก์ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ทว่าตอนนี้กลับต้องวุ่นวายกับการวางแผนเตรียมการจะไม่ให้เขาขุ่นเคืองใจได้เช่นไร

“ที่สำคัญกว่าคือเสด็จพ่อเอนเอียงไปทางเจ้าห้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่เห็นหรือว่ามีคนหันไปเข้ากับฝ่ายเจ้าห้าไม่น้อย พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”

“ท่านอ๋อง ยิ่งตั้งเป้าหมายใหญ่ก็ยิ่งใจร้อนไม่ได้ ทรงควบคุมอารมณ์ไว้ ต้องมีโอกาสสักวันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

 

โอกาสที่มู่อ๋องรอคอยอยู่มาถึงอย่างรวดเร็ว

ฤดูใบไม้ผลิรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบเจ็ดเกิดอุทกภัยขึ้นในหลายๆ อำเภอที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หมู่บ้านหลายสิบแห่งถูกน้ำท่วม มีคนเจ็บคนตายเหลือคณานับ

ฮ่องเต้หมิงคังซึ่งอดใจไม่ไหวเก็บตัวจำศีลอยู่นานสามวัน พอเขาออกมาก็ต้องตะลึงงันไปกับข่าวนี้

เขาจำศีลเพียงสามวัน เพราะอะไรถึงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกแล้ว ตกลงจะให้เขาบำเพ็ญตบะอย่างสบายใจบ้างไม่ได้เลยหรือ

จากนั้นก็มีข่าวด่วนจากชายแดนตามมาติดๆ เป่ยฉีกับซีเจียงสมคบกันปล้นสะดมหมู่บ้านตามเขตชายแดนหลายแห่ง อีกทั้งไม่มีทีท่าว่าจะรามือ

ฮ่องเต้หมิงคังรีบออกพระราชโองการให้เซ่าหมิงยวนยกทัพออกศึกอีกคราครั้งหนึ่ง ทั้งยังเรียกตัวขุนนางคนสำคัญในราชสำนักมาที่ห้องทรงพระอักษรด่าทอสาดเสียเทเสียยกหนึ่ง จากนั้นให้พวกเขาเตรียมการเรื่องบรรเทาอุทกภัย

หลังจากมอบหมายงานต่างๆ เสร็จฮ่องเต้หมิงคังก็เริ่มตรึกตรอง

ตั้งแต่ปีกลายจนถึงปีนี้พอจำศีลเป็นต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทุกที ยกเว้นครั้งที่ท่านราชครูคำนวณฤกษ์ดีให้ นี่เป็นเพราะล่วงเกินเทพเซียนองค์ใดใช่หรือไม่

ไม่ได้ ต้องไปขอพรที่เขาหลิงไถ!

เมื่อฮ่องเต้หมิงคังบอกความคิดนี้ออกมา เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่พากันคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันทันควัน

“ฝ่าบาท ทรงทำเช่นนี้มิได้เด็ดขาด ขณะนี้เกิดน้ำท่วมทุกหนแห่ง หลังน้ำลดมีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะเกิดโรคระบาด พระองค์ทรงมีฐานะสูงศักดิ์เทียมฟ้าจะไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงคังขมวดคิ้ว “เราคือโอรสมังกรสวรรค์ลงมาจุติ ย่อมมีรัศมีมังกรคุ้มกายจะเป็นอันตรายได้อย่างไร”

ขุนนางทั้งหลายต่างคิดในใจ มีฮ่องเต้เช่นนี้ พวกเราจะทำประการใดได้ พวกเราก็สิ้นหวังมากนะ

ยังคงเป็นซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการที่กล่าวขึ้น “ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปเขาหลิงไถขอพรให้ราษฎรเป็นเรื่องมงคลครั้งใหญ่หลวง แต่จะออกเดินทางเมื่อไร ในขั้นตอนพิธีขอพรมีข้อพึงระวังใดบ้างล้วนต้องพิถีพิถันถี่ถ้วน ไฉนฝ่าบาทไม่ทรงหารือกับท่านราชครูสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาแฝงรอยเหยียดหยามหลายคู่จับอยู่ที่ตัวซูเหอ แต่ฮ่องเต้หมิงคังกลับพยักหน้าอย่างพึงใจ “ข้อเสนอนี้ของเสนาบดีซูไม่เลวเลย เราควรหารือกับท่านราชครูสักหน่อย”

ในด้านนี้ฮ่องเต้หมิงคังมีความชำนาญฉับไวมากพอดู เขาไล่พวกขุนนางคนสำคัญออกไปแล้วเชิญราชครูจางมาทันที

“ท่านราชครูเห็นว่าเราไปขอพรที่เขาหลิงไถเมื่อไรจึงจะเหมาะสม”

ราชครูจางนับนิ้วคำนวณก่อนตอบอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “ยามนี้พลังชั่วร้ายก่อเกิดทั้งสี่ทิศ พึงขอพรปัดเป่าเภทภัย แต่ว่า…”

คำว่า ‘แต่ว่า’ ทำให้ฮ่องเต้หมิงคังขมวดคิ้วแล้ว

ท่านราชครูก็จะห้ามเราด้วยหรืออย่างไร

“แต่ว่าพลังชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรายล้อมเมืองหลวงครานี้ต้องให้โอรสสวรรค์ประทับอยู่เป็นหลักถึงจะสยบเอาไว้ได้ ทางที่ดีฝ่าบาทอย่าเสด็จออกจากเมืองหลวงจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ร่างกายของฮ่องเต้จะทนการเดินทางไกลสมบุกสมบันไปถึงเขาหลิงไถได้ไหวที่ใดกัน ถ้าเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมาตำแหน่งราชครูของเขาก็ถึงคราวสิ้นสุดแล้ว

“แล้วเรื่องขอพรจะทำฉันใดดี” ฮ่องเต้หมิงคังพลันรู้สึกว่าราชครูจางกล่าวได้มีเหตุผลมาก เมืองหลวงในเวลานี้ขาดเขาไม่ได้จริงๆ

“ฝ่าบาททรงสามารถคัดเลือกองค์ชายพระองค์หนึ่งกระทำการแทนพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงคังตาเป็นประกาย เขากล่าวชมว่า “ท่านราชครูช่วยคลี่คลายความกังวลให้เราได้จริงๆ นี่เป็นวิธีที่เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายโดยแท้”

ราชครูจางยิ้มตาพริ้มไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด เอาเป็นว่าฮ่องเต้อย่าสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเท่านั้นเป็นพอ

“แล้วจะเลือกองค์ชายพระองค์ใดไปดีเล่า” ฮ่องเต้หมิงคังไต่ถามความเห็นของราชครูจางต่อ

ราชครูย่อมจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ถนัดเป็นธรรมดา เขาพูดจาส่งเดชสองสามคำแล้วโยนกลองกลับไป

ฮ่องเต้หมิงคังตริตรองทบทวนไปมาแล้วตกลงใจเลือกองค์ชายห้ารุ่ยอ๋อง

พินิจตามอายุ เจ้าห้าเป็นพี่ชาย อีกทั้งตอนนี้มีบุตรชายสองคนกับบุตรสาวสองคน พูดได้ว่าเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุด จึงสมควรสร้างโอกาสให้เจ้าห้าได้เคี่ยวกรำตนเอง

เมื่อมีคุณความชอบจากการขอพร ภายภาคหน้าจะเป็นที่ยอมรับของผู้คนได้ง่าย

แน่นอนว่านี่เป็นการเตรียมเผื่อไว้เท่านั้น เขายังตั้งใจเป็นฮ่องเต้ไปอีกนานแสนนาน

ครั้นขุนนางใหญ่ทั้งหลายรู้ว่าฮ่องเต้ล้มเลิกความคิดไปขอพรที่เขาหลิงไถแล้วก็อดโล่งอกไม่ได้ แต่พอได้ยินว่าให้รุ่ยอ๋องไปแทนก็พากันขบคิดไปต่างๆ นานา พวกขุนนางที่วางตัวเป็นกลางแต่เดิมเริ่มใคร่ครวญใหม่ ส่วนคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับมู่อ๋องก็เริ่มหวาดหวั่นขวัญผวาไปตามๆ กัน

ด้านรุ่ยอ๋องได้รับพระราชโองการแล้วตกอยู่ในความงงงัน

เสด็จพ่อให้เขาเป็นผู้แทนพระองค์ไปขอพรที่เขาหลิงไถ นี่บ่งบอกว่าเสด็จพ่อมีใจเอนเอียงที่จะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ให้แก่เขาใช่หรือไม่

ที่ปรึกษาเอ่ยเตือนขึ้นทันที “ท่านอ๋อง แม้ว่าการได้เป็นผู้แทนพระองค์เสด็จไปขอพรจะแสดงถึงความไว้วางพระทัยที่องค์ฮ่องเต้ทรงมีต่อพระองค์ ทว่าถึงอย่างไรก็ต้องเดินทางไกล เกรงว่าระหว่างทางจะเต็มไปด้วยอันตราย พระองค์ทรงต้องเตรียมการให้พร้อมมูล ระวังพระองค์อย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าย่อมต้องรู้แน่” รุ่ยอ๋องคิดคำนึงว่าใกล้จะออกเดินทางไกลแล้ว เขาแวะไปดูลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานสามคนก่อนแล้วค่อยไปที่เรือนของหลีเจี่ยว

บุตรสาวของนางย่างสามเดือนเต็ม มีชื่อเรียกแรกเกิดว่า ‘อวี้เอ๋อร์’

รุ่ยอ๋องรับตัวอวี้เอ๋อร์มาจูบเบาๆ พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “อวี้เอ๋อร์ยิ่งโตยิ่งงามชวนมองเหมือนเจ้า”

ใบหน้าของหลีเจี่ยวประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจคับข้องสุดประมาณ

จะโฉมงามชวนมองกว่านี้จะมีอันใด ถึงที่สุดแล้วก็ได้เป็นท่านหญิงเท่านั้น

คราแรกนางคิดว่าบางทีอนุสามคนนั้นจะให้กำเนิดบุตรสาวเหมือนกัน เช่นนั้นอวี้เอ๋อร์ของนางซึ่งอยู่ในฐานะบุตรสาวคนโตก็จะยังคงสูงศักดิ์มีเกียรติกว่าทุกคน คิดไม่ถึงว่าในบรรดาอนุสามคนกลับมีถึงสองคนที่คลอดบุตรชายออกมา ทำให้นางกระอักแทบตายเลยทีเดียว

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น อย่างวันนี้ท่านอ๋องก็ไปดูเจ้าลูกสุนัขสามตัวนั้นก่อนถึงจะมาหาอวี้เอ๋อร์

“ข้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว เกรงว่าต้องอีกพักหนึ่งถึงกลับมาได้ เจี่ยวเหนียงดูแลอวี้เอ๋อร์ให้ดีๆ” รุ่ยอ๋องอุ้มบุตรสาวไว้ครู่หนึ่งถึงส่งตัวให้แม่นม

“ท่านอ๋องวางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะดูแลอวี้เอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน” หลีเจี่ยวสะกดความรู้สึกไม่ยอมจำนนไว้เต็มอกพร้อมคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน

นางยังอายุน้อย ตราบเท่าที่สุขภาพของท่านอ๋องเป็นปกติก็ต้องมีบุตรชายสักวัน

รุ่ยอ๋องพยักหน้าหงึกหงักแล้วออกไปอย่างพึงพอใจ

ฝ่ายมู่อ๋องหาได้แช่มชื่นยินดีเฉกเช่นรุ่ยอ๋องไม่ เขาขว้างถ้วยน้ำชาแตกไปหลายใบ จากนั้นเรียกตัวที่ปรึกษามาพูดคุยหารือกันลับๆ เป็นนานถึงสงบอารมณ์ลงได้

อีกด้านหนึ่ง ณ จวนของหลันซาน หลันซงเฉวียนก้าวเข้าไปในห้องหนังสือของบิดา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิตว่า “ท่านพ่อ โอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว รุ่ยอ๋องไปเขาหลิงไถคราวนี้จะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดกลับมาไม่ได้เด็ดขาด”

หลันซานเหลือบเปลือกตาขึ้น “เรื่องนี้มู่อ๋องคงร้อนใจกว่าพวกเรา”

หลันซงเฉวียนแค่นหัวเราะ “ร้อนใจจะมีประโยชน์อันใด มิใช่ข้าดูแคลนเขา ถ้าเศษสวะอย่างมู่อ๋องพรรค์นั้นทำได้สำเร็จก็ไม่ต้องรอถึงวันนี้แล้วขอรับ”

“เจ้าน่ะอารมณ์ร้อนเกินไปแล้ว

“เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าก็แล้วกันขอรับ” หลันซงเฉวียนลุกขึ้นเดินออกไป

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: