X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหอมเกศา

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1

อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่องหอมลงในเตาพกที่ถืออยู่ในมือสักหยิบมือ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ รวยรินหรือว่ากลิ่นบุปผาฟุ้งตลบล้วนชวนให้จิตใจสดชื่นปลอดโปร่ง

หากจะถามไถ่ว่าร้านเครื่องหอมเลื่องชื่อแห่งแคว้นต้าเว่ยคือที่ใด แน่นอนว่าต้องเป็นร้านเครื่องหอมของเมืองหลวงนามว่า…ร้านโส่วเว่ย

ร้านนี้ปักหลักอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคง มิเพียงพึ่งพาเครื่องหอมล้ำค่าหายาก ยังมีเคล็ดลับการปรุงเครื่องหอมที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก หลายปีมานี้สกุลซูเจ้าของร้านโส่วเว่ยอาศัยเครื่องหอมซึ่งไม่อาจลอกเลียนแบบหรือทำได้เหนือกว่าสร้างความมั่งคั่งจนมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้อย่างแท้จริง

ใครต่อใครมักกล่าวว่าทรัพย์สินและเกียรติยศเป็นของคู่กันมาแต่โบราณ กระนั้นแม้สกุลซูจะมั่งมีล้นฟ้า ครอบครองสมบัติพัสถานกองเป็นภูเขา ทว่าถึงที่สุดก็เป็นเพียงพ่อค้า เทียบกับผู้มีอำนาจสูงศักดิ์แล้วยังห่างชั้นกันไกลนัก

จวบจนซูหงเหมิงนายท่านใหญ่สกุลซูได้รับตำแหน่งในกองการค้าหลวงของเมืองหลวง เรียกว่าเหยียดปลายนิ้วเท้าไปแตะเฉียดธรณีประตูจวนขุนนางได้ในที่สุด นับเป็นเรื่องน่ายินดีเจียนคลั่งโดยแท้

กองการค้าหลวงดูแลการค้าต่างแดนของแคว้นต้าเว่ยโดยเฉพาะ นายท่านใหญ่สกุลซูได้เข้าไปอยู่ในกองการค้าทางทะเลภายใต้สังกัดกองนี้และมีหน้าที่ดูแลการซื้อขายวัตถุดิบเครื่องหอมโดยเฉพาะ

แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยประจำห้องคลังเครื่องหอมสมุนไพรที่ได้รับเบี้ยหวัดแสนน้อยนิด แต่สำหรับสกุลซูแล้วนี่เป็นดั่งบันไดสู่สวรรค์ของบุตรชายบุตรสาวในภายภาคหน้า

หลังจากได้เป็นขุนนาง นายท่านใหญ่สกุลซูตัดสินใจพาคนทั้งครอบครัวไปยังศาลบรรพชนบ้านเดิมที่เมืองอิ้นโจว โขกศีรษะขอบคุณบรรพบุรุษที่สั่งสมบุญกุศลหนุนนำบุตรหลาน

คนสกุลซูเตรียมตัวลงเรือกันตอนต้นเดือนสิบสอง นายท่านใหญ่สกุลซูยังตั้งใจจะฉลองวันปีใหม่นี้ที่เรือนต้นตระกูลที่บ้านเดิมแล้วกลับเมืองหลวง เพื่อมิให้ขุนนางคนใหม่เริ่มเข้าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า

คนอื่นๆ ต่างจัดสัมภาระกันด้วยสีหน้าปีติยินดี ยกเว้นบุตรสาวคนรองซึ่งเกิดจากภรรยาเอกของนายท่านใหญ่สกุลซูที่ดูเบื่อหน่าย ไม่ค่อยเบิกบานใจเท่าไร นางทำหน้าบึ้งตึงมองดูพวกสาวใช้จัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ให้

สี่เชวี่ยสาวใช้ประจำตัวของซูไฉ่เจียนรู้จักดูสีหน้าคน เห็นคุณหนูรองมีท่าทางห่อเหี่ยวเหมือนบุปผาขาดน้ำเช่นนี้ก็เดาความในใจของนางได้ทันใด

“คุณหนูรอง ท่านไม่อยากพบ ‘นาง’ ถึงได้ไม่พอใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ซูไฉ่เจียนดึงทึ้งแบบปักลายในมือพลางเหลือบตามองสาวใช้อย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน “เจ้าพูดมากนัก ควรตั้งชื่อให้เจ้าว่าหูลู่ พอมีปากเล็กๆ ข้าจะได้ไม่ต้องรำคาญหู”

สี่เชวี่ยฟังแล้วก็รู้ว่าตนเองเดาไม่ผิด นางพูดพลางยิ้มประจบทันควัน “หากบ่าวกลายเป็นคนใบ้ เช่นนั้นท่านจะไม่หงอยเหงาแย่หรือไร…คุณหนูรองเป็นกังวลเกินไป บ่าวถามจากบ่าวรับใช้ที่เคยส่งของไปให้บ้านเดิมแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ แม้ว่า ‘นาง’ จะถูกส่งไปที่นั่น แต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนหลังเก่า ได้ยินว่าในหนึ่งปีจะไปศึกษาพระธรรมคัมภีร์กับแม่ชีเฒ่าที่อารามบนเขาเป็นเวลาหลายเดือน ต่อให้ท่านกลับไปก็ไม่แน่ว่าจะได้พบนางนะเจ้าคะ”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ใบหน้าซูไฉ่เจียนก็เผยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งวางใจและแฝงความเสียดายอยู่ในที “…นี่นางจะออกบวชหรือ ไยต้องทำถึงขั้นนั้นด้วยเล่า ใช่ว่าสกุลซูเราจะมีฐานะอัตคัดขัดสน ถึงนางไม่ได้ออกเรือน จะเลี้ยงดูนางไปชั่วชีวิตก็ย่อมได้…” แต่จู่ๆ นางก็วกกลับไปพูดเรื่องเดิม โน้มกายถามย้ำอีกครา “หากข้าไปที่นั่นแล้วจะไม่ต้องพบนางบ่อยๆ จริงหรือ”

สี่เชวี่ยเป็นคนหัวไว รีบตอบว่า “วางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวจะกำชับผู้ดูแลเรือนหลังเก่าให้เรียบร้อยเอง รับรองว่าคุณหนูพำนักได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพบเห็นคนน่ารำคาญใจ อีกอย่างมีฮูหยินอยู่ทั้งคน ฮูหยินย่อมใคร่ครวญอย่างรอบคอบแทนคุณหนูเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดเรื่องการแต่งงานของคุณหนูกับคุณชายลู่ก็ตกลงกันเป็นที่แน่นอน ทั้งสองตระกูลแลกเปลี่ยนชะตาแปดอักษร* กับเทียบหมั้นหมายแล้ว ทั้งยังอัญเชิญไปวางในศาลบรรพชนของแต่ละตระกูลมานานนับเดือนเศษ สกุลซูกับสกุลลู่ล้วนราบรื่นสมหวังทุกสิ่งและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น! นี่คือคู่สร้างคู่สม ใครจะมีปัญญาทำอะไรได้เล่า คุณหนูอย่าสนใจคนอื่นเลยเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวบนใบหน้าซูไฉ่เจียนสลายหายไป นางนึกถึงลู่ซื่อคู่หมั้นหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยแล้วก็ยิ่งปลาบปลื้มเหลือจะกล่าว ชั่วขณะนั้นก็ลืมเลือนความวิตกกังวลในใจไปจนหมดสิ้น

เพียงแต่สาวใช้นอกห้องคนหนึ่งที่เงี่ยหูฟังบทสนทนาสัพเพเหระในห้องกลับงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

สาวใช้คนนี้เพิ่งมาใหม่ เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่า ‘นาง’ ที่คุณหนูรองเอ่ยถึงด้วยความกริ่งเกรงผู้นั้นเป็นใคร ด้วยเหตุนี้ตอนติดตามสี่เชวี่ยไปรับค่าจ้างรายเดือนที่ห้องบัญชี นางจึงไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สาวใช้หน้าใหม่ผู้นี้มีนามว่าหมิงฉาน เป็นญาติห่างๆ ของสี่เชวี่ย ดังนั้นสี่เชวี่ยจึงมักช่วยเหลือดูแลอีกฝ่ายเสมอ พอหมิงฉานถาม นางก็เอ่ยตอบอย่างใจเย็น

“เจ้าคงรู้แล้วว่าคุณหนูรองยังมีพี่สาวอีกคน แม้จะเป็นบุตรสาวภรรยาเอก แต่ไม่ใช่สายเลือดฮูหยินของพวกเรา”

หมิงฉานพยักหน้าพร้อมพูดทันที “เรื่องนี้ข้ารู้ ก่อนหน้าฮูหยินของพวกเรายังมีฮูหยินสกุลหูที่ด่วนจากไปอีกท่านหนึ่ง ฮูหยินท่านนั้นมีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน…แต่ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ประสบอุบัติเหตุกลายเป็นคนตาบอดแล้วถูกส่งไปอยู่บ้านเดิม…”

นางยังกล่าวไม่ทันจบ สี่เชวี่ยก็ถลึงตาใส่ “เจ้าพูดมากนัก ควรเปลี่ยนชื่อเป็นหูลู่เสียจริง จำไว้…หากอยากทำงานในเรือนคุณหนูรอง อย่าได้เอ่ยถึงคุณหนูใหญ่”

พอพูดถึงขั้นนี้ หมิงฉานเริ่มกระจ่างแจ้งแล้วว่าที่แท้คนที่คุณหนูรองไม่อยากพบคือพี่สาวต่างมารดาผู้นั้นนั่นเอง

เรื่องที่คุณหนูใหญ่สกุลซูมีอาการผิดปกติที่ดวงตาเมื่อสองปีที่ผ่านมา นางมีรูปโฉมงดงาม ว่ากันว่าผู้อาวุโสของสกุลซูกับสกุลลู่จับคู่ให้นางกับคุณชายลู่หมั้นหมายกันตั้งแต่วัยเยาว์ เดิมทีควรจะเป็นคุณหนูใหญ่ผู้นั้นที่ได้แต่งเข้าสกุลลู่

หากมิใช่คุณหนูใหญ่ตาบอดในภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งสะใภ้สกุลลู่ก็ไม่มีทางตกเป็นของคุณหนูรองไปได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ความคิดในใจที่ซับซ้อนตามประสาสตรีของคุณหนูรองก็เป็นที่เข้าใจได้ในบัดดล แต่ดูไปแล้วตอนนี้คุณหนูใหญ่ผู้นั้นไม่น่าเวทนากว่าหรือ!

สตรีที่เพิ่งอายุสิบแปดปีนางหนึ่งกลับต้องพิการทางสายตา ตระกูลดีๆ ที่ใดจะอยากได้ลูกสะใภ้ตาบอดเล่า

แต่หากให้นางออกเรือนไปเป็นอนุ ติงเพ่ยภรรยาเอกของนายท่านใหญ่สกุลซูในขณะนี้จะถูกครหาว่าใจดำกับลูกเลี้ยงอย่างช่วยไม่ได้ มิหนำซ้ำยังได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ผู้นั้นเป็นคนทะนงตนเสียด้วย ก่อนหน้านี้ครอบครัวจะยกนางให้บัณฑิตซิ่วไฉ ยากจนคนหนึ่ง แต่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็ไม่ยินยอม เป็นเหตุให้สองพ่อลูกทะเลาะกันยกใหญ่

หลังนายท่านใหญ่สกุลซูคิดทบทวนแล้วจึงส่งคุณหนูใหญ่กลับไปอยู่บ้านเดิม ในเมื่อนางไม่อยากออกเรือนเขาก็ไม่ฝืนใจ เพียงยกนางขึ้นทูนศีรษะเป็นบุตรสาวบังเกิดเกล้า เลี้ยงดูกันไปจนกว่าจะแก่ตาย!

เวลานี้สกุลซูมีเรื่องมงคลไม่ขาดสาย นายท่านใหญ่สกุลซูก็คร้านจะตั้งแง่กับบุตรสาวคนโตนิสัยแปลกประหลาดและหัวรั้นคนนั้น ครานี้กลับไปบ้านเดิม หากบุตรสาวบังเกิดเกล้าทนความเงียบเหงาของบ้านเดิมไม่ไหว คิดได้เองแล้วมาพูดขอร้อง เขาผู้เป็นบิดาย่อมอ่อนข้อให้ มองหาคู่ครองที่เหมาะสมพร้อมเพิ่มสินเดิมเจ้าสาวมากขึ้นให้นางได้ออกเรือนเป็นอันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป

 

ขณะอยู่บนเรือเดินทางกลับไปนายท่านใหญ่สกุลซูก็กล่าวกับบุตรชายสามคนของตนว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไปสกุลซูถือเป็นตระกูลขุนนาง ข้าปูทางไว้ให้บุตรหลานเช่นพวกเจ้าแล้ว ต่อให้กลับบ้านเดิมพวกเจ้าทั้งสามจะเกียจคร้านไม่ทบทวนตำราไม่ได้”

บุตรชายสองคนของเขาที่เกิดกับติงซื่อห่างกันหนึ่งปี คือซูจิ่นกวนอายุสิบสี่ปี กับซูจิ่นเฉิงอายุสิบสามปี ติงซื่อมีพวกเขาสองคนตอนอยู่กับนายท่านใหญ่สกุลซูที่เมืองเฉิงตูซึ่งถูกขนานนามว่า ‘จิ่นกวนเฉิง’ หรือ ‘นครแพรหลวง’ จึงนำคำนี้มาตั้งชื่อเพื่อสื่อนัยถึงสถานที่ถือกำเนิดของพวกเขา

แล้วทั้งสองก็เปล่งประกายดุจแพรไหมสมชื่อ ตั้งแต่เริ่มรู้ความก็เล่าเรียนเขียนอ่านกับอาจารย์อย่างได้เรื่องได้ราว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วซูกุยเยี่ยนบุตรชายของหูซื่อที่ล่วงลับไปแล้วกลับดูด้อยความสามารถมากกว่า

ตอนที่ซูหงเหมิงได้ยินซูกุยเยี่ยนท่อง ‘ฎีกาออกศึก’ ติดๆ ขัดๆ ก็โกรธจนควันออกหู ชี้หน้าบุตรชายคนโตพลางดุด่า

“เสียทีที่เจ้าอายุตั้งสิบหกปีแล้ว มิหนำซ้ำยังเข้าสำนักศึกษาก่อนน้องชายสองคนถึงสองปี ในสมองของเจ้ายัดขี้เลื่อยไว้หรืออย่างไร”

ใบหน้าที่คมคายหมดจดของซูกุยเยี่ยนได้รับถ่ายทอดจากมารดา ดูหล่อเหลามีสง่าราศี เพียงแต่น่าเสียดายที่มีดีแค่รูปสมบัติ

เด็กหนุ่มถูกบิดาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากจนร่างเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างยั้งไม่อยู่ อีกทั้งเรือยังโคลงเคลงไปมา ทำให้ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ขอบตาของเขาเริ่มแดงเรื่อด้วยความเจ็บ

น้องชายสองคนเห็นพี่ชายล้มลงไปกับพื้นก็ไม่กล้าเข้าไปพยุง ด้านซูจิ่นเฉิงคุณชายสามยังลอบหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่

เวลานี้เองติงซื่อก็พาสาวใช้เดินเข้ามา นางมองซูกุยเยี่ยนก่อนคลี่ยิ้มเอ่ยกับนายท่านใหญ่สกุลซู “อยู่ดีๆ ก็หัวเสียดุด่าบุตรชายอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านเพิ่งฟื้นฟูร่างกายได้ไม่ทันไรเองนะเจ้าคะ ท่านหมอบอกไว้ว่ากินยาอยู่ไม่ควรโมโห เยี่ยนเอ๋อร์เรียนช้ามาแต่ไหนแต่ไร มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่วันสองวันนี้ ท่านจะโกรธให้เสียสุขภาพตนเองไปไย…”

ขณะที่กล่าววาจานี้ติงซื่อก็ขยิบตาให้ลูกเลี้ยงที่นั่งอยู่บนพื้นเป็นเชิงบอกให้เขารีบหลบออกไป

ซูกุยเยี่ยนเม้มปากพลางลุกขึ้น เอามือประคองเอวเดินกะโผลกกะเผลกกลับห้องพักบนเรือ

ซูหงเหมิงยังไม่คลายโทสะ เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เจ้าชอบปกป้องเขาเช่นนี้ เขาถึงไม่ได้ความมากขึ้นทุกที”

ติงซื่อถนอมบำรุงผิวพรรณได้ดี นางอายุน้อยกว่าซูหงเหมิงสิบปี ถึงจะอยู่ในวัยสามสิบกว่าแล้ว แต่ยังคงงดงามเฉิดฉายไม่สร่าง นางอมยิ้มพลางนวดไหล่ให้สามีพร้อมเอ่ยขึ้น

“พี่หูซื่อด่วนจากไปทิ้งบุตรชายบุตรสาวคู่นี้ไว้ ข้าอยู่ในฐานะมารดาเลี้ยงจะไม่รักใคร่ปกป้องพวกเขาได้อย่างไร ตอนนี้ดวงตาของลั่วอวิ๋นยัง…ข้ารู้สึกละอายใจต่อพี่หูซื่อจนนอนหลับไม่สนิททุกวัน…”

ซูหงเหมิงรักภรรยาของตนเองมากมาโดยตลอด ครั้นเห็นติงซื่อตำหนิตนเองเพราะบุตรสาวคนโตตาบอดอีกแล้ว เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

“เรื่องของนางเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครกล่าวโทษเจ้า”

ตอนเกิดเหตุซูลั่วอวิ๋นบุตรสาวคนโตได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ พอฟื้นขึ้นมาก็มองไม่เห็นแล้ว เรื่องนี้จะโยนความผิดให้ติงซื่อได้อย่างไร กระนั้นพอนางได้ยินวาจาของสามี หัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันก็มิได้คลายออก เพียงทอดถอนใจอีกคราหนึ่ง

“ลั่วอวิ๋นเป็นคนเจ้าทิฐิเกินไป มิฉะนั้นไฉนเลยต้องส่งนางไปอยู่บ้านเดิมด้วยเล่า”

ซูหงเหมิงมองดูภรรยาคนงามที่อ่อนวัยกว่าตนสิบปีอย่างรักใคร่เอ็นดู เขารู้จักนิสัยของนางดีที่สุด ติงเพ่ยเป็นคนใจดีมีเมตตาและอ่อนหวานน่ารัก เมื่อแรกที่เข้ามาอยู่ในจวนสกุลซูนางลำบากไม่น้อย ต้องดูแลทั้งบุตรของตนเองและบุตรชายบุตรสาวของภรรยาที่จากไปของเขา

ครั้งนี้เขามีตำแหน่งเป็นขุนนางในราชสำนัก รอวันหน้าเขาได้เลื่อนขั้น นางจะได้เชิดหน้าชูตาอย่างไร้ที่สิ้นสุดไปด้วย นับได้ว่าความคับข้องใจที่ติงเพ่ยได้รับตอนฝากชีวิตไว้กับเขาในครั้งนั้นไม่สูญเปล่า

 

ตลอดการเดินทางสงบเรียบร้อยดี เรือโดยสารแล่นมาถึงอิ้นโจวบ้านเดิมของพวกเขาแล้ว

เรือนหลังเก่าของสกุลซูมีการซ่อมแซมตอนประมุขของตระกูลรุ่นก่อนฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุแปดสิบปี ถึงตอนนี้นับดูแล้วก็ผ่านมายี่สิบกว่าปี ตามกำแพงมีไม้เลื้อยเกาะและคราบตะใคร่น้ำจับอยู่เต็มไปหมด มองจากที่ไกลๆ ดูร่มครึ้มเขียวชอุ่มไปทั้งบริเวณ

เหล่าเฟิงผู้ดูแลเรือนพาคนมารอรับที่ท่าเรือแต่เช้า เวลานี้เขานำทางสารถีไปเบื้องหน้าเสาผูกม้าแล้วเตรียมขนของลงจากรถม้า

ซูหงเหมิงลงจากรถแล้วเหลียวมองคราหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น “คุณหนูใหญ่เล่า อารมณ์ไม่ดีไม่อยากพบหน้าคนอีกแล้วรึ”

หลังจากดวงตาทั้งคู่ของซูลั่วอวิ๋นมองไม่เห็น นิสัยของนางก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร นอกจากเริ่มแรกที่มักขว้างปาข้าวของ ตอนหลังยังทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัวด้วยเรื่องแต่งงานอีก

ต่อให้ซูหงเหมิงอาศัยบารมีของบิดาก็ดุด่าสั่งสอนบุตรสาวที่เพิ่งตาบอดได้ไม่ถนัด ดังนั้นเขาจึงไล่นางกลับไปบ้านเดิมให้ฝึกฝนขัดเกลาจิตใจตนเอง

ไม่คิดว่าผ่านไปนานเพียงนี้นางยังคงไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าบิดากลับมาก็ไม่ออกมาต้อนรับ!

ก่อนที่นายท่านใหญ่สกุลซูจะบันดาลโทสะ เหล่าเฟิงก็พูดขึ้นอย่างถูกจังหวะ “หลังเข้าสู่ฤดูหนาวเป็นต้นมาทางนี้ฝนตกมากขึ้นขอรับ คุณหนูใหญ่ได้ยินว่านายท่านนั่งเรือมาก็กังวลใจเรื่องระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นอยู่ตลอด จึงขึ้นไปจุดธูปขอพรให้คนในครอบครัวที่อารามบนเขา เดิมทีเมื่อวานควรจะกลับมาแล้ว แต่เผอิญมีฝนตกลงมาอีก ถนนบนเขาทั้งเปียกและลื่นจนเดินไม่ได้ถึงได้ล่าช้า เมื่อครู่บ่าวส่งคนไปสอบถามแล้วได้ความว่ามีคนตรงเชิงเขาหาบขี้เถ้าไปโรยพื้นถนน อีกสักครู่น่าจะกลับมาถึงขอรับ”

ซูหงเหมิงได้ยินคำอธิบายของผู้ดูแลเรือนแล้วสีหน้าที่ขุ่นมัวอยู่ค่อยดีขึ้นเล็กน้อย

ติงซื่อก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง “ดูเหมือนอวิ๋นเอ๋อร์จะรู้ความแล้ว…แค่ว่าทำอะไรยังไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี คงไม่ทันคิดว่าฝนตกถนนลื่น หากนางได้รับบาดเจ็บอีกจะไม่ทำให้คนอื่นปวดใจหรือ…”

บทที่ 2

ซูหงเหมิงฟังวาจานี้ของติงซื่อแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล สีหน้าที่ผ่อนคลายลงแล้วกลับเคร่งเครียดขึ้นอีกครา เขาพูดเสียงกระด้าง “กลับถึงบ้านเดิมก็ยังต้องเหนื่อยใจอีก”

ตอนเดินเข้าสู่เรือนหลังเก่าซูหงเหมิงพบว่าพื้นหินของลานเรือนคล้ายผ่านการปูลาดใหม่ได้ไม่นาน ใช้แผ่นหินสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นเล็กทั้งสิ้น ทั้งยังเอาหินกรวดก้อนเล็กมาปูให้นูนออกมาตามแนวร่องแผ่นหิน ยามย่ำเท้าลงไปจึงไม่ราบเรียบสบายเท้านัก

ซูไฉ่เจียนที่เดินอยู่ด้านข้างถูกหินตำฝ่าเท้า จึงอดพูดบ่นเสียงเบาๆ ไม่ได้ “หลายปีก่อนตอนพวกเรามาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ลานเรือนเป็นหินศิลาเขียวชั้นดีมิใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้เล่า”

ผู้ดูแลเรือนเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มประจบ “คุณหนูใหญ่เป็นคนให้เปลี่ยนขอรับ นางไม่ได้เดินเหินเป็นเวลานาน ปูหินกรวดบนพื้นแล้วเดินบนนั้นช่วยนวดจุดชีพจรใต้ฝ่าเท้าได้พอดีขอรับ…”

คุณชายรองซูจิ่นกวนได้ยินก็เบ้ปาก หันไปเอ่ยกับซูกุยเยี่ยนยิ้มๆ “ในบรรดาลูกๆ อย่างพวกเรามีแต่พี่ลั่วอวิ๋นที่มีเงินใช้คล่องมือเพราะดูแลเงินทองของมารดาที่จากไปแทนท่าน แม้แต่จะเปลี่ยนหินกระเบื้องของเรือนหลังเก่าก็ไม่ต้องเบิกเงินกองกลาง…วันหลังท่านต้องตักเตือนพี่ลั่วอวิ๋นบ้างว่าเงินก้อนนั้นมีส่วนหนึ่งที่ท่านแม่ใหญ่ทิ้งไว้ให้ท่านเช่นกัน นี่เป็นเรื่องอะไรที่นางจะเอาไปใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมด”

‘ท่านแม่ใหญ่’ ที่ซูจิ่นกวนเรียกขานคือหูซื่อที่ด่วนจากไป นางเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลหูพ่อค้าเครื่องหอมของซูโจว ในกาลก่อนกิจการเครื่องหอมของสกุลหูเคยรุ่งเรืองมากช่วงหนึ่ง ยามนั้นจึงจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้บุตรสาวอย่างเต็มที่โดยไม่ตระหนี่ถี่เหนียว

ต่อมาเมื่อครั้งที่สกุลซูติดขัดเรื่องการเงิน หูซื่อยังเอาสินเดิมเจ้าสาวที่ติดตัวมาช่วยเหลือจุนเจือถึงครึ่งหนึ่ง

ภายหลังก่อนหูซื่อสิ้นลม นางมอบสินเดิมเจ้าสาวที่เหลืออยู่ไม่มากนักก้อนนั้นให้บุตรชายบุตรสาวทั้งหมด ทั้งยังขอให้ที่ว่าการออกหนังสือให้เป็นหลักฐานโดยเฉพาะ และได้เชิญผู้อาวุโสของสกุลซูรวมถึงคนสกุลหูมาตรวจนับตั๋วเงินกับที่นา นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าหลังจากตนเองจากไป ทิ้งให้บุตรสาววัยเยาว์กับบุตรชายที่ยังเป็นทารกแบเบาะเหลือกันอยู่แค่สองคน สินเดิมเจ้าสาวเหล่านี้จะเป็นที่พึ่งให้ทั้งคู่มีที่ยืนอยู่ในสกุลซูได้อย่างมั่นคง ดังนั้นห้ามมิให้ใครแตะต้องทรัพย์สินพวกนี้ โดยนางมอบหมายให้เถียนมามา* หญิงรับใช้ที่ติดตามนางออกเรือนมาเป็นผู้ดูแลแทนบุตรชายบุตรสาวชั่วคราว

พวกที่นาอุดมสมบูรณ์ล้วนให้ชาวนาที่คุ้นเคยกันเช่า ทุกปีเก็บเกี่ยวได้ผลดีทั้งในหน้าแล้งและหน้าฝน แม้ไม่นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่ก็เพียงพอให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ หากบุตรทั้งสองคนของนางประสบเคราะห์ร้าย เช่นนั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสทั้งสองตระกูลรับหน้าที่นำทรัพย์สินและที่นาเหล่านี้ไปบริจาคเติมน้ำมันตะเกียงให้แก่อารามทั้งหมด ถือเป็นการสั่งสมบุญกุศลไว้ให้บุตรชายบุตรสาวผู้ชะตาอาภัพของนางในชาติหน้า

คำกล่าวนี้ทำให้ซูหงเหมิงอับอายและกระอักกระอ่วนใจอย่างมาก คนภายนอกหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าในตอนนั้นเขามีความสัมพันธ์ลับกับติงซื่อแล้ว เรื่องนี้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่หูซื่อเหลือแสน เมื่อมีโรคภัยรุมเร้านางถึงได้จากไปอย่างกะทันหัน

ถ้อยคำนี้ของหูซื่อฟังดูแล้วเป็นคำสั่งเสียฝากฝังบุตรกำพร้าของตนก่อนที่จะล่วงลับไป แต่ก็แฝงความนัยทั้งทางตรงทางอ้อมว่าไม่เชื่อใจว่าที่ฮูหยินคนใหม่ของสกุลซู หวั่นเกรงอีกฝ่ายจะประสงค์ร้ายต่อบุตรชายบุตรสาวของตนเพื่อหวังครอบครองสมบัติ ถึงได้พูดจาเหลวไหลบอกให้นำเงินไปทำบุญทั้งหมด

ตามธรรมเนียมโบราณต้องให้ความเคารพต่อผู้ล่วงลับ เมื่อหูซื่อแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ นายท่านใหญ่สกุลซูก็ไม่อาจโต้แย้งได้ อีกทั้งสกุลซูกลับมาตั้งหลักได้นานแล้ว เขามีเงินทองมากมาย ไฉนเลยจะเห็นแก่สินเดิมเจ้าสาวอันน้อยนิดของภรรยาให้เสียศักดิ์ศรี นายท่านใหญ่สกุลซูจึงยกสินเดิมเจ้าสาวของภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วให้บุตรสองคนของนางตามความประสงค์

ส่วนเงินซ่อมแซมพื้นลานเรือนเล็กๆ น้อยๆ ก้อนนี้ สำหรับซูลั่วอวิ๋นแล้วไม่นับเป็นเรื่องเกินกำลังจริงๆ

กระนั้นพอซูหงเหมิงได้ยินคำพูดของบุตรชายคนรอง เขาก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย

ซูลั่วอวิ๋นเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยเป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุสิบสองปีนางพาเถียนมามาไปที่โรงนา เอาสมุดบัญชีค่าเช่าที่นาที่หูซื่อทิ้งไว้คืนมาแล้วกุมเงินทั้งหมดไว้ในมือตนเอง

ยามนั้นเขาเห็นว่าเด็กสาวคนหนึ่งรับช่วงดูแลทรัพย์สินที่นาตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ใช่เรื่องดีอันใด ทั้งยังสั่งสอนบุตรสาวด้วยความหวังดีเพราะเหตุนี้

แต่บุตรสาวกลับยกคำสั่งเสียของมารดามาอุดปากเขา เพียงบอกว่านั่นเป็นเงินที่หูซื่อทิ้งไว้ให้พวกนางสองพี่น้อง นางจะใช้สอยอย่างไรไม่จำเป็นต้องให้บิดาวุ่นวายใจ

บุตรสาวหัวรั้นไม่อยู่ในโอวาทเช่นนี้ ซูหงเหมิงจะทนไหวได้อย่างไร เขาเรียกผู้อาวุโสของสกุลซูมาทันทีแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าสินเดิมเจ้าสาวของหูซื่อไม่จำเป็นต้องให้เขาดูแลก็ได้ แต่ถ้าการอบรมสั่งสอนบุตรคู่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของเขาอีก เช่นนั้นก็พูดจาให้ชัดเจนไปเสีย เขาจะได้ให้ซูลั่วอวิ๋นพาน้องชายของนางไปใช้ชีวิตกันเอง วันหลังไม่จำเป็นต้องอยู่ในฐานะบุตรหลานสกุลซูแล้ว

เวลานั้นกิจการของครอบครัวท่านตาท่านยายอยู่ในช่วงตกต่ำลงเรื่อยๆ ซูลั่วอวิ๋นไม่สามารถพาน้องชายไปพึ่งพาอาศัยสกุลหูได้

ถึงวันหน้าสองพี่น้องจะตั้งตระกูลใหม่ ถ้าซูกุยเยี่ยนทำการค้ายังพอทำเนา แต่ถ้าเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็หมดหวังแล้ว แคว้นต้าเว่ยไม่ได้ห้ามบุตรหลานของพ่อค้าเข้าร่วมการสอบขุนนาง ทว่าบุตรหลานอกตัญญูที่ถูกขับออกจากวงศ์ตระกูล ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้แต่การสอบถงซื่อก็ยากจะผ่านด่านไปได้

เพื่ออนาคตของน้องชาย ซูลั่วอวิ๋นที่ไม่เคยโอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอดต้องยอมลดราวาศอกในที่สุด แม้ซูหงเหมิงไม่ได้ดูแลสินเดิมเจ้าสาวของมารดา แต่เงินที่นางจะใช้สอยหลังจากนั้นต้องได้รับอนุญาตจากบิดาเสียก่อน

ทว่าหลังจากดวงตาทั้งคู่ของนางมองไม่เห็น ซูหงเหมิงกลับเริ่มลืมตาข้างหลับตาข้างกับการใช้เงินที่มากขึ้นของนาง ถึงอย่างไรก็เป็นเงินทองก้อนเล็กๆ ที่หูซื่อทิ้งไว้เพื่อเพิ่มสินเดิมเจ้าสาวของบุตรสาวให้สมหน้าสมตา

หากซูลั่วอวิ๋นไม่อยากออกเรือนและไม่อยากเหลือเงินทองให้น้องชาย จะใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมดก็ย่อมได้

ถ้าบุตรสาวบังเกิดเกล้าใช้เงินแล้วสบายใจขึ้น เขาก็ยินดีผลาญเงินเพื่อขจัดเภทภัย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าซูลั่วอวิ๋นไม่ได้ใช้เงินกองกลางอีกด้วย

พวกคุณชายคุณหนูคนอื่นๆ ของจวนสกุลซูต่างรู้สึกอิจฉาที่พี่สาวคนโตมีเงินใช้จ่ายสบายมืออย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาตามคำสอนของบรรพบุรุษสกุลซูคือจะไม่เลี้ยงดูบุตรหลานเสเพล ถึงแม้ซูหงเหมิงผู้มั่งมีจะพิถีพิถันเรื่องการกินอยู่ แต่กลับตระหนี่กับบุตรชายบุตรสาวเป็นนิจ ดำเนินชีวิตตามอย่างตระกูลที่ซื่อสัตย์สุจริต คุณชายคุณหนูในจวนจึงได้รับเงินใช้สอยรายเดือนน้อยนิดจนน่าใจหาย

ขณะนี้เห็นพี่สาวคนโตอยู่อย่างอิสระที่เรือนหลังเก่าเช่นนี้ จะไม่ชวนให้ริษยาเป็นทวีคูณได้อย่างไร

ซูไฉ่เจียนถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม พอย่างเท้าเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ก็พบว่าพื้นด้านในยังปูด้วยหินกรวดไว้อีก ฝ่าเท้าที่แสนนุ่มนิ่มทั้งคู่ก็ทนไม่ไหวแล้ว นางบ่นอุบอิบกับมารดา ติงซื่อจึงเรียกหญิงรับใช้ไปที่ห้องเก็บของเพื่อหยิบพรมผืนหนาที่ใช้ตอนทำพิธีเซ่นไหว้มาปูบนพื้น

เมื่อมีพรมผืนหนาปูพื้น เท้าที่สวมรองเท้าผ้าปักพื้นบางก็สบายขึ้นมาก เวลานี้เองซูกุยเยี่ยนซึ่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่พูดไม่จามาตลอดก็อดเอ่ยปากขึ้นไม่ได้

“พี่ลั่วอวิ๋นใช้หินกรวดปูพื้นเพราะตาของนางมองไม่เห็น จึงทำเครื่องหมายไว้บนพื้นจะได้ไม่เดินชน ตอนนี้เอาพรมมาปูพื้นเกรงว่า…”

ในจดหมายที่เขากับพี่สาวส่งถึงกันจะเล่าเรื่องชีวิตประจำวันด้วย ซูกุยเยี่ยนจึงรู้ประโยชน์ของหินกรวดพวกนี้

เขายังพูดไม่ทันจบ ซูจิ่นกวนก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ใช่ว่าข้างกายนางจะไม่มีบ่าวไพร่ ต่อให้ไม่ได้ตาบอดก็ต้องมีคนคอยประคอง จะปล่อยให้นางล้มได้หรือ”

ซูกุยเยี่ยนปิดปากเงียบตามความเคยชิน เขารู้นิสัยของพี่สาวตนเองดีที่สุด นางนับเป็นหนึ่งในใต้หล้าเรื่องไม่ยอมแพ้ใคร มีหรือจะยอมเดินไปไหนมาไหนด้วยการคลำทางหรือให้คนประคอง

ยามนึกถึงท่าทางเจ็บปวดทุกข์ทนจนไม่ยอมพบหน้าใครของพี่สาวเมื่อเริ่มแรกที่มองไม่เห็น ขอบตาของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีก็ค่อยๆ แดงก่ำ หากไม่มีหินกรวดบนพื้นคอยบอกทาง อีกสักพักพอพี่ลั่วอวิ๋นมาพบท่านพ่อคงต้องขายหน้าเป็นแน่ นางไม่เต็มใจเผยท่าทีประหม่าต่อหน้าผู้คนมากที่สุด…

แต่คำพูดของเขาไม่ได้รับความสนใจจากบิดาอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีบิดาตั้งใจจะตอบ ทว่าน่าเสียดายที่มารดาเลี้ยงพูดแทรกขึ้นมา หันเหหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องสัพเพเหระว่าจะไปเยี่ยมคารวะญาติพี่น้องที่บ้านเดิม

หลังจากนั้นคนทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงดื่มชากับขนมกันที่โต๊ะ ติงซื่อให้สาวใช้ยกอ่างสำริดสำหรับล้างมือไปวางไว้ข้างประตู บอกว่าภายในเรือนอากาศแห้งเกินไป ต้องเพิ่มความชื้นสักหน่อย

เพราะเมื่อครู่ปูพรมบนพื้น โต๊ะเก้าอี้กับตู้จึงถูกย้ายตำแหน่งทั้งหมด ทำให้ห้องโถงใหญ่ที่ใช้รับรองไม่ค่อยเป็นระเบียบ เหล่าเฟิงตั้งใจจะเรียกคนมาจัดวางให้เข้าที่ แต่ติงซื่อพูดว่าไม่ต้องรีบร้อน รอนายท่านนอนพักกลางวันค่อยเก็บกวาดให้เรียบร้อยอีกทีก็ไม่สาย

ขณะที่ทุกคนกำลังดื่มชาอยู่ ติงซื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเถียนมามาหญิงรับใช้ของซูลั่วอวิ๋นพาสาวใช้นามว่าเซียงเฉ่ามายืนอยู่ตรงนอกประตูห้องโถง

ติงซื่ออมยิ้มพลางตะโกนถาม “เถียนมามา เหตุใดไม่เข้ามาคารวะทักทายข้างในห้องโถงเล่า”

เถียนมามายืนเงียบๆ อยู่ตลอด แต่ดวงตาที่อยู่ภายใต้เปลือกตาหย่อนคล้อยมองสำรวจห้องโถงใหญ่ทุกซอกมุม จวบจนติงซื่อส่งเสียงเรียกขานนางถึงได้ก้าวเท้ามาข้างหน้าสั้นๆ ก้าวหนึ่งแล้วคารวะ จากนั้นก็กล่าวอย่างสำรวมมีมารยาทด้วยท่าทางไม่โอหังไม่ถ่อมตน

“บ่าวเห็นนายท่านกับฮูหยินคุยกันอยู่อย่างสนุกเพลิดเพลิน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนให้พวกท่านเสียอารมณ์ เดิมทีตั้งใจรอจังหวะให้พวกท่านหยุดพักสนทนาค่อยคารวะทักทายเจ้าค่ะ”

เถียนมามาเป็นหญิงรับใช้เก่าแก่ของหูซื่อและเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ที่หูซื่อฝากฝังบุตรกำพร้าของตนไว้ก่อนเสียชีวิต นางเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรือนของคุณหนูใหญ่แล้วก็แทบจะไม่ได้ไปที่ใด ปกติติงซื่อมักจับผิดอะไรนางไม่ได้

ติงเพ่ยฟังคำอธิบายของเถียนมามาแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น รบกวนอะไรกัน ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว แสดงว่าอวิ๋นเอ๋อร์ก็กลับมาแล้วเช่นกัน ตอนนี้นางอยู่ที่ใด นายท่านกำลังอยากพบนางอยู่พอดี”

เถียนมามาก้มหน้าเอ่ยตอบ “ตอนคุณหนูใหญ่กลับมาถูกน้ำโคลนจากล้อรถม้ากระเด็นใส่กระโปรง จึงต้องล้างเนื้อล้างตัวสักเล็กน้อยถึงจะมาคารวะผู้อาวุโสได้ นางเกรงว่านายท่านกับฮูหยินจะรอด้วยความร้อนใจ จึงส่งบ่าวมารายงานให้ทราบ อีกสักพักบ่าวจะกลับไปรับคุณหนูใหญ่มาที่นี่เจ้าค่ะ”

ซูหงเหมิงโบกมือไปมา “รู้แล้ว บอกนางว่าไม่ต้องแต่งกายพิถีพิถันเกินไป คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ถึงสวมอาภรณ์ลำลองมาพบก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม อีกสักพักข้ากับฮูหยินยังต้องพักผ่อนสักครู่ก่อนไปร่วมงานเลี้ยงยามค่ำพบปะสหายในอำเภออีก ให้นางมาคารวะตามธรรมเนียมก็พอ”

เถียนมามากวาดสายตามองห้องโถงใหญ่เงียบๆ อีกคราแล้วคารวะเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะพาสาวใช้กลับไปอย่างเร่งรีบ

ซูไฉ่เจียนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ตอนแรกนางนึกว่าไม่ต้องพบพี่สาว ไฉนเลยจะคิดว่าพอกลับมาถึงก็ต้องพบกับอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า

นางหาได้กลัวซูลั่วอวิ๋นไม่ แต่พอนึกถึงฝีปากที่คมคายของพี่สาวก็หวั่นใจว่าอีกสักครู่คงต้องมีเรื่องทะเลาะหมางใจกันเช่นเคย นางถูกตามใจจนเคยตัว เรื่องน่ากลัดกลุ้มล้วนมีคนอื่นสะสางจัดการให้ มีเพียงยามเผชิญหน้ากับพี่สาวผู้นี้เท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกขุ่นข้องหงุดหงิดเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ

แต่เมื่อนึกถึงสภาพอิดโรยปล่อยผมสยายของซูลั่วอวิ๋นตอนออกจากจวนไปในครั้งนั้น ในใจนางก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นบ้าง

ตั้งแต่เล็กจนโตมักมีคนยกนางกับพี่สาวมาเปรียบเทียบกันเสมอ ยามที่อยู่กับซูลั่วอวิ๋นพี่สาวของนาง ซูไฉ่เจียนไม่อาจโดดเด่นเทียบเท่าอีกฝ่าย ทว่าบัดนี้เห็นทีคงไม่มีใครเอานางไปเทียบกับคนตาบอดอีกแล้ว นี่นับว่าตรงกับคำกล่าวที่ว่า ‘อดทนรอยลแสงจันทร์หลังเมฆจาง’ ในอีกทางหนึ่งได้หรือไม่

ระหว่างที่คิดคำนึงอยู่เช่นนี้ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากหน้าประตูอีกครั้ง เงาร่างปราดเปรียวร่างหนึ่งเดินนำหน้ามาปรากฏตัวที่นอกประตูห้องโถงใหญ่

ซูไฉ่เจียนเงยหน้ามองไปก็เห็นสตรีที่ย่างเท้าเข้ามามีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น เสื้อคลุมยาวแขนกว้างพลิ้วเบาแบบเรียบง่ายทว่าสง่างามขับเน้นให้นางดูเพรียวระหงยิ่งขึ้น เรือนผมดำขลับรวบเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ เผยลำคอขาวนวลเนียน ทั้งยังมีหน้าผากโหนกนูนเกลี้ยงเกลา เรียวคิ้วดกดำงามได้รูป ปลายหางคิ้วชี้ขึ้นน้อยๆ ลดทอนความนุ่มนวลของสตรีลง หากแต่ดูสง่าองอาจเฉกเช่นบุรุษเพิ่มขึ้นหลายส่วน

อันที่จริงจุดชวนมองที่สุดบนดวงหน้าขาวกระจ่างของนางยังคงเป็นนัยน์ตาคู่นั้น รูปตารียาว หางตาเฉียงขึ้นเล็กน้อยดุจตาหงส์ แววตาเปล่งประกายจางๆ ทำให้คนอดเพ่งมองอย่างจดจ่อไม่ได้

เพียงแต่ว่าดวงตาคู่นั้นงดงามก็จริงอยู่ ทว่ากลับขาดชีวิตชีวาไปสักหน่อย ทั้งยังจับจ้องอยู่ที่จุดหนึ่งในความว่างเปล่านิ่งๆ มิได้กลอกลูกตาไปมาสักนิด

กระนั้นดวงตาที่เลื่อนลอยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างคล่องแคล่วว่องไวของสตรีนางนั้น นางทิ้งสาวใช้ไว้ด้านหลัง ก้าวข้ามธรณีประตูเดินอ้อมผ่านอ่างสำริดที่ใส่น้ำวางไว้บนพื้น เยื้องย่างด้วยท่วงทีปราดเปรียวไปหยุดยืนตรงจุดที่อยู่ห่างจากโต๊ะสามก้าว จากนั้นก็ยอบกายคารวะอย่างอ่อนช้อย

“ท่านพ่อ ฮูหยินใหญ่ ข้ามาต้อนรับล่าช้าไปแล้ว โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

ซูหงเหมิงประหลาดใจอยู่บ้าง เขาอดลุกขึ้นยืนไม่ได้ จากนั้นก็ยื่นมือแล้วโบกไปมาตรงหน้าสตรีนางนี้พลางกล่าวอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“ลั่วอวิ๋น…ดวงตาของเจ้ากลับมามองเห็นแล้วหรือ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: