บทที่ 763
เจ็ดวันต่อมารุ่ยอ๋องน้อมรับพระราชโองการออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปขอพรที่เขาหลิงไถแทนโอรสสวรรค์
ผ่านไปครึ่งเดือนเศษกลับมีข่าวด่วนส่งมาจากทางทิศใต้ว่าระหว่างเดินทางกลับจากขอพร รุ่ยอ๋องประสบเหตุคนเร่ร่อนก่อความไม่สงบ บัดนี้ยังไม่พบร่องรอยของเขาและไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย
ในเมืองหลวงเกิดเสียงฮือฮาไปทั่ว
ครึ่งปีมานี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าฮ่องเต้เห็นรุ่ยอ๋องเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว ครานี้ส่งเขาไปขอพรที่เขาหลิงไถก็เพื่อสร้างผลงานความชอบเพิ่มขึ้น รอหลังจากกลับมาอาจได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทก็ไม่แน่
เพลานี้ยังไม่รู้ว่ารุ่ยอ๋องเป็นตายร้ายดีอย่างไร เช่นนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์…
สายตาของหมู่ขุนนางและผู้สูงศักดิ์ต่างจับจ้องไปที่มู่อ๋อง
ด้านมู่อ๋องนั้นนอกจากจะปีติยินดีแล้วยังฉงนใจอยู่สักหน่อย “หรือว่าฟ้าเข้าข้างพวกเรา นักฆ่าที่ส่งไปยังไม่ได้ลงมือ คนเคราะห์ร้ายอย่างเจ้าห้าก็เจอกับคนเร่ร่อนก่อความไม่สงบแล้ว…”
ที่ปรึกษากล่าวอย่างสรรเสริญเยินยอ “สรรพสิ่งพึงควรเป็นไปตามสวรรค์ลิขิตพ่ะย่ะค่ะ”
สวรรค์ลิขิต? เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าต่างหากคือผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เป็นฮ่องเต้ในวันหน้าที่ฟ้ากำหนดไว้
มู่อ๋องหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจกับถ้อยคำสรรเสริญเยินยอนี้
ไม่ต้องลงมือเองย่อมเป็นเรื่องดีแน่ เช่นนี้ก็ช่วยเบาแรงเขาไปมาก
คนที่เขาอยากสังหารให้ดับดิ้นถูกสวรรค์รับตัวไปแล้วโดยที่ตนเองไม่ทันได้ลงมือ ยังจะมีเรื่องที่น่าสำราญใจยิ่งกว่านี้อีกหรือ
ในจวนของหลันซาน สองพ่อลูกหารืองานกันอยู่ในห้องหนังสือ
“เหตุการณ์คนเร่ร่อนลุกฮือขึ้น นั่นเป็นฝีมือเจ้าหรือ” หลันซานเอ่ยถาม
หลันซงเฉวียนหยักยิ้มกล่าว “มิใช่ข้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้เล่าขอรับ หรือจะฝากความหวังกับมู่อ๋องคนเบาปัญญาผู้นั้นที่ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารรุ่ยอ๋องเอาดื้อๆ ทำอย่างนั้นจะมิเท่ากับตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วแผ่นดินหรือ ดีไม่ดียังจะโดนฮ่องเต้ระแวงสงสัย แต่คนเร่ร่อนลุกฮือนั้นต่างกันออกไป ขณะนี้เกิดอุทกภัยข้าวยากหมากแพงหลายพื้นที่ จะมีคนเร่ร่อนก่อความไม่สงบกลับไม่แปลกประหลาดแต่อย่างใด”
หลันซานพยักหน้า เขากล่าวชมเชยวิธีการของบุตรชาย “ใช้แผนนี้ไม่เลวจริงๆ ทว่าคนที่ทำงานให้เจ้าเชื่อใจได้หรือไม่”
“ท่านพ่อวางใจได้ขอรับ ข้าว่าจ้างชาวยุทธ์ ถึงเวลาเสร็จงานแล้วจ่ายเงินก็เรียบร้อยขอรับ”
มาตรว่าหลันซานกับบุตรชายใช้มือเดียวปิดฟ้าในราชสำนักได้ แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่เหมือนกับแม่ทัพนายกอง ยามที่จำเป็นต้องใช้กำลังแก้ไขปัญหา พวกบ่าวไพร่หรือผู้คุ้มกันในจวนกลับพึ่งพาอาศัยไม่ได้
“จำไว้ว่าต้องตกรางวัลก้อนใหญ่ๆ ด้วย” หลันซานพูดกำชับ
“เรื่องนี้ท่านพ่อสบายใจได้เลยขอรับ”
สองพ่อลูกสบตากันยิ้มๆ
เซ่าหมิงยวนไปจากเมืองหลวงพักหนึ่งแล้ว เป็นครั้งแรกที่เฉียวเจาเข้าใจว่าอันใดคือหนึ่งวันยาวนานดุจหนึ่งปี นางหมุนคลึงสร้อยข้อมือที่ร้อยจากเมล็ดมะกล่ำตาหนู* อย่างใจลอย
อาจูยืนอยู่นอกประตู กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “คุณหนูของเราคิดถึงท่านเขยอีกแล้ว”
“นี่เจ้าดูออกเหมือนกันหรือ” ปิงลวี่ที่เดินมาจากข้างนอกถามพร้อมรอยยิ้มกริ่ม
“มะกล่ำตาหนูกลมเกลี้ยงเรียงร้อย ข้าเฝ้าคอยคิดถึงจับจิตรู้หรือไม่” อาจูพึมพำเอื้อนเอ่ยกลอนบทนี้แล้วยิ้มบางๆ “เจ้าดูสิคุณหนูจับสร้อยมะกล่ำตาหนูเส้นนั้นทั้งวัน จะเพียงเพราะมันสวยหรือไร”
“สร้อยข้อมือสวยหรือไม่ข้าไม่รู้ เมล็ดมะกล่ำตาหนูแทนความคิดถึงหรือไม่ข้าก็ไม่เข้าใจ แต่ข้ามีสิ่งนี้” ปิงลวี่โบกสารในมือไปมา
อาจูชายตามองซองสารแวบหนึ่งแล้วผลักปิงลวี่เบาๆ “ยังไม่รีบนำสารไปให้คุณหนูอีก”
ปิงลวี่ยิ้มหน้าระรื่นวิ่งเข้าไป “ฮูหยิน สารถึงท่านจากท่านเขยมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายด้วยความยินดี นางรีบกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งกลบเกลื่อนก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ “เอามาสิ”
ปิงลวี่เอาสารซ่อนไว้ข้างหลัง พูดด้วยรอยยิ้มหวานว่า “ฮูหยินมอบสร้อยมะกล่ำตาหนูเส้นนี้ให้ข้า ข้าก็จะให้สารแก่ท่านเจ้าค่ะ”
“กล้าต่อรองกับเจ้านายหรือ” เฉียวเจาเลิกคิ้วสูง แต่ยังคงโยนสร้อยข้อมือให้นางไป “เอาไป มิใช่ของดีอะไรสักหน่อย”
หึ…ดูทีว่าควรให้สาวใช้ผู้นี้ออกเรือนไปได้แล้ว ให้นางได้ลิ้มรสความคิดถึงใครผู้หนึ่งดูบ้าง
เฉียวเจารับซองสารไว้แล้วดึงแผ่นสารออกมาอ่านทันที
‘เจาเจาภรรยาข้า จากกันเดือนเศษคะนึงหาเจ้าทั้งยามฝันยามตื่น ข้าอยู่ที่แดนเหนือปลอดภัยดี จะกลับไปในอีกไม่ช้า…’
เมื่ออ่านทีละตัวอักษรๆ จนจบเฉียวเจาก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นางหยิบพู่กันเขียนสารตอบ แต่พอเล่าถึงเรื่องรุ่ยอ๋องหายตัวไปก็หยุดชะงัก นางคิดๆ แล้วขยำแผ่นสารที่เขียนไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ทิ้งและหยิบกระดาษแผ่นใหม่
ตอนเขาไปออกรบเป็นช่วงเดียวกับรุ่ยอ๋องออกเดินทางจากเมืองหลวง รุ่ยอ๋องใช้หนี้น้ำใจในอดีตขอยืมองครักษ์ติดตามไปอารักขาหลายคน
เซ่าหมิงยวนเคยบอกนางว่ารุ่ยอ๋องลงใต้หนนี้มีภัยอันตรายรอบด้าน เขาใคร่ครวญในหลายๆ ด้านแล้วจะพยายามคุ้มครองให้รุ่ยอ๋องกลับมาอย่างปลอดภัยสุดกำลัง
ยามนี้รุ่ยอ๋องเป็นหรือตายยังไม่กระจ่างชัด บางทีอาจไม่ได้ง่ายดายเช่นที่เห็นภายนอก เพื่อความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง นางอย่าเอ่ยถึงในสารจะดีกว่า
เมื่อสอดแผ่นสารใส่ซองและปิดผนึกแล้ว เฉียวเจาลูบซองสารเบาๆ
‘จะกลับไปในอีกไม่ช้า’ ก็ไม่รู้ว่าตอนเขากลับมา ดอกท้อจะร่วงโรยแล้วหรือยัง
ในระหว่างที่เรื่องรุ่ยอ๋องหายตัวไปก่อคลื่นลมลูกใหญ่ไปทั้งเมืองหลวงก็มีข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง อีกทั้งเพราะเรื่องราวและตัวต้นเรื่องเป็นที่สนใจของผู้คน จึงโด่งดังครึกโครมกลบข่าวรุ่ยอ๋องประสบเคราะห์ร้ายไปในเวลาอันรวดเร็ว
หลังหลีกวงเหวินได้ยินได้ฟังโดยบังเอิญ เขาทำสีหน้าบูดบึ้งด้วยความโมโหโทโส ลากตัวเฉียวโม่ที่เพิ่งมาถึงที่ว่าการไปที่มุมหนึ่งก็เงื้อหมัดชกใส่เขาทันที
“ใต้เท้าหลี เหตุใดท่านถึงทำอย่างนี้” เฉียวโม่หลบหมัดของเขาแล้วถามอย่างงุนงง
“เจ้ายังจะถามข้าอีก หรือว่าเจ้าไม่ได้ยินเรื่องที่เล่าลือกันอยู่ข้างนอกพวกนั้น”
“เรื่องที่เล่าลือกัน?” ชายหนุ่มงุนงงยิ่งขึ้น
หลีกวงเหวินสังเกตเห็นสหายขุนนางไม่น้อยมองมาด้วยสายตาลุกวาว เขาบอกเสียงห้วนว่า “ตามข้ามา!”
ในหอน้ำชาไม่ไกลจากสำนักราชบัณฑิต เฉียวโม่ฟังคำบอกเล่าของหลีกวงเหวินแล้วมีสีหน้าเย็นกระด้าง
“ข่าวลือนี้เริ่มแพร่ออกมาได้เช่นไร คนผู้นั้นมีเจตนาที่ชั่วร้ายสกปรกจริงๆ ใต้เท้าหลี ท่านได้โปรดเชื่อข้า ข้ากับฮูหยินท่านโหวเป็นพี่น้องบุญธรรมกัน ข่าวลือต่ำทรามเหล่านั้นเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวทั้งหมด!”
เฉียวโม่ยิ่งพูดยิ่งโกรธแค้น คนภายนอกถึงกับเล่าลือกันว่าเขากับน้องเจาสบช่องกวนจวินโหวไม่อยู่มีสัมพันธ์เกินเลยกัน ช่างเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี
หากเรื่องพรรค์นี้ยืนยันได้ว่าเป็นความจริง เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งอย่างมากก็อนาคตดับวูบ แต่น้องเจาเป็นสตรีถูกสาดโคลนเช่นนี้ ถ้าเบื้องบนนางยังมีบิดามารดาของสามีเฉกเหย้าเรือนทั่วไป ไหนเลยจะเหลือทางรอดอีก คงไม่แคล้วต้องโดนหย่าขาดอย่างหนีไม่พ้น
หลีกวงเหวินแค่นหัวร่อ “เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอก ถึงข้าไม่เชื่อถือเจ้า แต่ข้าเชื่อใจบุตรสาวข้า ข้าเพียงจะถามว่าดีชั่วเจ้าก็เป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว ไฉนต้องพักอยู่ในจวนโหวด้วยเล่า”
เฉียวโม่ได้แต่ยิ้มฝืดๆ กับคำถามของหลีกวงเหวิน
หลังเขาเข้าไปเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตเคยเอ่ยปากว่าจะย้ายออกจากจวนโหวไปอยู่ที่อื่น แต่น้องเจากับท่านโหวเหนี่ยวรั้งไว้ทุกทาง จนตอนหลังท่านโหวบอกว่ารอเมื่อออกทุกข์แล้วค่อยย้าย ให้พวกเขาสามพี่น้องได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น เขาถึงได้ละความตั้งใจ
กระนั้นใช่ว่าจะไม่เป็นความประสงค์ส่วนตัวของเขาที่หมายอาศัยบารมีของกวนจวินโหวช่วยให้ปักหลักยืนในราชสำนักได้มั่นคงโดยไวที่สุด เพื่อจะได้มีกำลังต่อกรกับหลันซานและบุตรชายเร็วขึ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น การสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิจัดขึ้นทุกสามปี คนหนุ่มที่พรั่งพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติมิใช่เขาเพียงผู้เดียว เหตุผลที่รองสมุหราชเลขาธิการสวี่ถูกตาต้องใจเขาเพียงเพราะเขาเป็นหลานของจอมปราชญ์เฉียวเจาที่ล่วงลับไปแล้วหรือไร
นี่เกรงว่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือกวนจวินโหวให้ความสนิทสนมต่อเขา ทำให้คนทั่วหล้าล่วงรู้ว่าสกุลเฉียวกับจวนโหวเป็นทองแผ่นเดียวกัน และความสัมพันธ์มิได้สิ้นสุดลงเพราะเฉียวซื่อลาจากโลกนี้ไปแล้ว
แต่ถ้าเขารู้ว่าการอาศัยอยู่ในจวนโหวจะมีข่าวลือพรรค์นี้แพร่ออกมาภายหลังล่ะก็ เขาขอย้ายออกไปแต่แรกแล้ว
“เจ้ารีบๆ ย้ายออกไปเสีย อย่าทำให้ชื่อเสียงของบุตรสาวข้าต้องมัวหมอง!” หลีกวงเหวินพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง
คราแรกเขายังรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่เลวเลย ยังเสียดายว่าไม่มีบุตรสาวอีกสักคน บัดนี้ดูไปแล้วยังคงเป็นบุตรเขยของเขาที่ดีกว่า
“ใต้เท้าหลี ตอนนี้ยิ่งย้ายไม่ได้ขอรับ หาไม่แล้วจะมิใช่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นวัวสันหลังหวะหรอกหรือ”
หลีกวงเหวินนิ่งขึงไป เขาคับอกคับใจอย่างยิ่ง “เช่นนั้นเจ้าตั้งใจจะทำเช่นไร”
บทที่ 764
ข่าวโคมลอยที่ไร้มูลความจริงและสืบหาต้นตอที่มาไม่ได้จำพวกนี้จัดการได้ยากเย็นที่สุด เฉียวโม่จะมีวิธีดีๆ อันใดที่ใดกัน เขาได้แต่กลับไปที่จวนโหวหารือกับน้องสาว
เฉียวเจาย่อมต้องได้ข่าวแล้วเป็นธรรมดา นางทั้งโกรธเคืองทั้งกระอักกระอ่วนใจ
จะนินทาว่าร้ายคนอื่นก็แล้วกันไปเถอะ แต่นินทาว่าร้ายนางกับพี่ใหญ่เช่นนี้ช่างน่าโมโหจริงๆ
“ข่าวลือมักไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล พี่ใหญ่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสำนักราชบัณฑิตอย่างสุขุมรอบคอบ แม้ว่าจะได้รับโอกาสให้ไปช่วยงานในสภาขุนนาง แต่ดูทีว่าสหายขุนนางเหล่านั้นคงไม่ถึงกับใช้อุบายของเรือนหลังประเภทนี้ ข้าว่าเรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบส่วนพุ่งเป้ามาที่ข้าเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์
“น้องเจาคิดว่าเป็นการกระทำของสตรีหรือ”
“ปล่อยข่าวลือว่าข้ากับพี่ใหญ่มีความสัมพันธ์เกินเลยกัน สำหรับถิงเฉวียนแล้วอย่างมากก็เพียงขายหน้า ไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของเขาได้ แต่สำหรับพี่ใหญ่แล้วอาจถึงขั้นอนาคตย่อยยับ อีกอย่างต่อให้พี่ใหญ่เป็นเช่นต้นไม้สูงเด่นกลางป่าเป็นที่อิจฉาริษยาของผู้อื่น จะโดนใส่ร้ายป้ายสีหรือปัดแข้งปัดขาก็เป็นเรื่องสามัญในหมู่ขุนนาง ทว่าการเล่นลูกไม้เช่นนี้น่าอับอายขายหน้าเกินไป ฉะนั้นข้าคาดคะเนว่าเป็นไปได้มากว่าข้าต่างหากที่เป็นต้นเหตุให้พี่ใหญ่พลอยเดือดร้อนไปด้วยเจ้าค่ะ”
“น้องเจา…”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เคยมีชื่อเสียงดีเด่อะไรนัก แต่คนอื่นเหยียบย่ำข้าตามชอบใจ ข้าจะปล่อยให้คนผู้นั้นสมดังใจหวังไม่ได้”
จุดประสงค์ที่ทำลายชื่อเสียงของนางคืออะไรกันแน่
จะไม่พอใจที่นางได้เป็นฮูหยินท่านโหวตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือว่าเคยมีข้อหมางใจกันก่อนหน้านี้
เฉียวเจาตริตรองอย่างละเอียด คนที่ผิดใจกับนางก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะจบชีวิตไปเกือบหมดแล้ว…
เช่นนี้ก็เป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว หรือว่ายังมีคนหมายตาตำแหน่งฮูหยินท่านโหวของนาง เลยอยากให้ถิงเฉวียนหย่ากับนางใจจะขาด
ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ที่สร้างความริษยาชิงชังให้ผู้อื่นได้ง่ายที่สุดก็ต้องเป็นครั้งที่เข้าวังไปถวายพระพรในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขา ตอนนั้นไทเฮากลั่นแกล้งนางโดยไม่ยั้งมือเลยสักนิด
หญิงสาวมีความจำเป็นเลิศ ทบทวนความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ก็นึกออกว่าบรรดาฮูหยินที่อยู่ด้วยกันในโถงตำหนักเวลานั้นมีใครบ้าง นางเข้าไปที่ห้องหนังสือหยิบพู่กันเขียนรายชื่อแผ่นหนึ่งแล้วเรียกเฉินกวงมาพบ
“เฉินกวง เจ้าได้ยินเรื่องที่เล่าลือกันภายนอกพักนี้แล้วกระมัง”
เขาเกาท้ายทอย “ได้ยินแล้วขอรับ ฮูหยิน ท่านอย่าเก็บคำพูดสกปรกโสมมพวกนั้นมาใส่ใจเลย ไม่คุ้มค่า”
“ไม่ได้ ข้าใส่ใจมากนะ” เฉียวเจากล่าวด้วยรอยยิ้มละไม
คบชู้สู่ชายเป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ร้ายแรงปานใด คนที่พูดว่าไม่เก็บมาใส่ใจก็เพียงสุดปัญญาจะทำอะไรได้ ถึงได้หลอกตนเองเท่านั้น
เฉินกวงอึ้งงันไป
ท่าทีนี้ของฮูหยินแปลกๆ อยู่นะ ปกติควรพูดว่าไม่ใส่ใจมิใช่หรือ
เฉียวเจาส่งแผ่นรายชื่อในมือให้เฉินกวง “แม้จะพูดกันว่าข่าวลือเป็นดั่งสวะลอยน้ำ ยากมากที่จะหาต้นตอได้ แต่นั่นเป็นเพียงเพราะไม่มีใครยินยอมทุ่มเทกายใจต่างหาก ไม่ว่าเรื่องใดๆ เมื่อแพร่ออกมาได้ก็ต้องมีที่มาเสมอ ดีที่สิ่งที่พวกเราขาดแคลนน้อยที่สุดในยามนี้ก็คือเวลา”
“นี่คือ…” เฉินกวงก้มหน้ากวาดตาดูรายชื่อแวบหนึ่ง
“นี่เป็นรายชื่อฮูหยินของจวนต่างๆ ที่อยู่ในโถงตำหนักเดียวกับข้าตอนเข้าวังถวายพระพรในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง สองสามชื่อที่ใช้พู่กันหมึกแดงทำเครื่องหมายไว้คือคนที่ให้สืบก่อน เฉินกวง ข้าอยากให้เจ้าระดมกำลังคนมากขึ้นเพื่อเสาะหาตัวคนที่แพร่ข่าวลือผู้นั้นออกมา แน่นอนว่าถ้าทำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรต้องลองดูก่อน”
วันนี้คนอื่นพูดว่านางมีความสัมพันธ์ลับกับชายอื่น วันพรุ่งอาจพูดว่าบุตรที่นางให้กำเนิดมิใช่ของกวนจวินโหว ไม่ลากตัวคนผู้นั้นออกมาจะมิใช่ว่าใครๆ ล้วนเหยียบศีรษะนางได้หรือไร
เฉินกวงเห็นเฉียวเจากล่าวอย่างเอาจริงเอาจังจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยิน ท่านวางใจเถอะ ท่านแม่ทัพมีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหลายคนแทรกซึมอยู่ตามหอน้ำชาร้านสุราเพื่อดึงพวกนักเลงหัวไม้ที่ไม่เอาการเอางานมาเป็นสมัครพรรคพวกโดยเฉพาะ คนพวกนี้หากินด้วยการสืบข่าว บัดนี้เริ่มใช้การได้แล้ว ให้พวกเขาได้ซ้อมมือพอดี”
เฉียวเจาผงกศีรษะ นางไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย แน่นอนว่าเพราะเซ่าหมิงยวนเคยบอกความลับให้นางรู้ก่อนออกจากเมืองหลวงว่ามีคนกลุ่มนี้สามารถเรียกใช้งานได้
ไม่ถึงห้าวันเฉินกวงก็มารายงานผล
“ฮูหยิน สืบได้แล้วขอรับ”
“เป็นผู้ใด”
“คนนี้ขอรับ” เฉินกวงยื่นรายชื่อส่งให้พร้อมชี้ตรงชื่อคนผู้หนึ่ง
หญิงสาวมองปราดเดียวอย่างคาดไม่ถึง ทว่าไม่รู้สึกแปลกใจ
ในเมื่อเป็นหนึ่งในบรรดาฮูหยินเป้าหมายหลักที่ให้เฉินกวงสืบ เป็นธรรมดาที่เฉียวเจาจะเห็นว่ามีโอกาสเป็นพวกนางมากที่สุด
หวังซื่อภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรม เป้าหมายที่นางแพร่ข่าวลือคืออะไร
แม้ว่าสามีของหวังซื่อกับท่านลุงของจวนตะวันออกจะหมางใจกันบ้าง และส่งผลมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรือนหลังของสองตระกูลจากความคิดตื้นเขินของพวกสตรี กระนั้นนางเป็นบุตรสาวของจวนตะวันตก อีกทั้งยังออกเรือนแล้ว ตกลงว่าหวังซื่อเห็นนางขวางหูขวางตาด้วยเรื่องอะไรถึงได้กุข่าวลือที่ต่ำทรามปานนี้ออกมา
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลงน้อยๆ ใช้นิ้วมือเคาะพื้นโต๊ะหนังสือไม้จันทน์ม่วงเบาๆ แล้วฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หวังซื่อเคยขอร้องท่านย่าหลายครั้งหลายหนอยากให้นางรักษาอาการมีบุตรยากของลูกสะใภ้คนเล็ก แต่โดนท่านย่าบอกปัดอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นทุกครั้ง หรือว่าเรื่องในวันนี้จะมีที่มาอย่างนี้
ทว่าเพียงแค่ปฏิเสธไม่ตรวจอาการให้ลูกสะใภ้คนเล็กของนาง นายหญิงตราตั้งขั้นสามผู้หนึ่งก็กระทำเรื่องพรรค์นี้ออกมามันคุ้มค่าหรือ
เฉียวเจาเม้มปาก นางไม่คิดว่าผู้ที่มีศักดิ์ฐานะในระดับหวังซื่อจะกระทำเรื่องที่ให้ร้ายคนอื่นเพื่อระบายความโกรธแต่ประการเดียวโดยไม่หวังผลอื่นใด
หวังซื่อได้ประโยชน์อะไรจากการทำลายชื่อเสียงของนาง
ความคิดในหัวเฉียวเจาแล่นไปมาหลายตลบ นางแลมองต้นพุทธรักษากอหนึ่งนอกหน้าต่างแล้วกระจ่างแจ้งในบัดดล
สามีไปออกศึกแดนไกล ภรรยามีข่าวลือว่าคบชู้ถูกคนหัวเราะเยาะ หากเป็นสามีภรรยาทั่วไป หลังจากสามีกลับมาจะมีผลลัพธ์เช่นไร
เกรงว่าหนังสือหย่าแผ่นเดียวยังน้อยไปด้วยซ้ำ
ถ้านางหย่ากับสามีแล้วกลับสกุลเดิม ดูจากที่ผ่านมาสกุลหลีปกป้องนางมาโดยตลอด ชีวิตย่อมปลอดภัยไร้ข้อกังวลใดๆ แต่ชื่อเสียงของสกุลหลีกับสถานการณ์ของนางคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งแล้ว
ถึงตอนนั้นตำแหน่งฮูหยินเสนาบดีศาลยุติธรรมอันทรงเกียรติก็จะมีประโยชน์มากเป็นพิเศษใช่หรือไม่
เฉียวเจาเดินไปที่ริมหน้าต่างมองต้นพุทธรักษาที่งามสดสวยไม่เป็นสองรองใคร นางรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกถึงกลางใจ
‘คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินลงทัณฑ์’ นางได้รู้ซึ้งอีกคำรบหนึ่งว่าใช้คำกล่าวนี้กับคนบางคนแล้วเหมาะเจาะปานใด
“ฮูหยิน ข้ายังพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากขอรับ”
“เรื่องอะไร” นางหมุนกายกลับมา
“คนของเราจับตาดูคนในครอบครัวของพวกเขาอยู่ตลอดมิใช่หรือขอรับ วันก่อนลูกสะใภ้คนเล็กกลับสกุลเดิม ได้ยินโดยบังเอิญตอนนางร้องไห้ปรับทุกข์ว่าสามีนอนอยู่ห้องด้านข้างตลอด แล้วจะมีบุตรได้ที่ใดกัน…”
ครั้นปะทะเข้ากับสายตาแปลกใจน้อยๆ ของเฉียวเจา เฉินกวงเกาท้ายทอยอย่างกระดากใจ เขารีบกล่าวอธิบาย “ฮูหยิน มิใช่ว่าพวกข้ามีเจตนาแอบฟังเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยานะขอรับ แค่ได้ยินโดยไม่ตั้งใจ…”
“นี่คือเรื่องน่าสนใจที่เจ้าบอกหรือ” เฉียวเจาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่เข้ากันไม่ได้น่าสนใจที่ตรงใด
แค่กๆ นอนแยกห้องกันตลอดก็ต้องเข้ากันไม่ได้แน่นอน
“ไม่ใช่เรื่องนี้แน่นอน…” เฉินกวงพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักกึก ดวงหน้าขาวเกลี้ยงเป็นสีแดงเรื่อๆ อย่างน่าสงสัย
แววตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่ง นางเอ่ยถามว่า “มีอะไร”
“ฮูหยิน พูดเรื่องนี้ออกมากลัวว่าหูของท่านจะแปดเปื้อนขอรับ”
เฉียวเจายิ้มแล้ว “คนข้างนอกนินทาข้าอย่างนั้น ข้ายังอยู่ดีมีสุข แล้วจะมีเรื่องอะไรที่ฟังไม่ได้”
เฉินกวงชั่งใจเล็กน้อยก่อนทำใจแข็งกล่าวว่า “บุตรชายคนเล็กของพวกเขามีใจเสน่หาบุรุษขอรับ”
“มีใจเสน่หาบุรุษ?”
“ขอรับ ก็คือไม่ชมชอบสตรี ชมชอบแต่บุรุษ คนของเราสะกดรอยตามบุตรชายคนเล็กของพวกเขาไป พบเห็นเขาอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง ฮึๆ เขายังเป็นฝ่ายที่โดนทับอยู่ด้านล่างด้วยนะ…” เฉินกวงรีบปิดปาก เขาทำตาละห้อยมองเฉียวเจา
ข้าเป็นคนจริงจังมากจริงๆ ฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิดเด็ดขาดนะ!
บุรุษกับบุรุษ…
ในใจแม่นางเฉียวยามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกตะลึงพรึงเพริด ภาพในสมุดเล่มเล็กๆ วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดคล้ายโคมม้าวิ่ง
นางมั่นใจว่าในสมุดเล่มเล็กไม่มีภาพอธิบายในเชิงนี้!
* เมล็ดมะกล่ำตาหนู ชาวจีนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าถั่วแห่งความคิดถึง นิยมนำมาร้อยเป็นสร้อยข้อมือเพื่อเป็นของที่ระลึกของคนรัก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ธ.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.