บทที่ 101 เทียบเชิญ
เรื่องที่ตี้ซานเมิ่งก็คือหวงหร่างแพร่กระจายออกไปในค่ำคืนเดียว
และสิ่งที่ใต้หล้ารับรู้ไปพร้อมกันยังมีเรื่องที่ตี้ซานเมิ่งจะรับใช้ราชสำนัก กลายเป็นซือเสวียในกองเสวียนอู่ของกรมซือเทียน
ราษฎรตีต่างป่าวประกาศด้วยความปีติยินดี วิ่งไปแจ้งข่าวแก่กัน
ยามนี้บารมีของราชสำนักเป็นดั่งเรือที่สูงขึ้นตามน้ำจริงๆ
ส่วนเบี้ยหวัดของหวงหร่างย่อมมิอาจคิดคำนวณเป็นรายเดือนเหมือนพวกเป้าอู่ได้ ราชสำนักตัดสินใจจ่ายเบี้ยหวัดให้นางเดือนละหนึ่งหมื่นตำลึง อีกทั้งผลกำไรที่ได้จากการขายเมล็ดพันธุ์จำหน่ายทั้งหมดที่เป็นชื่อนาง ราชสำนักจะแบ่งให้นางสามส่วน โดยราชสำนักเป็นผู้จัดจำหน่ายแทนนาง
ตอนที่หวงหร่างลงนามในสัญญายังไม่ทันคิดว่าตนจะกลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างไร!
แต่มหาเศรษฐีผู้นี้พอกลับถึงกรมซือเทียนก็ถูกหัวหน้าสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชจงจื่อกุยไล่ตียกหนึ่ง
ไม่ง่ายเลยกว่าหวงหร่างจะหนีออกมาจากสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชได้ แต่แล้วก็พบเหมียวอวิ๋นจือที่กำลังเดือดดาลอีก
นางกำลังจะหนีออกจากกรมซือเทียน สุดท้ายก็ถูกเหอซีจินกับชวีม่านอิงจับตัวไว้
สุดท้ายทุกฝ่ายมาสมทบกัน เหมียวอวิ๋นจือกับจงจื่อกุยคอยกระพือไฟอยู่ข้างๆ ชวีม่านอิงถือไม้กวาด ‘ทักทาย’ บั้นท้ายของหวงหร่างอย่างใกล้ชิด
แม้กระทั่งเหอซีจินที่ลำเอียงรักใคร่คนของตนเองที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรยังเอ่ยว่า “สะ…สะ…สมควรแล้ว! ซะ…ซะ…ซะ…ซุกซน!”
กรมซือเทียนวุ่นวายโกลาหล ทว่าบรรยากาศในสำนักเซียนอวี้หูกลับหนักอึ้ง
เซี่ยหลิงปี้กับเซี่ยหงเฉินนั่งเผชิญหน้ากัน เซี่ยหลิงปี้กล่าวว่า “เหตุใดหวงหร่างผู้นี้ถึงใช้กระบี่แห่งจิตได้”
เซี่ยหงเฉินตอบ “ข้ากำลังตรวจสอบขอรับ นางเป็นบุตรสาวของหวงซู่ เกิดในตำบลเซียนฉา ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักเรา เรื่องกระบี่แห่งจิตแปลกประหลาดโดยแท้”
เซี่ยหลิงปี้เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “มิใช่แค่กระบี่แห่งจิต แต่นางยังเชี่ยวชาญมรรคากระบี่ของสำนักเซียนอวี้หู พลังวัตรเช่นนี้มิใช่ศิษย์สายรองเด็ดขาด ต้องเป็นศิษย์สายตรงเป็นแน่”
เซี่ยหงเฉินตอบ “ข้าจะตรวจสอบดูอีกครั้งขอรับ”
ตอนเอ่ยคำพูดนี้เขาเหลือบมองเซี่ยหลิงปี้คราหนึ่ง…แต่ไหนแต่ไรเขาไม่สนใจเรื่องราวทางโลก แต่จู่ๆ กลับสนใจเรื่องของหวงหร่างมากเพียงนี้ อีกทั้ง…ตอนนั้นหวงหร่างเปิดเผยกระบี่แห่งจิตเพราะถูกคนร้ายโจมตี
เวลานั้นเขาไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่กลับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ช่างประหลาดแท้
เซี่ยหงเฉินเป็นคนมีไหวพริบ แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็มิได้กล่าวออกมา
ความเป็นมาของหวงหร่าง เซี่ยหงเฉินตรวจสอบดูหลายครั้ง นางไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสำนักเซียนอวี้หูแม้แต่น้อยจริงๆ
นางถูกเหอซีจินรับตัวไปตอนอายุแปดขวบ แต่ก็ไม่เคยฝึกฝนเพลงกระบี่ในสำนักกระบี่หรูอี้มาก่อน กลับมุ่งหน้าไปสำนักปรับปรุงพันธุ์พืชที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงภายในปีนั้น
…นางไม่ฝึกบำเพ็ญมรรคายุทธ์ แต่เหตุใดถึงสามารถสำแดงมรรคากระบี่ขั้นสูงของสำนักเซียนอวี้หูได้
ทั้งที่มิได้มีประสบการณ์ในการปรับปรุงพันธุ์พืชสักเท่าไร เหตุใดถึงสามารถกดดันซีไหวอี้ ปรับปรุงพันธุ์พืชเลื่องชื่อในใต้หล้าออกมาภายใต้นามของตี้ซานเมิ่ง
เซี่ยหงเฉินศึกษาหวงหร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจเต็มไปด้วยความกังขาอย่างแท้จริง รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ทางด้านหวงหร่างหลังจากถูกบรรดาผู้อาวุโส ‘ทักทายอย่างใกล้ชิด’ พิธีแต่งงานของนางก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
ราชสำนักไม่คัดค้านเรื่องที่หวงหร่างกับตี้อีชิวจะแต่งงานกันแต่อย่างใด
…น้ำปุ๋ยมิพึงปล่อยให้ไหลเข้านาผู้อื่น ในแต่ละปีนางหาเงินได้มหาศาลเพียงใด
ดังนั้นฎีกาตอบตกลงของราชสำนักจึงถูกส่งมายังกรมพิธีการอย่างฉับไว
กรมพิธีการถูกใต้เท้าเจ้ากรมเร่งรัดจนหนังศีรษะชาไปหมด ครั้นได้รับฎีกาจึงเตรียมการอย่างพร้อมสรรพทันที เจรจาสู่ขอกับสำนักกระบี่หรูอี้
ใต้เท้าเจ้ากรมเดินทางไปกลับระหว่างสำนักกระบี่หรูอี้กับกรมซือเทียนครั้งแล้วครั้งเล่า
หวงหร่างก็มิได้อยู่ว่าง ลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง ช่วยกันกับตี้อีชิวจัดการตั้งแต่ชุดแต่งงาน
ชานเมืองของเมืองหลวง หมู่บ้านเกษตร
ซีอินเปิดจดหมายที่ชวีม่านอิงส่งมาให้ ชวีม่านอิงบอกนางเรื่องหวงหร่างอย่างละเอียด พูดถึงเรื่องที่หวงหร่างปรับปรุงเมล็ดพันธุ์เลื่องชื่อขึ้นมาอย่างไร จากนั้นก็ปกปิดฐานะ หลอกให้ผู้อาวุโสทั้งหลายแย่งกันโขกศีรษะให้ สุดท้ายก็เอ่ยถึงการแต่งงานของหวงหร่างกับตี้อีชิว
ซีอินอ่านแล้วมุมปากก็ยกขึ้น
ท้ายจดหมายชวีม่านอิงสอบถามนางว่าจะกลับมาสำนักกระบี่หรูอี้หรือไม่ ถึงอย่างไรนางก็เป็นมารดาของหวงหร่าง หวงหร่างแต่งงาน นางก็ควรจะอยู่ด้วย
ซีอินปิดจดหมายพลางยิ้ม ขณะกำลังจะตอบจดหมาย ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในลานเรือน
“ซีอิน!” น้ำเสียงเฉียบขาดร้องเรียก
ซีอินเงยหน้ามองไป นางเหมือนถูกฟาดที่ศีรษะกะทันหัน นิ่งงันอยู่กับที่
ผู้ที่มาคือนายท่านผู้เฒ่าซี…บิดาของนาง
ซีอินลุกขึ้น ข้างหลังนายท่านผู้เฒ่าซีมีฮูหยินผู้เฒ่าซียืนอยู่ อีกฝ่ายเป็นมารดาแท้ๆ ของซีอิน
เมื่อใบหน้าที่คุ้นเคยที่สุดในความทรงจำปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ซีอินกลับรู้สึกหวาดกลัว
เวลาช่างไร้ความปรานี ตอนนางออกจากบ้านยังเป็นสตรีสูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่ เป็นคุณหนูผู้สูงส่งที่ยังอ่อนต่อโลก เป็นเพราะนางหลงเชื่อคำหวานของบุรุษผู้หนึ่งจึงต้องอยู่อย่างเดียวดาย ถูกครอบครัวและมิตรสหายทอดทิ้ง จมสู่เหวลึกหมื่นจั้ง บัดนี้ได้พบครอบครัวอีกครั้ง เหตุการณ์ก็เปลี่ยนผันไปร้อยพัน คนแตกต่างไปจากในอดีต
“ลูกอกตัญญู! หลายปีมานี้เจ้ายังไม่รู้ผิดอีกหรือ!” เสียงของนายท่านผู้เฒ่าซียังคงเย็นชาเฉียบขาด ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าซีที่อยู่ด้านข้างเขากลับขอบตาแดงก่ำ
“อาอิน…” ฮูหยินผู้เฒ่าซีถอนหายใจติดๆ กัน “ยังไม่รีบมานี่อีก!”
ซีอินก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็หยุดลงช้าๆ
เนื้อความในจดหมายของชวีม่านอิงเมื่อครู่ผุดขึ้นมาในสมองนางอีกครั้ง
…หวงหร่างคือตี้ซานเมิ่ง อีกทั้งนางกำลังจะแต่งงานกับพระโอรสของซือเวิ่นอวี๋
ซีอินใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดควบคุมน้ำตาตนเองไว้ นางพยายามยืนตัวตรง เอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านมาได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าซีถอนหายใจอีกครา “นี่เจ้าอยู่ในสถานที่เช่นไร แม้กระทั่งบ่าวไพร่สักคนก็ไม่มี ดีร้ายหวงหร่างกับหวงจวินก็เติบใหญ่แล้ว พวกนางดูแลมารดาแท้ๆ ของตนเองเช่นนี้หรือ”
ซีอินหลุบตาลงพลางตอบว่า “ที่นี่ดีมาก ข้าชอบความเงียบสงบเอง จึงมิได้ซื้อคนเจ้าค่ะ”
นายท่านผู้เฒ่าซีแค่นเสียงเยาะหยัน “ตอนนั้นเป็นเจ้าดึงดันจะติดตามคนชั้นต่ำอย่างหวงซู่ผู้นั้นให้จงได้! ลำบากทั้งชีวิตเช่นนี้ย่อมได้แต่โทษตัวเจ้าเอง!”
ซีอินตอบ “ท่านพ่อสั่งสอนถูกต้องแล้ว ตอนนั้น…เป็นข้าที่ตื้นเขินโง่เขลา”
นายท่านผู้เฒ่าซีจึงเอ่ยว่า “ช่างเถิด หลายปีมานี้คิดว่าเจ้าก็คงได้รับบทเรียนแล้ว เจ้าเก็บข้าวของแล้วกลับกันเถิด ดีร้ายเจ้าก็เป็นบุตรสาวสกุลซี มาอยู่ในที่เช่นนี้ดูได้หรือ!”
กล่าวจบเขาก็หันกาย รอให้ซีอินตามเขากลับไปแต่โดยดี
ทว่าซีอินกลับชะงักอยู่นาน นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว จะกลับบ้านเดิมของตนเองได้อย่างไร ที่นี่ดีมาก ข้า…ไม่ขอทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเหนื่อยใจอีก”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” นายท่านผู้เฒ่าซีโกรธจัด
ฮูหยินผู้เฒ่าซีก็โน้มน้าวอีกแรง “อาอิน! หรือว่าหลายปีมานี้เจ้ายังลำบากไม่พอ ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังจะขัดคำสั่งบิดามารดาอีกหรือ”
ซีอินหวาดกลัวบิดาเชื่อฟังมารดา
เดิมทีนางเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์และเชื่อฟังมากที่สุดคนหนึ่ง ภายหลังถูกหวงซู่ล่อลวง กระทำเรื่องที่สร้างความอับอายขายหน้าให้ทางบ้านเดิม
แต่เวลานี้นางกลับยืดตัวตรง ชั่วชีวิตนี้ของนางไม่เคยแน่วแน่เช่นนี้มาก่อน
นางกล่าว “เรียนท่านพ่อท่านแม่ อาอินแต่งเข้าสกุลหวงแล้ว ชั่วชีวิตนี้ย่อมเป็นสตรีสกุลหวง มิกล้ารบกวนท่านพ่อและพี่ชายอีก!”
“อาอิน!” ฮูหยินผู้เฒ่าซีน้ำตาไหลริน ทุกถ้อยคำล้วนทุกข์ระทม “ลูกแม่ เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนเพียงนี้! บัดนี้เจ้าเองก็เป็นมารดาคนแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรสาวเจ้ากำลังจะแต่งงาน สำนักกระบี่หรูอี้แห่งนั้นแขวนโคมไฟผูกผ้าแพร แต่เจ้าดูสถานที่แห่งนี้ของเจ้า มีใครสนใจคนเป็นมารดาอย่างเจ้าบ้าง”
ซีอินเงยหน้าขึ้น มองมารดาแท้ๆ ของตน เนิ่นนานผ่านไปนางจึงพูดเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ ข้าไม่เคยตระหนักอย่างชัดเจนเท่าวันนี้มาก่อนเลยว่าข้าเป็นมารดาคนหนึ่ง”
ฮูหยินผู้เฒ่าซีพลันเงียบงัน
ซีอินจ้องตานางพลางพูด “เมื่อก่อนข้าคิดอยู่มิวายว่าหากมิใช่เพราะอาจวิน ข้าคงไม่ถึงขั้นต้องแต่งให้หวงซู่ ภายหลังข้าคิดอีกว่าหากอาหร่างเป็นเด็กชาย ข้าคงไม่ถึงขั้นถูกหยามหมิ่น หลายปีมานี้ข้าโทษสวรรค์โทษคนอื่น เป็นทุกข์และเวทนาตนเอง แต่กลับไม่เคยตระหนักเลยว่าข้าเป็นมารดาคนหนึ่ง ทว่าตอนนี้ข้ารู้แล้ว”
เพราะเป็นมารดา ดังนั้นนางจึงมิอาจกลับไปสกุลซีได้อีก
หาไม่แล้วหากนางกลับไป หวงหร่างย่อมต้องอยู่ภายใต้การบงการของสกุลซี
คำพูดเหล่านี้ทุกคนล้วนไม่ได้พูดออกมา
แต่เรื่องที่รู้ดีแก่ใจไยต้องพูดออกมาด้วยเล่า
นายท่านผู้เฒ่าซียิ้มเย็นชา “เดิมทีคิดว่าเจ้าผ่านความยากลำบากมาจะฉลาดกว่านี้สักหน่อย คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังคงโฉดเขลา หมดหนทางเยียวยาจริงๆ” กล่าวจบเขาก็โบกมือ สั่งการว่า “ใครก็ได้พาตัวนางกลับไป!”
ซีอินตกใจ หลายคนก้าวเข้ามาทำท่าจะมัดร่างนาง
แต่ในเวลานี้เองเสียงคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “นี่นายท่านผู้เฒ่าซีจะชิงตัวคนหรือไร”
นายท่านผู้เฒ่าซีกับฮูหยินผู้เฒ่าซีต่างตกใจ ทั้งสองคนหันกลับไปพร้อมกัน เห็นเพียงนอกประตูมีชาวยุทธ์ร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ
เขาสวมเสื้อหนังสัตว์ เอวห้อยดาบทอง ในมือยังอุ้มลูกแมวสีเทามอมแมมตัวหนึ่ง
ลูกแมวตัวเล็กเกินไป ส่วนเขาสูงใหญ่เกินไป จึงดูขัดกันอย่างยิ่ง
“เป้าอู่?!” นายท่านผู้เฒ่าซีมองเขาคราหนึ่ง โทสะพุ่งขึ้นในใจ “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่!”
เป้าอู่เดินไปตรงหน้าซีอิน ถือโอกาสนี้ยื่นลูกแมวให้นาง
ลูกแมวตัวนี้เล็กเกินไปจริงๆ หิวจนแม้กระทั่งเสียงร้องยังแผ่วอ่อนน่าสงสาร
ซีอินรีบรับไว้ในมือ ถามว่า “ตัวเล็กเพียงนี้ ท่านไปเอามาจากที่ใด”
เป้าอู่ตอบส่งเดช “เก็บได้ หากเจ้าชอบก็เลี้ยงไว้เถิด”
ซีอินรับคำ ทำท่าจะหาของกินให้ลูกแมว
นายท่านผู้เฒ่าซีเห็นทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ในใจพลันบังเกิดโทสะ “นางชั้นต่ำ! เจ้าถึงกับยั่วยวนชาวยุทธ์ผู้นี้เชียวหรือ!”
เป้าอู่จุปากแล้วเอ่ยว่า “นายท่านผู้เฒ่าซี หากท่านไม่มีอะไรแล้วก็รีบจากไปเถิด มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าผู้แซ่เป้าล่วงเกิน!”
“เจ้ากล้า!” นายท่านผู้เฒ่าซีเดือดดาล “ข้ามาพาตัวบุตรสาวกลับไป เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นบุรุษแปลกหน้า บุกรุกเข้ามาในที่พักของสตรี มีเจตนาเช่นไร”
“มีเจตนาเช่นไรหรือ” เป้าอู่รินน้ำให้ตนเองหนึ่งชาม ดื่มไปสองคำแล้วตอบว่า “ข้าผู้แซ่เป้าจะทำให้นายท่านผู้เฒ่าซีเห็นเองว่าข้ามีเจตนาเช่นไร!”
กล่าวจบเขาก็เดินตรงเข้าไป
บ่าวชายหลายคนที่นายท่านผู้เฒ่าซีพามาจัดการกับซีอินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร
เขาลงมือไม่กี่ครั้ง คนพวกนี้ก็ล้มลงกับพื้น จากนั้นนายท่านผู้เฒ่าซีก็ถูกมัดร่างแล้วถูกนำตัวไปในคุกกองพยัคฆ์ขาวฐานฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าซีได้แต่ร้องไห้โวยวาย
สกุลซีโกรธจัด มุ่งหน้าไปยังกรมซือเทียนก่อเรื่องหลายครั้ง
แต่หมู่บ้านเกษตรที่ซีอินพำนักอยู่เป็นที่ดินของใต้เท้าเจ้ากรม นายท่านผู้เฒ่าซีใช้กำลังฉุดคร่าผู้คนก็ไม่ชอบด้วยเหตุผลจริงๆ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ใต้เท้าเจ้ากรมยังคงใจกว้าง เมื่อสกุลซีมาโวยวาย เขาก็ส่งเป้าอู่ไปขออภัย
เป้าอู่เป็นชาวยุทธ์คนหนึ่ง ทั้งไม่ฟังเหตุผลและไม่สนใจหน้าตา แค่ขออภัยจะเป็นไรไปเล่า!
นายท่านผู้เฒ่าซีโมโหจนแทบกระอักเลือด แต่ทางด้านซีอิน ในที่สุดความสงบก็กลับคืนมา
ตอนเป้าอู่มาถึง ซีอินกำลังตอบจดหมายชวีม่านอิง
ลูกแมวน้อยสีเทาตัวนั้นถูกอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน ที่แท้มันเป็นสีขาว ตอนนี้มันกินอิ่มแล้ว กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนซีอิน
“อาหารทำเสร็จแล้ว อุ่นอยู่ในหม้อ” ซีอินตอบจดหมายพลางพูด
เป้าอู่ตอบรับแล้วเดินไปตักข้าวเอง หาได้สนใจไม่ว่าซีอินเขียนอะไรอยู่
รอจนกินอาหารเสร็จ เป้าอู่ก็กลายเป็นคนงานผ่าฟืน คนงานตักน้ำ คนงานรดน้ำแปลงผัก ซีอินมองดูอยู่ด้านข้างพักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“อ่างเลี้ยงปลาทางทิศตะวันออกของลานเรือนแตกไปมุมหนึ่ง ข้าอยากทำใหม่อีกสักใบ”
เป้าอู่รับคำ จากนั้นก็กลายเป็นช่างแกะสลักหิน
เขาเปลือยกายท่อนบน เจาะหินก้อนหนึ่งให้กลายเป็นอ่างเลี้ยงปลา เหงื่อไหลเป็นน้ำ แต่ไม่พูดอะไรสักคำ
ซีอินเดินเข้ามาในลานเรือน กางแบบลายปักออก ค่อยๆ ปักผ้าห่มมงคลผืนหนึ่ง
ลูกแมวนอนอยู่ ณ มุมหนึ่งของผ้าห่มมงคลสีแดง ยื่นขาสั้นป้อมออกมาเป็นครั้งคราว
ซีอินปักทีละด้ายทีละเข็มด้วยความสุขใจ
…เด็กคนนั้นกำลังจะแต่งงานแล้ว
กรมซือเทียน
หวงหร่างกับใต้เท้าเจ้ากรมกำลังเย็บชุดแต่งงานของทั้งสองคนด้วยกัน ใต้เท้าเจ้ากรมทำเครื่องประดับศีรษะชุดหนึ่งให้ฮูหยินเองกับมือ
ทั้งสองพยายามเอาวัสดุเหลือใช้ของกองวิหคเพลิงมาใช้ หากไม่ต้องควักเงินได้ก็จะไม่ควักเงิน
ชวีม่านอิงเตรียมสินเดิมเจ้าสาวมากมายไว้ให้หวงหร่าง นางกับหวงจวินเร่งทำเสื้อผ้าใหม่ให้หวงหร่างจนไม่ได้นอน แม้กระทั่งเครื่องเรือนก็สั่งทำเรียบร้อยแล้ว
แต่หลังจากนั้นทุกคนจึงได้รู้ว่าหวงหร่างกับตี้อีชิวถึงขั้นไม่คิดที่จะซื้อเรือนหลังใหม่!
ชวีม่านอิงรุดมายังกรมซือเทียนอย่างร้อนใจ ดึงร่างหวงหร่างที่กำลังเย็บรองเท้าให้สามีมาด้านข้าง
หวงหร่างเอ่ยขึ้น “ท่านป้า?”
ชวีม่านอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานจะไม่ซื้อเรือนได้อย่างไรกัน!”
หวงหร่างงุนงง “เช่นนั้นจะต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใด อีกทั้งพำนักที่หอพักขุนนางก็ไม่ต้องเสียเงิน”
“เจ้าตระหนี่เข้าไปเถิด!” ชวีม่านอิงโมโหจนกลายเป็นขบขัน “หอพักขุนนางนั่น…ไม่สะดวกเพียงใด”
หวงหร่างปลอบใจนาง “หอพักขุนนางราชสำนักเป็นผู้จัดหาให้ ทั้งยังมีบ่าวชายให้ด้วย มีอะไรไม่สะดวกกัน ท่านป้าอย่าเป็นกังวลไปเลย!”
ชวีม่านอิงอ้าปากคล้ายจะอธิบาย ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ช่างเถิด ถึงอย่างไรช้าเร็วเจ้าย่อมรู้เอง”
“ข้ารู้ว่าท่านป้าเป็นห่วงข้า” หวงหร่างกอดเอวนาง วางศีรษะเล็กลงบนไหล่นางพลางออดอ้อน
ชวีม่านอิงยังจะทำอย่างไรได้อีก ได้แต่เอ่ยว่า “เจ้า…เฮ้อ เอาเป็นว่าพวกเจ้ารีบไปดูเรือนเสียแต่เนิ่นๆ เถิด เด็กโง่สองคนนี้!”
วันแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที หวงหร่างจึงเดินทางกลับไปสำนักกระบี่หรูอี้รอออกเรือน
แต่ในวันนี้สำนักกระบี่หรูอี้กลับมีแขกคนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พบเห็นมาเยือน
…ประมุขสำนักเซี่ยมาเยือนอีกครา
เหอซีจินกับชวีม่านอิงมาพบแขกพร้อมกัน เดิมทีคิดว่าหวงหร่างใกล้จะออกเรือนแล้ว ทั้งยังมีเรื่องเจรจาสู่ขอก่อนหน้านี้ จึงไม่ให้นางปรากฏตัว
แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหงเฉินมาเพราะหวงหร่าง จึงจำต้องให้นางออกมาด้วย
เซี่ยหงเฉินนั่งตรงตำแหน่งที่นั่งแขก ท่าทียังคงสุภาพมีมารยาท
หวงหร่างคารวะเขาอย่างอ่อนช้อย มือยื่นเทียบเชิญออกไปพลางกล่าวว่า “ประมุขสำนักมาถูกจังหวะพอดี อีกสองวันจะเป็นวันมงคลของข้า ขอเชิญประมุขสำนักมาร่วมดื่มสุราสักถ้วย”
เด็กคนนี้…
ประมุขสำนักเซี่ยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้หนอ…ชวีม่านอิงกับเหอซีจินยังทนดูไม่ได้
สายตาของเซี่ยหงเฉินหลุบต่ำ จ้องเทียบเชิญสีแดงเพลิงประหนึ่งมีไฟลุกในมือนาง เนิ่นนานเขาจึงยื่นมือไปรับแล้วเอ่ยตอบ
“ย่อมสมควรอยู่แล้ว”
หวงหร่างจึงนั่งลงอย่างเบิกบาน ของขวัญในส่วนของเซี่ยหงเฉินคงจะไม่น้อย
อันที่จริงเขาเป็นคนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
เซี่ยหงเฉินเก็บเทียบเชิญเข้าในแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเหอ เหอฮูหยิน ข้าเดินทางมาครั้งนี้อยากทำความเข้าใจกับเพลงกระบี่ของแม่นางอาหร่าง ครั้งก่อนที่ได้เห็น ข้าผู้แซ่เซี่ยรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับมรรคากระบี่ของสำนักข้าอย่างยิ่ง จึงขอถามแม่นางอาหร่างถึงที่มาของมรรคากระบี่นี้”
ปากเขาเอ่ยถามเรื่องเหล่านี้ ทุกถ้อยคำล้วนจริงจังและมีเหตุผล แต่มือขวาที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อสีหิมะกลับลูบไล้เทียบเชิญนั้นเบาๆ
นางกำลังจะแต่งงาน
สีแดงของเทียบเชิญคล้ายจะลวกเขาจนบาดเจ็บ ทว่าเขายังคงยิ้มน้อยๆ เผยสีหน้าสุภาพสูงส่งออกมา
ประมุขสำนักเซียนอวี้หูเซี่ยหงเฉินไม่มีสิทธิ์หดหู่หรือโศกเศร้า เขาทำได้เพียงสุขุมเยือกเย็น แม้ในใจจะรู้สึกตรงกันข้ามก็ตาม
บทที่ 102 คู่แต่งงานใหม่
เซี่ยหงเฉินถามถึงเรื่องกระบี่แห่งจิตจนได้!
เหอซีจินกับชวีม่านอิงพลันมีสีหน้าหนักอึ้ง มองไปยังหวงหร่างพร้อมกัน
…หลานสาวของพวกเขาเก่งกาจสามารถเกินไป หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งกับพิธีแต่งงานของนาง ทั้งสองจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
หวงหร่างจับจ้องเซี่ยหงเฉิน เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้พูดไปแล้วประหลาดยิ่งนัก ตอนวัยเยาว์ข้าเคยฝันว่าได้คารวะประมุขสำนักเซี่ยเป็นอาจารย์ และท่านเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคากระบี่แห่งจิตให้ข้าด้วยตนเอง”
“นี่…” เซี่ยหงเฉินขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ
ชวีม่านอิงกับเหอซีจินก็ไม่เชื่อ
จะมีเรื่องแปลกพิสดารเช่นนี้ได้อย่างไร
หวงหร่างจ้องเซี่ยหงเฉินเขม็งพลางเอ่ยว่า “ในความฝันข้าคารวะเป็นศิษย์ของประมุขสำนัก มีวาสนาเป็นอาจารย์กับศิษย์กับประมุขสำนักเป็นเวลาร้อยปี”
เซี่ยหงเฉินตกตะลึง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “คำกล่าวนี้ของแม่นางอาหร่างยากจะทำให้คนเชื่อถือได้จริงๆ”
หวงหร่างตอบ “ใช่ แต่…เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ ในความฝันประมุขสำนักพำนักอยู่ในตำหนักเยี่ยอวิ๋นบนยอดเขาเตี่ยนชุ่ย ข้ามักจะไปที่ลานฝึกยุทธ์ด้านหลังบ่อยครั้ง ในลานมีต้นอู๋ถงต้นหนึ่ง ข้าฝึกกระบี่อยู่ใต้ต้นอู๋ถง ใบของมันปลิวปรายลงมาเต็มพื้น”
เซี่ยหงเฉินลุกขึ้นยืน หวงหร่างจึงกล่าวขึ้นอีก
“เนื่องจากประมุขสำนักชื่นชอบกล้วยไม้ ข้าจึงตั้งใจปรับปรุงพันธุ์ให้ประมุขสำนักกระถางหนึ่ง ประมุขสำนักรักชอบทีเดียว ตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน”
นางเล่าถึงเหตุการณ์ในความฝันครั้งที่สองช้าๆ บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ของพวกเขาอย่างละเอียด
ความตกตะลึงในใจเซี่ยหงเฉินยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
หวงหร่างค้อมกายให้เขาช้าๆ “หากประมุขสำนักไม่เชื่อ สามารถทดสอบวิชาของข้าได้”
เซี่ยหงเฉินตอบทันที “เจ้าสำนักเหอ ข้าขอยืมลานฝึกวิชาใช้สักหน่อยเถิด”
เรื่องนี้จะยากอันใดเล่า เหอซีจินเองก็สนใจใคร่รู้เช่นกัน จึงตอบว่า “เชิญ!”
เขาเดินนำทั้งสองคนไปจนถึงลานเรือนชั้นใน ภายในตั้งใจจัดสรรให้เป็นพื้นที่โล่งกว้างสำหรับให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่สำนักฝึกเพลงกระบี่โดยเฉพาะ
เซี่ยหงเฉินใช้กระบี่แห่งจิตป้อนกระบวนท่าให้หวงหร่าง ความใจตรงกันของทั้งสองคนอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
ยามนี้เขามั่นใจแล้วว่ากระบี่แห่งจิตของหวงหร่างมาจากการถ่ายทอดของเขาจริงๆ
หวงหร่างไม่ประหม่าแม้แต่น้อย เพราะความจริงแล้วก็ไม่นับว่านางโกหก
นางกับเซี่ยหงเฉินเคยมีวาสนาเป็นอาจารย์กับศิษย์เป็นเวลาร้อยปีจริงๆ อีกทั้งความสัมพันธ์ในตอนนั้นใกล้ชิดเกินกว่าที่เซี่ยหงเฉินจะสามารถคาดเดาได้ในตอนนี้
“ประมุขสำนัก…ไม่ ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านยอมเชื่อแล้วกระมัง” หวงหร่างเปลี่ยนคำเรียกขาน
เซี่ยหงเฉินรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้
เขาถามเสียงค่อย “ในความฝันเจ้ากับข้า…แค่ถ่ายทอดวิชาหรือ นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไร”
เขาเริ่มซักถามเวลาและรายละเอียด หวงหร่างก็สามารถชี้แจงได้ “นับตั้งแต่ปีที่ข้าอายุแปดขวบและได้พบประมุขสำนักเป็นครั้งแรกที่ตำบลเซียนฉา”
เหอซีจินกับชวีม่านอิงสบตากัน ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความสงสัย
เซี่ยหงเฉินถาม “เช่นนั้นเหตุใดหลายปีมานี้เจ้าถึงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้ามาก่อน”
หวงหร่างตอบ “เพราะข้ารู้ตัวดีว่าต่อให้พูด ประมุขสำนักก็ต้องสงสัยและซักถามสารพัดมิใช่หรือ”
เซี่ยหงเฉินเงียบงัน
หวงหร่างเอ่ยขึ้นอีก “นึกไม่ถึงว่าจะโชคดีได้รับการถ่ายทอดวิชาจากประมุขสำนักในความฝัน นี่เป็นการช่วยชีวิตข้าไว้คราหนึ่ง อาหร่างขอขอบคุณประมุขสำนัก”
เนิ่นนานเซี่ยหงเฉินจึงเอ่ยขึ้นในที่สุด “เช่นนั้น…เพราะเหตุใดตอนแรกเจ้าถึงปฏิเสธการสู่ขอของข้า”
นี่ไม่เหมือนคำพูดที่เขาจะเอ่ยถามออกมาสักนิด
เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วลง แต่ยังคงเอ่ยต่อ “หากเคยถ่ายทอดวิชาร้อยปีในความฝัน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าน่าจะใกล้ชิดยิ่งมิใช่หรือ”
คำกล่าวนี้ของเขาทำให้เหอซีจินสองสามีภรรยารู้สึกกระอักกระอ่วน
หวงหร่างตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนตอบ “ระหว่างที่ข้าค่อยๆ เติบโตขึ้น ข้าก็รู้ว่าคนที่ข้าตามหาคือคู่ครองที่รักข้า มิใช่แค่บุรุษที่มีฐานะสูงส่ง” นางมองเซี่ยหงเฉิน ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขา “สองอย่างนี้แตกต่างกัน”
เซี่ยหงเฉินตกอยู่ในความเงียบงัน หวงหร่างกลับเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“หากประมุขสำนักยอมเชื่อข้า เช่นนั้นข้ายังมีอีกเรื่องอยากพูดกับประมุขสำนัก เพียงแต่…ต้องรอให้ข้าแต่งงานเสียก่อน”
“เจ้าสามารถพูดมาตอนนี้ได้” เซี่ยหงเฉินเอ่ย
หวงหร่างยิ้มแล้วปฏิเสธ “ตอนนี้ไม่ได้ จำต้องแต่งงานเสียก่อน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอจนกว่าแม่นางจะแต่งงาน” เซี่ยหงเฉินเงยหน้ามองไปยังหวงหร่าง ยามสบตาเขา หวงหร่างก็คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
ชั่วขณะนั้นเซี่ยหงเฉินถึงขั้นคิดว่าหากเขาทำเหมือนตี้อีชิว เอ่ยปากวิงวอนอย่างจริงใจ หวงหร่างจะเปลี่ยนใจหรือไม่ จะยอมเลื่อนการแต่งงานออกไป รออีกสักพักหนึ่งหรือไม่
ทว่าเขามิได้ทำ
เขากับตี้อีชิวเดิมทีก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ครึ่งเดือนต่อมาเจ้ากรมซือเทียนตี้อีชิวกับใต้เท้าซือเสวียหวงหร่างก็แต่งงานกัน
ราชสำนักให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้มาก ขบวนเกียรติยศเดินทางไกลถึงพันหลี่ไปยังสำนักกระบี่หรูอี้เพื่อรับตัวเจ้าสาว
แม้แต่กรมอากรที่ตระหนี่มาแต่ไหนแต่ไรยังกัดฟันยอมหลั่งเลือด เตรียมลูกกวาดมงคลและเงินมงคลจำนวนมากโปรยไปตลอดทาง
หวงหร่างถูกชวีม่านอิงลากตัวขึ้นมากลางดึกเพื่อแต่งตัว
หวงจวินตรวจนับสินเดิมเจ้าสาวของหวงหร่างครั้งแล้วครั้งเล่า เหอชุ่ยกับเหอซีจินต้อนรับแขกเหรื่อแต่เช้าตรู่ ส่วนเหอตั้นไปสืบดูหลายคราว่าเกี้ยวรับตัวเจ้าสาวอยู่ตรงจุดใดแล้ว
ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย สำนักกระบี่หรูอี้เต็มไปด้วยสีแดง บรรยากาศชื่นมื่น
ใต้เท้าเจ้ากรมสวมชุดแต่งงานสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า ขบวนรับตัวเจ้าสาวมุ่งหน้าไปอย่างช้าๆ จนทำให้เขาร้อนใจ
“ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปกว่าจะรับตัวเจ้าสาวกลับมาได้มิใช่ต้องเป็นปีหน้าเลยหรือ!” ใต้เท้าเจ้ากรมพร่ำบ่นกับแม่สื่อของราชสำนักข้างกาย
แม่สื่อคนนั้นตอบด้วยสีหน้าชื่นมื่น “เจ้าบ่าวอย่าเพิ่งใจร้อน ประเดี๋ยวออกจากเมืองหลวงแล้วย่อมสามารถเร่งเดินทางด้วยรถม้าได้” กล่าวจบนางก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก “ข้าเป็นแม่สื่อมาหลายปี เพิ่งเห็นคนใจร้อนถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก”
ตอนเอ่ยคำพูดนี้นางคิดไม่ถึงว่ากำลังจะได้พบกับเจ้าสาวที่ใจร้อนยิ่งกว่า
เมื่อขบวนรับตัวเจ้าสาวผ่านบริเวณที่คนมากก็จะบรรเลงดนตรี สร้างบรรยากาศครึกครื้น หลังผ่านเขตชุมชนไปก็ขึ้นรถม้าดังว่า เร่งเดินทางไปตลอดทาง
ผ่านหลายเมืองหลายเขต ในที่สุดก็มาถึงสำนักกระบี่หรูอี้
ใต้เท้าเจ้ากรมเงยหน้า ครั้นเห็นกระบี่วิเศษที่สูงเทียมฟ้าเล่มนั้น แม้กระทั่งหัวใจยังสั่นไหว!
ราวกับเฝ้ารอมานานแสนนาน ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้
เวลานี้เองประตูใหญ่ของสำนักกระบี่หรูอี้ปิดแน่นสนิท พี่ชายภรรยาทั้งสองรวมทั้งหวงจวินขวางประตูไว้ ไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปข้างใน
เหอชุ่ยกล่าวว่า “ว่าที่น้องเขยรู้หรือไม่ว่าการรับตัวเจ้าสาวมีธรรมเนียมเช่นไร”
ใต้เท้าเจ้ากรมล้วงหยิบของวิเศษหลายชิ้นออกมาจากเข็มขัดเก็บของที่เอวอย่างรู้สถานการณ์ จากนั้นก็เลิกคิ้วถาม
“มีธรรมเนียมเช่นไร”
เหอซีจินกับชวีม่านอิงอมยิ้มพลางมองดู ถึงอย่างไรก็เป็นวันมงคล จึงปล่อยให้พวกเขาเล่นสนุกกัน
เหอชุ่ยกล่าว “สามีที่น้องสาวข้าแต่งงานด้วยจะต้องเป็นผู้รอบรู้กว้างขวางเป็นแน่ ข้าจึงต้องทดสอบท่านดูสักหน่อย!”
ใต้เท้าเจ้ากรมเก็บของวิเศษที่ล้วงออกมากลับไป ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเตรียมวัตถุวิเศษเก็บของมามอบให้หลายชิ้น ไม่คิดว่าแค่ต้องใช้ความรู้เท่านั้น เช่นนั้นก็สอบถามมาเถิด!”
จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูสำนักเปิดออก
เหอชุ่ยกับเหอตั้นสองพี่น้องแย่งกันพุ่งเข้าไป “เรื่องความรอบรู้พวกนั้นเดิมทีก็มิได้จำเป็นเพียงนั้น…”
สองพี่น้องแย่งกันช่วงชิงของวิเศษในมือเขา ไม่ลืมยัดให้หวงจวินชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็นำทางเขาไปอย่างกระตือรือร้น
ตลอดทางใต้เท้าเจ้ากรมมีเงินมงคลที่กรมอากรมอบให้คอยเบิกทาง จึงเข้าไปในเรือนได้อย่างราบรื่น
หวงหร่างถูกประคองมาตรงหน้าเหอซีจินกับชวีม่านอิงสองสามีภรรยา ทั้งสองคนต่างทอดถอนใจ
“ตอนมาร่างเล็กแค่นี้…” ชวีม่านอิงจับมือหวงหร่าง เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “แต่งงานแล้วย่อมเป็นผู้ใหญ่ ต้องใส่ใจดูแลสามี ปกครองเรือนดูแลกิจการ จะดื้อรั้นซุกซนไม่ได้อีก”
แต่ในความเป็นจริงหวงหร่างสวมชุดแต่งงานเป็นครั้งที่สามแล้ว
ครั้งแรกที่นางออกเรือนซีอินตายไปแล้ว ในสายตาของหวงซู่มีแต่สินสอดที่ได้จากสำนักเซียนอวี้หูและเกียรติยศที่บุตรสาวได้แต่งเข้าสำนักอันสูงส่ง ไม่มีถ้อยคำกำชับแม้แต่ครึ่งคำ
ครั้งที่สองนางรู้ดีว่าเป็นเพียงมายา ย่อมไม่จริงจังแม้แต่น้อย
แต่เพียงครั้งนี้นางบีบมือชวีม่านอิงตอบ รู้สึกเหมือนอยากจะหลั่งน้ำตา
เหอซีจินที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า “ถะ…ถะ…ถ้ามีเรื่อง…คะ…คับข้องใจ…ก็ต้อง…กะ…กลับมา จะ…เจ้ามีท่านลุง…ละ…และพี่ชาย ยะ…ยะ…ย่อมต้องให้ความ…ปะ…ปะ…เป็นธรรมกับเจ้าแน่!”
สองมือของหวงหร่างกุมประสานกับมือสองสามีภรรยา เนิ่นนานจึงตอบเสียงสะอื้น “อาหร่างทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ชวีม่านอิงตบมือนางเบาๆ พลางเอ่ยว่า “มารดาเจ้าไม่ได้มา แต่อาหร่าง เป็นเพราะนางไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้า เจ้าอย่าได้โกรธแค้นนาง”
หวงหร่างส่ายหน้า เรื่องราวต่างๆ เริ่มต้นใหม่ ไฉนเลยจะยังมีความแค้นอะไรอีก
“ไป ออกไปกันเถิด!” ชวีม่านอิงจูงนางให้ลุกขึ้นมา พาก้าวข้ามธรณีประตูช้าๆ
ตี้อีชิวยืนอยู่หน้าประตู เห็นคนผู้นั้นสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงดั่งดวงตะวัน นางเดินมาหาเขา เขากางสองแขนออกช้าๆ คล้ายกำลังโอบกอดดวงตะวันที่เป็นของตน
หวงหร่างให้ตี้อีชิวจับจูงมือ ในที่สุดก็ขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาว
สี่เหนียงแจกเงินมงคลอีกรอบ ในที่สุดท่ามกลางเสียงประทัดดังสนั่นจนหูแทบแตก เกี้ยวเจ้าสาวก็ถูกหามขึ้น ขบวนรับตัวเจ้าสาวบรรเลงดนตรีขณะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
หวงหร่างนั่งอยู่ในเกี้ยว เลิกมุมหนึ่งของผ้าคลุมศีรษะขึ้นมา ลอบมองออกไปข้างนอก
ตี้อีชิวนั่งอยู่บนหลังม้า เห็นเพียงแผ่นหลังเหยียดตรงเลือนราง
นางรู้สึกเหมือนได้อมลูกกวาดไว้เม็ดหนึ่ง เบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก
ตี้อีชิว ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้แต่งให้ท่านแล้ว!
ราชสำนักคล้ายจงใจโอ้อวด ขบวนรับตัวเจ้าสาวจึงผ่านเมืองและตำบลมากมายเป็นพิเศษ
ตลอดทางเสียงประทัดดังก้อง ลูกกวาดมงคลโปรยออกไป ทั่วหล้าร่วมเฉลิมฉลอง
ใต้เท้าเจ้ากรมเร่งรัดหลายครั้ง สี่เหนียงปิดปากเอ่ยว่า “ตายจริง เจ้ากรมโปรดวางใจ เจ้าสาวไม่หนีไปที่ใดแน่”
เวลานี้เองม่านหน้าต่างของเกี้ยวเจ้าสาวก็ถูกเลิกขึ้นมุมหนึ่ง เจ้าสาวบ่นเสียงค่อย “ข้าจะหนีไปที่ใดได้ ข้าเองก็รอไม่ไหวแล้วเช่นกัน!”
มิคาดคิดว่าในขบวนรับตัวเจ้าสาวนี้จะมีผู้ที่มีพลังวัตร ทุกคนจึงได้ยินชัดเจน ข้างนอกเกิดเสียงหัวเราะดังครืน
สี่เหนียงวิ่งเข้าไปอย่างร้อนใจ หัวเราะพลางออกแรงดึงม่านลง “เจ้าสาวอย่าพูดอีกเลย!”
สามวันให้หลัง ขบวนรับตัวเจ้าสาวก็มาถึงเมืองหลวงในที่สุด
ราษฎรต่างรู้ว่านี่เป็นการแต่งงานของตี้ซานเมิ่งกับใต้เท้าเจ้ากรม สองฝั่งถนนมีชาวบ้านที่มารอชมเบียดเสียดกันแน่น
ขบวนเกียรติยศล้อมเกี้ยวเจ้าสาวไว้ บรรเลงดนตรีไปตลอดทาง พอเข้าสู่เมืองชั้นในก็ไปยังกรมซือเทียน ส่งตัวเจ้าสาวเข้าไปยังหอพักขุนนาง
จะว่าไปแล้วแม้กระทั่งสี่เหนียงเองยังรู้สึกว่าที่นี่ดูอัตคัดเกินไปสักหน่อย
เรือนหอเล็กแคบเช่นนี้ เทียบกับพิธีแต่งงานที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ กล่าวได้ว่าเป็นกระโถนเลี่ยมทองอย่างเห็นได้ชัด
แต่แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ถึงอย่างไรเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ไม่ถือสา พวกนางจะมากเรื่องไปเพื่ออันใดเล่า
ทุกคนยังคงปฏิบัติตามธรรมเนียม ให้ทั้งสองคนดื่มสุราเหอจิ่น
จากนั้นใต้เท้าเจ้ากรมก็ออกไปต้อนรับแขกเหรื่อมิตรสหาย
หวงหร่างนั่งอยู่ตรงขอบเตียง หยิบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งตรงม่านเตียงสีแดง อดมิได้ที่จะแกะเปลือกและโยนใส่ปาก
พิธีแต่งงานวันนี้ไม่รู้จะได้รับของขวัญและเงินทองมากน้อยเพียงใด
เซี่ยหงเฉินน่าจะมากระมัง
เมื่อก่อนเขามอบสินสอดให้ข้าเท่าไรกัน
หวงหร่างขบคิดอยู่นานก็ไม่ได้ตัวเลขที่แน่ชัด จะว่าไปแล้วเงินในตอนนั้นมิได้เข้ากระเป๋านาง ล้วนถูกหวงซู่เก็บไปทั้งหมด
นางรออยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดใต้เท้าเจ้ากรมก็หนีกลับมาที่ห้องหอ
เสียงหัวเราะเฮฮาของแขกเหรื่อข้างนอกได้ยินชัดเจน ใต้เท้าเจ้ากรมแม้กระทั่งหน้าตาก็ไม่ต้องการแล้ว หันหลังปิดประตูห้องทันที!
หวงหร่างหัวใจเต้นรัวเร็ว ท่ามกลางแสงจากเทียนไขสีแดงที่เต้นระริก ในที่สุดใบหน้านางก็แดงเรื่อ
นางเปลี่ยนทิศทางการนั่ง มอบแผ่นหลังให้ใต้เท้าเจ้ากรม
ใต้เท้าเจ้ากรมหาผ้าซับเหงื่อมาเช็ดมือตนเองให้สะอาด จากนั้นก็ใช้สองมือโอบไหล่นางให้หันกลับมา เขาเปิดผ้าคลุมศีรษะของหวงหร่างเบาๆ คนงามใต้แสงเทียนดุจหยก ทำให้ใจคนไหวหวั่น
ลูกกระเดือกของใต้เท้าเจ้ากรมขยับเล็กน้อย การจับจ้องเช่นนี้เพียงพอให้คนจดจำไปได้พันภพหมื่นชาติ
“ข้า…” เขาขบคิดอยู่นานก็ไม่อาจหาคำพูดดีๆ อะไรได้ จึงได้แต่เอ่ยว่า “ฮูหยิน พวกเรานอนกันเถิด”
ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว! หวงหร่างเขินอายแทบทนไม่ไหว ใต้เท้าเจ้ากรมตระกองกอดนาง รู้สึกเพียงในอ้อมอกเต็มไปด้วยกลิ่นหอม
ชั่วขณะนั้นโลหิตของเขาเดือดพล่าน จุมพิตติ่งหูดุจหยกขาวของนางอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
ใบหน้าหวงหร่างซับสีแดง ทุบเขาเบาๆ หนึ่งทีแล้วถามว่า “วันนี้ได้รับของขวัญมากน้อยเพียงใด”
สองมือของใต้เท้าเจ้ากรมไม่อยู่ว่าง ปลดเปลื้องอาภรณ์ให้ฮูหยินอย่างร้อนรน ตอบว่า “ไม่รู้” เขาจุมพิตที่ข้างริมฝีปากหวงหร่างเบาๆ แล้วเอ่ย “พรุ่งนี้ค่อยนับ”
เวลานี้เองห้องข้างๆ มีคนพูดเบาๆ ว่า “เงินขาวแปดสิบเก้าหมื่นตำลึง ทั้งยังมีวัตถุโบราณและอักษรภาพวาดอีกนับไม่ถ้วน”
“…” หวงหร่างกับใต้เท้าเจ้ากรมใบหน้าเขียวคล้ำ!
นี่…นี่มัน…
เนิ่นนานหวงหร่างจึงขยับปากถามอย่างไร้สุ้มเสียง ‘จงจื่อฟู่?’
ใต้เท้าเจ้ากรมพยักหน้า…จงจื่อฟู่เป็นผู้รับผิดชอบจดบันทึกรายการของขวัญ
เจ้าช่างทำหน้าที่ได้อย่างเยี่ยมยอดจริงๆ!
ในที่สุดหวงหร่างก็ได้รู้ว่าคนที่พักอยู่ข้างห้องของตี้อีชิวในหอพักขุนนางเป็นใคร
ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา ใต้เท้าเจ้ากรมอยากดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด สุดท้ายกลับถูกกำปั้นนุ่มซัดกลับไป
…ต่อให้หวงหร่างมีทักษะมากเพียงใด เงื่อนไขเช่นนี้ก็ไม่เอื้ออำนวย!
ซื้อเรือน! พรุ่งนี้ต้องซื้อเรือน!
หาไม่แล้วยามกลางคืนเวลาเล่าเรื่องตลก สองสามีภรรยายังไม่ทันหัวเราะ ข้างห้องกลับหัวเราะก่อนเสียแล้ว!
เช่นนี้…เช่นนี้จะให้พวกเขาสู้หน้าคนได้อย่างไร! ทั้งสองคนเจ็บใจยิ่งนัก!
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนกันยายน 2568)
Comments
comments
No tags for this post.