บทที่ 9
“เจ้าวาดเป็น?” ฉือชั่นจ้องหน้าเฉียวเจา รูปตาของเขาเรียวยาวชี้ขึ้นน้อยๆ ต่อให้มีแววเย้ยหยันฉายอยู่ในนั้นจางๆ ก็ยากจะกลบรัศมีความงามของมันได้
“แล้วอย่างไรต่อ หรือเจ้าจะวาดให้ข้าภาพหนึ่งให้ข้าเอากลับไปรายงานตัว?”
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ข้างหลังเฉียวเจา เขาไอเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งเป็นเชิงเตือนแม่นางน้อยว่าอย่าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า
ขืนยั่วโทสะของเจ้าคนผู้นี้จริงๆ ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เด็กน้อยหรือคนชรา ก็โดนเขาไล่ลงจากเรือเหมือนกันหมดโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น ถึงเวลานั้นแม่นางน้อยจะไม่น่าสงสารหรือไร
จูเยี่ยนกล่าวเตือนเสียงนุ่ม “คนที่เคยเรียนวาดภาพล้วนวาดรูปเป็ดได้ ทว่า ‘วาดได้’ กับ ‘วาดเป็น’ ต่างกันนะ…”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “พี่จู ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็มองไปทางฉือชั่นอีกครา
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งหากเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “ข้าวาดภาพเป็ดเล่นน้ำให้พี่ฉือภาพหนึ่ง ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่พี่ฉือยื่นมือช่วยเอาไว้”
ฉือชั่นกำลังหงุดหงิดใจอยู่แต่เดิม ในสายตาเขาตอนนี้ ความจริงใจของเฉียวเจาจึงกลายเป็นยโสโอหังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
เขามองนางตาเขม็ง ทั้งที่โกรธกลับยิ้ม ทว่าน้ำเสียงเย็นกระด้าง “อย่างนั้นก็ได้ เจ้าวาดสิ”
ชายหนุ่มหยุดเว้นจังหวะก่อนพูดต่ออีกคำหนึ่ง “หากทำให้ข้ากลับไปรายงานตัวไม่ได้ พอเรือเทียบฝั่งกลางทางเจ้าก็ขึ้นฝั่งไปเสีย”
“สือซี…” จูเยี่ยนตบไหล่เขาเบาๆ “เช่นนี้จะไม่…” ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากไปแล้ว
สุดท้ายจูเยี่ยนมิได้กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา
พวกเขาสามคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาย่อมแจ่มแจ้งถึงนิสัยใจคอของสหายรักดี
เรื่องขององค์หญิงใหญ่กับท่านราชบุตรเขยทำให้จิตใจของฉือชั่นเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย แต่ตอนนั้นยังไม่หนักข้อถึงเพียงนี้ ฉือชั่นยิ่งเจริญวัย ยิ่งรูปงามเด่นเหนือใคร ความวุ่นวายก็ตามมามากขึ้นทุกที
เขายังจดจำได้แม่นยำว่ามีครั้งหนึ่งฉือชั่นใจดีช่วยสตรีที่โดนอันธพาลลวนลามนางหนึ่ง สตรีผู้นั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะตามฉือชั่นกลับวัง ฉือชั่นย่อมปฏิเสธเป็นธรรมดา คิดไม่ถึงว่าวันต่อมานางจะผูกคอตายใต้ต้นไม้นอกประตูวังองค์หญิงใหญ่ ทั้งยังทิ้งคำพูดไว้ว่า ‘ยามอยู่ขอเป็นคนของฉือชั่น ยามตายขอเป็นผีของฉือชั่น’
อันว่าเรื่องดีไม่ออกนอกเรือน เรื่องร้ายสะพัดไกลพันลี้ ชั่วพริบตาเดียวเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวง จนภายหลังใครยังจะจดจำได้ว่าฉือชั่นช่วยคนไว้ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสี แต่ตอนท้ายไม่รับผิดชอบถึงเป็นตัวการทำให้สตรีผู้นั้นคิดสั้น
ปีนั้นฉือชั่นเพิ่งย่างสิบสาม แต่อานุภาพลมปากคนน่ากลัวนัก ประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่กดทับเด็กหนุ่มไว้จนหายใจไม่ออก แล้วมารดาของเขาองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็คว้าแส้ประเคนใส่บุตรชายฝากรอยแผลไว้ทั่วร่าง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉือชั่นกลายเป็นคนขวางโลกมากขึ้นทุกวัน
กล่าวตามสัตย์จริง วันนั้นตอนหลีซานขอความช่วยเหลือจากสหายรักกลับไม่ถูกปฏิเสธ เขายังรู้สึกประหลาดใจอยู่เลย
จูเยี่ยนถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
ช่างเถิด ถ้าคุณหนูหลีถูกขับไล่ลงจากเรือ อย่างมากเขาก็คอยช่วยเหลือดูแลลับๆ จะปล่อยให้เด็กสาวหมดหนทางกลับเรือนจริงๆ ก็คงไม่ได้
“พวกเจ้าอย่าเข้ามายุ่ง นี่เป็นนางรนหาที่เอง” ฉือชั่นพูดอย่างเย็นชา
พวกสตรีล้วนเป็นเยี่ยงนี้ ตั้งแต่สามขวบจนอายุแปดสิบ ละโมบ ฟุ้งเฟ้อ ยโสโอหัง ไม่รู้จักตนเองดี…
ในหัวของฉือชั่นสรรหาคำติติงได้นับสิบ ช่ำชองเชี่ยวชาญสุดจะเปรียบ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ คนผู้นี้ไม่เหมือนกับภาพในความทรงจำนางสักเท่าไร ยามนั้นเขาแค่หน้าด้านหน้าทนแท้ๆ ดูไม่ออกว่าจะใจแคบใจดำเช่นนี้
“ที่แท้พี่ฉือช่วยคนไม่หวังผลตอบแทนนั่นเอง” เฉียวเจากล่าวถ้อยคำหนึ่ง
ฉือชั่นหรี่ตาลงอย่างไม่ใคร่เข้าใจความหมายของนางนักในชั่วประเดี๋ยว
จูเยี่ยนเป็นผู้ชมกลับอ่านหมากได้ปรุโปร่ง เขาหยุดคิดเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้งแล้วหัวร่อเบาๆ อย่างสุดระงับ
หยางโฮ่วเฉิงกระตุกมือจูเยี่ยนทีหนึ่งพลางกระซิบถาม “พูดเป็นปริศนาอะไรกันรึ”
จูเยี่ยนส่ายหน้าไม่เอื้อนเอ่ย
ฉือชั่นมองคนทั้งคู่แวบหนึ่ง ค่อยพิศดูสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของเฉียวเจาอีกทีก็แจ่มแจ้งในบัดดล
แม่นางน้อยจะบอกว่าตอนแรกเขารับปากพานางกลับเมืองหลวง พอนางจะวาดภาพให้เขาเพราะต้องการทดแทนคุณกลับต้องเสี่ยงโดนไล่ลงจากเรือ เห็นได้ว่าเขามิได้หวังให้นางตอบแทน
แท้จริงแล้วนี่เป็นการประชดประชันเขาว่าเป็นคนใจดำนั่นเอง
ฉือชั่นอดถลึงตาใส่แม่นางน้อยอย่างดุดันไม่ได้
แม่นางน้อยอายุเพียงสิบสองปีจริงหรือ ตอนนี้ก็มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากถึงเพียงนี้ พูดคำหนึ่งยังทำให้ผู้อื่นต้องขบคิดนานสองนาน วันหน้าจะร้ายกาจเพียงใด!
นัยน์ตาทั้งคู่ที่ตาดำและตาขาวตัดกันชัดของเฉียวเจาจับจ้องอยู่ที่ฉือชั่น นางรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตนเสียเลย ก็แค่พูดตามความจริงเท่านั้น เหตุใดจึงโดนมองตาขวางอีกแล้ว
ฉือชั่นเบนสายตาออกแล้วเอ่ยเสียงเย็น “นึกเสียใจภายหลังตอนนี้ก็สายเสียแล้ว นี่ปู่รอเจ้าวาดภาพอยู่นะ”
ยามนี้เฉียวเจาทนฟังคำว่า ‘ปู่’ ไม่ได้เป็นพิเศษ นางสะกดความไม่พอใจไว้ กล่าวขึ้น “ท่านปู่ข้าล่วงลับไปนานแล้ว”
ฉือชั่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดือดดาลเป็นการใหญ่ ยกมือชี้หน้าเฉียวเจา “เจ้า…เจ้า…”
หลังพูด ‘เจ้า’ ซ้ำๆ อยู่เป็นนาน เขาเห็นขอบตานางแดงเรื่อ ถึงกับเค้นคำพูดไม่ออกสักคำ
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงฟังออกว่าเฉียวเจาเจตนาเหน็บแนมฉือชั่น เผอิญว่านางเหน็บแนมได้อย่างมีชั้นเชิง ยั่วให้คนโกรธแต่ระบายออกไม่ได้ พาให้ทั้งคู่หัวร่อเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
ฉือชั่นได้ยินแล้วโมโหมากยิ่งขึ้น
แต่ไรมาเฉียวเจามิใช่คนหน้าบาง บัดนี้อยู่ในร่างเด็กสาวอ่อนต่อโลกก็ยิ่งไม่เอาใจใส่ นางไต่ถามอย่างเยือกเย็น “บนเรือมีหมึกพู่กันกับสีหรือไม่เจ้าคะ”
“มีหมด ข้าพาเจ้าไปเอง” จูเยี่ยนหวั่นเกรงว่าบรรยากาศจะตึงเครียดเกินไป จึงขันอาสานำทางเฉียวเจาไปที่ห้องพักใต้ห้องในตัวเรือ
เดิมทีเรือลำนี้สามารถบรรทุกคนได้สิบกว่าคน แต่สามคนนี้เป็นพวกเจ้าบุญทุ่ม ควักเงินเหมาทั้งลำและใช้ห้องพักว่างห้องหนึ่งทำเป็นห้องหนังสือ
เฉียวเจาเดินตามจูเยี่ยนเข้าไปแล้วมองไปรอบๆ มาตรว่าภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่สิ่งที่พึงมีดังเช่นโต๊ะหนังสือหรือตั่งนั่งเตี้ยล้วนไม่ตกหล่นสักชิ้น
“พู่กัน กระดาษ แท่งหมึก จานฝนหมึกพวกนี้ เจ้าใช้ได้ตามใจชอบเลยนะ” จูเยี่ยนพานางเข้าไปข้างในพลางพูด “แต่อย่ารื้อค้นตำราพวกนี้ส่งเดช ไม่เช่นนั้นจะทำให้สือซีโกรธอีก”
“ขอบคุณพี่จูมาก ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจายอบกายคำนับเขาเป็นการแสดงความขอบคุณ
“อย่างนั้นข้าออกไปก่อนนะ”
ตามธรรมดาคนวาดภาพไม่ชอบให้มีคนอยู่รบกวนด้านข้าง อีกประการหนึ่งจะอย่างไรชายหญิงก็ต่างกัน อยู่ในห้องตามลำพังสองต่อสองไม่ใคร่เหมาะสม
เฉียวเจาผงกศีรษะเล็กน้อย “เชิญพี่จูตามสบายเจ้าค่ะ”
จูเยี่ยนเห็นเด็กสาวนั่งตัวตรงหน้าโต๊ะหนังสือ เอากระดาษเซวียนจื่อ* คลี่วางบนนั้น ยกมือขาวผ่องขึ้นแล้วเริ่มต้นฝนหมึกอย่างนุ่มนวล เขาชะงักฝีเท้ากล่าวเสียงเบา “ไม่ต้องกังวลใจนะ สือซีเป็นคนปากร้ายใจดี”
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นสบตากับจูเยี่ยนอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง แต่แล้วก็ยกยิ้มมุมปาก “ขอบคุณพี่จูมาก ข้าไม่กังวลใจเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นปากร้ายใจดีเป็นคำเท็จ ส่วนพี่จูท่านนี้ใจดีมากกลับเป็นความจริง
นางไม่มีอะไรต้องกังวลใจ รอเมื่อชดใช้หนี้บุญคุณที่ติดค้างพวกเขา วันหน้านางน่าจะไม่ได้ข้องแวะใดๆ กับสามคนนี้แล้ว
น้ำเสียงของเด็กสาวสงบนิ่ง สีหน้าก็เยือกเย็นเหลือเกิน บันดาลให้จูเยี่ยนเก้อกระดากอยู่สักหน่อย เขาพยักหน้ากับนางแล้วก้าวขาเดินออกไป
ฉือชั่นได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วหันหน้ามา พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไฉนออกมาแล้ว”
จูเยี่ยนเดินมาถึงข้างกาย เงื้อมือทุบเขาทีหนึ่งเบาๆ “พูดอะไรของเจ้า”
ฉือชั่นหลุบตาหยักยิ้มแล้วแลมองไปทางท้องน้ำ
ทิวทัศน์ของวสันตฤดูงดงามเหลือหลาย ต้นหลิวสองฝั่งน้ำสะบัดกิ่งพลิ้วไหวสะท้อนเงาอยู่เหนือผิวน้ำ ละม้ายสาวน้อยอยู่หน้าคันฉ่องประทินโฉมเผยความงามอ่อนหวานละมุนละไมออกมาอย่างเต็มที่ เพียงแต่ริ้วคลื่นกระเพื่อมไหวยามเรือเคลื่อนผ่านทำลายความสงบงดงามนี้ลง
“ไม่มีอะไร แค่กลัวเจ้าจะสร้างปัญหาโดยใช่เหตุเท่านั้นเอง” บุรุษผู้มีรูปโฉมเจิดจรัสกว่าฤดูใบไม้ผลิกล่าวอย่างเนิบนาบ
จูเยี่ยนอึ้งงันไปแล้วก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ “สือซี เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ภาพเด็กสาวในท่วงท่านั่งหลังเหยียดตรงยิ่งกว่าต้นไป๋หยาง* ผู้นั้นผ่านวาบเข้ามาในห้วงความคิด รอยยิ้มของเขายิ่งกว้างขึ้น
เกรงว่าแม่นางน้อยผู้นั้นอยากให้ทั้งสองฝ่ายไม่ติดค้างกันและกันใจจะขาดมากกว่านะ
เรือแล่นไปเอื่อยๆ ดวงอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตกทีละน้อย
สายตาของหยางโฮ่วเฉิงมองไปทางห้องในตัวเรือบ่อยๆ
“แม่นางน้อยอยู่ในนั้นครึ่งค่อนวันแล้ว กระทั่งอาหารกลางวันก็มิได้ออกมากิน คงจะมิใช่วาดไม่ได้แล้วกลัวถูกสือซีไล่ลงจากเรือ เลยไม่กล้าออกออกมากระมัง”
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนสบตากัน
ดูเหมือนเป็นไปได้มากเลยทีเดียว!
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” จูเยี่ยนพูดเบาๆ
ฉือชั่นห้ามเขาไว้ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะ “ข้าไปเอง ดูสิว่านางจะหลบไปถึงเมื่อไร”
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมา ทั้งสามหันไปตามเสียง เห็นเฉียวเจาเดินมาหา
ฉือชั่นเลื่อนสายตาลงเห็นสองมือนางว่างเปล่า เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “ภาพวาดเล่า ถูกเจ้ากินไปแล้วรึ”
บทที่ 10
เฉียวเจาแบมือออกพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา
หยางโฮ่วเฉิงเป็นคนใจร้อน เขาถามนางอย่างอดรนทนไม่ไหว “มองหาอะไรอยู่เล่า หรือว่าเจ้าทำภาพวาดหายไปแล้ว”
ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไรจริงๆ
แม่นางน้อยไม่เหลือบตาขึ้น นางกล่าวเสียงเรียบ “ภาพวาดมิได้หายไป ข้ากำลังมองหา ‘สมบัติ’ เจ้าค่ะ”
สมบัติ? ทั้งสามคนนิ่งงันไป
“‘สมบัติ’ ที่ว่ามันคืออะไรกัน” หยางโฮ่วเฉิงคิดว่ามีนัยซ่อนอยู่ จึงไต่ถามต่อทันที
นัยน์ตาคู่งามดั่งสายน้ำสารทฤดูของเด็กสาวมองกวาดไปทางฉือชั่น นางพูดไขความกระจ่างอย่างมีน้ำอดน้ำทน “สมบัติที่ว่านี้ก็คือ สมบัติผู้ดีเจ้าค่ะ”
ครานี้ทั้งสามคนล้วนเข้าใจแล้ว จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสบตากันก่อนมองไปทางฉือชั่นพร้อมกัน จากนั้นปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างสุดจะกลั้น
ดวงหน้าขาวเนียนดุจหยกของฉือชั่นเปลี่ยนจากปึ่งชาเป็นบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว
นับแต่พานพบแม่นางน้อยผู้นี้ จำนวนครั้งที่เขาโดนสหายรักรวมหัวกันหัวเราะเยาะเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
เขาก้าวปราดๆ ไปตรงหน้าเฉียวเจา ยื่นมือจับปลายคางเรียวเล็กของนาง “บังอาจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ พูดหยั่งเชิง “ผู้มีพระคุณ?”
โทสะของคุณชายฉือที่ทบทวีขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายลูกหนังถูกสูบลมจนโป่งพองเต็มที่แล้วถูกเข็มเจาะแตกในชั่วอึดใจ เขาขึงตามองสาวน้อยตรงหน้าที่ยังสูงไม่ถึงใต้รักแร้ตนแล้วมุมปากกระตุกริก ปล่อยมือออกเงียบๆ
แม่นางน้อยผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นดาวข่มข้าเป็นแน่แท้กระมัง
เสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอของสองสหายรักลอยมากระทบใบหู ฉือชั่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนสะบัดแขนเสื้อออกเดินไป
จวบจนเขาลับร่างไปตรงหน้าประตูทางเข้าห้องในตัวเรือ หยางโฮ่วเฉิงแทบจะหัวร่องอหาย เขาบอกกับเฉียวเจา “แม่นางน้อย วันหน้าพี่ชายคอยคุ้มหัวเจ้าเอง”
คนที่เล่นงานฉือชั่นจนหน้าหงายได้บ่อยๆ ช่างหาได้ยากเหลือเกินจริงๆ
เฉียวเจาย่อกายคารวะ “ขอบคุณพี่หยางที่ให้ความเอ็นดูเจ้าค่ะ”
จูเยี่ยนทำปากขมุบขมิบอยากจะบอกอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายเขามองหยางโฮ่วเฉิงแล้วไม่เปล่งเสียงพูดอีก
ตรงหัวเรือเพิ่งอยู่ในความสงบสุขครู่เดียว ฉือชั่นก็ทะยานกายออกจากใต้ห้องในตัวเรือประหนึ่งพายุหมุนวูบหนึ่ง ส่งผลให้พวกจูเยี่ยนที่รู้จักนิสัยเขาดีพากันสะดุ้งตกใจ
“ขโมยขึ้นใช่หรือไม่ หรือว่าเจอพวกโจรสลัดวอโค่ว* แล้ว?” หยางโฮ่วเฉิงเอามือขวาจับฝักดาบตรงเอวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“โจรสลัดอะไรกัน พวกเจ้าตามข้าเข้ามาเร็วเข้า” ฉือชั่นตะโกนบอกคำหนึ่งแล้วหมุนกายย้อนกลับไปทางเดิม
หยางโฮ่วเฉิงเดินไปข้างในพลางพูดพึมพำ “ตรงนี้ห่างจากเมืองฝูตั้งไกล ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าไม่มีทางเจอพวกวอโค่ว”
แคว้นต้าเหลียงหาได้อยู่ในยุคบ้านเมืองสงบสุขปวงประชาร่มเย็น ทิศเหนือมีชาวต๋าหลู่** บุกมารุกรานปล้นสะดมบ่อยๆ โจรสลัดวอโค่วริมทะเลทิศใต้ก็เป็นเภทภัยบ่อนทำร้ายแผ่นดิน หลายปีมานี้ชาววอโค่วยิ่งมายิ่งก่อความเดือดร้อนรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ราชสำนัก
เฉียวเจามองดูร่างคนทั้งสามหายลับไปที่หน้าประตูทีละคนแล้วติดตามไปด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน” จูเยี่ยนที่สุขุมเยือกเย็นเสมอมา หากชั่วขณะที่มองภาพเป็ดเล่นน้ำบนโต๊ะในห้องหนังสือภาพนั้นแล้วกลับควบคุมตัวเองไม่อยู่
ด้านหยางโฮ่วเฉิงก็เริ่มเอะอะโวยวาย “ผีหลอกหรืออย่างไร ข้าจำได้ชัดๆ ว่าตรงนี้มีคราบหมึกรอยหนึ่ง”
เขาพูดพร้อมกับยื่นมือไปจะสัมผัส
“อย่าจับ!” จูเยี่ยนร้องตะโกนคำหนึ่ง ไม่แยแสว่าน้ำเสียงของตนดุดันเคร่งเครียดเกินไป เขาล้วงผ้าเช็ดหน้ามาห่อนิ้วมือไว้แล้วค่อยแตะเบาๆ ตรงตำแหน่งที่เป็นเงาสะท้อนของสะพานเล็กในภาพอย่างระมัดระวัง
เขาดึงมือกลับ เห็นคราบหมึกจางๆ บนผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด แววตาของเขานิ่งขึงไปก่อนจะหันขวับไปมองเฉียวเจา
ท่าทางของสหายรักทำให้ฉือชั่นคาดเดาอะไรได้เลาๆ ทว่ามันยากเกินกว่าที่เขาจะเชื่อจริงๆ สายตาของเขาตรึงอยู่ที่ใบหน้าของเฉียวเจาขณะอ้าปากพูด “เจ้า…”
ด้วยเป็นคำตอบน่าตกใจเกินไป กลับทำให้ถามไม่ออกแล้ว
เฉียวเจาสาวเท้าเนิบๆ เดินมายกกล่องยาวๆ บนโต๊ะหนังสือขึ้นถือประคองด้วยสองมือยื่นส่งให้จูเยี่ยน
ชายหนุ่มรับไว้อย่างงุนงง แต่แล้วคล้ายว่าคิดอะไรขึ้นได้ เขาเปิดกล่องยาวหยิบภาพวาดในนั้นออกมาด้วยท่าทางว่องไว
พอม้วนภาพวาดคลี่ออก เป็นภาพเป็ดเล่นน้ำอันน่าตื่นตะลึง
ทั้งสามคนจับจ้องคราบหมึกบนภาพเป็ดเล่นน้ำรอยนั้นอย่างไม่ละสายตา จากนั้นก้มหน้ามองภาพที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือพร้อมกัน
นอกจากคราบหมึกรอยนั้น ภาพวาดทั้งสองภาพไม่ผิดเพี้ยนกันแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว!
“เหมือนกันทุกประการ นี่…นี่ทำได้อย่างไร” จูเยี่ยนพูดพึมพำ
เขาศึกษาศาสตร์แขนงนี้มาพอสมควร เป็นธรรมดาที่จะดูออกว่าภาพวาดสองภาพเบื้องหน้ามิใช่คล้ายคลึงกันเพียงผิวเผิน หากแต่เอกลักษณ์เด่นของภาพราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกันกระนั้น
“นี่มิใช่การลอกแบบ มิใช่การลอกแบบเด็ดขาด!” จูเยี่ยนส่ายหน้าไปมา เขามองไปทางเฉียวเจาด้วยสีหน้าพิศวง “หลีซาน คุณหนูหลี หรือว่าเจ้ามีภาพเป็ดเล่นน้ำของอาจารย์เฉียวเหมือนกัน”
ภาพเป็ดเล่นน้ำเป็นผลงานชื่อดังในวัยหนุ่มของอาจารย์เฉียวที่แพร่หลายไปทั่ว จึงมิได้มีแค่ภาพเดียว
เฉียวเจาชี้ผ้าเช็ดหน้าที่กำลังจะโดนจูเยี่ยนขยำจนยับยู่ยี่แล้ว
เขาก้มหน้าลง คราบหมึกจางๆ บนผ้าเช็ดหน้ารอยนั้นย้ำเตือนเขาว่าข้อกังขาเมื่อครู่นี้ช่างน่าขันปานใด
เขายอมจำนนกะทันหัน เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าทำได้อย่างไร”
เด็กสาวผู้หนึ่งสามารถวาดภาพชื่อดังของอาจารย์เฉียวได้ถึงขั้นที่ดูไม่ออกว่าของแท้หรือของเทียม แล้วคนที่ปกติภาคภูมิใจในทักษะการวาดภาพของตนอยู่มากเช่นเขาจะไม่เป็นที่น่าหัวร่อหรือไร
“ลอกแบบเจ้าค่ะ ข้าเคยบอกไว้มิใช่หรือว่าข้าชื่นชมเลื่อมใสอาจารย์เฉียวมากก็เลยลอกแบบภาพวาดของท่านเสมอๆ” เฉียวเจาพูดอย่างซื่อสัตย์ นางมิได้โกหก
ตอนเริ่มเรียนวาดภาพ ท่านปู่วาดเป็ดง่ายๆ ตัวเดียวให้นางลอกแบบอยู่นานถึงสามปีเต็ม ต่อมาก็ให้นางวาดภาพเป็ดในสระน้ำหลังสวนซิ่งจื่อเป็นเวลาอีกครึ่งปี หลังจากนั้นถึงนางหลับตาก็วาดภาพเป็ดได้ อีกทั้งภาพเป็ดที่วาดออกมาไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถใด คนอื่นเห็นแล้วล้วนยากจะแยกความแตกต่างจากภาพของท่านปู่ได้
ตามถ้อยคำจากปากท่านปู่คือเป็ดที่นางวาดมีจิตวิญญาณเหมือนกับภาพเป็ดจากปลายพู่กันของท่านแล้ว เมื่อจิตวิญญาณเดียวกัน ต่อให้องค์ประกอบผิดแผกกัน คนนอกก็จะนึกว่าวาดด้วยฝีมือคนเดียวกัน
ท่านปู่บอกนางว่าเมื่อใดที่นางใส่จิตวิญญาณให้แก่ภาพเป็ดจากปลายพู่กันตนตามที่ตนเองเข้าถึงได้ เมื่อนั้นทักษะการวาดภาพถึงนับว่าบรรลุถึงแก่นแท้แล้ว
น่าเสียดายที่นางมีพรสวรรค์ในทักษะการวาดภาพไม่สูง เห็นทีว่าชั่วชีวิตนี้คงหมดหวังแล้ว
“ลอกแบบ?” จูเยี่ยนพึมพำพูดทวนสองคำนี้อย่างใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเป็นแค่การลอกแบบง่ายดายเท่านี้ บางทีนางอาจมีพรสวรรค์กระมัง
“เหมือนเหลือเกิน นี่ออกจะเหมือนเกินไปแล้ว! แม่นางน้อย…ไม่ใช่สิ คุณหนูหลี นี่เจ้าเป็นคนวาดจริงๆ หรือ” หยางโฮ่วเฉิงมองเฉียวเจาตาไม่กะพริบ
นางส่งยิ้มให้เขาแล้วมองไปทางฉือชั่น “พี่ฉือ เช่นนี้ให้ท่านนำกลับไปรายงานตัวได้หรือไม่เจ้าคะ”
ใบหน้าชายหนุ่มฉายอารมณ์หลายหลากปนเปกันไป หลังเขานิ่งเงียบไปนานครู่หนึ่งถึงพยักหน้า หมุนกายเดินฉับๆ ออกไป
หยางโฮ่วเฉิงอธิบายด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “อย่าได้ใส่ใจ เจ้าคนผู้นั้นคงจะรู้สึกเสียหน้าน่ะ”
พอคิดไปถึงภาพวาดฝีมือขั้นเซียนนั่นแล้ว เขาพลันกระดากใจที่จะเรียก ‘แม่นางน้อย’ อีก จึงหันหน้าไปเอ่ยกับจูเยี่ยน “ในนี้อึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้ พวกเราออกไปกันเถอะ”
จูเยี่ยนมองเฉียวเจาอย่างพินิจก่อนพยักหน้าอย่างขอไปที “อื้อ”
เมื่อกลับมาที่หัวเรืออีกครา จูเยี่ยนยืนข้างราวรั้วไม่พูดไม่จา
หยางโฮ่วเฉิงตบไหล่เขา “เป็นอะไรไป สะเทือนใจหรือ”
จูเยี่ยนยิ้มฝืดๆ
ฉือชั่นซึ่งเอนพิงราวรั้วอยู่จู่ๆ พูดขึ้นเสียงเบาว่า “นางเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์ชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งจริงหรือ”
ด้วยมิใช่คนในแวดวงเดียวกัน เขาไม่รู้หรอกว่าสำนักราชบัณฑิตมีอาลักษณ์หลีผู้นี้อยู่หรือไม่ แต่กลับรู้สึกว่าตระกูลเช่นนั้นไม่อาจเลี้ยงดูบ่มเพาะบุตรสาวที่หลักแหลมเจ้าปัญญาปานนี้ออกมาได้
“มีอะไรน่าสงสัยรึ หรือว่านางยังจะโกหกเรื่องพวกนี้” หยางโฮ่วเฉิงไม่คิดเช่นนั้น
ฉือชั่นมองจูเยี่ยนปราดหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกไม่วายว่ามันแปลกพิสดารเกินไป จื่อเจ๋อจ้างอาจารย์ชื่อดังมาสอนสั่งชี้แนะตั้งแต่เด็กยังวาดภาพอย่างนั้นไม่ได้เลยนะ”
มุมปากของจูเยี่ยนกระตุกริกๆ อีกฝ่ายยังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่ เขาคับข้องใจมากพอแล้ว ยังถูกยกมาเปรียบเทียบอีก
หยางโฮ่วเฉิงมองจูเยี่ยนปราดหนึ่งเช่นกัน ก่อนจะพูดอย่างโผงผางว่า “นี่ก็ไม่น่าแปลกแล้ว คนแต่ละคนมีพรสวรรค์ไม่เท่ากัน ดังเช่นอาจารย์เฉียวที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วแผ่นดินท่านนั้น ผู้คนใต้หล้าก็ไม่เคยได้ยินว่าบิดาของเขามีกิตติศัพท์ความเก่งกาจเช่นใด”
พรสวรรค์ พรสวรรค์…
เชิงอรรถ
คุณชายจูผู้ถูกสหายรักอีกคนหนึ่งแทงใจซ้ำอีกแผลเป็นผลสำเร็จลอบกล้ำกลืนโลหิตคำต่อไปกลับลงคอ
* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูง เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ
* ต้นไป๋หยาง เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นตรงสูง ใบค่อนข้างใหญ่ ทนต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง
* วอโค่ว เป็นคำเรียกโจรสลัดชาวญี่ปุ่นในสมัยโบราณ
** ต๋าหลู่ เป็นคำเรียกชนเผ่าป่าเถื่อนทางทิศเหนือของจีนในสมัยโบราณ เช่น ชาวมองโกล ชาวหม่าน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.