บทที่ 10 เกล็ดย้อน
สำนักเซียนอวี้หู หอฉีลู่
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์กำลังซักเสื้อผ้า เสื้อผ้าของหวงหร่างมีมากเป็นพิเศษ อีกทั้งแบบเสื้อผ้ายังสลับซับซ้อน สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงในการซักอย่างยิ่ง เสื้อผ้ามากมายเหล่านี้มิอาจซักให้หมดได้ในชั่วเวลาอันสั้นจริงๆ
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์อยากจะร้องไห้ นางรู้ว่าหวงหร่างกลั่นแกล้งนาง
ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่ากลับอับจนหนทาง เซี่ยหงเฉินดูเหมือนรักใคร่ตามใจนางก็จริง แต่ถ้าหากนางไม่เคารพผู้ใหญ่ย่อมต้องถูกตำหนิ เซี่ยจิ่วเอ๋อร์สามารถทำตัวห่างเหินกับหวงหร่างได้ แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ซักเสื้อผ้ามาสองชั่วยามแล้ว ย่อมต้องเกิดความสงสัย
…นางยังไม่กลับมาอีก เมื่อครู่เห็นนางหิ้วกล่องใส่อาหาร แต่มิได้มุ่งหน้าไปยังทิศทางของยอดเขาเตี่ยนชุ่ย นางเอาของกินไปให้ใครกัน ต้องไปนานถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ในร้านค้าสำนักชั้นนอก ตอนเซี่ยหยวนซูตื่นขึ้นมาก็เห็นหวงหร่างนั่งอยู่ตรงขอบเตียง
เขาผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ยามนี้ฤทธิ์สุราหายไปพอสมควรแล้ว ดังนั้นความกล้าหาญก่อนหน้านี้จึงเหลืออยู่ไม่เท่าไร เขาคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างลนลาน เนิ่นนานจึงยิ้มพลางพูดอย่างกระอักกระอ่วน
“น้องสะใภ้ ข้า…ข้าดื่มจนเมามายจริงๆ ข้านี่ช่างสมควรตายโดยแท้” เขาใช้มือตบศีรษะของตนเอง
ยามนี้เรือนผมสีดำของหวงหร่างแผ่สยาย น้ำตาเอ่อคลอเหมือนสั่งได้ หยดน้ำที่ถูกขนตาเค้นไหลริน เปล่งประกายระยิบระยับดุจดารา แม้สวรรค์เห็นยังเวทนา นางลุกขึ้นยืนจัดชุดกระโปรงให้เรียบร้อยพลางพูดขึ้น
“ข้าเองก็ผิด ทั้งที่ข้ารู้ดีว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่พี่ใหญ่…จะเป็นไปได้อย่างไร”
คำพูดที่เหลือนางมิได้พูดต่อ เพียงเดินไปยังข้างโต๊ะแล้วหิ้วกล่องใส่อาหารขึ้นมา ขณะกำลังจะจากไปนางก็พูดขึ้นอีก
“ทางด้านหงเฉินข้าจะไปโน้มน้าวเขาอีกครั้ง อย่างไรเสียเรื่องมาถึงบัดนี้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้พี่ใหญ่เดือดร้อนไปด้วยอีกคน” หวงหร่างหัวใจเยียบเย็น น้ำเสียงเจือสะอื้น แต่ละถ้อยแต่ละคำดุจดอกสาลี่ต้องพิรุณ เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก “ทว่าด้วยนิสัยใจคอของเขา สองวันนี้เกรงว่าคงไม่ยอมพบหน้าข้าอีก พี่ใหญ่ระวังตัวด้วย ข้ามาอยู่กับพี่ใหญ่ที่นี่เนิ่นนาน อย่างไรเสียหูตาคนก็มาก พี่ใหญ่จัดการให้เหมาะสมเถิด หาไม่แล้วหากรู้ถึงหูเขา ข้ากับพี่ใหญ่…เกรงว่าคงไม่มีทางรอดอีก”
กล่าวจบนางก็ก้มหน้าเดินออกจากประตูไปช้าๆ
เซี่ยหยวนซูตามออกมา อยากจะร้องเรียกนาง แต่กลับมิได้ทำ
เดิมทีเขามิใช่คนกล้าหาญอยู่แล้ว แม้ในใจจะอัดอั้นไปด้วยอารมณ์ แต่ถ้าหากให้ลงมือทำจริงๆ กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วันนี้ตนถึงขั้นทำให้หวงหร่างแปดเปื้อน หลังอารมณ์กำหนัดผ่านพ้นไปก็นึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง เซี่ยหงเฉินผู้นี้แม้จะจัดการเรื่องต่างๆ อย่างอ่อนโยนเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่ล่วงเกินได้ เช่นนั้นก็คิดผิดแล้ว
หากเขารู้เรื่องนี้เข้า…เซี่ยหยวนซูแทบไม่กล้าคิดต่อ
หวงหร่างกลับไปถึงหอฉีลู่ก็เห็นว่าเซี่ยจิ่วเอ๋อร์กำลังซักเสื้อผ้าให้นาง
พอเห็นนางกลับมา เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ทำสีหน้าประหลาดใจ แต่ยังคงฝืนยิ้มทักทายนางว่า “มารดาบุญธรรม เหตุใดวันนี้ท่านถึงกลับมาช้าเช่นนี้เล่า ท่านไปที่ใดมาหรือ”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์สืบข่าวอย่างระมัดระวัง หวงหร่างไม่สนใจนาง เพียงหาวออกมาแล้วพูดว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอพักสักครู่ เจ้าซักเสื้อผ้าเสร็จก็กลับไปเถิด”
วาจาเอ่ยเช่นนี้ก็จริง แต่ยามจากไปหวงหร่างกลับทำหยกพกชิ้นหนึ่งตกไว้เหมือนมิได้ตั้งใจ
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เห็นนางเหนื่อยล้า เดิมทีก็เกิดความกังขาในใจอยู่แล้ว…นางออกไปข้างนอกนานถึงสองชั่วยาม ต่อให้ถือกล่องใส่อาหารไปด้วยก็แค่เอาอาหารไปแบ่งให้ศิษย์คนอื่นๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเพียงนี้ เช่นนั้นนางไปที่ใดมา ขณะที่กำลังขบคิดเรื่องนี้ก็เหลือบไปเห็นว่าหวงหร่างทำของชิ้นหนึ่งตกไว้ เซี่ยจิ่วเอ๋อร์มีความคิดในใจอยู่แล้ว จึงมิได้ร้องเรียกนาง
รอจนกระทั่งหวงหร่างกลับห้อง เซี่ยจิ่วเอ๋อร์จึงเดินเข้าไปเก็บของสิ่งนั้นขึ้นมา พอพิศดูอย่างละเอียดก็ตกใจจนหน้าซีด
…นี่เป็นหยกพกชิ้นหนึ่ง
ทุกคนในสำนักเซียนอวี้หูต่างให้ความสำคัญกับหยก แน่นอนว่าทุกคนล้วนพกหยกติดตัว และหยกพกชิ้นนี้สลักคำว่า ‘ซู’ อยู่บนนั้น เป็นหยกที่เซี่ยหยวนซูบุตรชายของเซี่ยหลิงปี้พกติดตัวเป็นประจำ
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์หัวใจเต้นรัวเร็ว เหตุใดของส่วนตัวของเซี่ยหยวนซูถึงมาอยู่กับหวงหร่างได้ อีกทั้งพฤติกรรมของหวงหร่างในวันนี้ก็แปลกเกินไปจริงๆ ทำให้นางอดคิดมากไม่ได้
บิดาบุญธรรมไม่ชอบมารดาบุญธรรม ข้อนี้นางรู้ หากตนนำเรื่องนี้ไปบอกบิดาบุญธรรมจะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเขามากขึ้นอีกสักนิดหรือไม่ เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ได้แต่ดีดลูกคิดในใจ
พอเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ซักเสื้อผ้าเสร็จก็นำเอาหยกพกมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเตี่ยนชุ่ย
ศิษย์สายตรงของเซี่ยหงเฉินล้วนพำนักอยู่ที่นี่ ส่วนเซี่ยหงเฉินพักอยู่ในตำหนักเยี่ยอวิ๋นบนยอดเขา เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เข้าไปในตำหนัก ม่านสีขาวในตำหนักพลิ้วไหว การตกแต่งเรียบง่าย เห็นได้ชัดว่าผู้ที่พำนักอยู่ที่นี่จิตใจสงบนิ่งมั่นคงยิ่ง
“บิดาบุญธรรม!” เซี่ยจิ่วเอ๋อร์คุกเข่าลงในตำหนัก น้ำเสียงเจือสะอื้น
ข้างในมีม่านสีขาวขวางอยู่ เสียงของเซี่ยหงเฉินดังขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์โขกศีรษะลงกับพื้นพลางพูดว่า “เมื่อครู่จิ่วเอ๋อร์ไปหอฉีลู่ ซักเสื้อผ้าให้มารดาบุญธรรม พบว่า…พบว่า…”
ท่าทีของเซี่ยหงเฉินแฝงความไม่พอใจหลายส่วน เอ่ยสั่งอย่างเคร่งขรึม “พูด”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์รีบกล่าวต่อ “พบว่ามารดาบุญธรรมออกไปข้างนอก สองชั่วยามให้หลังจึงกลับมา นาง…นางมิเพียงมวยผมหลุดลุ่ย ทว่ายัง…” นางใส่สีตีไข่คิดจะดึงความสนใจของเซี่ยหงเฉิน
จริงดังคาด เซี่ยหงเฉินถามขึ้นทันที “ยังอะไร”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์รีบยื่นหยกพกออกไป “ยังไม่ระวังทำของชิ้นหนึ่งตกไว้ เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเก็บขึ้นมาและนำไปคืน แต่พอเห็นของสิ่งนี้ก็ไม่กล้าตัดสินใจจริงๆ จึงได้แต่มาหาบิดาบุญธรรม!”
นางก้มหน้า สองมือประคองหยกพกยื่นออกไป ทันใดนั้นก็รู้สึกฝ่ามือเบาลง หยกพกชิ้นนั้นเข้าไปอยู่ในมือเซี่ยหงเฉินแล้ว
เซี่ยหงเฉินไม่เอ่ยอะไรอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่มีนิสัยสะเพร่ามาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งของติดตัวหล่นหายยังไม่รู้เรื่อง มารดาบุญธรรมของเจ้าคงเก็บได้และยังไม่ได้นำไปคืนเป็นแน่ เจ้าออกไปเถิด”
คิ้วของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย…บิดาบุญธรรมรังเกียจมารดาบุญธรรมมิใช่หรือ เหตุใดฟังดูแล้วเขากลับไม่ใคร่ยินดีที่นางจับผิดอีกฝ่ายได้ ทว่านางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเซี่ยหงเฉิน เพียงเอ่ยตอบ
“เจ้าค่ะ”
นางหันหลังเตรียมจะถอยออกไป เซี่ยหงเฉินที่อยู่ในห้องด้านในก็พูดขึ้นอีก “หยกพกนี้ข้าจะคืนให้ท่านลุงใหญ่ของเจ้าเอง เรื่องนี้ให้ยุติเพียงเท่านี้ เป็นเด็กควรตั้งใจฝึกบำเพ็ญ อย่าให้เรื่องอื่นมารบกวนสมาธิ”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เข้าใจคำพูดเขา นี่เป็นการเตือนนางว่าอย่านำเรื่องนี้ไปพูดส่งเดช นางรีบรับคำ “จิ่วเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
พอเซี่ยจิ่วเอ๋อร์จากไปแล้ว เซี่ยหงเฉินที่อยู่ในห้องด้านในจึงพินิจดูหยกพกในมืออย่างละเอียด
นี่เป็นของของเซี่ยหยวนซูไม่ผิดจริงๆ แต่บัดนี้เซี่ยหยวนซูอยู่สำนักชั้นนอก มิอาจย่างเท้าเข้ามายังสำนักชั้นในได้โดยง่าย แล้วหวงหร่างจะเก็บหยกพกประจำตัวของเขาได้อย่างไร หากบอกว่าทั้งสองมีสัมพันธ์กัน เซี่ยหงเฉินไม่เชื่อ แม้หวงหร่างจะมีจิตใจไม่บริสุทธิ์ แต่นางไม่ใช่คนโง่เขลา
บัดนี้นางได้เป็นฮูหยินประมุขสำนักแล้ว อีกทั้งตนยังไม่มีความคิดที่จะรับอนุ ฐานะของนางมั่นคง ควรจะอยู่อย่างสบายไร้กังวล จะไปข้องแวะกับเซี่ยหยวนซูได้อย่างไร เซี่ยหยวนซูเป็นคนต่ำช้า นิสัยเจ้าเล่ห์ ทั้งยังมากด้วยตัณหาราคะ เขาจะมอบสิ่งใดให้หวงหร่างได้
หวงหร่างผู้นี้มีความคิดอยู่ในใจ ได้เสียล้วนคำนวณไว้ชัดเจน เรื่องนี้เซี่ยหงเฉินมั่นใจและไม่สงสัยสักนิด
แต่ถ้าหากบอกว่าเซี่ยหยวนซูหมายปองหวงหร่างกลับเป็นไปได้
หวงหร่างงามสะคราญ ทั่วหล้าต่างรับรู้ แต่นางงามสะคราญเพียงใดนั้นเกรงว่าคงมีแค่เซี่ยหงเฉินเท่านั้นที่รู้ เดิมทีเซี่ยหยวนซูเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้ว หากบอกว่าเขาไม่มีความคิดอื่นใดย่อมเป็นเรื่องน่าขัน
เมื่อคิดได้ดังนี้เซี่ยหงเฉินก็เอ่ยขึ้นทันที “ใครก็ได้ไปตามเซี่ยหยวนซูมาพบข้าที่ตำหนัก”
ในร้านค้าสำนักชั้นนอกของสำนักเซียนอวี้หู ตอนนี้เป็นยามราตรี
เซี่ยหยวนซูกำลังกระวนกระวายไม่สบายใจ หากเรื่องของเจินเอ๋อร์รู้ถึงหูเซี่ยหลิงปี้ เซี่ยหลิงปี้จะต้องตีเขาปางตายแน่นอน ยิ่งถ้าหากเรื่องที่เขาแตะต้องหวงหร่างแพร่ออกไป อย่าว่าแต่เซี่ยหงเฉินไม่ละเว้นเขา เซี่ยหลิงปี้เองก็ต้องถลกหนังเขาออกมาแน่นอน
จากนั้นก็เรียกได้ว่ากระทำความผิดแล้วมีผีมาเคาะประตู…หลงจู๊ใหญ่วิ่งเหยาะๆ เข้ามารายงานว่า “คุณชายใหญ่ ประมุขสำนักเรียกท่านไปพบที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋นบนยอดเขาเตี่ยนชุ่ยขอรับ!”
หัวใจของเซี่ยหยวนซูแทบจะกระดอนออกมาทันที!
หรือว่าเรื่องหน้าต่างตะวันออกเปิดเผยเสียแล้ว
ใช่ ต้องใช่แน่นอน! หาไม่แล้วดึกดื่นค่ำมืดเซี่ยหงเฉินจะเรียกข้าไปพบเพื่ออันใด
ด้วยนิสัยของเซี่ยหงเฉิน หากเขารู้เรื่องนี้ ข้าไปตำหนักเยี่ยอวิ๋นจะต้องไม่รอดเป็นแน่ เรื่องอื่นเซี่ยหงเฉินเห็นแก่หน้าเซี่ยหลิงปี้อาจทนข้ายอมข้า แต่เรื่องนี้…
เดิมทีเซี่ยหยวนซูมีนิสัยขลาดกลัว แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้คนที่มีนิสัยขลาดกลัวก็มีความกล้ามากขึ้นแล้ว
ถึงอย่างไรเรื่องของเจินเอ๋อร์ก็อยู่ในกำมือเขาเช่นกัน มิสู้กำจัดเขาทิ้งให้สิ้นเรื่องสิ้นราว…
ชั่วขณะคำพูดที่เขาเอ่ยกับหวงหร่างก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาอีกครา…หากเขาเป็นประมุขสำนัก นางก็คือฮูหยินประมุข!
ความอ่อนโยนเมื่อยามกลางวันยังชวนให้คะนึงหาไม่สิ้นสุด ยามนี้เซี่ยหยวนซูพลันตัดสินใจได้! เขาสวมเสื้อผ้าอย่างช้าๆ ใช้วัตถุวิเศษเก็บของบรรจุวัตถุเวทและยาพิษที่ตนเก็บรวบรวมไว้แล้วก้าวเข้าสู่สำนักเซียนชั้นใน
ตอนนี้เป็นยามราตรี เขาเดินช้าๆ ไปบนเส้นทางภูเขาของสำนักชั้นใน แม้จะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่ในใจกลับรู้ดีว่า…ตนจะเป็นคู่ต่อสู้ของเซี่ยหงเฉินได้อย่างไร
เมื่อขบคิดได้เช่นนี้เขาจึงมิได้ตรงไปยังยอดเขาเตี่ยนชุ่ยทันที แต่ลอบไปที่หอฉีลู่ก่อน
…หอฉีลู่ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน ระหว่างทางจึงไม่พบใคร
เนื่องจากฮูหยินประมุขสำนักพักอยู่ที่นี่ ศิษย์คนอื่นๆ จึงไม่มารบกวน เซี่ยหงเฉินเองก็ไม่ค่อยมา ตั้งแต่เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ย้ายไปยอดเขาเตี่ยนชุ่ย หวงหร่างก็แทบจะพำนักอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เซี่ยหยวนซูจะทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ย่อมต้องมีพันธมิตร และทั่วทั้งสำนักเซียนยังจะมีตัวเลือกใดที่เหมาะสมไปกว่าหวงหร่างอีกเล่า
หอฉีลู่เงียบสนิทจริงดังคาด ยังไม่ถึงฤดูหนาวหิมะตก ดอกเหมยยังไม่ผลิบาน มีเพียงตรงศาลาสามมุมหลังน้อยที่จุดโคมดวงหนึ่งไว้อย่างเดียวดาย ส่วนหวงหร่างนั่งอยู่ในศาลาน้อยหลังนั้น
อาภรณ์ที่นางสวมใส่บางเบา คนก็บอบบางเกินไป ให้ความรู้สึกคล้ายแบกรับน้ำหนักของเสื้อผ้าไม่ไหว
เซี่ยหยวนซูมองดูคนงามภายใต้แสงโคม รู้สึกว่าคนงามเช่นนี้สมควรจะเป็นของตน เขาแน่วแน่ในความกล้าหาญของตนมากยิ่งขึ้น เดินเข้าไปในศาลาเงียบๆ และร้องเรียก
“อาหร่าง?!”
หวงหร่างคล้ายจะตกใจ หันไปเห็นเขาก็ทำหน้าตกตะลึง “พี่ใหญ่? ท่านมาได้อย่างไร”
เซี่ยหยวนซูเดินเข้าไปหลายก้าว ทำท่าจะกุมมือนาง แต่หวงหร่างรีบเอามือหลบ เซี่ยหยวนซูจึงคว้าได้เพียงแขนเสื้อ แขนเสื้อนั้นทั้งนุ่มทั้งเบา เรียบลื่นดุจผิวของคนงาม
เซี่ยหยวนซูเคลิบเคลิ้มหลงใหล เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาหร่าง ข้าจะไปสังหารเซี่ยหงเฉินเดี๋ยวนี้! นับแต่นี้ไปข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องอยู่อย่างเดียวดายอีก!”
หวงหร่างจ้องมองเขา เนิ่นนานผ่านไปคล้ายมองเห็นความเด็ดเดี่ยวบนใบหน้าเขา ดวงตานางจึงเปล่งประกายคล้ายปกคลุมด้วยน้ำตาชั้นหนึ่ง
“พี่ใหญ่…”
เซี่ยหยวนซูเอ่ยว่า “เรียกข้าว่าซูหลาง!”
หวงหร่างร้องไห้ สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หากซูหลางตัดสินใจแล้ว อาหร่างก็ยินดีจะตายเพื่อซูหลาง”
เซี่ยหยวนซูปิดปากแดงของนางไว้ “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตาย ข้าจะให้เจ้าได้เป็นฮูหยินประมุขสำนักอย่างสง่างาม ข้าจะไปตำหนักเยี่ยอวิ๋นเดี๋ยวนี้! แต่ข้าตัวคนเดียว ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัด อาหร่าง ดีร้ายเจ้าก็ติดตามเขามาร้อยกว่าปี ย่อมรู้จักเขาดี เจ้ามีหนทางช่วยข้าบ้างหรือไม่”
หวงหร่างหลุบตา ขนตายาวปกคลุมลงมา ไหวกระพือดุจผีเสื้อ “ขอแค่ได้ทำเพื่อซูหลาง ไม่ว่าเรื่องใดอาหร่างก็ยินดี แต่ข้าเป็นเพียงภูตดินตัวเล็กๆ ไม่มีพลังวัตรแต่อย่างใด มิอาจช่วยเหลือซูหลางได้ อีกทั้งหอฉีลู่ก็ไม่มีของวิเศษหรือยาพิษ…”
ทุกถ้อยคำของนางเอ่ยอย่างน่าสงสาร แต่ความนัยที่แฝงอยู่กลับเป็นการเตือนสติ
หอฉีลู่ย่อมไม่มียาพิษอยู่แล้ว…ฮูหยินประมุขสำนักที่สุภาพอ่อนโยนอย่างนางต้องใช้ของพวกนี้ที่ใดกัน
ทว่าเซี่ยหยวนซูดูแลร้านค้าทั้งหมดของสำนักเซียนอวี้หู เขาจะหายาพิษย่อมมิใช่เรื่องยาก เซี่ยหยวนซูเกิดความคิดขึ้นมาทันที เขากุมมือหวงหร่างพลางพูด
“น้องสาวคนดี เจ้าเตือนสติข้าแล้ว ข้ามีของพวกนั้นอยู่ เจ้าต้มน้ำแกงให้เขาสักชามแล้วใส่ลงไป ขอเพียงเขาดื่มแม้เพียงคำเดียว ข้าย่อมมีวิธีจัดการกับเขาได้!”
“นะ…นี่…” หวงหร่างทั้งตื่นตระหนกและหวาดหวั่น นางทำท่าลังเลอยู่หลายครั้งพลางกัดริมฝีปาก “ข้าจะเชื่อฟังซูหลาง” ด้วยรู้ว่าคนผู้นี้โง่เขลา นางจึงเตือนเขาอีก “แต่ว่าเขา…พลังวัตรสูงล้ำ ยาพิษทั่วไปเกรงว่าจะทำอะไรเขาไม่ได้ อีกทั้งยาลูกกลอนของสำนักเซียนอวี้หูเขารู้จักดีมิแตกต่างจากนิ้วมือของตนเอง ซูหลาง พวกเราจะทำสำเร็จหรือ”
ดวงตาของเซี่ยหยวนซูสาดประกายเหี้ยมเกรียม “ข้าดูแลร้านค้ามาหลายปี จะไม่มีสมบัติส่วนตัวสักนิดเชียวหรือ อาหร่างวางใจเถิด ยาลูกกลอนนี้ขอแค่เขากินลงไป ข้าย่อมเอาชีวิตเขาได้แน่นอน!”
ยอดเขาเตี่ยนชุ่ย ตำหนักเยี่ยอวิ๋น
แสงไฟสว่างไสว แต่กลับเงียบงันไร้เสียง
เซี่ยหงเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พลิกอ่านตำราเล่มหนึ่ง ด้านข้างวางหยกพกประจำตัวของเซี่ยหยวนซูไว้ แค่เหลือบมองเขาก็รู้สึกบาดตา ในฐานะบุรุษผู้หนึ่งต่อให้ใจกว้างเพียงใดก็ย่อมมีเกล็ดย้อน*
วันนี้เขาจะทำให้เซี่ยหยวนซูรู้ถึงจุดจบของการแตะต้องขีดจำกัดของเขา ทำให้นับแต่นี้ไปอีกฝ่ายไม่กล้าเหิมเกริมอีก
บทที่ 11 จิตมารครอบงำ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกตำหนักเยี่ยอวิ๋น ผู้ที่มามิใช่เซี่ยหยวนซู แต่เป็นหวงหร่าง
เซี่ยหงเฉินเห็นนางก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้ามาทำอะไร”
วันนี้หวงหร่างทำลายข้อตกลงระหว่างพวกเขา…ปกตินางไม่เคยมาที่ยอดเขาเตี่ยนชุ่ย
ความจริงแล้วปีแรกของการแต่งงานหวงหร่างเคยมาที่นี่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มาเซี่ยหงเฉินจะวางตัวเย็นชายิ่ง เมื่อจำนวนครั้งที่มามากเข้า นางก็ได้รู้ว่าเซี่ยหงเฉินไม่ชอบ จึงไม่มาอีก
แต่วันนี้ในมือนางถือน้ำแกงหวานโถหนึ่ง “วันนี้ข้าพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด ใคร่ครวญไปมาแล้วสุดท้ายยังคงรู้สึกไม่สบายใจ จึงออกไปเดินเล่นข้างนอก เดินไปถึงสำนักชั้นนอกเห็นเม็ดบัวตรงตีนเขาสดใหม่ยิ่งนัก จึงทำเม็ดบัวต้มน้ำตาลนี้มาให้ ทว่าข้าเดินช้า กว่าจะทำน้ำแกงหวานนี้เสร็จท้องฟ้าก็มืดแล้ว ไม่สะดวกจะให้ศิษย์ยกมาให้ท่าน” นางก้มหน้าลง ใบหน้านวลเนียนยังคงเจือรอยยิ้ม แต่กลับแฝงความน้อยใจอยู่หลายส่วน “ข้าถึงได้มาเอง”
ในความขัดเขินของคนงามแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง แม้เป็นก้อนหินก็ต้องหวั่นไหว ทว่าเซี่ยหงเฉินกลับมีสีหน้าเย็นชา เขาเอ่ยขึ้น
“วางไว้แล้วกลับไปได้”
หวงหร่างเดินหน้าไปหลายก้าว วางน้ำแกงหวานลงบนโต๊ะเขา แต่พอนางเห็นหยกพกบนโต๊ะเขาแล้วก็อุทานออกมา
“หยกพกนี้มาอยู่กับท่านได้อย่างไร” นางถามเสียงเบา แต่กลับใช้โอกาสตอนที่เซี่ยหงเฉินจะตอบคำถาม ตักน้ำแกงหวานใส่ลงในชามเล็ก
เดิมทีเซี่ยหงเฉินสงสัยอยู่ในใจ พอได้ยินนางถามจึงอดถามกลับไปมิได้ “เช่นนั้นมันควรอยู่ที่ใด”
หวงหร่างยื่นน้ำแกงหวานให้เขา ใบหน้าเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ “วันนี้ข้าเดินไปถึงสำนักชั้นนอก เก็บหยกพกชิ้นนี้ได้แล้วแท้ๆ ข้าจำได้ว่าเป็นของประจำตัวของคุณชายใหญ่ จึงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี กลัวว่าจะมีคนเก็บได้และนำไปก่อเรื่อง มิคาดคิดว่ามันจะมาอยู่กับท่าน”
เซี่ยหงเฉินไม่เชื่ออยู่แล้วว่านางจะมีสัมพันธ์กับเซี่ยหยวนซู บัดนี้คำพูดไม่กี่ประโยคของนางได้ชี้แจงสาเหตุที่นางออกไปข้างนอกเนิ่นนานและที่มาของหยกพกชิ้นนี้อย่างชัดเจน ความกังขาของเขาจึงสลายหายไป
เมื่ออารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยก็ได้กลิ่นหอมของน้ำแกงหวาน เขารับน้ำแกงหวานมาดื่มไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ช่างสะเพร่าจริงๆ ของประจำตัวหล่นหายไปยังไม่รู้เรื่องรู้ราว”
ความจริงแล้วอาหารที่หวงหร่างทำรสชาติถูกปากเขายิ่ง…ไม่ว่าผู้ใดหากถูกหวงหร่างศึกษามาร้อยกว่าปี นางย่อมอ่านออกจนทะลุปรุโปร่ง
จริงดังคาด เซี่ยหงเฉินรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ จึงดื่มน้ำแกงหวานอีกหลายคำ
“เอาล่ะ ข้าดื่มน้ำแกงแล้ว เจ้ากลับไปเถิด” เขาเอ่ยปากไล่นาง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงไม่น้อย หวงหร่างรับคำแล้วโน้มกายลงเก็บชาม
ข้างนอกมีคนเข้ามาอีก เป็นเซี่ยหยวนซู
เดิมทีเซี่ยหงเฉินตั้งใจจะสั่งสอนอีกฝ่าย แต่บัดนี้ฟังคำอธิบายของหวงหร่างแล้ว โทสะของเขาก็จางหายไป เห็นเซี่ยหยวนซูเข้ามาจึงอดพูดมิได้
“หลายวันก่อนข้าได้ตำราเดินหมากที่ไม่ครบถ้วนมาเล่มหนึ่ง พี่ใหญ่เป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก มิสู้พวกเรามาเดินหมากกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”
เดิมทีเซี่ยหยวนซูมีความระแวงอยู่ในใจ ตอนเขาเข้ามา หากเซี่ยหงเฉินบันดาลโทสะ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แสดงให้เห็นว่าเซี่ยหงเฉินแค่ต้องการสั่งสอนเขายกหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าหากเซี่ยหงเฉินปั้นหน้ายิ้มแย้ม เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับไปแน่นอน
ดังนั้นเซี่ยหยวนซูจึงกัดฟันแน่นแล้วตอบว่า “ดียิ่ง”
เซี่ยหงเฉินผายมือเชื้อเชิญ “เชิญพี่ใหญ่”
ตอนเซี่ยหยวนซูเดินผ่านข้างกายเซี่ยหงเฉินกลับลอบจู่โจมกะทันหัน เซี่ยหงเฉินตกตะลึง ยื่นมือไปสกัดไว้ ขณะกำลังจะซักถามให้ละเอียดก็รู้สึกว่าอวัยวะภายในเจ็บปวดอย่างรุนแรง! เซี่ยหยวนซูตั้งใจจะเอาชีวิตเขา แต่ละกระบวนท่าล้วนจู่โจมไปที่จุดสำคัญ
เซี่ยหงเฉินมึนงง แต่ไม่มีเวลาให้เขาคิดมาก เขาต้องจัดการกับเซี่ยหยวนซูก่อน
พลังวัตรของเซี่ยหยวนซูทนต่อการโจมตีมิได้จริงๆ
แม้เซี่ยหงเฉินจะถูกพิษร้ายแรงก็ยังกำราบอีกฝ่ายได้ในห้าสิบกระบวนท่า แต่ตอนนี้เขายังสังหารเซี่ยหยวนซูไม่ได้ อย่างไรเสียเซี่ยหยวนซูก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของเซี่ยหลิงปี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถามต้นสายปลายเหตุให้ชัดเจนก่อน ดังนั้นเซี่ยหงเฉินจึงซัดฝ่ามือใส่จนอีกฝ่ายกระเด็นไปกระแทกมุมห้อง จากนั้นก็หันไปมองหวงหร่าง
“เจ้าวางยาพิษในน้ำแกงหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
หวงหร่างตอบด้วยสีหน้าลนลาน “ไม่ ข้าไม่ได้ทำ!”
นางหันหลังไป มือขวาดึงเข็มใบชาเล่มนั้นออกมาแล้วซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ยามนี้นางกำเข็มใบชาแน่น ฝ่ามือเริ่มมีเหงื่อซึม จากนั้นก็แสร้งทำเป็นจะวิ่งหนี แต่เซี่ยหงเฉินคว้าข้อมือนางไว้แล้วกระชากนางมาข้างหลัง หวงหร่างลงมือทันที ของแหลมคมในมือนางวาดไปที่ดวงตาเขา
หลังเซี่ยหงเฉินถูกพิษ การตอบสนองก็ช้าลง อีกทั้งเขามิได้ระมัดระวังหวงหร่าง…หวงหร่างเป็นเพียงภูตดินตัวเล็กๆ เท่านั้น ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ ส่วนพลังวัตรอันน้อยนิดนั่น ยามอยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต้องพูดถึง
อีกทั้งเขามิอาจเชื่อได้ว่าหวงหร่างจะลงมือกับเขา
เป็นสามีภรรยากันมาร้อยกว่าปี…ความจริงเขารู้ว่า…หวงหร่างชมชอบเขา
หลังจากนั้นความเจ็บแปลบอย่างรุนแรงก็ถ่ายทอดเข้ามา แสงสว่างในดวงตาของเขาพลันหายไป
ภาพสุดท้ายเขามองเห็นเข็มใบชาที่เกือบจะโปร่งใสเล่มหนึ่งในมือหวงหร่าง
ของสิ่งนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หัวใจรู้สึกว่างโหวงขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งเพราะการจู่โจมของคนผู้นี้ เขาลืมกระบวนท่าและเคล็ดวิชาฝึกจิตพวกนั้นไปในทันใด เขาพลาดโอกาสในการสังหารหวงหร่างให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว
เป็นไปได้อย่างไร…
ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งเค่อนางยังแย้มยิ้มยกน้ำแกงหวานมาให้เขา เวลาร้อยกว่าปีนางอยู่ในหอฉีลู่มาโดยตลอด กล่าวได้ว่าสงบเสงี่ยมเจียมตน เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
เซี่ยหงเฉินมีเรื่องราวมากมายที่ขบคิดแล้วไม่เข้าใจ เขาถอยหลังช้าๆ เซี่ยหยวนซูที่อยู่ตรงมุมห้องซัดฝ่ามือใส่เขาทันใด เขากระอักโลหิตออกมาในที่สุด ร่างโอนเอนเหมือนจะล้มลง เซี่ยหยวนซูกำลังจะลงมือปลิดชีพเขาอย่างโหดเหี้ยม ทว่าหวงหร่างกลับห้ามไว้
“ซูหลาง โปรดหยุดก่อน เก็บคนผู้นี้ไว้ วันหน้ายังมีประโยชน์”
เซี่ยหงเฉินได้ยินคำเรียกขานนี้แล้วก็กระอักโลหิตออกมาอีก ความโมโหมีแต่จะกระตุ้นฤทธิ์ยาในร่างเขา ทว่าก็อดตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไม่ได้
“เจ้ากับเขา…เจ้ากับเขา…เป็นความจริงหรือ…”
เซี่ยหยวนซูซัดฝ่ามือออกไปอีกที เซี่ยหงเฉินหลบไม่ทัน ในที่สุดก็ถูกฝ่ามือโจมตีเข้าที่แผ่นหลัง บาดแผลและยาพิษถ่ายทอดความเจ็บปวดออกมาพร้อมกัน เขาหมดสติไปในที่สุด เซี่ยหยวนซูยังคงไม่วางใจจึงก้าวเข้าไปดู เห็นเขาสลบไปแล้วก็ถามขึ้น
“จะเก็บเขาเอาไว้เพื่ออันใด คนผู้นี้หากไม่กำจัดทิ้ง ข้ายากจะวางใจได้”
เจ้าคนโง่เขลา หากสังหารเขาแล้ว อาศัยแค่เจ้าจะช่วยข้าต่อกรกับเซี่ยหลิงปี้ได้อย่างไร หวงหร่างจึงอธิบายอย่างใจเย็น
“พลังวัตรของเขาล้ำลึก ไยซูหลางถึงไม่นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์เล่า สังหารเขาไปเช่นนี้น่าเสียดายยิ่ง”
เซี่ยหยวนซูดวงตาเป็นประกาย สีหน้าท่าทางเผยความโลภออกมา “ยังคงเป็นอาหร่างของข้าที่เฉลียวฉลาด!”
เขากล่าวพลางล้วงโซ่เหล็กสีดำออกจากเอว เป็นเทพศัสตราวุธที่โด่งดังของสำนักเซียน…ขังแปดทิศ เขาล่ามเซี่ยหงเฉินไว้
“หากจะดึงเอาพลังวัตรของเขา ข้ายังต้องเตรียมพร้อมเสียก่อน เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกสองวัน”
“ข้าจะรั้งอยู่ที่ตำหนักเยี่ยอวิ๋น แม้ปกติข้าจะไม่มาที่นี่ แต่ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ข้าอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีใครเข้ามาดู” หวงหร่างปลอบโยนเขา
เซี่ยหยวนซูวางใจ “อาหร่าง เจ้าช่างสมเป็นภรรยาของข้าโดยแท้ เช่นนั้นเจ้าเฝ้าเขาไว้ก่อน ขังแปดทิศนี้ห้ามเปิดออกเป็นอันขาด หาไม่แล้วเกรงว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว”
หวงหร่างพยักหน้า ไปส่งเขาที่หน้าประตูตำหนัก จากนั้นก็กำชับอย่างไม่สบายใจ “ซูหลาง ท่านต้องรีบกลับมา”
เซี่ยหยวนซูร้อนใจยิ่งกว่านาง ไฉนเลยจะต้องให้นางกำชับ เขารับคำและออกจากตำหนักเยี่ยอวิ๋นไปอย่างเร่งรีบ
รอจนเขาจากไปแล้ว หวงหร่างก็เดินช้าๆ ไปตรงหน้าเซี่ยหงเฉิน
พิษร้ายแรงในร่างเซี่ยหงเฉินกำเริบอย่างรุนแรงแล้ว แต่ด้วยพลังวัตรของเขา ทำให้ร่างกายสามารถรักษาพิษส่วนใหญ่ในใต้หล้านี้ได้ เขาแค่ต้องการเวลา หวงหร่างประคองเขาขึ้นมาแล้วพยุงไปที่เตียง
หวงหร่างไม่คุ้นเคยกับเตียงในตำหนักเยี่ยอวิ๋นของเขา แม้จะแต่งงานกันมาร้อยกว่าปี แต่นางไม่เคยค้างคืนที่นี่สักครั้ง
นางยกน้ำมาช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าเขาออก
บาดแผลที่ดวงตาของเขารุนแรงทีเดียว เข็มใบชาเล่มนั้นไม่รู้ทำจากสิ่งใด คมปลาบไร้เทียบเทียม ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้เกรงว่าสองตาของเขาคงไม่มีวันหายดีอีกแล้ว หวงหร่างเฝ้าอยู่ข้างกายเขา หาแถบผ้าสีขาวมาพันดวงตาทั้งสองข้างให้
เลือดของเขาซึมทะลุแถบผ้า แม้เขายังสลบไสลอยู่ แต่สีหน้ากลับดูอดกลั้นต่อความเจ็บปวด
กรมซือเทียน กองวิหคเพลิง
ตี้อีชิวนั่งอยู่ในห้องหนังสือ บนโต๊ะมีเอกสารวางอยู่หลายกอง
ผนังห้องด้านหลังเขาบริเวณที่ใกล้กับขื่อมีเบ้าตาเบ้าหนึ่งแขวนอยู่…เป็นเบ้าตาขนาดใหญ่ ข้างในยังใส่ลูกกลมที่มีรูปลักษณ์คล้ายดวงตาเอาไว้ ตอนนี้ลูกกลมหมุนวนเบาๆ อยู่ในเบ้าตา มีแสงสีขาวสายหนึ่งส่องไปยังผนังฝั่งตรงข้าม
บนผนังฝั่งตรงข้ามแขวนผ้าต่วนหิมะเรียบลื่นไว้ แสงสีขาวสะท้อนลงบนนั้น ฉายภาพที่ชัดเจนออกมา
หากหวงหร่างอยู่ นางจะต้องตกใจมากเป็นแน่ เพราะในภาพนั้นนางสวมชุดกระโปรงสีทองยืนอยู่กลางทุ่งข้าวสาลี ข้าวสาลีกำลังจะสุก รวงข้าวอวบสมบูรณ์ห้อยลงมา ทุ่งข้าวสาลีสีทองอ่อนผืนนี้อบอุ่นและเจิดจ้าเช่นเดียวกับนาง นางตรวจดูการเจริญเติบโตของข้าวสาลีอย่างจริงจัง มือขาวเนียนถูรวงข้าวรวงหนึ่ง เมล็ดข้าวสาลีที่เจริญเติบโตเต็มที่กลิ้งไปมาในฝ่ามือนางดุจไข่มุก
นางก้มหน้าลงไปสูดดม ภาพทั้งหมดจึงกลายเป็นใบหน้าด้านข้างที่ประณีตของนาง
…ดวงเนตรนี้คล้ายของวิเศษ ภาพที่เก็บอยู่ภายในนั้นคือตำบลเซียนฉาเมื่อหลายปีก่อน!
ตี้อีชิวก้มหน้าพลิกดูเอกสาร เงยหน้าขึ้นมองเป็นครั้งคราว
ในห้องมีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษที่ดังขึ้นเป็นบางครั้ง
เวลานี้เองก็มีเสียงดังขึ้นมากะทันหันดั่งลูกธนู “เจ้ากรม สหายเก่าเซี่ยหยวนซูมาขอพบขอรับ”
ตี้อีชิวชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้น หยิบดวงเนตรบนผนังลงมาเก็บเข้าไปในลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะทำงาน ในนั้นมีวัตถุหน้าตาเหมือนกันอยู่เต็มลิ้นชัก
นอกกองวิหคเพลิง
มีคนผู้หนึ่งที่สวมชุดคลุมกันลมกำลังรอคอยคนอยู่
ตี้อีชิวมองคราเดียวก็จำอีกฝ่ายได้ทันที…เซี่ยหยวนซู
เขาไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อคนผู้นี้ ดังนั้นสีหน้าจึงเฉยชาพลางเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นพี่เซี่ย มาเยือนกลางดึกเช่นนี้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือ”
เซี่ยหยวนซูโบกมือ “ครั้งนี้ข้าอยากจะขอของสิ่งหนึ่งจากใต้เท้าเจ้ากรม”
ตี้อีชิวมิใคร่กระตือรือร้นนัก ตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย “อ้อ?”
เซี่ยหยวนซูขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วเอ่ยเสียงค่อย “ของวิเศษที่สามารถดูดพลังวัตรคนได้ ข้ารู้ว่าใต้เท้าเจ้ากรมมี”
“หึๆ” ตี้อีชิวหัวเราะเบาๆ ท่าทางไม่สนใจนัก “แน่นอนว่าย่อมมีอยู่แล้ว ทว่าคนอย่างข้าจะทำสิ่งใด แต่ไหนแต่ไรล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ”
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยวนซูเตรียมการมาล่วงหน้า “ขอแค่ใต้เท้าเจ้ากรมบอกราคามา”
ปกติตี้อีชิวไม่ยินดีจะคบหากับเขา เพราะอันที่จริงเซี่ยหยวนซูไม่เป็นที่โปรดปรานและไม่ได้รับความไว้วางใจจากเซี่ยหลิงปี้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นคุณชายของสำนักเซียนอวี้หู แต่แท้จริงแล้วกลับปราศจากอำนาจ
ยามนี้เซี่ยหยวนซูเอ่ยปากเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
ตี้อีชิวถาม “คุณชายใหญ่ต้องการดูดพลังวัตรของใครหรือ”
ข้อนี้เซี่ยหยวนซูไม่ยินดีตอบ เขาพูดเสียงค่อยอีก “ข้าจ่ายเงินก้อนโตซื้อวัตถุเวทจากใต้เท้าเจ้ากรมที่นี่ ไยใต้เท้าเจ้ากรมต้องสนใจด้วยเล่าว่าข้าจะเอาไปใช้กับใคร”
เจ้าคนโง่เขลา ไม่ว่าเจ้าจะเอาไปใช้กับใครข้าล้วนยินดีทั้งนั้น ดีที่สุดคือสังหารเซี่ยหลิงปี้ให้ตาย ตี้อีชิวเยาะหยันในใจ แต่กลับชูนิ้วมือขึ้นสี่นิ้วแจ้งราคาแก่เขา เซี่ยหยวนซูเห็นเขายอมบอกราคาก็ยินดีปรีดา
“หินวิเศษสี่ร้อยหมื่นก้อน ตกลง! ขอแค่วัตถุเวทใช้ได้ผลก็พอ!”
ขณะที่ตี้อีชิวเจรจาการค้าครั้งนี้ ในใจก็อดคาดเดามิได้ว่า…ทุ่มเงินก้อนโตเช่นนี้ เจ้าคนโง่เขลาผู้นี้จะเอาของวิเศษไปใช้กับใครกัน
ยอดเขาเตี่ยนชุ่ย ตำหนักเยี่ยอวิ๋น
ท้องนิ้วของหวงหร่างไล้ผ่านขนคิ้วของเซี่ยหงเฉินอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นข้อมือนางก็ถูกคว้าไว้ เซี่ยหงเฉินออกแรงบีบถึงเพียงนั้น ทำเอาโซ่เหล็กบนข้อมือเขาส่งเสียงดัง
“เจ้า…เจ้า…” เขาอยากจะเอ่ยคำพูดหลายครั้ง แต่โลหิตทะลักออกมาจากลำคอ ทำให้เขาสำลักอยู่พักหนึ่ง
หวงหร่างได้แต่ยกน้ำมาอีกครั้งให้เขากลั้วปาก
เซี่ยหงเฉินหยุดสำลักได้อย่างยากเย็น ในที่สุดก็เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
ตอนนี้ในใจเขาทั้งตื่นตระหนก กรุ่นโกรธ และกังขา ทำให้วาจาไม่เฉยชาเหินห่างถึงเพียงนั้นอีก
หวงหร่างนั่งลงข้างกายเขา ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวว่า “หงเฉิน พวกเราเป็นสามีภรรยากันมาร้อยกว่าปี ต่อให้ไม่ชอบเพียงใด ถึงอย่างไรก็มีความผูกพันนับร้อยกว่าปีอยู่ หากวันใดวันหนึ่งข้าถูกกักขังอยู่ที่ยอดเขาอั้นเหลย ท่านจะมาตามหาข้าหรือไม่” ปลายนิ้วของนางสัมผัสขนคิ้วเขา ถามเสียงแผ่วเบา “ท่านจะยอมล่วงเกินเซี่ยหลิงปี้ไปตามหาข้าหรือไม่”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” เซี่ยหงเฉินไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในโพรงอกทำให้กระแสปราณของเขาปั่นป่วน “เจ้าจะถูกกักขังอยู่ที่ยอดเขาอั้นเหลยได้อย่างไร”
หวงหร่างมองไปรอบตำหนักเยี่ยอวิ๋น ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หงเฉิน ข้าฝัน ในความฝันข้าถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก ถูกกักขังอยู่ในห้องลับที่ลึกที่สุดของยอดเขาอั้นเหลย ข้ามิอาจพูดจา ทั้งมิอาจขยับเขยื้อน ข้าได้แต่เรียกชื่อท่านทุกวันทุกคืน วิงวอนให้ท่านมาตามหาข้า”
เซี่ยหงเฉินทำหน้างุนงง “เพียงเพราะความฝันครั้งเดียว! เจ้าทำเรื่องพวกนี้เพียงเพราะความฝันครั้งเดียวเท่านั้นหรือ!”
หวงหร่างไม่ได้ตอบเขา เพียงพูดต่อไป “คนที่ถูกกักขังรวมกับข้ายังมีอีกมากมายเหลือเกิน พวกเขาล้วนสงบนิ่งเหมือนข้า ไม่เคยส่งเสียงสักครา สถานที่แห่งนั้นมืดมิดเป็นพิเศษ มีเพียงประกายแสงจากยันต์ในข่ายอาคมสว่างเป็นครั้งคราว ราวกับใต้หล้ามีแสงสว่างอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนูกัดแทะพวกเรา ตะขาบและมดไต่ใบหน้าข้า บาดแผลของพวกเขาเน่าเฟะ รูจมูกเต็มไปด้วยหนอน…” นางบรรยายเรื่องทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง “แรกเริ่มข้ายังมีความหวัง ข้าหวนนึกถึงอดีตของพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าด้วยนิสัยของท่าน ต่อให้เป็นสตรีที่ท่านรู้จักหายตัวไป อย่างน้อยท่านก็ต้องออกตามหาสักหน่อย ยอดเขาเตี่ยนชุ่ยกับยอดเขาอั้นเหลยอยู่ห่างกันไม่เท่าไร ข้าคิดว่าด้วยฐานะประมุขสำนักที่สูงส่งของท่าน การตามหาข้าให้พบไม่ว่าอย่างไรก็มิใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไป ข้าใช้ประกายแสงจากยันต์ที่กะพริบเป็นครั้งคราวนับเวลา ท่านเคยบอกข้าว่าเมื่อแสงจากยันต์สว่างและดับไป นั่นคือเวลาหนึ่งอึดใจ ข้าจึงนับอยู่เช่นนั้น ไม่กล้าผิดพลาดแม้แต่เค่อเดียว จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปี”
น้ำตาของนางหลั่งรินตกลงบนมือเขา เซี่ยหงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไร้เรี่ยวแรง “นั่นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้เจ้ามีชีวิตอยู่ที่นี่ หวงหร่าง!”
หวงหร่างหัวเราะเบาๆ “ปีที่สองข้าก็นับเวลาได้ไม่ชัดเจนแล้ว หนูวิ่งข้ามศีรษะข้าไป ข้ากลัวเหลือเกิน จึงลืมนับเวลา เวลานั้นข้าตระหนักได้อย่างช้าๆ ว่าท่านไม่มีทางมา แม้จะห่างกันแค่ยอดเขากั้นท่านก็ไม่มีทางมา ท่านไม่มีทางล่วงเกินอาจารย์ของท่านเพื่อข้า ความจริงแล้วข้าไม่ควรโกรธแค้น ท่านชิงชังข้า ข้ารู้ดี”
นางพูดอย่างจริงใจทุกถ้อยคำ เซี่ยหงเฉินอดใคร่ครวญเรื่องทั้งหมดไม่ได้ สุดท้ายก็ถามเสียงเคร่งขรึม “เจ้าถูกจิตมารครอบงำหรือ”
เกรงว่าคงมีแต่ถูกจิตมารครอบงำเท่านั้นจึงจะถูกภาพมายาทำลายสติได้
หวงหร่างระบายรอยยิ้ม แต่ยามที่นางสั่นศีรษะเบาๆ น้ำตายังคงหลั่งรินดุจสายฝน “ข้าแต่งให้ท่านร้อยกว่าปี เสพสุขกับลาภยศของการเป็นฮูหยินประมุขสำนัก สิ่งที่ข้าร้องขอ ท่านล้วนมอบให้แล้ว ข้าบอกตนเองว่าข้าไม่ควรโกรธแค้นท่าน แต่ข้ามีท่านเป็นสามีเพียงคนเดียว ตั้งอกตั้งใจปรนนิบัติท่านมาร้อยกว่าปี ถึงอย่างไรข้าก็ยังคิดว่าสามารถพึ่งพาท่านได้”
นางฟุบอยู่บนเตียง ซุกใบหน้ากับหัวไหล่ของเซี่ยหงเฉิน น้ำตาไหลรินเป็นสายเปียกชุ่มไหล่เขา เซี่ยหงเฉินไม่เคยหวั่นไหวกับความอ่อนโยนของนาง ไม่ว่านางจะแสดงความจริงใจอย่างไร หรือแสดงความน่าสงสารมากเพียงใด
ทว่ายามนี้เขาถูกขังแปดทิศพันธนาการไว้ ดวงตามองไม่เห็น ตกอยู่ในอันตราย เขาได้แต่พยายามประคองอารมณ์ของหวงหร่างไว้ ดังนั้นแม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดของนาง แต่ยังคงเอ่ยขึ้น
“นั่นเป็นเพียงความฝัน พวกเราล้วนยังอยู่ตรงนี้อย่างปกติดีมิใช่หรือ เจ้าเป็นภรรยาของข้า หากเจ้าหายตัวไปข้าจะไม่ตามหาได้อย่างไร ข้าจะต้อง…”
“ท่านโกหก!” หวงหร่างลุกขึ้นทันใดแล้วตวาดว่า “ท่านยังคิดจะหลอกข้าอีก!” นางพูดทั้งน้ำตา “หากท่านเคยตามหาข้าจริง ท่านต้องเห็นของที่ข้าทิ้งไว้ในสระไป๋ลู่ แต่ท่านไม่เคยตามหาข้า! ไม่เคยตามหาข้า…”
พูดจบนางก็ใช้สองมือกุมศีรษะ ทรุดลงนั่งบนพื้นข้างเตียง
เซี่ยหงเฉินมองไม่เห็น เขาไม่รู้ว่าหวงหร่างกำลังร้องไห้อยู่หรือไม่
ทว่าต่อให้นางร้องไห้ก็ไม่มีทางส่งเสียงออกมา นางมักจะร่ำไห้อย่างงดงามมีมารยาทยิ่ง
เซี่ยหงเฉินอยากพูดอะไรสักหน่อย อย่างน้อยก็เกลี้ยกล่อมนางให้ปลดขังแปดทิศบนร่างเขาออกก่อน ทว่าเขาอ้าปากหลายครั้งคิดอยากจะพูด แต่กลับมิอาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมได้ นั่นทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้ว่า…ตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยปลอบโยนนางสักครา
เขาพยายามไม่ปล่อยให้ตนเองหวั่นไหวไปกับนาง ดังนั้นไม่ว่าเวลาใดเขาล้วนละเลยความรู้สึกของนาง หากการกระทำของนางไม่ถูกใจเขา เขาจะเย็นชากับนาง ถึงขั้นสะบัดแขนเสื้อจากไป
พอครั้งหน้าเขาได้พบนางอีกครั้ง นางจะอ่อนโยนเอาใจใส่ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
นางมักจะควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีเสมอมา ทั้งยังคาดเดาความคิดจิตใจของเขาได้เป็นอย่างดี ดังนั้นก่อนหน้านี้เซี่ยหงเฉินจึงไม่เคยเห็นหวงหร่างโกรธเคืองหรือโมโหมาก่อน
แต่มีเพียงครั้งเดียวก็คือยามนี้
เซี่ยหงเฉินยื่นมือออกไปคลำหาจนพบว่าหวงหร่างนั่งพิงอยู่ข้างเตียง นางใช้สองมือปิดหน้า น้ำตาไหลรินเงียบๆ เขาจึงได้แต่เงียบงัน เอ่ยวาจาอ่อนโยนไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว แต่กลับเป็นหวงหร่างที่กุมมือเขาและพูดขึ้นก่อน นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหมดไว้
“ข้าขออภัย”
เซี่ยหงเฉินอึ้งงันไปแล้วถามว่า “อะไรนะ”
แม้กระทั่งในยามนี้ก็เป็นนางที่เอ่ยปากขออภัย
หวงหร่างดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้แห้ง น้ำเสียงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ “บัดนี้คิดดูแล้วข้าโกรธเคืองท่านนับว่าไร้เหตุผลโดยแท้ ความจริงแล้วท่านไม่มีความจำเป็นต้องตามหาข้า” นางทอดถอนใจ ได้สติกลับคืนมา “อย่างไรเสียสามีภรรยาอย่างพวกเรา คนหนึ่งละโมบในชื่อเสียง คนหนึ่งละโมบในคนงาม ต่างคนต่างไขว่คว้าในสิ่งที่ต้องการ จะมีความผูกพันอันใดเล่า ท่านจะล่วงเกินอาจารย์ผู้มีพระคุณเพื่อสตรีที่ในใจท่านหยามเหยียดไปเพื่ออันใด” จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบไล้จอนผมของเซี่ยหงเฉินเบาๆ “ความจริงแล้วข้าเข้าใจเหตุผลดี เพียงแต่ข้าถูกกักขังมานานเกินไป คิดถึงท่านอยู่ตลอด แต่ท่านก็ไม่มาสักที ข้าผิดหวังมาหลายครั้งเหลือเกิน เลี่ยงมิได้ที่จะปลงไม่ตก” นางดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มให้เขา พูดเสียงค่อย “แต่ท่านจะมาได้อย่างไร ท่านเป็นเพียงดวงดาวบนท้องฟ้าอันไกลโพ้นในยามที่ข้าตกจากหน้าผาเท่านั้น เป็นขนนกที่ปลิวผ่านข้างกายไปในยามที่ข้าจมน้ำลึก ท่านจะมาได้อย่างไร บางทีร้อยกว่าปีที่ผ่านมาข้าคงจะจริงจังทีเดียว ในใจจึงเจ็บแค้นเหลือหลาย”
นางเก็บงำอารมณ์อีกครั้ง ทุกถ้อยคำอ่อนโยนสงบนิ่ง แม้เซี่ยหงเฉินอยากจะพูดหลอกล่อนาง แต่ก็พูดไม่ออก
บทที่ 12 ปลิดหัวใจ
ค่ำคืนนี้ยาวนานเป็นพิเศษ หวงหร่างนั่งอยู่ข้างเตียงเฝ้าเซี่ยหงเฉินไว้
เนื่องจากถูกขังแปดทิศพันธนาการ แม้กระทั่งจะดิ้นรนเซี่ยหงเฉินก็ไม่มีเรี่ยวแรง ร่างกายของเขาถูกพิษร้ายแรง ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ ง่วงงุนและเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง หวงหร่างดูออก นางจึงเอ่ยขึ้น
“ข้าจะจุดธูปประคองจิตให้ท่านสักดอกแล้วกัน”
กล่าวจบนางก็เดินไปข้างเตากำยาน หยิบธูปดอกหนึ่งออกมาแล้วจุดให้เขา
ในที่สุดเซี่ยหงเฉินก็ไม่ดิ้นรนอีก จมลงสู่ห้วงนิทรา
หวงหร่างนั่งอยู่ข้างกายเขา มองดูสองตาของเขาหลั่งโลหิตไม่หยุด อดหยิบยาสมานแผลออกมาประคบให้เขามิได้
แม้เขาจะอยู่ในภาวะกึ่งหลับ แต่ยังคงรู้สึกเจ็บปวด จึงสูดปากเบาๆ หวงหร่างเบามือลงกว่าเดิม นอกหน้าต่างมืดมิด มีเพียงเทียนไขในตำหนักที่ให้แสงสว่าง ยามนี้ดึกมากแล้ว หวงหร่างเสียดายเวลาจนไม่กล้านอน
…เมื่อก่อนไม่รู้สึก แต่บัดนี้เข้าใจแล้วว่าเวลาที่อิสระดั่งสายน้ำเช่นนี้ชวนให้คนอาลัยอาวรณ์มากเพียงใด
กรมซือเทียน กองวิหคเพลิง
ตี้อีชิวกำลังหลอมของวิเศษชิ้นหนึ่งตลอดทั้งคืน ผู้ช่วยจูเซียงอยู่กับเขา…มิใช่ว่าอยากประจบเอาใจอะไร แต่เพราะหนีไม่ทันจริงๆ ตอนถึงเวลาเลิกงานกำลังจะกลับ ตี้อีชิวก็มาพอดี
จูเซียงอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ เจ้ากรมของตน นางไม่ได้สวมชุดขุนนาง เนื่องจากกองวิหคเพลิงต้องหลอมยาลูกกลอนและหลอมวัตถุอยู่ตลอด เบื้องบนจึงไม่ค่อยเข้มงวดกับการแต่งตัวของพวกเขานัก
คืนนี้จูเซียงสวมเสื้อตัวสั้นสีแดง แขนเสื้อพับขึ้นมาถึงต้นแขน ผมยาวของนางก็เกล้าเป็นมวยทรงกลม ท่าทางดูกระฉับกระเฉงอย่างยิ่ง
ตี้อีชิวจดจ่อกับการหลอมวัตถุ…เขาเป็นคนที่มีพลังล้นเหลือ ยามกลางวันทำงาน ยามกลางคืนชอบหลอมวัตถุ มือทำงานไปพลางใจยังขบคิดเรื่องอื่นไปพลางด้วย เขาเคยชินเสียแล้ว ต่อให้เป็นของวิเศษที่ประณีตซับซ้อนเพียงใดก็สามารถใช้หนึ่งใจทำสองอย่างในเวลาเดียวกันได้โดยไม่เกิดข้อผิดพลาด จูเซียงนับถือในพรสวรรค์ของเขาจริงๆ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อผู้บังคับบัญชาไม่พูด นางย่อมต้องเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนนี้เสียเอง ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้น
“เจ้ากรมยึดเอากรมซือเทียนเป็นบ้านมานานหลายปี ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายบ้างหรือ”
อ้อ เขาย่อมไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะตัวเขาเป็นคนน่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่งอยู่แล้ว จูเซียงเหน็บแนมในใจ
จริงดังคาด ตี้อีชิวตอบว่า “ไม่รู้สึก”
จูเซียงได้แต่พูดต่อไป “ความจริงแล้วผู้น้อยมีญาติผู้น้องคนหนึ่ง เลื่อมใสเจ้ากรมอย่างยิ่ง หากเจ้ากรมไม่ถือสาผู้น้อยจะนัดนางออกมา ทุกคนไปกินอาหารด้วยกัน ทำความรู้จักกันเป็นอย่างไร”
ตี้อีชิวกวาดสายตามองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ญาติผู้น้องของเจ้ารูปโฉมคล้ายเจ้าหรือไม่”
จูเซียงตอบ “คล้ายอยู่หลายส่วน นาง…”
นางยังคิดจะพูดต่อ แต่ตี้อีชิวพลันขัดจังหวะขึ้น “ข้าถือสา”
จากนั้นจูเซียงก็คว้าค้อนเหล็กขึ้นมาและออกแรงตีเหล็ก แต่ละครั้งล้วนเหมือนทุบลงบนศีรษะของตี้อีชิว
ตี้อีชิวคล้ายรู้สึกได้ว่าคำพูดเมื่อครู่ไม่เหมาะสม จึงเป็นฝ่ายถามขึ้นอีก “เจ้าออกเรือนแล้วหรือยัง”
“หา?” จูเซียงสะดุ้ง รีบตอบว่า “ผู้น้อยงานยุ่งเพียงนี้จะมีเวลาไปออกเรือนได้อย่างไร” ปากพูดเช่นนี้ก็จริง แต่ในใจกลับขบคิดไปหลายตลบ…เขาคงมิได้มีใจให้ข้ากระมัง
จูเซียงครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครา…ก็ได้! แม้เขาจะน่าเบื่อหน่ายไปบ้าง แต่เขาก็หล่อเหลาดี การค้าครั้งนี้ต้องไม่ขาดทุนแน่ อีกทั้งเขาก็มีอำนาจบารมี ตลอดร้อยกว่าปีมานี้เขากินอยู่แต่ในกรมซือเทียน กระทั่งเรือนข้างนอกก็ไม่มี เห็นได้ชัดว่าชีวิตส่วนตัวสะอาดสะอ้าน
อีกประการคือค่าใช้จ่ายเวลาออกไปข้างนอกทั้งหมดของเขาราชสำนักล้วนเป็นผู้รับผิดชอบ เกรงว่าเบี้ยหวัดของเขายังไม่เคยถูกนำออกมาใช้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขามีเงิน!
พอคิดได้เช่นนี้แล้วก็กล่าวได้ว่าการค้าครั้งนี้กำไรมหาศาล
จูเซียงหน้าแดง ตอบอย่างกระอึกกระอัก “จะว่าไปแล้วผู้น้อยก็ถึงวัยที่สมควรออกเรือนแล้วจริงๆ”
ตี้อีชิวตอบรับ ตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ต่อไปเจ้าควรงานยุ่งอีกสักหน่อยดีกว่า”
หืม? จูเซียงถาม “เพราะเหตุใดเล่า”
ตี้อีชิวหล่อแบบเสร็จแล้ว เริ่มสลักอักขระยันต์ของข่ายอาคมลงไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบว่า “หากเจ้าไม่ออกเรือนยังสามารถอ้างได้ว่าเป็นเพราะงานยุ่ง แต่ถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างแล้วยังไม่ออกเรือน ผู้อื่นย่อมรู้ว่าเจ้า…”
“เจ้ากรม!” จูเซียงไม่สนใจมารยาทอีกต่อไป เอ่ยปากตัดบทเขา “ผู้น้อยจะไปชงชาให้ท่านสักกา”
ตี้อีชิวรับคำ ก้มหน้าวาดยันต์ต่อไป
จูเซียงทางหนึ่งชงชา ทางหนึ่งก่นด่าในใจ…ดูเถิด เป็นคนแท้ๆ เหตุใดถึงได้มีปากเช่นนี้! ต่อไปหากข้ายังห่วงใยเรื่องการแต่งงานของท่านอีก ข้าก็คือคนหน้าโง่!
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นน้ำเต้าปิดปากสองลูก
ทว่านี่เป็นเรื่องที่ตี้อีชิวคุ้นเคยที่สุด นับตั้งแต่เขาเข้ามารับผิดชอบดูแลกรมซือเทียน ค่ำคืนของเขาก็ผ่านพ้นไปในลักษณะเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน แท่งถ่านหรือเตาหลอมพวกนั้นล้วนพูดไม่ได้ เขาเหมือนกลไกอย่างหนึ่ง ทำงานวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา น้อยครั้งที่จะนอนหลับพักผ่อน
จูเซียงรู้สึกว่าคงเป็นเพราะเขามีปาก ดังนั้นร้อยกว่าปีมานี้ข้างกายเขาถึงได้ไม่มีสตรี แต่ก็ไม่ถูก เขาเป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว! แต่เหตุใดนางต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเล่า
จูเซียงทุบค้อนลงไปจนเกิดเสียงดังกังวาน เหล็กแข็งที่ถูกเผาจนแดงมีสะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่ว
…เฮ้อ คิดไม่ตกจริงๆ
สำนักเซียนอวี้หู ตำหนักเยี่ยอวิ๋น
เมื่อท้องฟ้าสว่าง วิหคในป่าก็ตื่นขึ้น พวกมันบินมาหาอาหาร ทำให้เกิดเสียงเจื้อยแจ้วดังไปทั่วผืนป่า นอกประตูเซี่ยเซ่าชงศิษย์น้องของเซี่ยหงเฉินมารอนานแล้ว
ข้างในไม่มีความเคลื่อนไหวเนิ่นนาน เขาอดแปลกใจไม่ได้ จึงประสานมือพลางเอ่ยถาม “การฝึกยุทธ์ของเหล่าศิษย์ในวันนี้ ประมุขสำนักจะมาดูหรือไม่ขอรับ”
หวงหร่างก้าวออกมาจากตำหนักด้านใน ชุดกระโปรงสีทองอ่อนงามสง่าเฉิดฉัน นางคารวะเซี่ยเซ่าชง เซี่ยเซ่าชงไม่คิดว่านางจะอยู่ที่นี่ จึงรีบค้อมกายทักทาย
“ฮูหยิน”
“วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า หงเฉิน…” หวงหร่างมีสีหน้าเขินอาย ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “เขาบอกว่าเตรียมบางสิ่งไว้ให้ข้า แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ยอมให้ข้าเข้าไปดู ทำให้ศิษย์น้องขบขันแล้วจริงๆ”
ใบหน้านวลเนียนของคนงามเผยแววขัดเขิน ถ้อยวาจาเปี่ยมไปด้วยความหวานชื่นระหว่างสามีภรรยาที่รักใคร่ลึกซึ้ง เซี่ยเซ่าชงยังจะสงสัยอะไรอีก
จะว่าไปแล้วหวงหร่างอยู่ในสำนักวางตัวดีมีมารยาท เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมาโดยตลอด อีกทั้งในสายตาคนนอกนางกับเซี่ยหงเฉินก็รักใคร่ปรองดองกันยิ่งนัก แม้นางจะยึดมั่นในจรรยาสตรี ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในตำหนักเยี่ยอวิ๋น แต่วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของนาง เซี่ยหงเฉินรักใคร่ภรรยาอย่างยิ่ง จะตระเตรียมบางสิ่งไว้ให้นางก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เซี่ยเซ่าชงทำหน้าเข้าใจแล้วตอบว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นเห็นทีวันนี้ประมุขสำนักคงจะไม่มีเวลาแล้ว ฮูหยินโปรดบอกเขาด้วยว่าข้ามาแล้ว”
หวงหร่างยอบกายให้เขาอย่างอ่อนช้อย “ทำให้ศิษย์น้องขบขันแล้ว”
เซี่ยเซ่าชงมีหรือจะขบขันจริงๆ เขาพูดว่า “ประมุขสำนักกับฮูหยินสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตลอดร้อยกว่าปี นับเป็นแบบอย่างของสำนักเซียน เซ่าชงอิจฉายังแทบไม่ทัน จะขบขันได้อย่างไร”
หวงหร่างส่งเขาออกไปด้วยมารยาทที่สง่างาม เมื่อกลับเข้าไปในตำหนักก็เห็นเซี่ยหงเฉินตกลงมาจากเตียง เขาถึงกับชนแจกันบุปผาจนแตก เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาได้ยินเสียงของเซี่ยเซ่าชงและอยากจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย
หวงหร่างประคองเขาขึ้นมา พากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งพลางพูดว่า “ท่านออกไปไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้ยิน ข้าเปิดปราการกั้นเสียงเอาไว้ อาคมเล็กน้อยเช่นนี้ในอดีตอาจใช้กับท่านไม่ได้ แต่เอามารับมือกับท่านในตอนนี้กลับเหลือเฟือทีเดียว”
ปราการกั้นเสียงเป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่สำนักเซียนนำมาใช้บ่อยครั้งเพื่อกั้นเสียงจากภายในและภายนอก
“หวงหร่าง เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!” อารมณ์ที่เซี่ยหงเฉินสะกดกลั้นมาโดยตลอดปะทุออกมาในที่สุด เขาคว้าคอเสื้อนางพลางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ากับเซี่ยหยวนซูสมคบกันกระทำความชั่ว ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร! เขาจะมอบสิ่งใดให้เจ้าได้!”
หวงหร่างปัดมือเซี่ยหงเฉินออกแล้วพยุงเขาไปนั่งบนเตียงให้ดี เห็นดวงตาเขามีเลือดไหลอีกครั้งจึงได้แต่เปลี่ยนผ้าพันแผลให้ จากนั้นก็เอ่ยเตือนเขาเสียงนุ่มนวล
“พิษในร่างกายท่านกำเริบ ไม่ควรมีโทสะ”
เซี่ยหงเฉินคว้าข้อมือนางไว้ อดทนชี้แจงเหตุผลกับนาง “เซี่ยหยวนซูพลังวัตรอ่อนด้อย ทั้งยังไม่มีความสามารถอันใด เขาไม่อาจปกครองสำนักเซียนอวี้หูได้ หากเขาได้กุมอำนาจมีหรือจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างทุ่มเทเต็มที่! อาหร่าง เจ้าปล่อยข้าเถิด ข้าจะหยุดยั้งเขาเอง เรื่องนี้จะไม่มีคนอื่นล่วงรู้อีก ข้าเองก็รับรองว่าจะไม่ถือสาหาความเด็ดขาดดีหรือไม่”
“หงเฉินช่างถ่องแท้ในหลักคุณธรรมอันยิ่งใหญ่จริงๆ” หวงหร่างลูบใบหน้าเขาด้วยความฉงนพลางถาม “หากข้ามีสัมพันธ์ทางกายกับเขา ท่านก็ไม่ถือสาหรือ”
เซี่ยหงเฉินส่ายหน้า “ไม่ถือสา” คำพูดนี้เขากล่าวอย่างมั่นใจยิ่ง “เจ้าไม่มีทางชอบเขา”
ท้องนิ้วของหวงหร่างไล้ผ่านปลายจมูกเขาพลางถามอีกว่า “เพราะเหตุใด”
“เพราะว่า…” เซี่ยหงเฉินพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป
เพราะเจ้าน่าจะยังชอบข้าอยู่ ความคิดนี้พลันผุดขึ้นในใจเขา ที่แท้เวลาร้อยกว่าปีต่อให้เป็นหินก้อนหนึ่ง เป็นไม้ท่อนหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงมีความรู้สึกอยู่บ้าง
เขามิได้พูดต่อ ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจถึงมีความรู้สึกมากมายพันพัว แตกกิ่งก้านสาขาออกไปจนเขารู้สึกเจ็บปวด
เสียงของหวงหร่างราบเรียบยิ่ง นางพูดว่า “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเขาไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ยังจดจำวันคล้ายวันเกิดของข้าได้ ทั้งยังมอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้ข้าบ้าง หงเฉิน ท่านจำวันคล้ายวันเกิดของข้าได้หรือไม่”
เซี่ยหงเฉินอึ้งงันไป เขาไม่เคยถามมาก่อน
หวงหร่างก็ไม่ถือสา นางบอกเขาว่า “วันที่สามเดือนสาม หงเฉิน วันคล้ายวันเกิดของข้าคือวันที่สามเดือนสาม ทั่วทั้งสำนักเซียนอวี้หูมีเพียงเซี่ยหยวนซูที่รู้ ศิษย์ในสำนักเคยมาสอบถามเช่นกัน แต่ข้าไม่ได้บอกพวกเขา หงเฉิน ข้าฉลองวันคล้ายวันเกิดที่หอฉีลู่คนเดียวมาร้อยครั้ง บ่อยครั้งที่รู้สึกอ้างว้าง ดังนั้นข้าจึงคิดว่าอันที่จริงเขาก็ไม่เลว อย่างน้อยเวลาที่ข้าหลั่งน้ำตา เขาจะเอ่ยคำพูดปลอบโยน ไม่หันหลังจากไป ไม่ทำตัวไม่รู้สึกรู้สา”
เซี่ยหงเฉินโกรธเกรี้ยว “ดังนั้นเขาถึงได้กระทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้! ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าจิตใจเจ้าไม่บริสุทธิ์ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะชั่วร้ายและโฉดเขลาถึงเพียงนี้!”
หวงหร่างไม่สนใจโทสะของเขา กลับคว้ามือเขามาแนบลงบนใบหน้าตนเองเบาๆ พลางพูดว่า “เซี่ยหงเฉิน ท่านเป็นบุรุษที่ใจดำที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา ฟังท่านพูดเช่นนี้แล้วข้าอยากให้ลำไส้ของท่านขาดเป็นท่อน หัวใจปอดถูกฉีกทึ้งสักครั้งจริงๆ สักครั้งก็ยังดี”
เซี่ยหงเฉินตวาดถาม “เพราะเป็นเช่นนี้เจ้าจึงคิดจะแก้แค้นข้ารึ!”
“ไม่ใช่” หวงหร่างส่ายหน้าช้าๆ ครั้นนึกขึ้นได้ว่าเขามองไม่เห็น นางจึงพูดต่อ “ข้าทำเช่นนี้ออกจะใจร้อนเกินไปสักหน่อย ทว่าหากจะให้วางแผนอย่างรอบคอบทีละก้าว เกรงว่าข้าจะไม่มีเวลา” นางลูบเข็มใบชาโปร่งใสเล่มนั้น สัมผัสได้ถึงความเยียบเย็น จากนั้นก็ถอนหายใจ “ความจริงแล้วระหว่างท่านกับข้าไม่จำเป็นต้องเดินมาถึงก้าวนี้ ที่ข้าทำร้ายท่านเป็นเพราะข้ามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องกระทำ” ปลายนิ้วนางลูบไล้ผ่านใบหน้าเขาเบาๆ เลื่อนผ่านขอบหูไปถึงติ่งหู
เซี่ยหงเฉินหลบเลี่ยงด้วยความรังเกียจ เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าระหว่างหวงหร่างกับเซี่ยหยวนซูมีสัมพันธ์กันจริงหรือไม่
…คำพูดของหวงหร่างเมื่อครู่ทำลายการคาดเดาของเขาไป เขามิได้มั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
หวงหร่างยิ้มพลางจับใบหน้าเขาให้หันมา เซี่ยหงเฉินพยายามอดทนกับความรู้สึกขุ่นเคือง “หวงหร่าง หากเจ้าปล่อยข้าตอนนี้ เรื่องราวยังคงแก้ไขได้ เรื่องนี้เจ้าไม่มีทางปกปิดไว้ได้นาน หากท่านอาจารย์ล่วงรู้เข้า ต่อให้เป็นข้าก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้!” จนถึงตอนนี้แล้วน้ำเสียงของเขาก็ยังไม่อ่อนลง
หวงหร่างกลับไม่ใส่ใจนัก นางพูดว่า “ท่านไม่มีทางปกป้องข้า ท่านมีแต่จะทำเพื่อชื่อเสียงของตนเอง กักขังข้าไว้ในหอฉีลู่เงียบๆ จากนั้นก็ประกาศกับภายนอกว่าข้าป่วยหนัก เก็บตัวพักรักษากาย หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ข้ามีชีวิตตามยถากรรม”
เซี่ยหงเฉินอึ้งงันไปเล็กน้อย นี่ก็คือความคิดในส่วนลึกของจิตใจเขา สตรีตรงหน้าผู้นี้แม้จะมีอุบายล้ำลึก แต่กลับปราดเปรื่องและกระจ่างแจ้งอย่างแท้จริง
…คำโกหกไม่มีประโยชน์ เป็นสามีภรรยากันมาร้อยกว่าปี นางรู้จักเขาดีเกินไป
หวงหร่างเก็บมือกลับมา ลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองบุรุษบนเตียงเงียบๆ
เซี่ยหงเฉินดวงตามองไม่เห็น จึงรู้สึกทำอะไรไม่ถูกคล้ายคนขาดที่พึ่ง หวงหร่างจับจ้องอยู่นาน “ท่านดูเถิด ต่อให้ข้าพูดไปมากมายเพียงนั้นก็ยังไม่ได้น้ำตาจากท่านสักหยด หงเฉิน ร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ แม้กระทั่งน้ำตาหยดเดียวของท่าน หวงหร่างคนนี้ก็แลกมาไม่ได้”
นางเดินออกไปอย่างเศร้าซึม มองดูบันไดหยกพันขั้นของตำหนักเยี่ยอวิ๋น ประหนึ่งบันไดสวรรค์ที่เชื่อมระหว่างเซียนกับมนุษย์
เซี่ยหงเฉิน ชีวิตนี้ของข้าไม่มีค่าพอสำหรับความเสียใจสักเศษเสี้ยวของท่าน แต่ท่านทำเช่นนี้ทำให้คนไม่อยากยอมแพ้จริงๆ หากยังมีโอกาสข้าอยากจะยื่นมือไปปลิดหัวใจท่านเหลือเกิน มองดูสภาพเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็นของท่าน
ติดตามตอนต่อไปวันศุกร์ที่ 18 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.