X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม เล่ม 1 บทที่ 11-บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 11

เรือลอยฝ่าเมฆหมอกกลางธารา ลมโชยปะทะหน้านักเดินทาง

เหนือลำน้ำมีเรือแล่นสวนกันไปมาขวักไขว่ พวกฉือชั่นยืนชิดราวรั้วพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ผืนคัคนานต์มืดสลัวลงทีละน้อย แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องทั่วฟ้า เรือโดยสารลำหนึ่งแล่นเร็วรี่จากที่ไม่ไกลนัก เสียงสนทนาของทั้งสามคนหยุดชะงักทันใด

ฉือชั่นมองตามบุรุษชุดสีดำที่ยืนริมราวรั้วบนเรือลำด้านข้างโดยไม่ละสายตา คนผู้นั้นคล้ายรับรู้ได้ จึงเบนหน้ามองมาแล้วผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อย

บุรุษชุดสีดำยังหนุ่มแน่นมาก ดูท่าทางอยู่ในวัยราวยี่สิบเศษ อาภรณ์สีดำสนิทรัดรูปทั้งชุดขับเน้นเรือนกายสูงเพรียวล่ำสันของเขา บนใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้ม ทว่าไม่แผ่ไปถึงดวงตา

หากพูดว่าฉือชั่นเป็นคนรูปงามละเมียดละไมถึงขั้นสมบูรณ์ไร้ที่ติ ทันทีที่แย้มยิ้มจะฉายรัศมีความงามแกมเย้ายวนใจ เช่นนั้นรอยยิ้มของบุรุษชุดสีดำก็เป็นดั่งลมวสันต์ระลอกหนึ่งแผ่ไออุ่นให้คนรอบข้าง แต่กลับไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้ผู้เป็นเจ้าของแม้สักเศษเสี้ยว

จนกระทั่งเรือด้านข้างแล่นสวนผ่านไป หยางโฮ่วเฉิงถึงเอ่ยถามฉือชั่นที่คิ้วขมวดมุ่น “สือซี คนผู้นั้นเป็นใครกัน เจ้ารู้จักหรือ”

“ไม่ถึงกับรู้จัก…” ฉือชั่นหยุดเว้นจังหวะ เพิ่งดึงสายตากลับในเวลานี้แล้วกล่าวเนือยๆ “นั่นมิใช่คนดิบดีอะไร”

“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้” จูเยี่ยนบังเกิดความสนใจเช่นกัน

คนผู้นั้นแปลกหน้าเป็นอันมาก สหายรักยังรู้ว่าเป็นใคร ส่วนพวกเขากลับไม่เคยพบเจอมาก่อน นี่ต่างหากถึงน่าแปลก

ฉือชั่นแค่นเสียงฮึก่อนเอ่ย “รู้จักเจียงถังกระมัง”

“อย่าพูดล้อเล่น ใครบ้างไม่รู้จักเจียงถัง ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ยิ่งใหญ่” หยางโฮ่วเฉิงวางสีหน้าเคร่งขรึม

องครักษ์จินหลินรับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ ทำหน้าที่เป็นพระเนตรพระกรรณ คนทั่วหล้าไม่มีใครไม่หลบเลี่ยงยำเกรง เจียงถังรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ และยังมีอีกศักดิ์ฐานะหนึ่งก็คือบุตรชายของพระนมของโอรสสวรรค์

เพียงตรองดูก็รู้ได้ว่าเจียงถังเป็นบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยอำนาจและบารมีปานใด ไม่ว่าเป็นเหล่าเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนต้องให้เกียรติคนผู้นี้อยู่สามส่วน

ฉือชั่นเห็นสหายทั้งสองเริ่มทำสีหน้าจริงจังถึงกล่าวอธิบายต่อ “เจียงถังมีบริวารมือขวาสิบสามคน ใครๆ พากันเรียกขานว่าสิบสามราชองครักษ์ คนที่เพิ่งสวนผ่านไปเมื่อครู่นี้คือเจียงสือซาน*บุตรบุญธรรมของเจียงถัง เมื่อหลายปีก่อนเขาถูกส่งไปประจำการทางทิศใต้ ดังนั้นชาวเมืองหลวงล้วนไม่รู้จักคนผู้นี้ ส่วนข้านั้นตอนมาจยาเฟิงหนก่อนถึงได้วิสาสะกับเขา”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็เหยียดมุมปากพูดเสียงเยาะๆ “นั่นน่ะพวกเสือหน้ายิ้ม จู่ๆ ก็เจอ โชคร้ายเสียจริง”

จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงไม่ถามไถ่ต่ออีก ดูท่าทางไม่ถูกชะตากับองครักษ์จินหลินที่ใครต่อใครได้ยินชื่อก็ต้องอกสั่นขวัญผวาอย่างชัดเจนดุจเดียวกัน

หยางโฮ่วเฉิงเปลี่ยนเรื่องพูด “เย็นมากแล้ว พวกเรากลับห้องกินอาหารกันเถอะ”

สามคนนี้ทุ่มเงินก้อนโตเหมาเรือลำนี้เอาไว้ ย่อมได้รับการดูแลอย่างน่าพอใจ เมื่อพวกเขานั่งลงในโถงกินอาหาร กับข้าวร้อนกรุ่นส่งควันฉุยๆ ก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

หยางโฮ่วเฉิงมองหน้าประตูซ้ำๆ พลางพูดอย่างฉงนใจ “ไฉนคุณหนูหลียังไม่ออกมา”

“คงยังไม่หิวกระมัง” ฉือชั่นกล่าวอย่างเฉยเมย

“เป็นไปได้อย่างไร นางยังไม่ได้กินอาหารกลางวันเลยนะ หรือไม่พวกเราไปดูกันสักหน่อย” หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยเสนอขึ้น

ทั้งสามออกจากเรือนคราวนี้ไม่ได้พาบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วยเพราะติงว่าวุ่นวาย คนบนเรือเป็นบุรุษล้วนๆ ว่าไปแล้วเด็กสาวผู้หนึ่งคงจะพักอยู่อย่างไม่ค่อยสะดวกนัก

ในเวลานี้คุณชายสามคนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ภายหลังว่าบุตรสาวขุนนางวัยเยาว์นางนี้ไม่มีกระทั่งสาวใช้คอยดูแลปรนนิบัติสักคน นางลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเองตลอดที่ติดตามพวกเขามาหลายวันนี้โดยไม่ปริปากบ่นก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว

“น่ารำคาญจริงๆ เช่นนั้นก็ไปเถอะ ไปดูกัน” ฉือชั่นลุกขึ้นยืน

ทั้งสามมาถึงหน้าประตูห้องเฉียวเจา หยางโฮ่วเฉิงตะโกนเรียก “คุณหนูหลี! ถึงเวลากินอาหารเย็นแล้ว”

ด้านในเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง พวกเขาสบตากันไปมา

“เข้าไปดูดีหรือไม่” หยางโฮ่วเฉิงไต่ถามอีกสองคน

ฉือชั่นยืนกอดอก พูดเสียงเอื่อยๆ “ถ้าเกิดนางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ข้างในหรือว่าชำระกายอยู่เล่า ถูกพวกเราสามคนเห็นเข้า ใครจะรับผิดชอบ”

สมควรตาย ข้าชอบมาเจอะเจอเรื่องพรรค์นี้อย่างน่าประหลาดทุกครั้งเสียด้วย

“ข้าเอง” จูเยี่ยนนิ่งมองฉือชั่นประเดี๋ยวหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “คุณหนูหลีมิใช่คนประเภทนั้น”

เขาสืบเท้าผ่านตัวสหายสองคนไปเคาะประตู “คุณหนูหลี อยู่ข้างในหรือไม่”

ด้านในยังไร้เสียงตอบดุจเก่า

“คุณหนูหลี ล่วงเกินแล้ว” จูเยี่ยนยื่นมือผลักประตูเปิดออก

ห้องพักในเรือตกแต่งเรียบง่าย ไม่มีของบังตาจำพวกฉากกั้น ทั้งสามมองปราดเดียวก็เห็นเฉียวเจานอนอยู่บนเตียง

เรือนผมดำสลวยของเด็กสาวแผ่สยายขับเน้นดวงหน้าขาวราวหิมะ นัยน์ตาทั้งคู่ปิดสนิท

พวกเขาทำหน้าตาตื่นพร้อมกัน สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปโดยไม่คำนึงถึงอะไรอื่นอีก

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ทั้งสามถึงเห็นว่าแม่นางน้อยหน้าขาวซีดจนน่าตกใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายเต็มหน้าผาก เห็นชัดว่าไม่สบายแล้ว

“ก่อน…ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ” หยางโฮ่วเฉิงตกใจยกใหญ่

จูเยี่ยนขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงลังเลใจอยู่บ้าง “หลายวันมานี้ดูเหมือนคุณหนูหลีไม่ค่อยกินอะไรสักเท่าไร”

บุรุษอกสามศอกเฉกเช่นพวกเขาสามคนย่อมไม่ใส่ใจกิจวัตรประจำวันของเด็กสาวผู้หนึ่งจนเกินไปเป็นแน่ แต่พอได้ยินจูเยี่ยนเอ่ยเตือนขึ้นเช่นนี้ก็ฉุกคิดขึ้นได้ทันใด

หยางโฮ่วเฉิงพิศดูสีหน้าของเฉียวเจาแล้วชักร้อนใจ “แม่นางน้อยคงจะมิใช่ว่าหิวหรอกหรือ จู่ๆ เหตุใดนางถึงไม่กินอาหาร”

นั่นสิ จู่ๆ เหตุใดถึงไม่กินอาหาร ทั้งที่เป็นคนออกโรงเดินหมากล้อมกับฉือชั่นเพื่อจะได้กินอาหารเช้าโดยไว

จูเยี่ยนนิ่งคิดในใจแล้วมองไปทางฉือชั่น “สือซี เจ้าเห็นว่าสมควรทำเช่นไรดี”

“ยังจะทำเช่นไรได้ ถึงท่าเรือข้างหน้า เรือเข้าเทียบฝั่งก็ตามหมอมาดูอาการนางสิ” ฉือชั่นมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนพูดเสียงราบเรียบ “จะอย่างไรคงปล่อยให้นางตายบนเรือไม่ได้”

“ตายไม่ตายอะไรกัน ข้าดูแล้วแม่นางน้อยต้องไม่เป็นไรแน่” หยางโฮ่วเฉิงพูดปลุกปลอบ “เจ้าก็ปากแข็งใจอ่อนเช่นนี้ ทั้งที่เป็นห่วงมากแท้ๆ”

ฉือชั่นเบนสายตาออกอย่างขุ่นเคือง เจ้าคนแซ่หยางหมายความว่าอะไร ข้าไม่ได้เป็นห่วงนะ!

ทั้งสามคนยืนอยู่ในห้องเฉียวเจา พากันเงียบขรึมลงชั่วขณะ

ยามนี้เองเด็กสาวบนเตียงกลับขยับตัว นางพลันเปล่งเสียงเรียกเบาๆ “ท่านพ่อ ท่านแม่…”

ภายในห้องเงียบงันมากขึ้น

ชั่วครู่ใหญ่หยางโฮ่วเฉิงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้คิดถึงบ้านนั่นเอง”

จูเยี่ยนส่ายหน้า “มิใช่คิดถึงบ้านอย่างเดียวเท่านั้น นางเป็นสตรีผู้หนึ่งแต่ถูกล่อลวงมาทางทิศใต้ พอกลับถึงเรือนเกรงว่าจะไม่เป็นสุขนัก”

“พอเถอะ เรื่องพวกนี้หาใช่เรื่องที่พวกเราพึงวุ่นวายใจไม่” ฉือชั่นก้าวขาเดินออกไปถึงหน้าประตูแล้วย้อนกลับมาหย่อนบั้นท้ายลงนั่งบนเก้าอี้ ครั้นมองสบสายตาประหลาดใจของสองสหายรัก เขาพูดเสียงฮึดฮัด “ใครรั้งอยู่ล้วนไม่เหมาะสม ก็เฝ้าอยู่ด้วยกันหมดเถอะ พวกสตรีไม่ว่าอายุเท่าไรก็น่ารำคาญจริงๆ”

จูเยี่ยนส่งเสียงหัวเราะแผ่วๆ เขามองเฉียวเจาแล้วเริ่มวิตกกังวลอีก

แม่นางน้อยเป็นอย่างนี้ดูท่าทางจะป่วยหนักเอาการอยู่

“คุณหนูหลี…” เขาเรียกเสียงเบา

แพขนตาของเด็กสาวบนเตียงกระดิกเบาๆ แต่มิได้ลืมตาขึ้น

พวกเขาล้วนเป็นบุรุษ ไม่ว่าคนใดก็ไม่เหมาะจะแตะเนื้อต้องตัวนางดูว่าเป็นไข้หรือไม่ เลยได้แต่จับเจ่าเฝ้ารอไปเรื่อยๆ

เรือเทียบฝั่งในที่สุด

ฉือชั่นสั่งให้คนเรือคนหนึ่งไปเชิญหมอในเมืองมา แต่หยางโฮ่วเฉิงทักท้วงขึ้น “ช่างเถอะ ข้าไปเองดีกว่า ฝีเท้าข้าว่องไว”

จูเยี่ยนเดินตามออกไป “ข้าเข้าเมืองซื้อสาวใช้กลับมาสักคน จะได้ดูแลนางสะดวก สือซี สภาพของคุณหนูหลีเช่นนี้ไม่มีคนเฝ้าไม่ได้ เจ้าก็คอยดูแลนางเถอะ”

รอเมื่อสองคนนั้นไปแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงฉือชั่นที่มีสติแจ่มใสคนเดียว เขาก้มลงมองสำรวจเฉียวเจาที่นอนสลบไสลอยู่พลางพูดกับตนเอง “แม่นางน้อยเก่งกาจไม่เบา ทำให้พวกเขาสองคนวิ่งวุ่นรับใช้เจ้าได้”

เด็กสาวบนเตียงไม่มีท่าทีโต้ตอบใด แต่ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นๆ มันเป็นสีแดงเรื่อที่ไม่ปกติ

ฉือชั่นเม้มปากหันหน้ามองประตูแวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครมา เขาเอื้อมมือไปวางบนหน้าผากเฉียวเจาอย่างฉับไว

บทที่ 12

ร้อนมาก ร้อนจนลวกมือ

ฉือชั่นหดมือกลับ เรียวคิ้วมุ่นเข้าหากัน

เขาจ้องมองเฉียวเจาตาไม่กะพริบ ดวงตาทั้งคู่ของเขาดำเข้มดุจหินหมึกทำให้อ่านความรู้สึกไม่ออก นานครู่หนึ่งถึงยื่นนิ้วมือเรียวยาวออกไปใช้ปลายนิ้วจิ้มๆ ที่แก้มแดงจัดร้อนผ่าวของนางเบาๆ ท่าทางเหมือนเป็นการทำบุญทำทานก็ไม่ปาน

เด็กสาวที่สลบไสลอยู่กุมมือเขาไว้หมับ

ฉือชั่นสะดุ้งตกใจแล้วกระตุกมือออกตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกจับไว้แน่นขึ้น ดวงตาที่ปิดอยู่ของนางมีน้ำตาไหลพรากลงมา

นางร้องไห้อย่างปราศจากสุ้มเสียงทั้งที่ไม่ได้สติ นางหลับตาอยู่ทว่าทุกๆ เส้นสายบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศกเสียใจ แล้วความเศร้าโศกเสียใจที่สะกดกลั้นไว้เงียบๆ เฉกนี้จะกระทบใจคนได้มากขึ้นเป็นพิเศษ

ฉือชั่นบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะใจอ่อนหรืออย่างไร สุดท้ายเขามิได้ขยับตัว ปล่อยให้เด็กสาวกำมือตนไว้ร่ำไห้เงียบๆ จวบจนมีเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังขึ้นที่ระเบียงทางเดินถึงชักมือกลับ

เขาหันศีรษะไป เห็นหยางโฮ่วเฉิงแบกตาเฒ่าที่ผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวผู้หนึ่งเข้ามา ฉือชั่นแปลกใจอยู่บ้าง “เร็วถึงเพียงนี้?”

หยางโฮ่วเฉิงมีสีหน้ายินดี เขาวางตัวตาเฒ่าที่แบกไว้บนหลังลงกับเก้าอี้ พลางพูดอย่างตื่นเต้น “แม่นางน้อยโชคดียิ่งนัก ข้ายังไปไม่ถึงประตูเมืองก็พบกับหมอเทวดาใหญ่ระดับนี้!”

หมอเทวดาใหญ่ระดับนี้? หมายความว่าอะไร

ฉือชั่นทำสายตากังขา จากนั้นมองไปทางคนชราบนเก้าอี้

คนชราหงายหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาหมดสติอยู่หรือนี่

ฉือชั่นหันไปมองสหายรักเป็นคำรบที่สอง

หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอยพลางพูดอธิบาย “เจ้าไม่รู้อะไร หมอเทวดาหลี่ท่านนี้มีนิสัยประหลาดเป็นอันมาก เมื่อครั้งไทเฮาทรงเชิญเขาเข้าวังตรวจพระอาการ เขายังบ่ายเบี่ยงไม่เต็มใจเลยนะ ก็ข้ากลัวเขาไม่มานี่นา เลยใช้สันมือฟาดให้สลบไป”

คิ้วของฉือชั่นกระตุกริกคล้ายคิดอะไรขึ้นได้ เขาหันขวับไปมองคนชราที่สลบไสลไม่ได้สติแล้วตะเบ็งเสียงพูด “หมอเทวดาหลี่?! หรือว่าจะเป็นหมอเทวดาหลี่ที่ชุบชีวิตคนตายได้ตามคำเล่าลือผู้นั้น”

“เขานี่ล่ะ ครั้งนั้นหมอเทวดาหลี่เข้าวังตรวจพระอาการไทเฮา ข้าเคยเห็นหน้าเขา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนข้าเข้าเมืองไปตามหมอให้แม่นางน้อยกลับได้พบเขา ฮ่าๆ นี่ก็คือคุณธรรมคนกระมัง”

ครั้นคิดถึงที่ตนเองเงื้อสันมือฟาดฉับใส่หมอเทวดาท่านนี้ตอนเดินสวนผ่านไปโดยปราศจากความลังเลใดๆ จากนั้นก็แบกคนขึ้นหลังแล้วออกวิ่ง หยางโฮ่วเฉิงก็รู้สึกภาคภูมิใจในการตัดสินใจที่เด็ดขาดของตนยิ่งนัก

สีหน้าของฉือชั่นแปรเปลี่ยนไป เขาถอนใจเฮือกแล้วเอ่ยถาม “วรยุทธ์เจ้ามิได้ถดถอยลงกระมัง”

“หือ?”

“เจ้ามีคุณธรรมหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ปัญหาน่ะมีแน่นอน ประเดี๋ยวถ้าถูกคนไล่ฆ่า เจ้าตามล้างตามเช็ดเอาเองนะ”

“ไม่กระมัง…” หยางโฮ่วเฉิงมองหมอเทวดาแวบหนึ่ง

“หมอเทวดาใหญ่ระดับนี้ก็เหมือนขนมเปี๊ยะยัดไส้ตกลงมาจากฟ้า* หล่นใส่หัวเจ้า หากบอกว่าจะไม่ก่อปัญหาอะไรขึ้น ข้าไม่เชื่อหรอก” ฉือชั่นกล่าวเสียงเย็นๆ

“สหายน้อยผู้นี้ยังนับว่าฉลาดรู้ตนเองดี” เสียงพูดอย่างขึ้งโกรธดังขึ้น หมอเทวดาหลี่ลืมตาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตัวเขาโงนเงนไปมาก่อนจะยืนทรงตัวได้มั่น จากนั้นก้าวขาเดินออกไป

หยางโฮ่วเฉิงรีบขวางเขาไว้ “หมอเทวดาหลี่ ท่านยังจำข้าได้หรือไม่ ครั้งนั้นตอนท่านเข้าวัง…”

“ที่แท้เจ้าจำข้าได้หรือนี่” หมอเทวดาหลี่ตัดบทเขา

“อะ จำได้ขอรับ” หยางโฮ่วเฉิงพยักหน้า

“จำได้เจ้ายังฟาดข้าสลบรึ” หมอเทวดาหลี่เดือดดาล ไม่หลงเหลือท่วงท่าสง่างามสูงส่งดุจเทพสวรรค์ตามคำเล่าขานแม้สักกระผีกให้เห็น เขาล้วงเข็มเงินเล็กๆ ออกมากำหนึ่งแล้วซัดใส่อีกฝ่ายประหนึ่งเทพธิดาโปรยดอกไม้

เขาจะออกนอกเมืองไปเก็บสมุนไพรตัวหนึ่ง เจ้าหนุ่มบัดซบผู้นี้เดินผ่านข้างกายเขา จู่ๆ ก็ยื่นมือมาฟาดเขาสลบเหมือดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ช่างน่าโมโหจริงๆ!

“ท่านหมอเทวดาอย่าได้มีน้ำโห อย่าได้มีน้ำโหขอรับ น้องสาวน้อยของพวกข้าล้มป่วยอยู่ ก็ข้าร้อนใจนี่ขอรับถึงได้ใช้กำลังเช่นนี้” หยางโฮ่วเฉิงเอามือกุมศีรษะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

“ต่อให้เป็นราชันแห่งสวรรค์ ข้าก็ไม่ตรวจให้เจ้า” หมอเทวดาสะบัดแขนเสื้อก้าวขาเดินออกไป แต่แล้วก็เหลียวหน้ากลับมาบอกสั้นๆ ง่ายๆ กลางคันว่า

“อ้อ เข็มเงินนั่นของข้ามีพิษนะ”

สิ้นเสียงเขา หยางโฮ่วเฉิงก็สลบไป

ฉือชั่นทำหน้าตื่น ลุกขึ้นวิ่งไล่ตามไป “ท่านหมอเทวดาได้โปรดหยุดก่อน”

พอเขาลุกขึ้นเช่นนี้ หมอเทวดาหลี่หันหน้ามามองปราดเดียวก็เห็นเฉียวเจาที่นอนอยู่บนเตียง

หมอเทวดาหลี่ชะงักเท้ากึก เดินเร็วรี่ไปตรงหน้าเฉียวเจาแล้วทรุดตัวลงนั่งโดยไม่แยแสสนใจฉือชั่นที่เดินมาใกล้

เขาจ้องเฉียวเจาตาเขม็ง ประเดี๋ยวจับชีพจรประเดี๋ยวตรวจดูจุดต่างๆ ด้วยสายตาจนง่วน ลืมเลือนสิ่งรอบข้างไปโดยสิ้นเชิง

ฉือชั่นก้มตัวไปฉุดหยางโฮ่วเฉิงขึ้นมา ทันใดนั้นเขาหมุนกายขวับ ชักกระบี่ตรงข้างเอวออกมาได้ก็พุ่งเข้าปะทะ

คนสามคนที่บุกเข้ามาทางหน้าประตูตีวงล้อมเขาไว้ ห้องที่ไม่ใหญ่นักแต่เดิมกลายเป็นคับแคบชวนให้อึดอัดกะทันหัน

เพิ่งประมือกัน ฉือชั่นก็รู้ว่าแย่แล้ว

สามคนนี้เป็นพวกนักสู้เดนตายอย่างชัดเจน ไม่เพียงฝีมือล้ำเลิศ ยังสู้ตายสุดชีวิต มาตรว่าวิชายุทธ์ของเขาไม่อ่อนด้อย แต่ปะทะกันแบบหนึ่งต่อสามก็คงไม่ไหว

คนพวกนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหมอเทวดาหลี่

ความคิดเพิ่งผุดขึ้นในหัว ฉือชั่นก็รู้สึกเจ็บที่หัวไหล่ เขาร้องครางในลำคอเสียงหนึ่งอย่างสุดระงับ

เวลานี้เองเสียงบอกอย่างหงุดหงิดของหมอเทวดาหลี่ดังลอยมา “จะต่อยตีกันก็ไสหัวออกไปข้างนอก อย่ารบกวนข้าตรวจคนป่วย”

ถ้อยคำนี้ดังขึ้นราวกับสาปคนในห้องให้ตัวแข็ง คนทั้งสามที่บุกเข้ามาหยุดมือทันควัน หนึ่งในนั้นเอ่ยปากขึ้น “ท่านไม่เป็นอะไร ดีเหลือเกินจริงๆ ขอรับ”

คนผู้นั้นกล่าววาจาพลางเลื่อนสายตาไปที่ตัวหยางโฮ่วเฉิงซึ่งหมดสติอยู่บนเก้าอี้ ประกายอำมหิตจุดวาบในดวงตา

ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าทั้งที่มีพวกเขาคอยคุ้มกันหมอเทวดาหลี่เข้าเมืองหลวง คนผู้นี้จะลงมือโดยไม่ให้ตั้งตัวติดจนลักพาตัวหมอเทวดาไปได้ใต้จมูกพวกเขา

หากรู้ไปถึงหูผู้เป็นนาย ความผิดพลาดเยี่ยงนี้ถึงขั้นทำให้พวกเขาตายได้หลายครั้งแล้ว

“ไสหัวออกไป!” หมอเทวดาหลี่ตวาดด้วยสุ้มเสียงทรงพลังเต็มที่

ทั้งสามเคารพนับถือหมอเทวดาอย่างยิ่งยวด พวกเขาขานตอบคำหนึ่งทันที หมุนกายออกเดินไปข้างนอก แต่ยังไม่ลืมพาฉือชั่นกับหยางโฮ่วเฉิงที่สลบไสลอยู่ออกไปด้วย

เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว ฉือชั่นประจันหน้ากับคนสามคนที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดแผลตรงหัวไหล่ไว้ หยักยิ้มพูดเอื่อยๆ “ท่านทั้งสามไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ รอท่านหมอเทวดาตรวจคนป่วยเสร็จแล้ว พวกท่านก็จัดการตามสบายได้เลย”

เขาพินิจดูคนทั้งสามก่อนพูดต่อ “ข้าเดาว่าท่านทั้งสามก็เชิญหมอเทวดาไปตรวจอาการเช่นกัน เห็นทีว่าคงไม่อยากให้มีปัญหาใหม่แทรกขึ้นมากระมัง พวกข้ามิได้ประสงค์สิ่งอื่น แค่บังเอิญพบท่านหมอเทวดาถึงเชิญเขามาตรวจคนป่วยคนหนึ่ง ตอนนี้ดูท่าทางท่านหมอเทวดาสนอกสนใจคนป่วยของพวกข้าอยู่มาก อีกอย่างหากพวกเราไปกวนใจเหล่าใต้เท้าของกององครักษ์จินหลินเข้าจะไม่ดีสักปานใด”

คำกล่าวนี้แฝงความหมายไว้สามประการ หนึ่งคือบอกให้รู้ว่าพวกเขารู้จักหมอเทวดาหลี่ อีกทั้งมีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ หากสามคนนี้ลงมือสังหารก็จะเดือดร้อนไม่น้อย ประการที่สองคือชี้ให้เห็นว่าหมอเทวดาหลี่สนใจคนป่วยของพวกเขา ถ้าลงมือต่อแล้วยั่วโทสะของหมอเทวดา จะยิ่งเดือดร้อนมากขึ้น ประการที่สามคือมีคนของกององครักษ์จินหลินปรากฏตัวอยู่ละแวกใกล้ๆ นี้ หากโดนพวกเขาเพ่งเล็ง นั่นจะมิใช่แค่เดือดร้อนแล้ว

สรุปก็คือจะสื่อความหมายบอกอีกฝ่ายเรื่องหนึ่งว่า พบกันสุขี จากกันด้วยดี ไม่ว่าใครก็อย่าก่อปัญหาใหม่แทรกขึ้น

วาจาของฉือชั่นบังเกิดผลดังคาด สามคนนั้นสบตากันแล้วเก็บอาวุธเงียบๆ

องครักษ์จินหลินก็อยู่ในเมืองนี้ หากสังหารคนเหล่านี้จริงๆ แล้วถูกสุนัขบ้าพวกนั้นเพ่งเล็ง ดีไม่ดีอาจสร้างปัญหาให้ผู้เป็นนายได้ ภารกิจของพวกเขาคือพาหมอเทวดากลับเมืองหลวงอย่างราบรื่น อย่างอื่นล้วนประนีประนอมกันได้

เมื่อทั้งสองฝ่ายข้างนอกทำความเข้าใจบางอย่างได้ตรงกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างรอคอยอย่างสงบนิ่ง

ขณะที่ข้างในห้องหลังหมอเทวดาดึงเข็มออก เฉียวเจาลืมตาขึ้นช้าๆ ในที่สุด

เมื่อใบหน้าคุ้นตาสะท้อนเข้าคลองจักษุ เด็กสาวซึ่งงุนงงไม่รู้วันรู้คืนไปชั่วขณะหลุดปากเรียกขานว่า “ท่าน…ท่านปู่หลี่?”

 

เชิงอรรถ

* สือซาน หมายถึงสิบสาม

* ขนมเปี๊ยะยัดไส้ตกลงมาจากฟ้า เป็นคำอุปมา หมายถึงมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: