X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 11

ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ถ้านอนหลับไม่เพียงพอก็จะปวดศีรษะ ดูท่าทางเช่นนี้อาการเก่าน่าจะกำเริบแล้ว…

เซียงเฉ่าสงสารจับใจ แต่จะไม่ปลุกนางให้ตื่นก็ไม่ได้

เมื่อล้างหน้ากลั้วปากเสร็จ ซูลั่วอวิ๋นก็กินข้าวต้มแล้วนั่งรับแดดตรงริมหน้าต่างให้ตนเองสดชื่นขึ้น

ทันใดนั้นมีเสียงร้อง ‘เมี้ยว’ ดังมาจากใต้หน้าต่าง นางรู้ว่าในเรือนของตนเองไม่ได้เลี้ยงแมวไว้ จึงไต่ถามว่าเป็นแมวของเรือนใคร

เซียงเฉ่าถลึงตาใส่แมวน้อยที่เดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตัวนั้นก่อนเอ่ยตอบ “ปีนออกมาจากถ้ำนางปีศาจแมงมุมเจ้าค่ะ ขุนจนอ้วนพีแล้วยังจะมาลอบกินปลาแห้งที่ตากแดดไว้ของเรือนเราอีก…”

ซูลั่วอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็สาวเท้าออกไป พอจับทิศทางของเสียงได้แล้วก็อุ้มแมวตัวนั้นขึ้นมา

แมวน้อยก็ยอมให้นางอุ้มอย่างแสนรู้ ตอนนางใช้นิ้วสางขนแมวก็พบว่ามันสวมปลอกคอเอาไว้ ตามคำบอกของเซียงเฉ่ามีจี้ทองห้อยไว้ด้วย แสดงว่าแมวตัวนี้ได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของอย่างยิ่ง…

ซูลั่วอวิ๋นลูบแมวครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ไพล่ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง “ใกล้จะถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้แล้วกระมัง”

“หือ?” เซียงเฉ่าอ้าปากค้างอย่างพูดไม่ออก

ซูลั่วอวิ๋นกล่าวต่อขึ้นเอง “ข้าจำได้ว่าท่านพ่อเคยเล่าว่ามีอยู่ปีหนึ่ง เพราะหลังปีใหม่เป็นวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้ ตอนนั้นฮ่องเต้เว่ยเซวียนทรงมีพระประสงค์แสดงความอาลัยถวายแด่อดีตฮ่องเต้ จึงมีพระราชโองการลงมาว่าขุนนางทั่วทั้งราชสำนักแคว้นต้าเว่ยจะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงไม่ได้นานหนึ่งเดือน เป็นเหตุให้ท่านอาในตระกูลคนหนึ่งจัดงานฉลองครบเดือนให้บุตรไม่ได้…”

เรื่องนี้จะเสาะหาข้อยืนยันนั้นทำได้ง่ายดาย ตอนซูลั่วอวิ๋นปรุงเครื่องหอมในร้านโส่วเว่ยถือโอกาสคุยเล่นกับลูกจ้างเก่าแก่ในร้านก็ได้รับคำยืนยันแล้ว

หลังจากกลับเรือน นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว เป็นจดหมายถึงเพื่อนบ้านใหม่ของนางเอง

ในจดหมายเขียนบอกสั้นๆ อย่างอ้อมค้อมแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกับซื่อจื่อ ขณะเดียวกันยังเตือนซื่อจื่อเป็นนัยว่าถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงรักษาธรรมเนียมถือศีลสามวันทุกครั้งที่ถึงวันบวงสรวงเช่นเดียวกับฮ่องเต้เว่ยเซวียน พวกนางเต็มใจถือศีลพร้อมกับซื่อจื่อเพื่อแสดงความอาลัย

ความหมายก็คือขอแค่ซื่อจื่อผู้นั้นมิใช่คนโฉดเขลาก็น่าจะตระหนักได้ว่าวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้หรือเสด็จปู่ของเขามาถึงแล้ว เขาควรสำรวมตนบ้าง อย่าจัดงานเลี้ยงดื่มสุราจนโต้รุ่งอีกเลย!

ซูลั่วอวิ๋นปรารถนาที่จะได้นอนหลับอย่างสงบเงียบเหลือเกิน ถึงได้คิดวิธีนี้ออกมา หวังว่าทางจวนซื่อจื่อจะหยุดการสังสรรค์สักสองสามวัน

นางเขียนจดหมายนิรนามเสร็จแล้วก็ผูกไว้กับปลอกคอแมว

ไม่ว่าอย่างไรนางไม่ได้อาศัยอยู่ในตรอกชิงอวี๋ ส่วนจวนซื่อจื่อก็กว้างใหญ่เหลือหลาย ทั้งสี่ทิศมีถนนตรอกซอกซอยที่สลับซับซ้อน เหย้าเรือนที่อยู่ชิดติดกันก็มีไม่ต่ำกว่าสิบหลัง มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ยังเป็นจวนของขุนนางในราชสำนัก ส่วนเจ้าแมวตัวนี้ดูท่าทางจะวิ่งเพ่นพ่านเถลไถลไปทั่ว ทางจวนซื่อจื่อคงไม่รู้ว่าใครลอบผูกจดหมายไว้กับปลอกคอแมว

ในจดหมายก็ไม่มีถ้อยคำจาบจ้วงล่วงเกิน ล้วนแสดงถึงความเคารพยกย่องและไว้อาลัยต่อเชื้อพระวงศ์ ไม่น่าจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้

แต่ถ้าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นเป็นพวกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เกิดรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาก็บอกอย่างมั่นใจไม่ได้ว่าเป็นจดหมายของเรือนไหนอยู่ดี ดังนั้นนางจึงไม่คิดปกปิดลายมือของตนเอง แม้จะมีคนมาเคาะประตูเผชิญหน้า แต่จะบังคับหญิงตาบอดให้เขียนตัวอักษรเพื่อเทียบลายมือได้หรือ

อีกอย่างซูลั่วอวิ๋นรู้ว่าซื่อจื่อผู้นี้เทียบกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ไม่ได้ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่มีอำนาจ อาณาเขตพระราชทานของเป่ยเจิ้นอ๋องก็ได้ชื่อว่าเป็นชนบททุรกันดาร เกิดภัยแล้งเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้แทบจะปีเว้นปี

คนที่มองอะไรได้ปรุโปร่งต่างรู้ว่าในครั้งนั้นฮ่องเต้เว่ยเซวียนบังคับให้หลานชายของตน อดีตฮ่องเต้เว่ยจงสละราชสมบัติจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์ ถึงแม้พระองค์จะให้ความเคารพอดีตฮ่องเต้จนได้รับการสรรเสริญสดุดี แต่กลับหวาดระแวงพระญาติในสายอดีตฮ่องเต้สายนี้

หลังสืบเชื้อสายต่อกันมาสองรุ่น บุตรหลานในสายเป่ยเจิ้นอ๋องไม่มีคนที่มีความสามารถโดดเด่น ล้วนเป็นพวกหยิบหย่งไม่ได้ความ ตามธรรมเนียมบุตรชายคนโตที่เกิดกับภรรยาเอกในทุกรุ่นจะต้องถูกกักตัวอยู่ในเมืองหลวง เสพสุขไปวันๆ จนเสียผู้เสียคนก็สามารถกลับไปสืบทอดตำแหน่งอ๋องที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ครองอาณาเขตแห้งแล้งทุรกันดารนั่นต่อไป

ซูลั่วอวิ๋นกระจ่างแจ้งถึงจุดนี้จึงมิได้กริ่งเกรงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งซึ่งมีเพียงยศศักดิ์ที่ไร้อำนาจประหนึ่งเสือกระดาษผู้นี้อย่างเพื่อนบ้านคนอื่น

เจ้าแมวตัวนั้นทำหน้าที่ของมันได้ดียิ่ง พอกินปลาแห้งจนอิ่มแล้วก็กลับไปนอนพักผ่อนที่จวนซื่อจื่อพร้อมกับจดหมายที่ผูกไว้บนปลอกคอ

บ่าวรับใช้เห็นจดหมายฉบับนั้นแล้วดึงออกไปมอบให้ผู้ดูแล จากนั้นส่งต่อเป็นทอดๆ จนไปถึงมือของหานหลินเฟิง เมื่อคืนเขาจัดงานเลี้ยงจนดึกดื่นจึงตื่นสาย พอได้ยินว่ามีแมวส่งสาร บุรุษซึ่งปล่อยผมสยายลงมาก็เลิกคิ้วสูง ใช้นิ้วเรียวยาวคลี่จดหมายออกอ่าน

เนื้อความในจดหมายกลับเข้าใจได้ง่าย ดูผิวเผินคือรำลึกถึงอดีตฮ่องเต้ แต่แท้จริงแล้วเป็นคำเตือนอย่างอ้อมค้อมว่าหลายวันนี้เขาสมควรลดการเสพสุขลงบ้าง

แต่หานหลินเฟิงเห็นตัวอักษรงดงามไม่กี่บรรทัดนั่นแล้วสายตาก็ทอประกายเย็นเยียบขึ้น…ลายมือนี้…เขาคล้ายเคยเห็นมาก่อน…

ชั่วขณะนั้นข้างหูเหมือนได้ยินเสียงสายน้ำไหลเชี่ยวกับฝ่ามือเรียวขาวข้างหนึ่งตวัดพู่กันไปมาอีกครา…

หรือว่าคนเขียนจดหมาย…คือหญิงตาบอดที่เขาเคยพานพบผู้นั้น

เขาลุกขึ้นยืน ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือเขาถูกสตรีเจ้าเล่ห์ผู้นั้นหลอกเสียแล้ว นางไม่เพียงไม่ได้ตาบอด มิหนำซ้ำยังจดจำใบหน้าเขาได้ ถึงได้เขียนจดหมายนี้ตั้งใจขู่กรรโชกเขา

ความคิดที่สองคือสตรีผู้นั้นใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก ถึงกล้าท้าทายอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เป็นใครที่หนุนหลังนางอยู่

ในขณะที่คิดกลับไปกลับมาหลายตลบ เขาก็กวักมือเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา ถามไถ่ว่าแมวส่งสารอยู่ในจวนตลอดใช่หรือไม่ หลังจากได้ยินว่าแมวตัวนี้ชอบเดินเถลไถลไปทั่ว เขาก็เรียกชิ่งหยางคนสนิทมาบอกให้ไปสืบดูว่าจวนของเขาอยู่ติดกับเรือนของใครบ้าง

ชิ่งหยางเข้าใจความหมายของเจ้านาย ไม่นานนักก็ไปขอสมุดบันทึกเล่มหนึ่งจากคนรู้จักในที่ว่าการที่ดูแลโฉนดเรือน

หานหลินเฟิงไล่ดูไปทีละชื่อ สุดท้ายสายตาของเขาหยุดอยู่ที่ชื่อซึ่งเพิ่มเข้ามาใหม่…

 

ซูลั่วอวิ๋นแห่งสกุลซู

 

ชิ่งหยางเอ่ยขึ้นอย่างรู้จังหวะอยู่ด้านข้าง “เรือนหลังนี้อยู่ในตรอกทางทิศตะวันออกของจวนเรา ติดกับสวนบุปผาด้านหลัง ข้าสอบถามดูแล้วได้ความว่าเพิ่งย้ายมาขอรับ พี่สาวตาบอดพาน้องชายมาอยู่ด้วยกันตามลำพังเพื่อเตรียมสอบ…นายน้อย มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ”

หานหลินเฟิงไม่ตอบ เพียงลุกขึ้นยืนผลัดอาภรณ์แล้วตัดสินใจไปดื่มชาที่โรงน้ำชาตรงปากตรอก

 

ขณะที่นั่งดื่มชาในร้านอยู่นั้น ไม่ถึงชั่วครู่รถม้าคันหนึ่งก็แล่นออกจากตรอกเถียนสุ่ยที่อยู่ติดกับตรอกชิงอวี๋ ป้ายที่แขวนบนรถม้าเป็นตราสัญลักษณ์ของสกุลซูนั่นเอง

พอหานหลินเฟิงเห็นรถม้าก็ก้าวออกจากโรงน้ำชาขึ้นขี่ม้าปะปนไปกับฝูงชนตามหลังรถม้าคันนั้นไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า หลังจากผ่านถนนไปสามสายก็มาถึงหน้าร้านเครื่องหอมแห่งหนึ่ง

หานหลินเฟิงลงจากหลังม้าแล้วก้าวเท้าไปที่ด้านหลังรถม้าก็เห็นสาวใช้พยุงสตรีโฉมงามบอบบางนางหนึ่งลงมา

สตรีผู้นั้นยกชายกระโปรงขึ้นเผยให้เห็นรองเท้าผ้าปักวิจิตรประณีตข้างหนึ่ง แต่ว่าเท้าข้างนั้นมิได้วางลงบนพื้นทันที แต่ลองหยั่งดูเล็กน้อยแล้วค่อยเหยียบที่พื้นช้าๆ ดวงตาที่ไร้แววของนางเอาแต่มองตรงไปข้างหน้า

หานหลินเฟิงยืนอยู่ระยะใกล้ย่อมเห็นได้ชัดเจนเป็นธรรมดา สตรีอ่อนเยาว์นางนี้ก็คือสตรีบนเรือผู้นั้น ใบหน้าของนางยังงดงามผุดผาดดังเก่า แค่ว่าอิดโรยไปบ้าง ใต้ตามีร่องรอยของความอ่อนเพลีย

ตอนก้าวข้ามธรณีประตู คุณหนูใหญ่สกุลซูผู้นั้นยังสะดุดคราหนึ่งจนเกือบล้มลง เป็นเหตุให้สาวใช้ข้างกายพร่ำบ่นอย่างสงสาร

“คนอะไรก็ไม่รู้สมควรถูกสับเป็นชิ้นๆ จัดงานเลี้ยงดึกดื่นรบกวนคุณหนูจนนอนหลับไม่สนิทติดต่อกันหลายวัน…”

นางยังพูดไม่จบ คุณหนูใหญ่สกุลซูก็พูดตัดบทเสียงเบา “วันหลังห้ามพูดเช่นนี้ ระวังจะก่อปัญหาขึ้น…”

นายบ่าวคู่นั้นหาได้สังเกตเห็นบุรุษด้านหลังรถม้าไม่ ทางด้านหานหลินเฟิงก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้จากบทสนทนาสั้นๆ นี้

ดูเหมือนว่าการต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อของตนหลายวันมานี้จะรบกวนความสงบของเพื่อนบ้านคนงามเสียแล้ว แม่นางหลับไม่สนิทถึงได้ไหว้วานแมวน้อยมาส่งสารตักเตือน

สำหรับความเป็นมาของคุณหนูใหญ่สกุลซูผู้นี้ ชิ่งหยางสืบมาอย่างละเอียดแจ่มแจ้ง รวมถึงเรื่องในอดีตที่นางล้มศีรษะกระแทกจนเป็นต้นเหตุให้ตาบอด พลาดโอกาสได้ออกเรือนแล้วยังถูกส่งตัวไปอยู่ชนบท

หานหลินเฟิงฟังจบก็มั่นใจว่านางเป็นบุตรสาวพ่อค้าธรรมดา ดูเหมือนไม่มีคนหนุนหลังที่ทรงอำนาจหรือมีกำลังความสามารถใดจะมาคุกคามเขาได้ สองครั้งที่เขากับนางต้องมาข้องเกี่ยวกันก็คล้ายจะเป็นความบังเอิญจริงๆ

ชิ่งหยางซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังนายน้อยมองเห็นซูลั่วอวิ๋นแล้วเช่นกัน เขาอดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้พร้อมกับทอดถอนใจ แม้เขาจะเคยเห็นหญิงงามสะคราญและสูงศักดิ์มานับไม่ถ้วน แต่แม่นางที่ลงจากรถม้าผู้นี้มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามละเมียดละไมอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เพียงนึกเสียดายเมื่อเห็นนางทำท่าคลำหาทางอย่างระมัดระวัง ดูท่าน่าจะเป็นหญิงตาบอด เข้าตำราที่ว่าสวรรค์ริษยาหญิงงามโดยแท้!

เขาคิดคำนึงอยู่ในใจ หันหน้าไปก็เห็นนายน้อยยังคงมองตามแผ่นหลังของแม่นางผู้นั้น คงมิใช่เคลิบเคลิ้มในความงามของหญิงตาบอดด้วยอีกคนกระมัง

แต่แล้วเขาก็หัวเราะเยาะตนเองว่าคิดมากเกินไป

นายน้อยของเขาดูไปแล้วอาจกระทำตัวสำมะเลเทเมา แต่หาได้มีจิตใจหมกมุ่นในทางนี้ไม่ นายน้อยมิใช่ผู้ที่จะลุ่มหลงนารีอย่างเด็ดขาด นับประสาอะไรกับหญิงตาบอดที่มาจากตระกูลพ่อค้าผู้นั้น เกรงว่าต่อให้เป็นอนุก็ยังไม่คู่ควร…

ภายหลังชิ่งหยางรู้เรื่องแมวส่งสารแล้วเช่นกัน ถึงเขาไม่รู้ว่าซูลั่วอวิ๋นเคยนั่งเรือลำเดียวกับนายน้อย แต่กลับเห็นว่าคำกล่าวในจดหมายมีเหตุผล ก่อความรำคาญให้ชาวบ้านเป็นเรื่องเล็ก ทว่าวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้ใกล้จะมาถึงแล้ว นายน้อยไม่ควรจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ต่อจริงๆ

กระนั้นหานเฟิงหลินกลับใช้นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะเบาๆ พลางกล่าวว่า “ลานเรือนคับแคบอยู่บ้าง ยังสนุกไม่สาแก่ใจ ได้ยินว่าหอสุราเปิดใหม่ที่ทะเลสาบเอี้ยนจื่อ นอกเมืองมีเวทีแสดงการขับร้องร่ายรำขนาดใหญ่ เจ้าไปจองเหมาทั้งหอแล้วจ้างพวกนางขับร้องจากหอคณิกาของเมืองหลวงมา ข้าจะทุ่มเงินก้อนโตจัดงานเลี้ยงรับรองยอดฝีมือตีคลีที่นั่น”

ชิ่งหยางฟังแล้วก็เบิกตากว้าง รู้สึกว่านายน้อยทำเช่นนี้ออกจะเหลวไหลเกินไปจริงๆ ใกล้ถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้แล้วจะประพฤติตนเช่นนี้ได้อย่างไร

แต่เขาก็รู้ว่าความจริงแล้วนายน้อยเป็นคนที่มีความคิดอ่านลุ่มลึก เมื่อทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน

หลังจากชิ่งหยางท้วงติงไม่เป็นผล เขาก็ถอนใจคราหนึ่งแล้วออกไปปฏิบัติหน้าที่

 

นับแต่วันนั้นซูลั่วอวิ๋นก็ไม่ได้ยินเสียงดนตรีที่น่าขุ่นใจอีก นางสามารถนอนหลับได้เต็มอิ่มเสียที

ดูท่าว่าพระวิญญาณของอดีตฮ่องเต้จะทรงคุ้มครอง ช่วยกำราบบุตรหลานสำมะเลเทเมาไว้ได้ในที่สุด ซื่อจื่อผู้นั้นไม่กล้าจัดงานเลี้ยงสำเริงสำราญตลอดราตรีอย่างกำเริบเสิบสานอีก

เมื่อนางได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางคืน งานปรุงเครื่องหอมยามกลางวันก็ทำได้ง่ายดายสบายมือ แค่ว่าทุกครั้งที่ปรุงเครื่องหอม เหล่าเฝิงในร้านจะเป็นเหมือนแมลงวันตอมเนื้อเน่า ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป

ซูลั่วอวิ๋นรู้ว่าเหล่าเฝิงได้รับคำสั่งจากบิดาเป็นแน่ หมายจะเอาตำรับปรุงเครื่องหอมลับเฉพาะในมือของนางไป นางไม่จำเป็นต้องแสร้งตีหน้าถมึงทึงไล่คน เพียงอ้างว่าในร้านร้อนอบอ้าว ให้สาวใช้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของนางออก สวมแค่เสื้อคลุมบางเบาขณะปรุงเครื่องหอม

ครานี้เหล่าเฝิงจะหาข้ออ้างเข้าๆ ออกๆ ห้องปรุงเครื่องหอมก็ไม่ถนัดปาก ได้แต่รอให้คุณหนูใหญ่นำของที่ปรุงเสร็จแล้วออกมา

รอจนกระทั่งปรุงขี้ผึ้งหอมเสร็จหนึ่งโถเล็ก เหล่าเฝิงก็พาช่างทำเครื่องหอมสองสามคนมานั่งล้อมรอบโถกระเบื้องใบน้อยช่วยกันแยกแยะกลิ่น หลังจากพินิจพิเคราะห์คราหนึ่ง แม้จะเดาส่วนผสมได้หลายอย่าง แต่ยังไม่แน่ใจว่าคุณหนูใหญ่ใช้วิธีอะไรกันแน่ถึงทำให้กลิ่นผลตั้นหลีกับกลิ่นบุปผาผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัวเช่นนี้

ถึงอย่างไรวิธีปรุงสกัดวัตถุดิบที่ต่างกันก็มีผลต่อกลิ่นที่ได้เป็นอันมาก บางครั้งเรื่องวิธีทำนั้นสามารถดูออกได้เพียงผิวเผิน แต่ไม่อาจรู้แจ้งตลอด เช่นเดียวกับกระดาษกรุหน้าต่างที่เจาะไม่ทะลุปานนั้น

ตอนซูหงเหมิงได้ฟังคำรายงานของเหล่าเฝิง เขาก็โกรธมากจนเคาะกล้องยาสูบกับกระโถนบ้วนน้ำลายแรงๆ หลายที

“เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกถึงเพียงนี้เชียวรึ! นางเหมือนใครกันแน่”

หูซื่อที่เสียชีวิตในวัยสาวไม่ใช่คนหวงวิชาเช่นนี้ ตอนนั้นนางคัดลอกตำรับเครื่องหอมที่ปรุงขึ้นห้าชนิดให้เขาทั้งหมดอย่างละเอียด แต่เหตุใดหลังจากนางลูกตัวดีคนนี้ตาบอดกลับคล้ายมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวขึ้น

ติงซื่อคอยรินชาให้นายท่านใหญ่สกุลซูอยู่ด้านข้าง เอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “ข้าว่าตอนนี้ลั่วอวิ๋นให้ความสำคัญกับเงินทองมาก ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะปันกำไรให้นางตอนปลายปี แต่นางทนรอไม่ไหวจึงส่งเถียนมามามาทวงเงินอยู่เรื่อย ผู้ดูแลเคยเห็นเรือนของนางแล้วมีที่ต้องซ่อมแซมมากมายหลายจุดก็จริงอยู่ แต่ว่าไฉ่เจียนกำลังจะออกเรือน อีกทั้งระยะนี้ท่านก็ต้องสังสรรค์กับสหายขุนนางบ่อยๆ ในเรือนมีแต่เรื่องต้องใช้สอยเงินทอง วันก่อนข้าบอกนางว่าขณะนี้กำลังชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังให้เงินค่าซ่อมแซมเรือนไม่ได้ชั่วคราว ให้นางรอไปก่อน แต่ดูเหมือนนางไม่พอใจ ยังแคลงใจว่าข้าเจตนาใจจืดใจดำกับนาง…เช่นนั้นนายท่านปันกำไรให้นางเพิ่มอีกดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

🛒Pre-order เล่ม 1-5 คลิก > https://shorturl.asia/y3teQ

🛒Pre-order Value Box (เล่ม 5+Box) https://shorturl.asia/P8ca0

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: