บทที่ 13 รังเกียจ
หน้าประตูตำหนักเยี่ยอวิ๋น หวงหร่างมองไปยังยอดเขาอั้นเหลยเป็นครั้งแรก
ที่แท้ยอดเขาสองแห่งอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ หวงหร่างถึงขั้นมองเห็นตำหนักเซียนที่เรียงรายอย่างต่อเนื่องเหล่านั้น รวมทั้งภูเขาที่กักขังนางไว้
สำนักเซียนอวี้หูมีต้นไม้และบุปผาประหลาดมากมาย ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนจางสดชื่น
หวงหร่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลงใหลในความเงียบสงบยามรุ่งอรุณนี้
…เซี่ยหลิงปี้ ไม่พบกันนาน เจ้ายังสบายดีหรือไม่
ยอดเขาอั้นเหลย
เซี่ยหลิงปี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
คัมภีร์ม้วนนี้เหมือนเขาจะเคยศึกษามาก่อนแล้ว เขาหลับตาใคร่ครวญ แต่เรื่องราวในอดีตดุจก้อนเมฆและหมอกควัน มักจะคลุมเครือไม่ชัดเจน เขาพลิกคัมภีร์ไปหลายหน้า หาได้ขบคิดให้ลึกลงไปไม่
บางทีคนเราก็รู้สึกเหมือนเคยผ่านเหตุการณ์บางอย่างมาก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
เขาลุกขึ้นยืน ทอดสายตาไปยังยอดเขาเตี่ยนชุ่ย ตรงไหล่เขาบรรดาศิษย์เริ่มการฝึกยุทธ์ในวันนี้แล้ว เซี่ยหลิงปี้มิได้ไปที่นั่น เขาไว้วางใจเซี่ยหงเฉินมาโดยตลอด ตอนนี้งานต่างๆ ของสำนักล้วนมอบหมายให้เซี่ยหงเฉิน
เขามองดูอยู่ไกลๆ พักหนึ่ง สุดท้ายก็กลับเข้าไปในตำหนัก
บนผนังห้องของตำหนักชั้นในมีดวงตาขนาดใหญ่กำลังฉายภาพแปลกประหลาดไปยังผนังฝั่งตรงข้าม…นั่นเป็นบริเวณหน้าตลาดแห่งหนึ่ง มีผู้คนผ่านไปมา เซี่ยหลิงปี้จ้องสิงโตหินใต้หอประตูเมือง ในความเลือนรางเขารู้สึกว่าตนเคยทำอะไรบางอย่างกับสิงโตหินคู่นี้
หน้าตลาดแห่งนี้น่าจะเคยเกิดเหตุการณ์บางอย่างมาก่อน เขาขบคิด แต่ก็มิได้ข้อสรุป
วันนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ เขาหายใจเข้าออกทำจิตใจให้สงบ แต่ภาพบนผนังกลับมิได้หยุดนิ่ง ที่นั่นคือเมืองหลวงของราชสำนัก บัดนี้กรมซือเทียนเริ่มได้รับการสนับสนุนจากราษฎร ราชสำนักค่อยๆ มีที่ยืนในสำนักเซียนแล้ว
เซี่ยหลิงปี้เก็บของวิเศษชิ้นนี้ ของวิเศษชิ้นนี้มีชื่อว่าดวงตาส่องภพ เป็นของที่ใช้สอดส่องโลกภายนอก ส่วนกรมซือเทียนก็มีเนตรทิพย์เก้าคด ความจริงแล้วหลักการหลอมสร้างคล้ายกัน แต่เพราะขั้วอำนาจทั้งสองฝ่ายไม่ถูกกัน จึงตั้งชื่อให้แตกต่างเพราะไม่อยากเกี่ยวข้องกัน
ของสิ่งนี้ร้อยกว่าปีก่อนราชสำนักได้แต่ซื้อหาจากสำนักเซียนอวี้หู แต่บัดนี้กลับสามารถทำขึ้นเองได้แล้ว
ตี้อีชิวผู้นั้นช่างเป็น…ชนรุ่นหลังที่น่ากลัวจริงๆ
เซี่ยหลิงปี้ถอนหายใจยาว บุตรชายของตนไม่ได้ความ แต่เคราะห์ดีที่สำนักเซียนอวี้หูยังมีเซี่ยหงเฉิน นับว่ามีผู้สืบทอด เขาไปนั่งลงที่โต๊ะแล้วพลิกอ่านคัมภีร์ต่อ
แน่นอน เขาไม่มีทางรู้ว่าตอนนี้บุตรชายของเขากำลังทำอะไรอยู่
เซี่ยหยวนซูเฝ้าอยู่ที่เมืองหลวงชั้นใน เขามิได้อยู่ว่าง ตอนนี้กำลังรอตี้อีชิว รวมทั้งจ่ายเงินก้อนโตรวบรวมของวิเศษและยาลูกกลอน
ยาลูกกลอนจำพวกที่ใช้ฝึกบำเพ็ญของกรมซือเทียนสู้ของสำนักเซียนอวี้หูไม่ได้ แต่ถ้าหากกล่าวถึงโอสถและยาพิษที่ชาวบ้านใช้กันทั่วไปก็หาได้ด้อยกว่าสำนักเซียนไม่ เซี่ยหยวนซูโปรยเงินทองดั่งก้อนหิน ตระเตรียมยาพิษและของวิเศษจำนวนหนึ่งไว้ป้องกันตัว
แม้เขี้ยวของพยัคฆ์อย่างเซี่ยหงเฉินจะถูกถอนออกไปแล้ว ทว่าเขายังคงหวาดกลัวอยู่
และการกระทำของเซี่ยหยวนซูย่อมดึงดูดความสนใจของกรมซือเทียน
กองเสวียนอู่
ตี้อีชิวนั่งอยู่หลังโต๊ะ กางรายการซื้อสินค้ายาวเหยียดม้วนหนึ่ง คิ้วขมวดอย่างห้ามไม่อยู่
รองเจ้ากรมหลี่ลู่สีหน้าหนักอึ้ง “ดูจากข้าวของที่เซี่ยหยวนซูซื้อไปเหล่านี้ เหมือนว่าเขากำลังจะไปทำร้ายใครสักคน…เกรงว่าสำนักเซียนอวี้หูกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ตี้อีชิวดูรายการแผ่นนั้นจบก็ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “ดีทีเดียว สำนักเซียนไม่มีเรื่องครึกครื้นให้ชมมานานแล้ว”
หลี่ลู่ผงกศีรษะ “เช่นนั้นพวกเราจะตามไปดูหรือไม่ขอรับ”
“หึๆ” ตี้อีชิวหัวเราะเบาๆ และไม่เอ่ยอะไรอีก
สองวันนี้ในใจของเซี่ยหยวนซูรู้สึกทรมานเหมือนมีแมวข่วนตะกุย
เขายืนนั่งไม่เป็นสุข ไม่ง่ายกว่าจะหลับได้สักงีบ แต่กลับฝันเห็นเซี่ยหงเฉินหลุดจากพันธนาการ ส่วนเซี่ยหลิงปี้ก็จะตีเขาให้ตาย
โชคดีที่บ่ายวันนี้ตี้อีชิวส่งของที่เขาอยากได้มาให้…เป็นของวิเศษที่สามารถดูดพลังวัตรของคนได้ เซี่ยหยวนซูรับของมา เห็นว่าของวิเศษชิ้นนี้มีรูปลักษณ์คล้ายร่ม เพียงแต่เป็นสีดำ สัมผัสแล้วให้ความรู้สึกเย็น ไม่รู้ว่าหลอมสร้างขึ้นจากสิ่งใด
ในเรื่องการหลอมของวิเศษ เซี่ยหยวนซูมีความรู้เพียงผิวเผิน จึงแยกแยะไม่ได้ว่าทำจากสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงไม่สบายใจนัก
“ใต้เท้าเจ้ากรม ของวิเศษชิ้นนี้ใช้ได้ผลจริงๆ หรือ”
ตี้อีชิวตอบด้วยท่าทีคล้ายไม่ใส่ใจ “คุณชายใหญ่วางใจเถิด รับมือกับเซี่ยหงเฉินได้ไม่มีปัญหา”
เซี่ยหยวนซูพรูลมหายใจยาวทันที
ตี้อีชิวไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทางสีหน้า แต่ในใจกลับคาดเดาว่า…เขาจะลงมือกับเซี่ยหงเฉินจริงๆ หรือ! ข้อสรุปนี้แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เจ้าคนโง่เขลาผู้นี้มีความกล้าเช่นนี้ด้วยหรือ
แต่เนื่องจากไม่อยากให้สำนักเซียนอวี้หูต้องสูญเสียมอดไปตัวหนึ่ง ตี้อีชิวจึงเตือนด้วยความหวังดี “เห็นแก่ไมตรีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ายังคงต้องเตือนคุณชายใหญ่สักคำว่าของวิเศษชิ้นนี้ใช้ได้แค่ดูดพลังวัตรเท่านั้น หากอีกฝ่ายมีพลังวัตรสูงกว่าท่านและมีเจตนาต่อต้าน…มันย่อมมิอาจรักษาชีวิตของท่านได้”
เขาจงใจหยั่งเชิงการตอบสนองของเซี่ยหยวนซู มิคาดคิดว่าเซี่ยหยวนซูกลับไม่สนใจเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง อีกฝ่ายเพียงเอ่ยขึ้น
“ดูดพลังวัตรได้ก็พอ!”
กล่าวจบเซี่ยหยวนซูก็คว้าของวิเศษชิ้นนี้และสั่งให้คนส่งหินวิเศษสี่ร้อยหมื่นก้อนมายังกรมซือเทียนทันที ตี้อีชิวมองดูก้อนศิลาที่ไหลเวียนด้วยปราณวิเศษเหล่านั้นก็เยาะหยันอยู่ในใจ…ตลอดหลายปีที่เซี่ยหยวนซูดูแลกิจการการค้าของสำนักเซียนอวี้หู ไม่รู้ว่ายักยอกหินวิเศษไปมากน้อยเพียงใด
เขามองเซี่ยหยวนซูที่รีบร้อนจากไป อดจมลงสู่ภวังค์ความคิดมิได้
หรือว่าเซี่ยหงเฉินถูกเขาควบคุมตัวไว้แล้ว
เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร เซี่ยหงเฉินมิใช่คนที่ขาดความรอบคอบถึงเพียงนั้น ด้วยสติปัญญาของเซี่ยหยวนซู จะคุมตัวเขาไว้ใช่เรื่องง่ายดายที่ใดกัน
อีกทั้งหากเซี่ยหงเฉินเกิดเรื่อง เช่นนั้นคนผู้นั้น…
ตี้อีชิวชะงักไป เขาสั่งการหลี่ลู่ทันที “เรียกตัวเป้าอู่กลับมา คอยจับตาดูสำนักเซียนอวี้หูอย่างใกล้ชิด”
หลี่ลู่รับคำ ตี้อีชิวจ้องมองเขา หลี่ลู่ถูกจ้องจนรู้สึกประหม่า ทว่าเขาคือหลี่ลู่! ผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีไหวพริบและมีสติปัญญาเฉียบแหลมในกรมซือเทียน! ดังนั้นเขาจึงตอบรับด้วยความเข้าใจทันที
“ข้าจะคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเซี่ยหงเฉินสองสามีภรรยาอย่างใกล้ชิดขอรับ”
เฮ้อ ทั้งต้องรักษาหน้าของผู้บังคับบัญชาและต้องเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ลำบากเหลือเกิน
แต่ผลลัพธ์กลับดีทีเดียว เขาเห็นตี้อีชิวโบกมืออย่างพึงพอใจ “ไปเถิด”
ยอดเขาเตี่ยนชุ่ย ตำหนักเยี่ยอวิ๋น
เซี่ยหงเฉินไม่ปรากฏตัวหนึ่งวันเต็ม ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่นับว่าแปลก เพราะบางครั้งยามเก็บตัวไม่ปรากฏตัวหนึ่งเดือนก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทว่าหวงหร่างอยู่ในตำหนักเยี่ยอวิ๋นตลอดเวลา เรื่องนี้กลับแปลกเสียแล้ว
เซี่ยหงเฉินมิใช่คนที่หลงใหลคนงามอย่างเด็ดขาด หวงหร่างใช้ข้ออ้างเรื่องวันคล้ายวันเกิด จึงสามารถยื้อเวลาได้หนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจยื้อจนผ่านพ้นวันที่สองไปได้ เซี่ยหงเฉินกำลังรอคอยอยู่เช่นกัน หวงหร่างพลังวัตรอ่อนด้อย หากมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติ เขาย่อมได้รับความช่วยเหลือทันที
ดวงตาเขามองไม่เห็น สองมือก็ถูกขังแปดทิศพันธนาการไว้ พิษร้ายในร่างกายและอาการบาดเจ็บทรมานเขาอยู่ทุกชั่วขณะ ทว่าสิ่งเหล่านี้เขาล้วนอดทนได้ เพียงแต่หลายครั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วเกิดความหวังขึ้นมา จากนั้นก็จะได้ยินหวงหร่างไล่คนที่มากลับไปอย่างสุภาพ ความหวังจึงกลายเป็นความผิดหวัง อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้ทรมานจิตใจคนเกินไปแล้ว
วันต่อมาเมื่อท้องฟ้าสว่างหวงหร่างค้นหาในห้องเขาจนทั่ว จากนั้นนางก็พบเครื่องมือลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดของสำนักเซียนอวี้หู…เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก ของสิ่งนี้หวงหร่างคุ้นเคยอย่างยิ่ง
พอได้ของมาแล้ว หวงหร่างก็ไปหาหนึ่งในศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าตำหนักเยี่ยอวิ๋น…เนี่ยชิงหลัน เขาเป็นศิษย์คนโตของเซี่ยหงเฉิน สนิทสนมกับเซี่ยหงเฉินมากที่สุด หวงหร่างพูดขึ้น
“ประมุขสำนักเรียกตัวจิ่วเอ๋อร์มาพบ บอกว่าจะทดสอบความรู้ของนาง เจ้าไปตามนางมาที”
ยามที่นางพูดน้ำเสียงนุ่มนวลยิ่ง ยิ้มพลางยื่นหยกพกชิ้นหนึ่งที่ห้อยกิเลนหยกขาวให้เนี่ยชิงหลัน
สำนักเซียนอวี้หูบูชาหยก เนี่ยชิงหลันเห็นหยกพกชิ้นนี้ก็รู้ว่าอาจารย์หญิงมอบให้เขา จึงปลื้มปีติอย่างยิ่ง ยังจะคิดถึงประมุขสำนักอยู่อีกหรือ!
เขาจึงไปหาเซี่ยจิ่วเอ๋อร์อย่างกระตือรือร้น
เซี่ยเซ่าชงและคนอื่นๆ ไม่เห็นเซี่ยหงเฉินย่อมรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าเห็นเขาเรียกเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ไปพบก็รู้สึกว่าปกติแล้ว เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมของเขา แต่เซี่ยหงเฉินใจกว้าง ปฏิบัติต่อนางมิแตกต่างจากบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง
หากหวงหร่างอยู่ในตำหนักเยี่ยอวิ๋นตามลำพัง บางทีอาจทำให้ผู้คนกังขา แต่มีบุตรสาวบุญธรรมของพวกเขาอยู่ด้วย สามคนปิดประตูอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง สัมผัสกับความสุขภายในครอบครัว ผู้อื่นจะว่าอะไรได้
พอเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ได้ยินว่าเซี่ยหงเฉินเรียกนางไปพบก็รีบรุดไปยังตำหนักเยี่ยอวิ๋นทันที
“บิดาบุญธรรม?” นางร้องเรียก
เวลานี้เองเสียงของหวงหร่างก็ดังออกมาจากในตำหนัก “จิ่วเอ๋อร์หรือ เข้ามาเถิด”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงนาง เดิมทีก็ลังเลอยู่บ้าง แต่อยู่ต่อหน้าเซี่ยหงเฉิน นางต้องแสดงความเคารพนบนอบหวงหร่าง…เซี่ยหงเฉินไม่ชอบเด็กที่ไม่เคารพผู้ใหญ่
“เจ้าค่ะ” กล่าวจบนางก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
ไม่ อย่าเข้ามา!
แม้เซี่ยหงเฉินจะมองไม่เห็น แต่เขารู้ว่าด้วยฝีมือของหวงหร่าง จะจัดการกับเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ช่างง่ายดายอย่างยิ่ง เขาพยายามสุดกำลังที่จะทำให้เกิดเสียง ดังนั้นจึงพลิกตัวกลิ้งตกจากเตียงลงมาบนพื้นเสียงดัง
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ่งร้อนใจ นางเลิกม่านเข้าไป จากนั้นก็เห็นเซี่ยหงเฉินนอนอยู่บนพื้น
“บิดาบุญธรรม!” นางรีบถลาเข้าไป คิดจะประคองเซี่ยหงเฉินขึ้นมา แต่เพิ่งจะยื่นมือไป หวงหร่างก็ซัดฝ่ามือใส่แผ่นหลังนาง
หากพูดถึงการต่อสู้ ความจริงแล้วเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ไม่กลัวหวงหร่าง
ทว่าฝ่ามือที่ลอบโจมตีนี้พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน นางมิได้ระแวดระวังโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นก็รู้สึกหน้ามืด ขณะกำลังจะต่อต้าน นางหันกลับไปและเห็นสิ่งที่หวงหร่างถือจ่ออยู่ตรงหน้าผากนาง…เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ไม่กล้าขยับอีก ในฐานะศิษย์ชั้นในของสำนักเซียนอวี้หู นางรู้ดีกว่าใครว่านี่คืออะไร
หวงหร่างมองเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก จากนั้นก็มองเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ตรงหน้า พึมพำว่า “จิ่วเอ๋อร์ ข้ายังคงโหดเหี้ยมไม่พอ” กล่าวจบนางก็คลี่ยิ้ม “เจ้านั่งลงตรงนี้เถิด”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์พยายามทำตัวนิ่งสงบ “ท่านทำอะไรบิดาบุญธรรมกันแน่ ท่านรู้หรือไม่ว่าแค่เพียงข้าตะโกนออกไปก็จะมีคนบุกเข้ามาทันที ท่านจะต้องถูกพวกเขาสับเป็นหมื่นชิ้น!”
หวงหร่างใช้เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกแตะใบหน้านาง เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด นางหลบอย่างลนลาน น้ำเสียงของหวงหร่างยังคงเมตตาอ่อนโยน
“เจ้าไม่ตะโกนแน่นอน เพราะต่อให้เสียงตะโกนของเจ้าสามารถเรียกคนอื่นๆ เข้ามาได้ เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกเล่มนี้ก็จะปักเข้าไปในกะโหลกของเจ้า ถึงเวลานั้นต่อให้ข้าตาย แต่ใครเล่าจะช่วยเจ้าได้”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน นางได้แต่ร้องเรียกทั้งน้ำตา “บิดาบุญธรรม ช่วยข้าด้วย”
เซี่ยหงเฉินเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เจ้าอย่าขู่เด็ก”
หวงหร่างพูดทั้งรอยยิ้ม “ข้ามิได้อยากทำร้ายนาง ท่านก็รู้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของพวกเรา”
“พอที!” เซี่ยหงเฉินรู้ว่ามิอาจใช้ถ้อยคำโน้มน้าวนางได้อีก จึงเอ่ยอย่างรังเกียจ “คำพูดนี้ช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก”
การที่หวงหร่างยอมรับว่าตนมีสัมพันธ์กับเซี่ยหยวนซู ท้ายที่สุดแล้วก็ทำให้เขาโกรธแค้น
“ท่านโกรธแล้ว” หวงหร่างยิ้มอย่างอ่อนโยนดุจสายลมแผ่วเบา “ยากนักที่ครอบครัวของพวกเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้า ไยท่านต้องโมโหเล่า”
“เจ้าเสียสติไปแล้วจริงๆ” เซี่ยหงเฉินไม่สนใจนางอีก
นอกตำหนักมีศิษย์กำลังกวาดพื้น แต่ในตำหนักเนื่องจากครอบครัวของประมุขสำนักสามคนล้วนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า พวกเขาจึงไม่มีทางเข้ามา
ชั่วขณะนี้เซี่ยหงเฉินหวังอย่างยิ่งว่าศิษย์ข้างนอกจะเข้ามาดูสักหน่อย ทว่าพวกเขาก็มิได้เข้ามา หวงหร่างจ่อเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกที่หลังศีรษะของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เด็กดี พูดตามข้า…คำสอนของบิดาบุญธรรม จิ่วเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของหวงหร่างเบายิ่ง แต่กลับกดเข็มลงบนหนังศีรษะของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์อย่างหนัก “เสียงต้องดังสักหน่อย”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์จนปัญญา ได้แต่พูดเสียงดัง “คำสอนของบิดาบุญธรรม จิ่วเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ศิษย์ข้างนอกได้ยินเสียงเช่นนี้จากข้างใน ไฉนเลยจะยังสงสัยอะไรอีก
เป็นเวลาสองวันสองคืนที่ไม่มีผู้ใดก้าวเข้าไปดูในตำหนักเยี่ยอวิ๋น
เซี่ยหงเฉินรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่ง
บทที่ 14 ลอบทำร้าย
ตอนเซี่ยหยวนซูกลับสำนักเซียนอวี้หู หัวใจก็กระดอนขึ้นมาอยู่ในลำคอ
เขามองซ้ายมองขวา เห็นใครก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายล่วงรู้แผนการชั่วร้ายของตนแล้ว แต่เคราะห์ดีที่เขามีนิสัยโอหังมาแต่ไหนแต่ไร ศิษย์ในสำนักจึงมิกล้าล่วงเกิน เขาเข้าสู่สำนักชั้นในอย่างราบรื่นตลอดทาง จนกระทั่งถึงยอดเขาเตี่ยนชุ่ย
ศิษย์เฝ้าตำหนักยังคงซักถามตามระเบียบ เนี่ยชิงหลันก้าวออกไปแล้วถามว่า “เหตุใดวันนี้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ถึงมีเวลาว่างมาที่นี่ได้ขอรับ”
เซี่ยหยวนซูมีพิรุธอยู่ในใจ จึงตวาดกลับไปทันใด “สองวันก่อนประมุขสำนักสั่งให้ข้าออกไปทำธุระ บัดนี้ข้ามารายงานผล ต้องให้เจ้ามายุ่งด้วยหรือ!”
เนี่ยชิงหลันขบคิดดูแล้วก็คล้อยตาม เขาตอบว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่โปรดรอสักครู่ ขอให้ข้าเข้าไปรายงานก่อน”
เซี่ยหยวนซูอยากจะห้ามเขา แต่นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนี่ยชิงหลันเข้าไปในตำหนักเยี่ยอวิ๋นก็พบหวงหร่างกับเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ออกมาพอดี ใบหน้าของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์เต็มไปด้วยคราบน้ำตา มองเนี่ยชิงหลันคล้ายอยากจะพูดบางอย่าง
หวงหร่างโอบบุตรสาวบุญธรรมของตน เห็นเนี่ยชิงหลันแล้วก็อดยิ้มพลางพูดมิได้ “เจ้าเด็กคนนี้ สองวันนี้ความรู้ถดถอย ถูกอาจารย์เจ้าตำหนิไม่กี่คำก็ร้องไห้จนเป็นเช่นนี้”
เนี่ยชิงหลันฟังแล้วได้แต่ยิ้มอย่างจืดเจื่อน คิดในใจว่าเจ้าทำให้ท่านอาจารย์โมโหเอง ข้าไม่กล้าช่วยเจ้า จากนั้นก็พูดไปตามสถานการณ์ “ศิษย์น้องหญิงเล็กตั้งใจมากแล้ว เป็นท่านอาจารย์ที่เข้มงวดเกินไป ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ลุงใหญ่มาขอพบที่นอกตำหนักขอรับ”
หวงหร่างถาม “เขามาได้อย่างไร เอาเถิด เรียกเขาเข้ามา”
เนี่ยชิงหลันฟังคำพูดนี้แล้วย่อมไม่มีความลังเลอีก เดินออกไปนอกตำหนักทันที เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เห็นเขาจะจากไปก็อดร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยมิได้
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
ทว่าพอเนี่ยชิงหลันหันกลับมา นางกลับไม่กล้าพูดอะไร
…มือของหวงหร่างกำเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกกดอยู่หลังคอนาง นางรู้ว่าหากหวงหร่างออกแรงมากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า ด้วยวิชายุทธ์ของเนี่ยชิงหลันจะต้องรับมือกับเซี่ยหยวนซูรวมถึงหวงหร่างได้แน่นอน แต่หวงหร่างพูดถูก…ต่อให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือ ใครเล่าจะช่วยนางที่ถูกเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกแทงได้
นางก้มหน้าลง ใบหน้าของหวงหร่างยังคงเมตตาอารี น้ำเสียงที่พูดถึงขั้นแฝงความรักใคร่ตามใจ “เจ้าทำให้เขาโมโห ศิษย์พี่ใหญ่จะมีหนทางอะไรเล่า ประเดี๋ยวอาจารย์ลุงใหญ่มา เจ้าเข้าไปทำตัวว่าง่ายสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เนี่ยชิงหลันฟังดังนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์หญิงกล่าวถูกต้อง ท่านอาจารย์เอ็นดูศิษย์น้องหญิงเล็กเสมอมา ไม่มีทางตำหนิศิษย์น้องหญิงเล็กต่อหน้าท่านอาจารย์ลุงใหญ่แน่นอน”
กล่าวจบเขาก็เดินออกจากตำหนักเยี่ยอวิ๋นไปเชิญเซี่ยหยวนซู
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์มองแผ่นหลังของเขา เห็นเขาหายลับไปท่ามกลางสนเขียว คล้ายความหวังของนางดับสูญ
“เช่นนี้จึงจะถูกต้อง เช่นนี้จึงจะเรียกว่าเด็กดี” หวงหร่างพานางกลับเข้าไปในตำหนัก ดวงตาของเซี่ยหงเฉินมีโลหิตซึมออกมาอีกครั้ง ย้อมแถบผ้าสีขาวจนแดงฉาน หวงหร่างเห็นแล้วก็เอ่ยว่า “บอกท่านแล้วว่าอย่าขยับตัวส่งเดช หาไม่แล้วเลือดย่อมไม่หยุดไหล”
เซี่ยหงเฉินพูดเสียงขุ่นเคือง “เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว ไยเจ้ายังต้องเสแสร้งแกล้งทำอีก”
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนนี้หวงหร่างยังจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขา เหมือนอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนิสัยของนางถึงเปลี่ยนไปกะทันหัน
หวงหร่างยังคงจับตัวเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ไว้ นางปล่อยมือไม่ได้ จึงได้แต่ตอบว่า “ข้าเคยชินเสียแล้ว”
เวลาร้อยกว่าปียาวนานเกินไป เรื่องหลายอย่างล้วนกลายเป็นความเคยชิน
ครู่ต่อมาเซี่ยหยวนซูก็ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาข้างใน
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เห็นเขาแล้วก็เหมือนเข้าใจบางสิ่งบางอย่างโดยพลัน “เป็นพวกท่านจริงๆ! ท่านเป็นชู้กับท่านอาจารย์ลุงใหญ่จริงๆ!”
พอนางพูดจบ เท้าของเซี่ยหยวนซูก็ถีบเข้าให้ เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ร้องออกมา ถูกถีบจนล้มลงกับพื้นทันใด
“นางคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงกับกล้าพูดเช่นนี้กับอาหร่าง!” เซี่ยหยวนซูเดินไปยังข้างกายหวงหร่าง เห็นนางเฝ้าตำหนักเยี่ยอวิ๋นไว้จริงๆ ก็ปลื้มปีติเกินเปรียบปาน เขากุมมือหวงหร่างไว้ เป่าเล็กน้อยพลางพูดว่า “สองวันนี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ ดูอาหร่างของข้าเถิด เหน็ดเหนื่อยจนผ่ายผอมลงแล้ว คงวิตกกังวลแย่แล้วกระมัง”
น้ำเสียงใกล้ชิดเช่นนี้ เซี่ยหงเฉินฟังแล้วเส้นเลือดเขียวบนหน้าผากกระตุก
หวงหร่างดึงมือออก นางไม่มีของวิเศษติดตัว ทำให้การคุมตัวเซี่ยจิ่วเอ๋อร์คนเดียวเปลืองแรงยิ่งนัก นางจึงเอ่ยขึ้น
“คุมตัวนางไว้ก่อน เรื่องจะได้ไม่แพร่งพรายออกไป”
เซี่ยหยวนซูไม่เห็นด้วย “เด็กเนรคุณพรรค์นี้ สังหารเสียก็สิ้นเรื่อง จะคุมตัวนางไว้เพื่ออันใด”
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ลนลาน “ข้าเนรคุณตรงที่ใด เห็นได้ชัดว่าคนที่เนรคุณคือพวกเจ้าชายหญิงสุนัขคู่นี้ต่างหาก! บิดาบุญธรรม บิดาบุญธรรม ช่วยข้าด้วย!”
นางกำลังจะคลานไปหาเซี่ยหงเฉิน เซี่ยหยวนซูก็ก้าวเข้าไปถีบอีกคราจนนางกลิ้งไปทั่วห้อง “นางเด็กชั้นต่ำ แรกเริ่มเจ้าก็แค่หนอนแมลงตัวหนึ่ง หากมิใช่อาหร่างของข้าจิตใจงดงาม เจ้าจะมีวันนี้รึ! ตอนนั้นเจ้าลอบเรียนรู้วิชาฝึกจิต ฝึกบำเพ็ญจนเกิดความผิดพลาด เป็นอาหร่างที่พาเจ้ามาขอความช่วยเหลือจากข้า หาไม่แล้วเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่หรือ!”
จิ่วเอ๋อร์ลอบเรียนรู้วิชาฝึกจิต ฝึกบำเพ็ญจนเกิดความผิดพลาดหรือ นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใด
เซี่ยหงเฉินงุนงงไปหมด ในความทรงจำหวงหร่างไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขามาก่อน
เพื่อระบายโทสะแทนหวงหร่าง เซี่ยหยวนซูจึงใช้เท้าเหยียบลงบนมือของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ “ตอนนี้เจ้ากลับเข้าข้างบิดาไม่แท้ของเจ้าผู้นั้น”
“พอเถิด” หวงหร่างเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ซูหลาง อย่าปล่อยให้เด็กคนหนึ่งมาทำให้เสียการใหญ่ คุมตัวนางไว้ก่อนเถิด”
ความจริงแล้วตอนนั้นแม้เซี่ยหงเฉินจะยอมรับเซี่ยจิ่วเอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรม แต่ในใจเขารู้ดีว่านางเป็นเพียงเครื่องมือที่หวงหร่างใช้กอบกู้ฐานะตนเองเท่านั้น เขาจึงมิได้ใส่ใจเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ แรกเริ่มถึงขั้นคิดจะให้นางรั้งอยู่ที่หอฉีลู่เป็นเพื่อนหวงหร่าง
แต่หวงหร่างคิดหาวิธีมากมาย หลอมร่างขึ้นมาให้เซี่ยจิ่วเอ๋อร์ สมัยที่หวงหร่างยังเยาว์วัยเชี่ยวชาญการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์จำหน่าย จึงสะสมทรัพย์สินส่วนตัวได้มากมาย ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้สินเดิมเจ้าสาวของตนบ่มเพาะเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ด้วยยาลูกกลอนวิเศษและหญ้าเซียนสารพัดจนกลายเป็นต้นกล้าที่ดี
เซี่ยหงเฉินเห็นเซี่ยจิ่วเอ๋อร์มีพื้นฐานแข็งแกร่งย่อมรักถนอมเป็นธรรมดา เพียงแต่ยังคงไม่ชอบที่นางใกล้ชิดกับหวงหร่างมากเกินไป เซี่ยจิ่วเอ๋อร์เองก็รู้จักอ่านสีหน้าฟังน้ำเสียง จึงหันไปพึ่งพิงบิดาบุญธรรม อยากจะตัดสัมพันธ์กับหวงหร่างใจจะขาด หวงหร่างเห็นนางคิดเช่นนี้ หัวใจก็เริ่มด้านชา ตนเองร่างกายยังมีโคลน ย่อมมิอาจไปเรียกร้องให้ผู้อื่นสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงมิได้โกรธแค้นมากนัก ปล่อยวางได้เช่นนี้เอง
บัดนี้เป็นเพราะเซี่ยหยวนซูพูดถึง เซี่ยหงเฉินจึงจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอันที่จริงตอนแรกหวงหร่างกับเซี่ยจิ่วเอ๋อร์เคยมีความผูกพันฉันแม่ลูกอยู่ช่วงหนึ่ง
ทว่าความคิดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น เขาเอ่ยเสียงเย็นชาต่อทันที “หากมิใช่เพราะเด็กคนนี้เติบโตอยู่ข้างกายเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ความคิดจิตใจย่อมบริสุทธิ์กว่านี้มาก”
หวงหร่างไม่รู้สึกอะไรกับการทรยศและจากไปของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ แต่ฟังคำพูดนี้แล้วกลับเงียบไปเนิ่นนาน สุดท้ายนางก็เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นหรือ คำพูดนี้ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกเสียใจจริงๆ”
แน่นอนว่าคำว่าเสียใจที่นางพูด เซี่ยหงเฉินไม่เคยเชื่ออยู่แล้ว ทั้งยังมิได้ใส่ใจ
หวงหร่างเองก็ไม่ได้คิดจะทำให้เขาเชื่อ นางเอ่ยกับเซี่ยหยวนซูว่า “ซูหลาง นำของวิเศษกลับมาหรือไม่”
เซี่ยหยวนซูตอบรับ “ข้าจะทำให้อาหร่างผิดหวังได้อย่างไร”
กล่าวจบก็ล้วงของวิเศษที่มีรูปลักษณ์คล้ายร่มออกมา พอโยนไปข้างหน้า ร่มสีดำก็กางออก ครอบตัวเซี่ยหงเฉินไว้ เซี่ยหยวนซูกลัวเซี่ยจิ่วเอ๋อร์จะก่อปัญหา จึงโยนนางเข้าไปด้วย
หวงหร่างไม่ไว้ใจของวิเศษชิ้นนี้นัก…ของวิเศษของสำนักเซียนที่สามารถจัดการกับเซี่ยหงเฉินได้เกรงว่าคงมีไม่มาก
นางเตือนเขาว่า “ซูหลางต้องเตรียมพร้อมให้ดี หากของวิเศษใช้ไม่ได้ผลแล้วเขาหลุดออกมาได้จะรับมือลำบาก”
เซี่ยหยวนซูไม่ต้องให้นางเตือนก็หยิบของวิเศษมากมายออกมา แต่ละชิ้นล้วนเป็นของหายากทั้งสิ้น…หลายปีมานี้การเป็นผู้ควบคุมกิจการการค้าของสำนักเซียนอวี้หูของเขามิใช่งานที่เปล่าประโยชน์ หวงหร่างกวาดสายตาไปมอง นางรู้จักของหลายชิ้นในจำนวนนั้น จึงวางใจลงได้
เพื่อต่อกรกับเซี่ยหงเฉิน เซี่ยหยวนซูผู้นี้นับว่าเดิมพันหมดหน้าตักแล้ว
หวงหร่างเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย พิศมองร่มสีดำ เห็นร่มสีดำกางออกแล้วหมุนวนช้าๆ ต่อจากนั้นมันก็เหมือนเหล็กที่ถูกอัคคีหลอม ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง บนศีรษะของเซี่ยจิ่วเอ๋อร์เริ่มมีเหงื่อออก เซี่ยหงเฉินก็ส่งเสียงครางเบาๆ ทว่าขังแปดทิศบนมือเขากดพลังวัตรทั้งหมดของเขาไว้ ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน
ร่มสีดำเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ปรากฏประกายสีทองดั่งน้ำที่สาดออกไป ปกคลุมเซี่ยหงเฉินและเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ไว้ ท่ามกลางอาคมที่หมุนวนและแปรเปลี่ยนไปมา หวงหร่างมองเห็นชื่อของช่างหลอม…ตี้อีชิว
ตราประทับของเขาดั่งหงส์ฟ้อนมังกรเหิน แยกแยะได้ไม่ง่ายนัก แต่หวงหร่างยังคงจำได้ด้วยการมองเพียงคราเดียว
เป็นเขา ชื่อนี้มักทำให้นางรู้สึกสนิทสนมชิดใกล้เสมอ
เซี่ยหยวนซูเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว เริ่มดูดพลังวัตรของเซี่ยหงเฉินผ่านข่ายอาคม เซี่ยหงเฉินนั่งขัดสมาธิบนเตียง ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ผ่านไปครู่หนึ่งลำแสงกระจ่างใสดุจน้ำพุและจันทราก็พุ่งไปยังเซี่ยหยวนซู
หวงหร่างยืนอยู่ข้างเซี่ยหยวนซู เฝ้ารอคอยอย่างสงบ…แข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อยเถิด หาไม่แล้วเจ้าจะช่วยข้าต่อกรกับเซี่ยหลิงปี้ได้อย่างไร
เซี่ยจิ่วเอ๋อร์อดทนอยู่ได้ไม่นานก็สูญเสียร่างมนุษย์ กลับไปเป็นจักจั่นทองอีกครั้ง พอสูญเสียพลังวัตร นางก็คลานไปทั่ว ไม่นานนักก็ออกจากขอบเขตของร่มสีดำ หวงหร่างยื่นมือออกไป จักจั่นทองลังเลครู่หนึ่ง แต่ยังคงไต่ขึ้นไปบนฝ่ามือนาง
“เด็กโง่ ท้ายที่สุดเจ้ายังคงมีเพียงข้า” หวงหร่างทอดถอนใจเบาๆ จากนั้นนางก็พึมพำเสียงค่อย “ความจริงแล้วข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากถามเจ้ามาโดยตลอด แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เจ้าคงจำอะไรไม่ได้แล้ว”
นางอยากรู้ว่าตอนนั้นเป็นใครกันที่นำความลับไปบอกเซี่ยหลิงปี้ นางแค่พูดกับเซี่ยหงเฉินประโยคเดียว ให้เขาไปตรวจสอบยอดเขาอั้นเหลยสักหน่อย ผ่านไปเพียงครึ่งเดือนเซี่ยหลิงปี้ก็รู้เรื่องนี้
นั่นทำให้เซี่ยหลิงปี้ลงมืออย่างไม่ปรานี ถึงกับใช้ทัณฑ์ทรมานที่โหดร้ายอย่างเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกกับนาง
น่าเสียดายที่เรื่องนี้คงจะไม่ได้คำตอบแล้ว พวกเขาที่อยู่ในความฝันดูเหมือนจะไม่มีความทรงจำของโลกภายนอก เวลาดั่งย้อนกลับไปสิบปีจริงๆ หากมิใช่เพราะเข็มใบชาในมือ หวงหร่างเกือบจะคิดจริงๆ ว่าตนเองย้อนกลับไปในอดีต
สมแล้วที่เซี่ยหงเฉินเป็นผู้มีพลังวัตรล้ำลึก เซี่ยหยวนซูดูดพลังอยู่นานสองนาน สุดท้ายจำต้องหยุดพักก่อน หวงหร่างใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากให้เขา เขาคว้าข้อมือนางไว้ เห็นเสน่ห์เย้ายวนของนางแล้วก็อดบังเกิดราคะในใจมิได้
เขาเชยคางหวงหร่างขึ้นมา ไม่สนใจเซี่ยหงเฉินแม้แต่น้อย หยอกเย้านางด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ “เซี่ยหงเฉินเป็นสามีภรรยากับเจ้ามาร้อยกว่าปี กลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้างดงามเพียงใด!”
ในข่ายอาคม เซี่ยหงเฉินเริ่มไออย่างรุนแรง สองตาของเขามองไม่เห็น ทั้งยังปิดปากเงียบตลอดเวลา ใบหน้าถึงขั้นมองไม่เห็นโทสะใดๆ
เซี่ยหยวนซูผู้นี้ช่างเป็นโคลนเหลวที่ฉาบกำแพงไม่อยู่จริงๆ หวงหร่างเหยียดหยันในใจ แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้มแล้วเอ่ยเตือนเขา
“ซูหลางสนใจการใหญ่ก่อนเถิด หาไม่แล้วเกรงว่าราตรียาวนานความฝันยิ่งมากหลาย”
“อาหร่างพูดถูก” จะว่าไปแล้วเซี่ยหยวนซูยังคงหวาดกลัวเซี่ยหงเฉิน จึงมิกล้าประมาท เขาพักครู่หนึ่งก่อนจะกระตุ้นของวิเศษใหม่อีกครั้ง
หวงหร่างนั่งอยู่ด้านข้าง มือประคองเซี่ยจิ่วเอ๋อร์ไว้ แต่สายตากลับจับจ้องไปที่ตราประทับของช่างหลอมบนของวิเศษ
ตี้อีชิว…ไม่รู้ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่
เพราะเหตุใดนางถึงเข้าสู่ความฝันครั้งนี้อย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ แล้วคนที่อยู่นอกความฝันเป็นอย่างไรบ้าง
นางจำได้ว่าก่อนเข้าสู่ความฝัน ร่างกายของตี้อีชิวเย็นเยียบจนเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง บัดนี้นางชำระสะสางหนี้แค้นอยู่ในความฝัน ไม่รู้ว่าความฝันของเขาจะเป็นเช่นไร ครั้งก่อนนางมอบสุราให้ เขาก็ปฏิเสธ บางทีชีวิตนี้ของนางคงไม่มีโอกาสได้เชิญเขาดื่มสุราสักกาแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรขอให้คืนนี้ความฝันอบอุ่นก็แล้วกัน แม้สุนัขอย่างท่านจะน่าหมั่นไส้มากก็ตาม
หวงหร่างคิดเงียบๆ ในใจ
ติดตามตอนต่อไปวันเสาร์ที่ 19 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.