X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักห้วงฝันบันดาลรัก

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 65-66

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 65 ต่อสู้

กรมซือเทียน ห้องโถงรับแขกของกองเสวียนอู่

เซี่ยหงเฉินถูกเชิญเข้ามาข้างใน ชาถูกยกมาให้อย่างรวดเร็ว

เขามิได้เร่งรัด เพียงใช้มือประคองถ้วยชาขึ้นมา เฝ้ารออย่างอดทน เขามักจะมีมารยาทเสมอ ไม่ว่าเวลาใดล้วนไม่เคยเสียกิริยา

ข้างนอกเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ตี้อีชิวย่างเท้าเข้ามาข้างในพร้อมลมหิมะระลอกหนึ่ง

เซี่ยหงเฉินวางถ้วยชา ลุกขึ้นยืน สองคนประสานสายตา ช่วงเวลาร้อยปีในห้วงฝันคล้ายมายาดั่งความจริง ราวกับสิ้นสุดลงแล้วทว่าก็คล้ายยังดำรงอยู่

“ประมุขสำนักเซี่ย ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่นี่ได้” ใต้เท้าเจ้ากรมไม่รีรอ นั่งลงบนเก้าอี้ประธานทันที

เซี่ยหงเฉินไม่สนใจคำพูดเหน็บแหนมของเขา เอ่ยว่า “ให้ข้าพบนางสักครั้ง”

“นาง?” ตี้อีชิวคลี่ยิ้มเย็นชา “นางคนใด”

เซี่ยหงเฉินเอ่ยเสียงคร่งขรึม “ตี้อีชิว ไม่ว่าท่านกับนางมีความสัมพันธ์เช่นไร ขอให้ข้าได้พบนางสักครั้ง!”

“มีความสัมพันธ์เช่นไรหรือ” ตี้อีชิวเก็บสายตากลับมา ปลายนิ้วจุ่มชาแล้ววาดวงกลมบนโต๊ะเบาๆ “เซี่ยหงเฉิน ในสายตาท่าน ข้ากับนางมีความสัมพันธ์เช่นไรหรือ”

“ห้วงฝันร้อยปีทุกคนต่างรู้ ยังต้องให้ข้าพูดมากอีกหรือ” เซี่ยหงเฉินเบือนหน้าไปอีกทาง ความอึมครึมในน้ำเสียงสะท้อนออกมาทั้งหมด

“ทุกคนต่างรู้หรือ” ตี้อีชิวหัวเราะเบาๆ แต่ละถ้อยคำแต่ละประโยคล้วนเสียดสี “เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งนัก ประมุขสำนักเซี่ยอยากพบนาง ข้าให้ตามที่ท่านขอได้ แต่ก็ขอให้ประมุขสำนักเซี่ยตอบสนองความต้องการของข้าด้วยเช่นกันได้หรือไม่”

“ตอบสนองความต้องการของท่านหรือ” เซี่ยหงเฉินขมวดคิ้ว “ท่านคิดจะเล่นอุบายอะไรอีก”

ตี้อีชิวกล่าวว่า “เรื่องมาถึงบัดนี้ ใจของนางอยู่กับใคร คิดว่าประมุขสำนักเซี่ยคงรู้แจ้งแก่ใจ”

เซี่ยหงเฉินย่อมรู้อยู่แล้ว เขาเอ่ยว่า “นางเข้าสู่ห้วงฝันสองครั้งล้วนชี้กระบี่มายังสำนักเซียนอวี้หู ย่อมต้องถูกราชสำนักบงการแน่นอน”

ตี้อีชิวมองออกไปนอกห้องโถง กองเสวียนอู่หิมะตกหนัก เขายิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซี่ยอยากจะถามอีกใช่หรือไม่ว่าตกลงแล้วนางถูกราชสำนักบงการหรือถูกข้าล่อลวงกันแน่”

เซี่ยหงเฉินแค่นเสียง มิได้ตอบคำ

ทว่าเรื่องนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ในห้วงฝันทั้งสองครั้งฝ่ายที่ได้รับความเสียหายล้วนเป็นสำนักเซียนอวี้หู เซี่ยหงเฉินจะไม่สงสัยได้อย่างไร

เขาสงสัยถึงขั้นที่ว่าตลอดเวลาร้อยกว่าปีของการเป็นสามีภรรยาในหอฉีลู่ การโอนอ่อนผ่อนตามของนางเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จกันแน่

ในอดีตอย่างน้อยเซี่ยหงเฉินก็มั่นใจว่าหวงหร่างชอบเขา ไม่ว่าความจริงใจนี้จะมีมากน้อยเพียงใด อย่างน้อยมันก็มีอยู่

แต่บัดนี้เขาไม่แน่ใจแล้ว

เวลาร้อยปีในความฝันครั้งนี้นางมีเจตนาแอบแฝงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงสามารถคารวะเข้าเป็นศิษย์สำนักเขา วางตัวคล้ายใกล้ชิดคล้ายเหินห่างกับเขา รับมือกับเขาทั้งในที่แจ้งและในทางลับตลอดร้อยปี

นางเป็นสตรีเช่นไรกันแน่

เซี่ยหงเฉินไม่ตอบคำถามของตี้อีชิว เพียงเอ่ยว่า “เหตุใดนางถึงไม่ออกมาพบข้าด้วยตนเอง

“กระอักกระอ่วนใจกระมัง” ใต้เท้าเจ้ากรมตอบอย่างไม่จริงจัง “ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ก็ยุ่งเหยิงซับซ้อน หากบุ่มบ่ามมาพบจะนับเป็นคนรุ่นเดียวกันหรือเป็นศิษย์ดีเล่า”

“ก็ถูก” เซี่ยหงเฉินจับจ้องลมหิมะข้างนอกพลางถามว่า “เช่นนั้นเจ้ากรมต้องการอย่างไร”

ตี้อีชิวตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ยังจำได้ว่าในความฝันครั้งแรกประมุขสำนักเซี่ยเขียนหนังสือหย่าเองกับมือ เมื่อความฝันสลายหนังสือหย่าก็สูญหายไป บัดนี้ในเมื่อได้พบกันอีก รบกวนประมุขสำนักเซี่ยเขียนหนังสือหย่าขึ้นอีกฉบับเป็นอย่างไร”

เขาเห็นเซี่ยหงเฉินมีสีหน้าราบเรียบ จึงคิดว่าคนผู้นี้มิได้มีความรู้สึกอันใดกับหวงหร่าง คงจะแค่หมายปองความงามของนางเท่านั้น

ดังนั้นใต้เท้าเจ้ากรมจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หากข้าส่งหนังสือฉบับนี้เข้าไป ไม่แน่ว่านางอาจจะออกมาพบท่านก็ได้ ใครจะรู้เล่า”

เป็นไปตามที่คิด เซี่ยหงเฉินไม่แปลกใจกับข้อเสนอของตี้อีชิว…ตั้งแต่ในห้วงฝันครั้งแรกเรื่องนี้ก็เผยเงื่อนงำออกมาแล้ว เพียงแต่เขาในตอนนั้นยังไม่อยากจะเชื่อ

เขามองออกไปยังลานเรือน เห็นหิมะโปรยปรายดั่งกลีบบุปผา ปลิวฟุ้งไปทั่ว

“เหมันต์ปีนี้หนาวเหน็บเป็นพิเศษจริงๆ” เซี่ยหงเฉินรวบอาภรณ์สีขาวพลางพูดเบาๆ “หากนางตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ก็ได้”

ตี้อีชิวยกมือเป็นสัญญาณ จากนั้นก็มีคนนำกระดาษกับพู่กันมาให้

กระดาษถูกคลี่ออกบนโต๊ะตัวเล็ก เซี่ยหงเฉินจับพู่กันแต้มหมึก ข้างหูได้ยินเสียงลมหิมะไม่หยุด ความเหน็บหนาวทับถมและจับตัวแข็งในหัวใจ

เขาจับพู่กันจรดลงไป ความทรงจำจับตัวเป็นน้ำแข็งทีละชั้นๆ

หากอดีตล้วนเป็นมายาลวง ยามนี้เจตนาเปิดเผยออกมาแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใดก็จงเอาไปเถิด

หนังสือหย่าฉบับหนึ่งเขาเขียนจนเสร็จสิ้นและลงนามโดยมีแถบผ้าสีขาวปิดตาอยู่

ตี้อีชิวได้รับหนังสือฉบับนี้แล้วก็ม้วนเข้าด้วยกัน ก่อนจะเก็บลงในวัตถุวิเศษเก็บของอย่างทะนุถนอม

เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “มีหนังสือนี้แล้วนางคงจะยอมมาพบหน้าข้าได้แล้วกระมัง”

“ย่อมได้แน่นอน” ตี้อีชิวยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ดวงตาเต็มไปด้วยแววเสียดสี เขาเอ่ยว่า “ข้าจะไปเชิญนางมา”

เซี่ยหงเฉินยิ้มพลางกล่าว “ดูเหมือนว่านางอยู่ในกรมซือเทียนจะสูงศักดิ์มากจริงๆ แค่จะออกมาพบข้าสักครั้งยังต้องรบกวนให้เจ้ากรมไปเชิญด้วยตนเอง”

เดิมทีตี้อีชิวเดินออกไปแล้ว พอได้ยินดังนั้นฝีเท้าก็ชะงักเล็กน้อย เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นคล้อยตามอีกฝ่าย

“ประมุขสำนักเซี่ยกล่าวถูกต้อง ตอนนี้นาง…เปราะบางมากจริงๆ”

ตี้อีชิวออกจากประตูไป เซี่ยหงเฉินตามไปหลายก้าว เขาเดินออกจากห้องโถงรับแขก ริมทางสายเล็กที่ปูด้วยแผ่นอิฐมีลวดลายทอดยาวออกไป ต้นเหมยต้นหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมบานสะพรั่ง เฉิดฉันตระการตา

เขายืนอยู่ใต้ชายคา หิมะในลานเรือนทับถมจนสูงถึงหัวเข่า

เซี่ยหงเฉินยื่นมือออกไป เกล็ดหิมะเหล่านั้นถูกสายลมพัดพา ลอยละล่องมาตกลงบนฝ่ามือเขา

ข้างหูได้ยินเสียงคนพูดว่า ‘หงเฉินจากไปครานี้ไม่รู้ว่ายังมีวันได้พบกันอีกหรือไม่ บุปผานี้จะผลิบานยามต้องหิมะ ข้าจึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘เนี่ยนจวินอัน’ นับแต่นี้ไปไม่ว่าสุดหล้าฟ้าเขียว ทุกทิวาราตรี ยามบุปผาผลิบาน ขอให้ท่านสุขสมบูรณ์’

ทว่าร้อยปีในความฝันนี้เขาไม่ได้รับบุปผานี้อีกเลย

หวงหร่าง ปีนี้หิมะเหมันต์มาเยือนอีกครา แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็เลือกที่จะผลิบานในกรมซือเทียน

ท่ามกลางลมหิมะ มีคนมุ่งหน้ามาทางนี้

เซี่ยหงเฉินถอนสายตากลับมา ดังนั้นต้นไม้ที่แดงดุจเพลิงต้นนั้นจึงสูญสลายหายไปจากม่านตาเขา เขาจ้องมองไปกลางหิมะ เห็นเพียงตี้อีชิวเข็นคนผู้หนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้

เข็นหรือ

ใช่ ตี้อีชิวเข็นเก้าอี้ล้อเข็น บนเก้าอี้ล้อเข็นมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อย่างสงบ

เป็นสตรีนางหนึ่ง

สายลมพัดหิมะโปรย ร่มไม่อาจสกัดความหนาวเหน็บได้ ดังนั้นตี้อีชิวจึงเดินเร็วมาก

ชั่วครู่ต่อมาเขาเข็นสตรีบนเก้าอี้ล้อเข็นเข้ามาในห้องโถงรับแขก เซี่ยหงเฉินก้าวเร็วๆ เข้าไป…แน่นอนว่านั่นคือหวงหร่าง

นางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีดำ ชายกระโปรงฟูฟ่อง อาภรณ์ดูซับซ้อนและงามวิจิตร บนผ้าโปร่งประดับด้วยลูกปัดเม็ดเล็กเป็นลวดลายหกแฉกคล้ายเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อน เข้ากับสภาพอากาศในวันนี้ทีเดียว

มวยผมของนางก็เกล้าอย่างเรียบร้อย บนศีรษะเสียบหวีสับรูปพัดอันหนึ่ง ขอบหวีสับประดับไข่มุก

เหมือนกลัวว่าจะหนาว ด้านนอกนางสวมชุดคลุมกันลมทับอีกที สายผูกของชุดคลุมกันลมเป็นพู่ระย้าหยกขาว ยามนี้มือเรียวยาวบอบบางของนางทับอยู่บนสายพู่ระย้านี้เบาๆ แม้กระทั่งเล็บนิ้วมือยังประดับไข่มุกที่ทำเป็นลวดลาย

ตลอดทั้งร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าประณีตงดงามจนดูไม่เหมือนจริง

เซี่ยหงเฉินคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเห็นนางในสภาพเช่นนี้

นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นอย่างเรียบร้อย เกล็ดหิมะกระจัดกระจายละลายอยู่บนผมนาง ใบหน้าของนางยังคงประณีต งดงามจนใกล้เคียงกับนางปีศาจ แต่แววตากลับไร้ประกายคล้ายสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว

เซี่ยหงเฉินเดินไปตรงหน้านาง ต่อให้ในความฝันครั้งแรกหวงหร่างจะเอ่ยคำพูดแปลกๆ กับเขา ต่อให้เขาได้เห็นร่องรอยที่น่าสงสัยในห้องลับกลางเขาลึก ต่อให้เขาเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ยังคงคิดไม่ถึงว่าหวงหร่างในตอนนี้จะมีสภาพเป็นเช่นนี้

เขาเคยคิดว่าบางทีอาจเป็นละครฉากหนึ่งของหวงหร่างที่อยากทำให้เขาเสียใจ ทั้งยังเคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ราชสำนักอาจหลอกใช้หวงหร่างเพื่อโจมตีสำนักเซียนอวี้หู หรือไม่หวงหร่างก็หันไปรักคนใหม่ โผเข้าหาตี้อีชิวแล้ว หรือเดิมทีนางเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของซือเวิ่นอวี๋ นับตั้งแต่ตอนที่นางปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็เป็นแผนการหลอกลวงอย่างหนึ่ง

แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับนางในสภาพเช่นนี้

เขายอบกายลง ยามที่ยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมของหวงหร่าง ความคมกริบถูกส่งมายังท้องนิ้ว ชั่วขณะนั้นในที่สุดมือของเซียนกระบี่อันดับหนึ่งก็สั่นเทา

…เขารู้ว่านั่นคือสิ่งใด ในฐานะประมุขสำนักเซียนอวี้หูเขารู้ดีกว่าใครทั้งนั้น

“อาหร่าง?” พอสองคำนี้เอ่ยออกจากปากก็คล้ายจับตัวแข็งเพราะไอเย็นในเหมันต์ ทำให้ลมหายใจสั่นสะท้าน

ตี้อีชิวย้ายอ่างไฟเข้ามาวางไว้ข้างเท้าหวงหร่างพลางพูดว่า “ประมุขสำนักเซี่ยอยากถามอะไรก็รีบถามเสียเถิด” เขาปัดหยดน้ำที่ละลายอยู่บนเส้นผมนางออกอย่างแผ่วเบา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ถึงอย่างไรตอนนี้นาง…ก็เปราะบางเหลือเกิน อากาศเช่นนี้เดิมทีก็ไม่อยากจะพาออกมาพบแขก”

ทว่าเซี่ยหงเฉินยังจะถามอะไรได้

ความรักตลอดร้อยกว่าปีเป็นเรื่องจริง ถูกทัณฑ์ทรมานเป็นเรื่องจริง ถูกกักขังสิบปีก็เป็นเรื่องจริง

เพียงแต่เวลาผันผ่านทุกสิ่งแปรเปลี่ยน มองหน้ากันแต่ไร้ซึ่งวาจา

เซี่ยหงเฉินอยากจะกุมมือหวงหร่างไว้ ทว่าตี้อีชิวสกัดไว้อย่างรวดเร็ว เขาขยับเก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างไปข้างหลังเล็กน้อยแล้วเอ่ยบอก

“ประมุขสำนักเซี่ยอาจไม่รู้ว่าธรรมเนียมชายหญิงในโลกสามัญเคร่งครัดทีเดียว ท่านทำเช่นนี้เสียมารยาทยิ่ง”

เซี่ยหงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ สะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหมดที่พลุ่งพล่านปั่นป่วนอยู่ในอก เขาพยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองสงบนิ่ง

“ข้าจะพานางกลับไป”

“พากลับไป?” ตี้อีชิวคล้ายได้ยินเรื่องขบขันปานนั้น เขาถามว่า “หลังจากนั้นเล่า ส่งตัวนางให้เซี่ยหลิงปี้หรือ”

เซี่ยหงเฉินอึ้งงันไป ในที่สุดใต้เท้าเจ้ากรมก็หัวเราะออกมาแล้วถามต่อ

“หรือว่าพาตัวนางไปป่าวประกาศต่อสำนักเซียนทั้งหมด คืนความบริสุทธิ์ให้เซี่ยหลิงปี้”

เขาเน้นย้ำคำว่า ‘ความบริสุทธิ์’ จนฟังดูเหมือนการเยาะหยัน

เซี่ยหงเฉินเอ่ยเสียงขุ่นเคือง “ตี้อีชิว นางเป็นภรรยาของข้า!”

ตี้อีชิวโต้กลับทันที “มิใช่นานแล้ว” กล่าวจบเขาก็ลูบผมยาวของหวงหร่าง “เซี่ยหงเฉิน ต่อให้ในอดีตที่ตำบลเซียนฉานางทำผิดพลาดไปครั้งหนึ่งก็ไม่มีเหตุผลที่นางจะต้องเป็นของท่านไปทั้งชีวิต”

“ผิดพลาดไปครั้งหนึ่งหรือ” เซี่ยหงเฉินแค่นหัวเราะ แม้เป็นคนที่สุภาพและใจกว้างเช่นเขา ยามนี้วาจาก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคม “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดแทนนาง มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนนาง มีสิทธิ์อะไรมาใคร่ครวญผิดถูกแทนนาง”

ตี้อีชิวกดมือลงบนไหล่หวงหร่างเบาๆ เขาสบตากับเซี่ยหงเฉิน ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว “สิทธิ์ที่ร้อยปีในความฝันนางตอบรับคำขอของข้า ยอมแต่งเป็นภรรยาของข้า”

โลหิตของเซี่ยหงเฉินจับตัวแข็ง ฝีเท้าซวนเซเล็กน้อย ได้แต่ถอยไปหนึ่งก้าว

“ความฝันหนานเคอ* ถือเป็นเรื่องจริงได้หรือ” เซี่ยหงเฉินยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ยขึ้น “ตี้อีชิว วันนี้ข้าจะต้องพานางจากไปให้ได้” เซี่ยหงเฉินเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่คนอื่นจะได้เห็นท่าทีแข็งกร้าวของเขา แต่บัดนี้กระบี่แห่งจิตของเขาอยู่ในมือขณะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ใครก็มิอาจขัดขวาง”

“เช่นนั้นก็มาตัดสินกัน” ใต้เท้าเจ้ากรมไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ถึงขั้นกล่าวอย่างเสียดสีว่า “เซียนกระบี่อันดับหนึ่ง”

หากจะประมือแน่นอนว่ามิอาจกระทำในห้องโถงรับแขกได้

เซี่ยหงเฉินกับตี้อีชิวใจตรงกัน ต่างถอยออกไปในลานเรือน

ลมหิมะพัดหวีดหวิว เงาร่างหนึ่งขาวหนึ่งม่วงเผชิญหน้ากันกลางสายลม เพียงครู่เดียวหิมะที่โปรยปรายก็คมกริบดุจใบมีด

กระบี่แห่งจิตในมือเซี่ยหงเฉินสาดแสงไปทั่วฟ้าดิน ส่วนมือของตี้อีชิวก็ผุดเกล็ดงูสีเขียวขึ้นอีกครั้ง หมอกพิษกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเขาไว้ ยามหิมะต้องไอหมอกเกิดเสียงดังฉี่ ครั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ผู้คนรอบข้างต่างรู้ว่าแย่แล้ว

จากนั้นกระบี่ของเซี่ยหงเฉินก็ฟาดฟันลงมา ประกายเจิดจ้าดั่งอสนีบาต ราวกับจะแยกผืนนภาและปฐพีออกจากกัน

ส่วนตี้อีชิวเนื่องจากศึกษาค้นคว้าอย่างบ้าคลั่งมาร้อยปีในความฝัน จึงกระจ่างแจ้งในกระบวนท่าของสำนักเซียนอวี้หูเช่นเดียวกับรู้จักนิ้วมือของตนเอง เขาใช้หมอกพิษต้านรับกระบี่นี้ จากนั้นอุ้งมือดุจตะขอจู่โจมกลับไป หูของทุกคนได้ยินเพียงเสียงปะทะกันของกระบี่และกรงเล็บ สายตาเห็นเพียงเงาพร่าเลือน

หวงหร่างหันมองไปทางลานเรือน ร้อนใจอย่างยิ่ง

นางไม่อยากให้คนในลานเรือนตัดสินแพ้ชนะกันเช่นนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะห่วงว่าตี้อีชิวจะสู้ไม่ได้

แม้เซี่ยหงเฉินจะน่าโมโห ทว่ามิใช่คนที่คุยโวโอ้อวดแน่นอน

เทียบกับเขาแล้ว ตี้อีชิวนับเป็นชนรุ่นหลังอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นเพียงช่างฝีมือคนหนึ่ง เกรงว่าในด้านพลังวัตรคงจะเสียเปรียบเป็นพิเศษ

ส่วนในลานเรือน ใต้เท้าเจ้ากรมย่อมไม่ใช้แต่กำลังเข้าสู้อยู่แล้ว

ในเมื่อรับศึกแล้วย่อมต้องต่อสู้อย่างสุดฝีมือ เซี่ยหงเฉินร้ายกาจใช่ว่าเขาจะไม่รู้

หากมีแต่คนของกรมซือเทียนก็แล้วไปเถิด ถึงอย่างไรในปากคนเหล่านี้ก็ไม่อาจมีงาช้างงอกออกมา ได้อยู่แล้ว ทว่าหวงหร่างอยู่ในห้องโถงรับแขก หากเขาถูกเซี่ยหงเฉินกดลงกับพื้นตีจนฟันร่วงและต้องเที่ยวหาฟันไปทั่วพื้นเล่า…

แค่คิดก็สยดสยองแล้ว

ด้วยเหตุนี้ใต้เท้าเจ้ากรมจึงงัดไพ่ตายออกมาใช้ทั้งหมด

ในวัตถุวิเศษเก็บของของเขามีทั้งกลไก กับดัก อาวุธลับ ถึงขั้นมีระเบิด เกรงว่าแม้แต่เซียนกระบี่อันดับหนึ่งก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน

และเซี่ยหงเฉินก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนจริงๆ

เหล็กขนาดใหญ่ที่ยิงอสนีเพลิงออกมาจากกระบอกยาวได้ ทำให้บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหินและเกล็ดน้ำแข็งนั่นคืออะไร

ทั้งยังมีลูกกลมที่ฝังตัวอยู่ในหิมะ ทั่วทั้งลูกเต็มไปด้วยหนามยาว พอเหยียบก็จะพ่นเข็มพิษนับไม่ถ้วนออกมานั่นคืออะไร

เอาเป็นว่ากองเสวียนอู่ในวันนี้ ใต้เท้าเจ้ากรมกำลังต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะกับเซียนกระบี่อันดับหนึ่งอยู่

เซี่ยหงเฉินที่โกรธจัดรู้สึกตกใจเช่นกันเมื่อพบว่าคนผู้นี้รับมือได้ยากทีเดียว

ส่วนใต้เท้าเจ้ากรม…ไม่มีเวลาคิดอะไรอีกแล้ว

หวงหร่างนั่งอยู่ในห้องโถงรับแขก ข้างเท้ามีอ่างไฟให้ความอบอุ่น แต่ในใจกลับร้อนรนดุจไฟเผา

หลี่ลู่ เป้าอู่ และคนอื่นๆ ทยอยรุดมาถึง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีประโยชน์

…สงครามครั้งนี้ไม่มีผู้ใดในกรมซือเทียนสามารถก้าวก่ายได้

ทุกคนร้อนใจจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี เคราะห์ดีที่มีผู้ปราดเปรื่องท่านหนึ่งปรากฏตัวออกมา!

เหมียวอวิ๋นจือก้าวเข้ามา มิได้มองสองคนที่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยซ้ำ แต่ตรงเข้าไปในห้องโถงรับแขก

หวงหร่างเห็นเขาแล้ว ในที่สุดก็บังเกิดความหวังขึ้นเสี้ยวหนึ่ง

เหมียวอวิ๋นจือก้าวเท้าไปข้างหลังหวงหร่าง ยกมือขึ้นจะจับปลายเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกบนศีรษะนาง

“หากยังไม่หยุด ข้าผู้เฒ่าจะช่วยพวกท่านดึงเข็มนี้ออกมาเสีย!” เขากล่าวเสียงดุดัน

หวงหร่าง “…”

ขอบคุณท่าน นี่ช่างเป็นความคิดที่ดีจนชวนให้ฟ้าผ่าตายจริงๆ!

ทว่าสองคนที่ต่อสู้กันอยู่ในลานเรือนกลับหยุดมือจริงๆ

กองเสวียนอู่สภาพเละเทะนานแล้ว บรรดาศิษย์ต่างหลบไปด้านข้าง ตี้อีชิวก้าวเร็วๆ เข้าไปในห้องโถงรับแขก เซี่ยหงเฉินย่อมตามไปด้วย

มือของเหมียวอวิ๋นจือยังคงทำท่าจะจับปลายเข็ม แต่เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกนั่นกลับมิอาจแตะต้องได้ หาไม่แล้วกะโหลกศีรษะจะเจ็บอย่างรุนแรง

แววตาของหวงหร่างสั่นไหวเล็กน้อย เหมียวอวิ๋นจือเอ่ยในที่สุด “เซี่ยหงเฉิน ให้นางรั้งอยู่ที่กรมซือเทียนเถิด ที่นี่มีข้าผู้เฒ่าคอยดูแล ท่านสามารถวางใจได้”

ด้วยฐานะของเหมียวอวิ๋นจือ หากยอมเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมต้องพูดได้ทำได้

เซี่ยหงเฉินขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “แต่จะให้ภรรยาของข้าผู้แซ่เซี่ยรั้งอยู่ในกรมซือเทียนได้อย่างไร”

เหมียวอวิ๋นจือถาม “ถ้าท่านพานางกลับสำนักเซียนอวี้หูจะชี้แจงกับเซี่ยหลิงปี้อย่างไร”

พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ เซี่ยหงเฉินก็ชะงักไปจริงๆ เนิ่นนานเขาจึงตอบว่า “ข้า…จะปกป้องนางอย่างสุดกำลัง”

“เซี่ยหงเฉิน” ตี้อีชิวเข็นเก้าอี้ล้อเข็นของหวงหร่างเบาๆ ให้นางหันไปหาเซี่ยหงเฉินพลางพูดว่า “ท่านเอาแต่บอกนางว่าท่านจะปกป้องนางอย่างสุดกำลัง! ท่านเอาแต่บอกนางว่าสาเหตุที่นางถูกทำร้ายด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกเป็นเพราะท่านปกป้องนางอย่างสุดกำลัง! ที่นางถูกกักขังอยู่ในส่วนลึกของตำหนักหลัวฝูก็เป็นเพราะท่านปกป้องนางอย่างสุดกำลัง!”

สายตาของเซี่ยหงเฉินตกอยู่ที่หวงหร่าง หวงหร่างใบหน้าแข็งทื่อ ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่า นางไม่พูดไม่ขยับเหมือนวัตถุปลอมชิ้นหนึ่งที่ไร้ชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะพูดออกได้อย่างไร

การละเลย ความระแวงแคลงใจ เจตนาเหินห่างหลายปีเหล่านั้น คำพูดในปีนั้นเขาฟังแค่ช่วงแรกก็ตัดบทพร้อมตำหนิสั่งสอนนาง

การกักขังทรมานสิบปีนั้น แม้ในใจเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับไม่เคยพิสูจน์ยืนยัน ดังนั้นนางจึงไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมาสิบปี ใครเล่าจะรู้ถึงความเจ็บปวดของนาง

บัดนี้ได้พบกันอีกครั้ง เขาบอกว่าจะปกป้องนางอย่างสุดกำลัง แต่คนในวันวานกลับเต็มไปด้วยบาดแผลเสียแล้ว

“ข้า…” เขาเผชิญกับแววตาเลื่อนลอยไร้เรี่ยวแรงของหวงหร่าง เอ่ยคำพูดที่เหลือไม่ออก

เหมียวอวิ๋นจือกล่าวว่า “บุญคุณความแค้นระหว่างพวกท่านข้าผู้เฒ่าไม่สนใจ แต่บัดนี้เกิดความวุ่นวายขึ้นกะทันหัน กรมซือเทียนและสำนักเซียนอวี้หูต้องร่วมมือกันสืบหาความจริง มิใช่มาห้ำหั่นกันเองอยู่ที่นี่ นับจากวันนี้ไปหากพวกท่านทั้งสองกล้าลงไม้ลงมืออีก ข้าผู้เฒ่าจะถอนเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกของนางหนูผู้นี้ออกเสีย จะได้ไม่ต้องแย่งชิงกัน!”

ใต้เท้าเจ้ากรมรู้สึกคุ้นกับเหตุการณ์นี้ พอใคร่ครวญดูให้ดี นี่เป็นสิ่งที่ฉิวเซิ่งไป๋เคยพูดกับเขาในเจดีย์หยวนหรงตอนอยู่ในห้วงฝัน

‘หากเจ้ากรมไม่ดื่มยา ข้าจะเหยียบหนอนบุ้งตัวนี้ให้ตายเสีย!’

ดูเหมือนว่าคนเราจะมีจุดอ่อนไม่ได้เลยจริงๆ

เซี่ยหงเฉินเก็บกระบี่แห่งจิต เขาหันไปหาตี้อีชิวพลางเอ่ยว่า “นางแค่มาพักรักษาตัวที่นี่เท่านั้น เมื่อสืบหาสาเหตุของความฝันนี้ได้ ข้าจะมารับตัวนางกลับไป”

ตี้อีชิวแค่นยิ้มอย่างเย็นชา “สหายเก่าที่ประมุขสำนักเซี่ยอาศัยความสามารถทำผิดต่อนาง คิดจะรับตัวนางกลับไปย่อมต้องอาศัยความสามารถเช่นเดียวกัน อาศัยแค่ฝีปากเกรงว่าคงไม่ได้”

หลี่ลู่และคนอื่นๆ ต่างพูดไม่ออก…หากจะว่ากันด้วยเรื่องความสามารถของสองคนนี้ เซี่ยหงเฉินน่าจะเหนือกว่า แต่ถ้าหากว่ากันด้วยฝีปาก ใต้เท้าเจ้ากรมของพวกตนไร้เทียมทานในใต้หล้า

จริงดังคาด เซี่ยหงเฉินคร้านจะสนใจ เขาเดินไปตรงหน้าหวงหร่าง ยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสใบหน้านาง แต่สุดท้ายก็มิได้ทำเช่นนั้น

คนในวันวานดั่งน้ำแข็งดั่งหยก ราวกับปราศจากความรู้สึก

เดิมทีนางเป็นคนที่อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ แม้ต้องอยู่ในหอฉีลู่อย่างสงบเสงี่ยมมาร้อยกว่าปีก็ยังทำอะไรไว้มากมาย

เซี่ยหงเฉินไม่กล้าคิดถึงความรู้สึกของนาง

ดังนั้นแม้กระทั่งคำว่า ‘ข้าขออภัย’ คำนี้เขายังรู้สึกว่าช่างไร้ค่า

เขากล่าว “ข้า…จะไปค้นตำราทั้งหมดเกี่ยวกับเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกและนำมามอบให้ผู้อาวุโส”

เหมียวอวิ๋นจือรับคำ “กลับไปเถิด อย่าลืมเรื่องสำคัญในตอนนี้ ว่ากันตามตรงแล้วหวงหร่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผู้เลื่องชื่อแห่งยุค อย่าเอาอย่างไก่กับสุนัขที่ทั้งจิกและกัดกัน ทำให้นางขบขันเสียเปล่า”

เซี่ยหงเฉินมองหวงหร่างอีกครั้ง เนิ่นนานเขาจึงค้อมกายคารวะเหมียวอวิ๋นจือ หันหลังเดินออกจากกรมซือเทียน

หิมะยังคงไม่หยุดตก เหมันต์ในเมืองหลวง แม้กระทั่งหยดน้ำก็จับตัวเป็นน้ำแข็งได้

ตี้อีชิวลูบศีรษะหวงหร่างเบาๆ พลางพูดว่า “ความจริงแล้วการเข้าสู่ห้วงฝันก็ไม่มีอะไรเสียหาย อย่างน้อยเจ้าก็ได้หลุดพ้นจากพันธนาการ ได้รับอิสระอีกครั้งใช่หรือไม่”

“นี่เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า!” เหมียวอวิ๋นจือเลิกคิ้วด้วยสีหน้าถมึงทึง เอ่ยปากด่าว่าทันที “มรรคาสวรรค์ดำเนินไปตามวัฏจักร หมุนเวียนไปโดยไม่หยุดพัก! บัดนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าอีกไม่นานหายนะครั้งใหญ่จะมาเยือน! พวกสายตาตื้นเขิน มิน่าแปลกใจที่เป็นเชื้อสายของซือเวิ่นอวี๋! ไม้ผุ! ดินเหลว!”

เขาด่าว่าอย่างกรุ่นโกรธเหมือนตำหนิสั่งสอนบุตรหลานของตน ทำเอาทุกคนในกรมซือเทียนเงียบกริบดั่งจักจั่นในฤดูเหมันต์

มีเพียงหวงหร่างที่รู้สึกดีกับการลูบปลอบของตี้อีชิวและเห็นด้วยกับคำพูดนี้

การเข้าสู่ห้วงฝันไม่ดีตรงที่ใดเล่า พวกคนที่ตายไปได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายเท่าไรใฝ่ฝันปรารถนา วิงวอนและตั้งตารอ

ไม่ดีตรงที่ใด

สำนักเซียนอวี้หู

ศีรษะเซี่ยเซ่าชงราวกับกำลังพองขยาย ปรมาจารย์ผู้นี้บาดเจ็บอย่างรุนแรง ร้องโหยหวนไม่หยุด

เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วมาตรวจดูด้วยตนเองแล้ว แต่เพราะรู้ว่าซักถามอะไรไม่ได้จึงร้อนใจเช่นกัน

เคราะห์ดีที่จังหวะนี้เองเซี่ยหงเฉินกลับถึงสำนักแล้ว

เหอซีจินและคนอื่นๆ ล้อมวงเข้าไปทันใด เหอซีจินเอ่ยปากขึ้นก่อน “ชะ…ชะ…ชี้…”

จางซูจิ่วเอ่ยแทน “ประมุขสำนักเซี่ย เรื่องของเซี่ยฮูหยิน สำนักเซียนอวี้หูจำเป็นต้องให้คำชี้แจงกับพวกเรา!”

…ด้วยความร้อนใจ เหอซีจินจึงตัดคำพูดประโยคแรกออกไปเสีย

เซี่ยหงเฉินกวาดตามองทั้งสามคน ยามนี้ความกลัดกลุ้มในใจเขาหาได้น้อยไปกว่าทุกคนไม่

เขาข่มอารมณ์แล้วตอบว่า “มิขอปิดบัง อาหร่างหายตัวไปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน”

เมื่อเขายอมพูด พวกเหอซีจินก็นับว่าโล่งอก

จางซูจิ่วรีบถาม “หายตัวไปด้วยเหตุใด ฮูหยินประมุขสำนักเซียนอวี้หูหายตัวไปทั้งคน เหตุใดประมุขสำนักเซี่ยถึงประกาศต่อภายนอกว่านางเก็บตัวรักษาโรคเล่า ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ได้ออกตามหาบ้างหรือไม่”

เขาถามคำถามยาวเหยียด เพียงเพราะเรื่องนี้มีหลายจุดเหลือเกินที่ทำให้คนไม่เข้าใจ

เซี่ยหงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ…หากเขาบอกเรื่องที่หวงหร่างเคยพูดเกี่ยวกับเซี่ยหลิงปี้ออกไป สำนักเซียนย่อมต้องพิจารณาตัดสินคดีนี้อย่างเปิดเผย

ไม่พูดถึงผลการพิจารณาตัดสิน เอาแค่การคาดเดาของผู้คน สิ่งที่จะกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าก็เพียงพอที่จะทำลายสำนักที่คงอยู่มาพันปีให้ย่อยยับได้แล้ว

“หลังจากภรรยาข้าหายตัวไป ข้าเคยส่งคนออกตามหาอย่างลับๆ เพียงแต่…” เสียงของเขาหยุดไป

อู่จื่อโฉ่วจึงกล่าวต่อ “เพียงแต่ท่านอ้างว่าเป็นน้องภรรยาที่หายสาบสูญ เสาะหาอยู่นานก็ไม่เป็นผล”

เซี่ยหงเฉินเงียบเป็นการยอมรับ อู่จื่อโฉ่วจึงกล่าวขึ้นอีก

“มิน่าเล่าตอนศิษย์ส่งข่าวกลับมาข้ายังยกย่องในคุณธรรมอันสูงส่งของประมุขสำนักเซี่ย แม้แต่น้องภรรยายังใส่ใจถึงเพียงนี้ เสาะหาอยู่นานนับสิบปี”

เหอซีจินเอ่ย “ซะ…ซะ…เซี่ย…”

เขาเอ่ยวาจาเปลืองแรงโดยแท้ จางซูจิ่วจึงได้แต่พูดแทน “เซี่ยหลิงปี้เล่า บัดนี้ในความฝันประหลาดทั้งสองครั้ง หัวลูกศรล้วนชี้ไปที่เขา! หรือประมุขสำนักเซี่ยไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย”

อู่จื่อโฉ่วได้แต่เอ่ยด้วยความหวังดี “ประมุขสำนักเซี่ย เรื่องมาถึงบัดนี้ ท่านยังจะปกป้องเขาอีกหรือ”

ทว่าเซี่ยหงเฉินกลับเอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดว่าอาหร่างถูกคนล่อลวง แต่วันนี้ข้าไปที่กรมซือเทียนและได้พบนาง”

“เอ่อ…” พอเขาพูดถึงกรมซือเทียนและหวงหร่าง พวกเหอซีจินก็ร้อนตัวขึ้นมาทันใด

เซี่ยหงเฉินพูดต่อ “ครั้งก่อนสำนักเซียนอวี้หูถูกบุกรุก ข้าตรวจดูร่องรอยโดยละเอียดแล้ว ทราบว่าเป็นฝีมือของพวกผู้อาวุโสเหอ ข้าอยากรู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามสืบทราบเบาะแสของอาหร่างได้อย่างไร”

คราวนี้น่าลำบากใจเสียแล้ว ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา สุดท้ายยังคงเป็นจางซูจิ่วที่เอ่ยปาก “เรื่องนี้เป็นการล่วงเกินแล้วจริงๆ แต่พวกข้าเองก็ฟังมาจากเจ้ากรมซือเทียน”

เวลานี้เหอซีจินไม่แย่งพูดอีก อู่จื่อโฉ่วจึงกล่าวต่อ “ตี้อีชิวเรียกพวกเราสามคนไป บอกว่าเซี่ยฮูหยินล่วงรู้ความลับที่บอกใครไม่ได้ของเซี่ยหลิงปี้ มิคาดคิดว่านางจะถูกเซี่ยหลิงปี้ทำร้ายและกักขังอยู่ในห้องลับของตำหนักหลัวฝูจริงๆ!”

“พวกข้าหารือกันแล้ว คิดว่ามิอาจปล่อยให้นางถูกทำร้ายโดยไร้เหตุผล จึงร่วมมือกับตี้อีชิวแฝงตัวเข้าไปในสำนักเซียนอวี้หู” จางซูจิ่วตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนพูดอีก “จะว่าไปแล้วตี้อีชิวรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร กรมซือเทียนมีสายลับอยู่ในสำนักเซียนอวี้หูหรือ”

อู่จื่อโฉ่วตอบ “เกรงว่าคงมิใช่สายลับ คุณชายใหญ่เซี่ย เซี่ยหยวนซูของพวกท่าน ของประหลาดพิสดารมากมายในเรือนมีชิ้นใดบ้างที่มิได้มาจากกรมซือเทียน ตามความเห็นข้า เป็นสำนักของพวกท่านเองมากกว่าที่มีหนอนบ่อนไส้”

“มะ…มะ…มะ…มีเหตุผล!” เหอซีจินเห็นด้วย

เซี่ยหงเฉินพยักหน้าแล้วตอบว่า “พวกท่านกล่าวถูกต้อง เรื่องนี้ข้ายังต้องขอบคุณพวกท่านทั้งสาม จะว่าไปแล้วหากมิใช่ด้วยเหตุนี้ นางยังต้องอยู่ในห้องลับของตำหนักหลัวฝูอีกนานเพียงใดก็มิอาจล่วงรู้ได้” เขาหลุบตาลง เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นอีก “ระหว่างเดินทางกลับจากเมืองหลวง ข้าขบคิดซ้ำไปมาตลอดทางว่านี่คงเป็นความผิดของข้าเพียงคนเดียว”

เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วก็เงียบงัน

หากจะพูดถึงการกล่าวโทษ อันที่จริงหลายปีมานี้เซี่ยหงเฉินเหน็ดเหนื่อยเพื่อสำนักเซียนไม่น้อย สำนักเซียนอวี้หูเองก็สร้างความดีความชอบต่อผู้คนไว้มากเช่นกัน

จางซูจิ่วเอ่ยว่า “ประมุขสำนักเซี่ยไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนี้ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการลากตัวคนร้ายออกมา ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้เซี่ยฮูหยินถูกทำร้ายมิได้” กล่าวถึงตรงนี้เขาก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ดังนั้นประมุขสำนักเซี่ยจำเป็นต้องพิจารณาคดีของเซี่ยหลิงปี้อย่างเปิดเผย!”

คำว่า ‘พิจารณาคดีอย่างเปิดเผย’ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด

ในสำนักเซียนหากผู้ใดกระทำความผิดร้ายแรงจะถูกพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคน

และนักโทษที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกทุกคนล้วนผ่านการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยมาแล้ว โดยมีสำนักเซียนเป็นผู้ร่วมกันตัดสินโทษ

…เดิมทีควรเป็นเช่นนี้

เซี่ยหงเฉินใคร่ครวญซ้ำไปมาก่อนตอบ “ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพียงแต่ตอนนี้หลักฐานมีเพียงห้วงฝัน อาหร่างก็ไม่อาจออกหน้าเป็นพยานได้ จู่ๆ จะพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยโดยไร้ซึ่งหลักฐาน…เหตุผลยังคงไม่เพียงพอ” เขาประสานมือให้ทั้งสามคน “ข้าผู้แซ่เซี่ยขอร้องผู้อาวุโสทั้งสาม ให้ข้าสืบความจริงให้กระจ่างก่อนค่อยตัดสินใจอีกครา”

เขามีฐานะเป็นถึงประมุขสำนักผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับเอ่ยคำพูดขอร้องออกมาเช่นนี้ นี่ทำให้เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง

หากกล่าวถึงความสามารถในการต่อสู้ของเซี่ยหงเฉินผู้นี้ เหอซีจิน จางซูจิ่ว และอู่จื่อโฉ่วล้วนไม่มีใครต่อกรกับเขาได้

หากเอ่ยถึงฐานะ เขาคือเซียนกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักเซียนทั้งหมด

หากกล่าวถึงความเหนื่อยยากตลอดหลายปีมานี้ เขาก็ไม่ด้อยไปกว่าทั้งสามคนเช่นกัน

คนเช่นนี้เอ่ยคำพูดจริงใจเช่นนี้ ทำให้จางซูจิ่วรีบตอบว่า “ประมุขสำนักเซี่ยกล่าวเกินไปแล้ว พวกข้ามิกล้ารับ”

เซี่ยหงเฉินยังคงค้อมกายคารวะทั้งสามคนจนสุด ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอั้นเหลย

เรือนร่างของเขาผึ่งผายเสมอมา แต่บัดนี้กลับเผยท่าทีอ่อนล้าออกมาเล็กน้อย

 

ยอดเขาอั้นเหลย ตำหนักหลัวฝู

เซี่ยหลิงปี้เข้าสู่ความฝันทั้งสองครั้ง สูญเสียพลังวัตรไปถึงหกส่วน นอกจากอาการชาที่เอวซึ่งเกิดจากความฝันครั้งแรกแล้ว บัดนี้ยังมีอาการปวดศีรษะเพิ่มขึ้นมา

ศิษย์ของยอดเขาไป่เฉ่าไม่อาจรักษาเขาได้ ศีรษะเขาไม่ได้มีบาดแผลที่ชัดเจน แต่เมื่อใดที่อาการปวดศีรษะกำเริบก็จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

ในชั่วเวลาสั้นๆ ผู้อาวุโสที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมในสำนักเซียนในอดีตกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้กระทั่งชื่อเสียงก็สั่นคลอนทำท่าจะพังทลายลง

บทที่ 66 ชิงร่าง

เซี่ยหงเฉินยืนอยู่ในตำหนักหลัวฝู มองดูเซี่ยหลิงปี้สองมือกุมศีรษะ ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

“เจ้ายังหาตัวนางชั้นต่ำนั่นไม่พบหรือ” เห็นเขากลับมา เซี่ยหลิงปี้ก็เอ่ยถามเสียงเฉียบขาด

เซี่ยหงเฉินตอบตามความจริง “นางอยู่ในกรมซือเทียนขอรับ”

“กรมซือเทียน?” เซี่ยหลิงปี้เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด ถามว่า “เหตุใดเจ้าไม่เอาตัวนางกลับมา ในกรมซือเทียนยังจะมีคนขัดขวางเจ้าได้หรือ”

เซี่ยหงเฉินเดินช้าๆ ไปตรงหน้าอีกฝ่าย เซี่ยหลิงปี้กระชากแถบผ้าโอสถที่ศิษย์ของยอดเขาไป่เฉ่าประคบไว้บนศีรษะของเขาออก

“ถอยไปให้หมด!” เขาตวาดเสียงเกรี้ยว

ศิษย์คนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าขัดใจเขา พากันขอตัว

เซี่ยหลิงปี้มือหนึ่งกุมศีรษะ มือหนึ่งยันกายลุกขึ้นนั่ง “ตอบมา!”

เซี่ยหงเฉินจ้องเขาพลางถาม “ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าเหตุใดท่านอาจารย์ต้องทำเช่นนี้กับนาง”

เซี่ยหลิงปี้ถามทั้งที่รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร “เจ้ากำลังพูดอะไร”

เซี่ยหงเฉินตอบ “นางถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก มิอาจพูดจาหรือขยับตัวได้แล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งสมควรพานางกลับมา หรือไม่ก็สังหารทิ้งเสียป้องกันหายนะที่จะตามมาในภายหลัง!” เซี่ยหลิงปี้เอ่ยอย่างเคียดแค้น “บัดนี้เข้าสู่ความฝันถึงสองคราเพราะนางชั้นต่ำผู้นั้น ทำให้สำนักเซียนอวี้หูได้รับความเสียหายไปมากเท่าไร นางอยู่ในกรมซือเทียน แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ราชสำนักต้องเป็นคนบงการแน่! เจ้าดูไม่ออกหรือไร”

เซี่ยหงเฉินหลุบตาไม่ตอบ หากมิใช่เพราะคำพูดของหวงหร่างในความฝัน เขาก็เกือบจะเชื่อเช่นนั้น

นางถูกราชสำนักบงการ ดังนั้นจึงถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก กลายเป็นคนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่เช่นนั้นหรือ

เซี่ยหลิงปี้เห็นเขาไม่พูดจาก็ยิ่งโมโห “หงเฉิน! เจ้าใจอ่อนมาตั้งแต่เล็ก! เรื่องมาถึงบัดนี้มีเพียงกำจัดนางทิ้งจึงจะขจัดเภทภัยได้อย่างถาวร!”

เซี่ยหงเฉินเอ่ยถามในที่สุด “เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกบนศีรษะนางเป็นฝีมือของท่านอาจารย์ใช่หรือไม่”

“เจ้ากำลังคาดคั้นข้าหรือ” เซี่ยหลิงปี้ทำท่าจะลงจากเตียง แต่อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงทำให้เขานั่งลงอีกครั้ง “เจ้ากำลังสงสัยอาจารย์ของเจ้าหรือ”

เซี่ยหงเฉินไม่พูดจา เซี่ยหลิงปี้หัวเราะเสียงเย็น “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก! ต่อให้ข้าเป็นคนทำแล้วเจ้าจะสังหารข้าแก้แค้นให้นางชั้นต่ำนั่นหรือไร”

เขาโกรธแค้นอย่างยิ่ง ส่วนเซี่ยหงเฉินกลับไม่พูดไม่จา

นี่คือสิ่งที่เขาขบคิดมาตลอดทาง

เซี่ยหลิงปี้คืออาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา ส่วนหวงหร่างเป็นภรรยาของเขา

หลายปีมานี้เขามิได้ไปจิ้มกระดาษชั้นนี้ให้ทะลุเพียงเพราะไม่รู้จะเลือกเช่นไร บัดนี้ในที่สุดเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความอ่อนแอของตนเอง

…หากการคาดเดาเป็นความจริง เซี่ยหลิงปี้ทำร้ายหวงหร่างจริง เขาจะแก้แค้นให้นางได้หรือไม่

เห็นเขามีท่าทีลังเล เซี่ยหลิงปี้จึงผ่อนน้ำเสียงให้นุ่มนวลลง “ตอนนั้นเจ้ายืนกรานจะแต่งงานกับนาง แต่ข้าไม่อนุญาต นางชั้นต่ำนั่นเดิมทีก็เป็นต้นเหตุแห่งเภทภัยอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า แต่ข้าคิดว่าเจ้ายังเยาว์วัย ยากนักที่จะมีสิ่งที่รักชอบ จึงมิอาจแข็งใจยืนกรานในความคิดของตน ทว่าหงเฉิน ร้อยกว่าปีมานี้นางยังคงไม่ตระหนักถึงฐานะของตนเอง ถึงขั้นคิดจะยุแยงเจ้ากับข้าให้แตกคอกัน เรื่องนี้ข้ารับไม่ได้เด็ดขาด”

เซี่ยหงเฉินข่มกลั้นความเจ็บปวดและความกรุ่นโกรธในใจไม่อยู่ในที่สุด “ดังนั้นท่านอาจารย์จึงทำเช่นนี้กับนางหรือ เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกเป็นอาวุธลงทัณฑ์ร้ายแรงของสำนักเซียน กฎสำนักระบุชัดเจนว่าหากไม่ได้ถูกพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผยมิอาจนำมาใช้ส่งเดช! แต่ท่านอาจารย์กลับใช้มันรับมือกับภรรยาของศิษย์ที่มีพลังวัตรอ่อนแอ!”

เซี่ยหลิงปี้ยิ้มเยาะ “นั่นเป็นเพราะนางสมควรได้รับโทษทัณฑ์เช่นนี้!”

“ในเมื่อท่านอาจารย์พูดเรื่องที่นางยุแยง เช่นนั้นข้าขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่าในอดีตตอนอยู่ที่หอฉีลู่ นางอยากบอกอะไรข้ากันแน่” เซี่ยหงเฉินจ้องอาจารย์ผู้มีพระคุณบนเตียง รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างเหมือนคนแปลกหน้า

เซี่ยหลิงปี้อึ้งงันไปเล็กน้อย เซี่ยหงเฉินจึงคาดคั้นอีก

“ต่อให้นางมีเจตนาจะยุแยง ขอท่านอาจารย์โปรดบอกข้ามาว่านางอยากจะพูดอะไร”

“ข้าไม่รู้” เซี่ยหลิงปี้แค่นเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเพียงเรื่องที่ไม่มีมูล ไยต้องใส่ใจเล่า ตั้งแต่นางเกิดความคิดชั่วร้ายเช่นนี้ นางก็สมควรตายแล้ว”

เขาเหมือนบิดาที่ไม่ฟังเหตุผลคนหนึ่ง ตัดสินใจเรื่องทุกอย่างของบุตรอย่างเด็ดขาด

เซี่ยหงเฉินไม่พูดมากอีก ถอยออกจากตำหนักหลัวฝูช้าๆ

รอจนกระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไปแล้ว ความกรุ่นโกรธบนใบหน้าเซี่ยหลิงปี้จึงถูกเก็บงำไปทั้งหมด เขากุมศีรษะ แม้กะโหลกจะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่ความคิดกลับกระจ่างแจ้ง

เซี่ยหงเฉินมิได้สังหารหวงหร่าง ทว่าเรื่องนี้ไม่แปลก บุตรชายยังไม่แน่ว่าจะเชื่อฟัง นับประสาอันใดกับศิษย์

…ลองนึกถึงเจ้าโง่เซี่ยหยวนซูนั่นดูก็ได้

เซี่ยหลิงปี้ถอนหายใจหนักๆ ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะถึงคราวคับขันเสียแล้ว มิอาจรั้งรอต่อไปได้

 

นอกตำหนักหลัวฝู เซี่ยเซ่าชงรออยู่นานมากแล้ว

ครั้นเห็นเซี่ยหงเฉินออกมา เขาก็รีบเดินเข้าไปหา

เซี่ยหงเฉินถาม “การค้นหาตลอดหลายวันนี้พบเบาะแสอะไรหรือไม่”

ตั้งแต่ความฝันครั้งแรกสิ้นสุดลง เซี่ยหงเฉินก็เริ่มสงสัยเซี่ยหลิงปี้ขึ้นมาแล้ว

เขาจึงสั่งให้เซี่ยเซ่าชงตรวจสอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในยอดเขาอั้นเหลยทั้งหมด ทว่าเนื่องจากเสียเวลาไปกับความฝันประหลาดครั้งที่สอง เรื่องนี้จึงยังไม่มีผลลัพธ์

เซี่ยเซ่าชงตอบ “ข้าทำตามคำสั่งของศิษย์พี่ เริ่มตรวจสอบจากตำราที่ปรมาจารย์อ่านตลอดหลายปีนี้ ปรมาจารย์อ่านตำรามากมาย สิ่งที่อ่านมีหลากหลายปนเป แต่ในตำราเหล่านั้นมีอยู่หลายหน้าที่ถูกพลิกเปิดหลายครั้งเกินไปจนเก่าชำรุด ข้าจึงรวบรวมส่วนเหล่านี้ไว้”

“ดีมาก” เซี่ยหงเฉินถาม “พบสิ่งใดหรือไม่”

เซี่ยเซ่าชงทำหน้าไม่เข้าใจ “ข้าดูไม่รู้เรื่อง ได้แต่มอบให้ศิษย์พี่แล้ว”

กล่าวจบเขาก็หยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมา ยื่นให้เซี่ยหงเฉิน

เซี่ยหงเฉินรับมาไว้ในมือพลางเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว เรื่องนี้เจ้าถือเสียว่าไม่รู้แล้วกัน อย่าได้พูดถึงอีก”

เซี่ยเซ่าชงตอบ “ข้าเข้าใจ เพียงแต่…ศิษย์พี่ ปรมาจารย์…”

เขาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เซี่ยหงเฉินเพียงตบไหล่เขา ไม่เอ่ยอะไร

 

เมื่อกลับถึงยอดเขาเตี่ยนชุ่ย เซี่ยหงเฉินเริ่มอ่านสมุดบันทึกอย่างตั้งใจ

เซี่ยเซ่าชงจดบันทึกไว้ละเอียดยิ่ง แต่เนื้อความที่อยู่ข้างในกลับไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง ไม่แปลกที่เขาจะไม่พบเงื่อนงำใดๆ

แต่ถึงอย่างไรเซี่ยหงเฉินก็แตกต่างจากเขา

ในสำนักเซียนตลอดหลายปีมานี้ หากกล่าวถึงมรรคากระบี่ ใครยังจะกล้าเรียกตนเองว่าอันดับหนึ่งเล่า

ตลอดเวลาพันปีมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

กรมซือเทียน

กองเสวียนอู่อยู่ระหว่างการซ่อมแซม เนื่องจากยามกลางวันใต้เท้าเจ้ากรมกับเซี่ยหงเฉินต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทำให้หอพักศิษย์ในกองเสวียนอู่ถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง

คนของกรมโยธาได้แต่พร่ำบ่นไปพลางตากหิมะเร่งซ่อมแซมไปพลาง

ใต้เท้าเจ้ากรมไม่สะดวกที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ทว่าสถานที่เช่นนี้ฝุ่นฟุ้งกระจาย เขาย่อมมิอาจพาหวงหร่างไปด้วยได้

ดังนั้นใต้เท้าเจ้ากรมจึงเข็นหวงหร่างไปจนถึงห้องหนังสือของกองวิหคเพลิง

ในห้องมีเอกสารทับถมจนสูงเป็นภูเขา

เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว บัดนี้เกิดความฝันประหลาดที่กินเวลาร้อยปี ทั้งยังเกิดเรื่องน่าตกใจถึงเพียงนี้ ไม่พูดถึงชาวบ้านและทางการ แม้กระทั่งสำนักเซียนยังวุ่นวายโกลาหล กรมซือเทียนย่อมใกล้จะถูกเอกสารจมมิดเต็มที

ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างเข้าไป จากนั้นก็ลูบศีรษะนางเบาๆ พลางพูดว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ ยามดึกเหมียวอวิ๋นจือน่าจะมาฝังเข็มให้เจ้า”

เมื่อจะจากไป เขาพลันนึกถึงคำพูดของนางยามอยู่ในความฝันขึ้นมาได้

‘ท่านต้องรับปากข้า ภายภาคหน้าต่อให้แต่งภรรยามีบุตรแล้วก็ห้ามไม่สนใจข้าเด็ดขาด! ห้ามให้พวกนางมารังแกข้า ข้ากลัวความมืด ต้องจุดโคมไฟไว้ตลอด ข้าไม่ชอบอยู่คนเดียว ท่านไปที่ใดต้องพาข้าไปด้วย ยามกลางคืนเวลาเข้านอนก็ต้องอยู่กับข้า ต้องพูดคุยกับข้าให้มากๆ…’

ต่อจากนั้นคนผู้นี้ทำท่าผิดหวังเหลือแสน พูดอย่างอ่อนแรง ‘ช่างเถิด หากพูดเช่นนี้ต่อไปข้าคงจะเรียกร้องมากเกินไป ช่างเถิด’

ใต้เท้าเจ้ากรมกุมมือนาง เอ่ยเสียงแผ่ว “สิ่งที่เจ้าพูดในความฝันข้าจดจำได้ทั้งหมด เจ้าไม่ต้องห่วง แค่ว่าบริเวณที่กำลังซ่อมแซมฝุ่นฟุ้งเกินไป ไม่ดีต่อเจ้า เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา ดีหรือไม่”

แน่นอนว่าหวงหร่างไม่อาจตอบได้ ดังนั้นเขาจึงย้อนนึกถึงคำพูดของนางในความฝันต่อ

“ต้องพูดคุยกับเจ้าให้มากๆ…พูดคุยกับเจ้าให้มากๆ…”

สายตาของใต้เท้าเจ้ากรมกวาดมองไปรอบด้าน สุดท้ายก็จับอยู่ที่สิ่งหนึ่ง

นั่นอย่างไร!

นั่นเป็นศิลาทวนเสียงก้อนหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนหินกรวดแม่น้ำ สะอาดเกลี้ยงเกลาและเปล่งประกาย

ใต้เท้าเจ้ากรมหยิบมันขึ้นมาและถ่ายพลังวิเศษเข้าไป จากนั้นก็ยื่นมันมาที่ข้างริมฝีปากพลางพูดว่า “ผิงไฟอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา”

กล่าวจบเขาก็พยักหน้า วางหินก้อนนี้บนมือทั้งสองของหวงหร่างอย่างพึงพอใจ

หลังจากนั้นใต้เท้าเจ้ากรมก็เปิดประตูเดินออกไป

ประตูห้องปิดลง ในห้องมีเพียงเสียงถ่านไฟเผาไหม้ในอ่างไฟ ที่นี่น่าจะมีข่ายอาคมปิดกั้น เสียงจากกองเสวียนอู่จึงลอยเข้ามาไม่ได้

สายตาของหวงหร่างเลื่อนต่ำลงช้าๆ จับจ้องก้อนหินในมือ…นี่คืออะไร

ไม่นานนักนางก็ได้รับคำตอบ

เห็นเพียงหินก้อนนั้นกะพริบแสงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง หลังจากนั้นก็มันเริ่มเปล่งเสียง “ผิงไฟอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา”

น้ำเสียงและสำเนียงล้วนเหมือนที่ตี้อีชิวพูดเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด

ทว่านี่ยังไม่น่ากลัว

สิ่งที่น่ากลัวคือมันเปล่งเสียงพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ไม่หยุด

พอกะพริบแสงมันก็เริ่มพูด พอแสงดับลงมันก็พูดจบประโยคพอดี วนเวียนไปมาเช่นนี้

…หวงหร่างจับจ้องเจ้าสิ่งนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา

ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้มาช่วยข้าที!

เมื่อแสงจากท้องฟ้ามืดสลัวลงก็มีคนเข้ามาจุดเทียนไข

หวงหร่างใช้สายตาส่งสัญญาณสุดชีวิต หวังว่าผู้ที่มาจะมีไหวพริบ สามารถเอาก้อนหินที่ส่งเสียงหนวกหูไม่หยุดออกไปจากมือนางได้ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนทำเช่นนั้น หวงหร่างได้แต่จับจ้องเจ้าสิ่งนี้ด้วยสีหน้าสิ้นหวังไร้ที่พึ่ง

จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท ตี้อีชิวก็กลับมาจริงๆ

เขาถอดชุดคลุมกันลมสีดำ สะบัดเกล็ดหิมะบนนั้นออกแล้วพับให้เรียบร้อย

หลังจากนั้นในที่สุดเขาก็หยิบก้อนหินบัดซบนั่นออกไปจากมือหวงหร่าง

ก้อนหินนั่นเมื่ออยู่ในมือเขาก็ถูกดึงพลังวิเศษออกไป จึงหุบปากได้ในที่สุด

ใต้เท้าเจ้ากรมกุมมือหวงหร่าง ถามอย่างอ่อนโยน “เช่นนี้รู้สึกดีขึ้นมากใช่หรือไม่”

ดีอะไรกันเล่า หวงหร่างถูกเสียงนั่นรบกวนจนปวดหู พอได้ยินเช่นนี้แล้วก็ได้แต่ทำหน้าแข็งทื่อ

“กองเสวียนอู่ยังคงอยู่ระหว่างการซ่อมแซม พวกเราพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวสักคืนดีหรือไม่” ตี้อีชิวเข็นเก้าอี้ล้อเข็นของนางไปยังข้างโต๊ะทำงาน แม้จะเป็นคำถาม แต่กลับคุ้นชินเสียแล้วที่นางไม่ตอบ

บนโต๊ะทำงานมีเอกสารทางการกองอยู่มากมาย เขาสุ่มหยิบขึ้นมาฉบับหนึ่ง กำลังจะเปิดดูก็หันไปเห็นหวงหร่างนั่งนิ่งอยู่ด้านข้าง

“เจ้าคงเบื่อแย่แล้วกระมัง ข้าจะหาของสนุกให้เจ้าดูดีหรือไม่” เขาอุ้มหวงหร่างขึ้นมา ให้นางนั่งลงบนตักตนเอง

หวงหร่างรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหลังนางทั้งแข็งแรงและอบอุ่น ในที่สุดความบอบช้ำที่เกิดจากศิลาทวนเสียงก็บรรเทาลงเล็กน้อย

ใต้เท้าเจ้ากรมกึ่งโอบนางไว้และเริ่มอ่านเอกสารเหล่านี้

“บุรุษผู้หนึ่งในอำเภอเติงสุ่ย ภรรยาตายกลับไม่แจ้งทางการ อยู่กินกับภรรยาเป็นเวลาครึ่งปี ศพของภรรยาไม่เน่าเปื่อย ขุนนางผู้น้อยเกรงว่าจะมีเรื่องลี้ลับแฝงอยู่จึงตั้งใจรายงานมายังกรมซือเทียน ขอท่านโปรดส่งคนไปตรวจสอบ” ใต้เท้าเจ้ากรมจรดพู่กันเขียนเอกสารพลางถาม “น่าสนใจทีเดียวใช่หรือไม่”

เอ่อ…หวงหร่างไม่แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้

ไม่นานนักใต้เท้าเจ้ากรมก็พลิกเอกสารอีกฉบับ เขาอ่านต่อ “เนื่องจากขัดสนเงินทอง พ่อค้าในเมืองชิงโจวจึงปล้นสุสานยามราตรี เห็นศพสตรีงดงามก็บังเกิดราคะ เสพสังวาสกับศพ หลังกลับมาบ้านเกิดฝีหนองตามร่างกาย หนองพิษไหลเยิ้ม…”

หวงหร่าง “…”

เรื่องที่ท่านเล่านี้ไม่เรียกว่าน่าสนใจ แต่เรียกว่าเหลวไหลต่างหาก

ทว่าใต้เท้าเจ้ากรมกลับอ่านเอกสารทางการให้นางฟังฉบับแล้วฉบับเล่า อีกทั้งเขายังคิดว่าตนเองช่างเอาใจใส่ทีเดียว ข้ามเหตุการณ์โหดเหี้ยมที่เต็มไปด้วยคาวเลือดพวกนั้นไป เหลือไว้เพียง ‘เรื่องเล่าประหลาด’ ที่นำมาแบ่งปันกับนาง

หวงหร่างรับฟังจนถึงยามดึก ในที่สุดเหมียวอวิ๋นจือก็ผลักประตูเข้ามา ดูเหมือนว่าคงถึงเวลาฝังเข็มให้นางแล้ว หวงหร่างเห็นเขาแล้วก็ประหนึ่งเห็นดาวช่วยชีวิต

ตี้อีชิว คำพูดของข้าในความฝัน ท่านลืมไปเสียเถิด

เหมียวอวิ๋นจือมองคราเดียวก็เห็นสถานการณ์ภายในห้อง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้

เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว เวลานี้ตี้อีชิวนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่วนหวงหร่างนั่งอยู่บนตักเขา ถูกเขากึ่งโอบไว้ในอ้อมอก ท่วงท่าเช่นนี้ออกจะใกล้ชิดเกินไปจริงๆ

“ระวังภาพลักษณ์ด้วย!” เหมียวอวิ๋นจือตำหนิประโยคหนึ่ง จากนั้นก็กางกระเป๋าใส่เข็มออก เข็มเงินข้างในมีขนาดหนาบางสั้นยาวไม่เท่ากัน

ตี้อีชิวอุ้มหวงหร่างไปวางบนเก้าอี้ล้อเข็น ปล่อยมวยผมของนางออก ให้เรือนผมยาวของนางแผ่สยายลงมาดุจสายน้ำ

จากนั้นเหมียวอวิ๋นจือก็เริ่มฝังเข็มให้หวงหร่าง

“ในความฝันประหลาดครั้งก่อนนางพูดอะไรบางอย่างกับข้า ผู้อาวุโสคิดว่าสติรับรู้ของนางยังแจ่มชัดอยู่หรือไม่” ตี้อีชิวนั่งอยู่ด้านข้างระหว่างที่เหมียวอวิ๋นจือฝังเข็ม สายตาเขาจับจ้องไปที่หวงหร่าง

“เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกร้ายกาจเกินไป ผู้ที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยสิ่งนี้ ความเจ็บปวดยากที่คนทั่วไปจะนึกได้” เหมียวอวิ๋นจือเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ท่าทางของนางอ่อนแอเช่นนี้ ทั้งยังถูกลงทัณฑ์มานานปี เจ้าคิดว่านางยังหลงเหลือสติรับรู้อยู่สักกี่ส่วนเล่า”

ตี้อีชิวรับคำ ก่อนหน้านี้เขาก็คิดเช่นนี้

หวงหร่างเป็นทายาทเผ่าดินซีหร่าง ถือกำเนิดในสกุลหวง แม้หวงซู่ไม่ใช่คนเมตตาอารี แต่ก็มิใช่ตระกูลที่อัตคัดขัดสน

แม้ชาติตระกูลของนางจะต่ำต้อยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่นับว่ายากจน ภายหลังแต่งเข้าสำนักเซียนอวี้หู ต่อให้มีเรื่องราวมากมายไม่เป็นดังใจนึก แต่ถึงอย่างไรก็ได้อยู่อย่างสุขสบาย ถูกทะนุถนอมมาโดยตลอดเช่นนี้เกรงว่าปณิธานคงจะอ่อนแอ ถูกกักขังลงทัณฑ์มาสิบปี คำพูดของนางยังถือเป็นเรื่องจริงได้อยู่หรือไม่

“เจ้าคิดอะไรอยู่” เหมียวอวิ๋นจือเห็นเขาทำท่าครุ่นคิดจึงอดถามไม่ได้

ตี้อีชิวตรึกตรองอยู่เนิ่นนานก่อนตอบว่า “ในความฝันประหลาดครั้งก่อนนางพูดอะไรบางอย่างกับข้า ทำให้ข้าเกิดความสงสัยมากทีเดียว”

ความสนใจใคร่รู้ของเหมียวอวิ๋นจือถูกกระตุ้นขึ้นมาทันใด “คำพูดใดหรือ”

ตี้อีชิวยอบกายลงตรงหน้าหวงหร่าง ลูบเรือนผมสีดำของนางเบาๆ “นางบอกว่าชาติกำเนิดของเซี่ยหงเฉินมีปัญหา เซี่ยหลิงปี้โกหก”

พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เหมียวอวิ๋นจือพลันขมวดคิ้ว เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ในอดีตเซี่ยหลิงปี้เก็บเซี่ยหงเฉินได้ที่ตีนเขา เรื่องนี้มีคนเห็นกับตา หากบอกว่าเป็นเรื่องเท็จก็คงเป็นเรื่องความเป็นมาของเขา แต่เซี่ยหงเฉินมาจากเมืองชิงโจว ตอนนั้นเมืองชิงโจวเกิดโรคระบาดอย่างหนัก ชาวเมืองอพยพลี้ภัย ว่ากันว่าเขาเป็นบุตรของผู้ลี้ภัยในตอนนั้น บิดามารดาล้วนสิ้นชีพไปแล้ว บัดนี้เนื่องจากเมืองชิงโจวเป็นบ้านเกิดของประมุขสำนักจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทีเดียว”

“ก็ถูก” ตี้อีชิวครุ่นคิดเนิ่นนาน “เรื่องนี้เซี่ยหลิงปี้มิได้ปิดบัง ความจริงแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จ”

หวงหร่างฟังพวกเขาพูดคุยกันเงียบๆ อยากจะกลอกตาสักครา

แต่แล้วนางก็สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าความจริงแล้วตี้อีชิวคอยสังเกตนางอยู่ตลอด

…ดูเหมือนเขากำลังตรวจสอบดูว่านางยังมีสติรับรู้อยู่หรือไม่!!

หวงหร่างไม่มองเขาอีก นับตั้งแต่มาอยู่กับเขาเรื่องน่าอายก็เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน

เลิกหยั่งเชิงข้าเสียที ท่านถือเสียว่าข้าตายไปแล้วเถิด!

นางไม่มีอาการตอบสนองโดยสิ้นเชิง ดังนั้นตี้อีชิวจึงได้แต่ล้มเลิกความพยายาม

เหมียวอวิ๋นจือกลับเอ่ยว่า “นางหนูผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น นางกัดเซี่ยหลิงปี้ไม่ปล่อยจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ เจ้าไปตรวจสอบดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย”

ตี้อีชิวรับคำ “กลัวแต่ว่าเวลาผ่านมาหลายปี ต่อให้มีเบาะแสอะไรก็คงถูกเซี่ยหลิงปี้กลบเกลื่อนทำลายไปหมดแล้ว”

แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่เขายังคงเรียกตัวหลี่ลู่มา สั่งให้อีกฝ่ายส่งคนไปเมืองชิงโจว ตรวจสอบยืนยันชาติกำเนิดของเซี่ยหงเฉินอีกครั้ง

 

สำนักเซียนอวี้หู

เซี่ยหงเฉินปะติดปะต่อสมุดบันทึกที่เซี่ยเซ่าชงมอบให้ สุดท้ายพอนำมารวมกันก็ได้เคล็ดวิชาชุดหนึ่ง

เขาเขียนเคล็ดวิชานั้นออกมาและใคร่ครวญไปทีละส่วน

จนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงความเงียบงัน

เวลานี้เองศิษย์ของยอดเขาไป่เฉ่าก็เข้ามารายงานอย่างร้อนรน “ประมุขสำนัก ปรมาจารย์เจ็บปวดยากจะทานทน เชิญท่านไปดูหน่อยเถิดขอรับ!”

เซี่ยหงเฉินลุกขึ้น กำลังจะมุ่งหน้าไปตำหนักหลัวฝู แต่กลับชะงักฝีเท้าอย่างรวดเร็ว เพียงตอบว่า “ข้าทราบแล้ว จะรีบไปโดยเร็ว”

ศิษย์คนนั้นเห็นเขาไม่คิดจะไปในทันที จึงได้แต่รับคำและออกจากตำหนักไป

เซี่ยหงเฉินกวาดสายตามองห้องหนังสือ เนิ่นนานเขาก็หยิบวัตถุวิเศษเก็บของออกมา เก็บตำราที่เกี่ยวกับเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกลงไปในนั้นทีละเล่มให้เรียบร้อย

“ชิงหลัน” เขาพูดกับคนข้างนอก

เดิมทีเนี่ยชิงหลันเฝ้าอยู่นอกตำหนัก บัดนี้ได้ยินเสียงก็เข้ามาข้างในทันที เขาเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ทางตำหนักหลัวฝูส่งคนมาเชิญอีกแล้ว แม้แต่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ก็ไปที่นั่นแล้ว เกรงว่าปรมาจารย์คงจะ…เคราะห์ร้ายมากกว่าดีขอรับ”

เซี่ยหงเฉินไม่ตอบอะไร กลับยื่นวัตถุวิเศษเก็บของเมื่อครู่นี้ใส่มือเขาแล้วสั่งว่า “เจ้านำของชิ้นนี้ไปกรมซือเทียน มอบให้ผู้อาวุโสเหมียวอวิ๋นจือ”

“ผู้อาวุโสเหมียว? เขาอยู่ที่กรมซือเทียนหรือขอรับ” เนี่ยชิงหลันประหลาดใจ เขาย่อมต้องประหลาดใจอยู่แล้ว ยอดฝีมือด้านการแพทย์ในตอนนี้ คนหนึ่งคือเหมียวอวิ๋นจือ อีกคนคือฉิวเซิ่งไป๋

ซือเวิ่นอวี๋ดึงตัวฉิวเซิ่งไป๋มาอยู่ภายใต้อาณัติแล้ว หากมีเหมียวอวิ๋นจืออีกคนเกรงว่าคงมิใช่เรื่องดีนัก

แต่เซี่ยหงเฉินกลับเอ่ยเพียง “ไปเถิด”

เนี่ยชิงหลันไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่ออกเดินทางทันที เซี่ยหงเฉินจึงแต่งตัวใหม่อีกครั้งแล้วรุดไปยังยอดเขาอั้นเหลย

 

ยอดเขาอั้นเหลย ตำหนักหลัวฝู

ยามนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสหลายคนที่เก็บตัวหรือเร้นกายไปแล้วล้วนมาถึงแล้ว ครั้นเห็นเซี่ยหงเฉิน คนเหล่านี้ต่างพากันค้อมกายคารวะ เซี่ยหงเฉินก็คารวะตอบทีละคน

อันที่จริงผู้อาวุโสเหล่านี้รักและเชื่อมั่นในตัวประมุขสำนักอย่างเซี่ยหงเฉินมากทีเดียว

เรื่องราวในความฝันครั้งที่สอง แม้พวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่ก็ได้ยินมาหมดแล้ว ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอาการป่วยของเซี่ยหลิงปี้ สีหน้าของพวกเขาล้วนหนักอึ้ง

ผู้อาวุโสใหญ่ฉิวไฉ่ลิ่งก้าวออกมาเอ่ยว่า “ประมุขสำนัก ขอเชิญออกไปพูดคุยกันสักหน่อย”

ดังนั้นเซี่ยหงเฉินจึงผละจากทุกคนและตามเขาออกไป คนอื่นๆ รู้สถานการณ์จึงมิได้ตามออกไปด้วย

ฉิวไฉ่ลิ่งเส้นผมและหนวดเคราขาวโพลน แต่ใบหน้ามีสีเลือดฝาด เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขาเอ่ยขึ้น

“เรื่องของหลิงปี้พวกเราทราบแล้ว แม้ในความฝันเขาจะกระทำการไม่เหมาะสม แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงความฝัน บัดนี้…ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตราย คงเหลือเวลาอีกไม่มาก เรื่องของเขา…หวังว่าเจ้าจะจัดการให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้กระทบถึงสำนัก” เขาถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ชื่อเสียงของสำนักตลอดพันปีได้มาไม่ง่าย”

เซี่ยหงเฉินเข้าใจความหมายของเขา จึงเอ่ยถามว่า “คำพูดของผู้อาวุโสฉิวก็เป็นเจตนาของผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ด้วยหรือ”

ฉิวไฉ่ลิ่งกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรย่อมต้องยึดถือส่วนรวมเป็นสำคัญมิใช่หรือ”

เขากล่าวเช่นนี้เท่ากับเป็นการยอมรับแล้ว

เซี่ยหงเฉินเลื่อนสายตาออกไปเล็กน้อย มองไปยังผู้อาวุโสคนอื่นๆ ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็มองมาทางนี้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าจุดยืนของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกับฉิวไฉ่ลิ่ง

เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “ในโลกความจริงภรรยาข้าหวงหร่างถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก กลายเป็นคนตายที่ยังหายใจอยู่ ก่อนหน้านี้ข้าถึงขั้นคิดว่านางถูกราชสำนักบงการหรือไม่ จนกระทั่งได้เห็นนางกับตา จึงรู้ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้พวกเราก็ต้องมีคำตอบให้นาง”

ฉิวไฉ่ลิ่งขมวดคิ้ว “ทว่าต่อให้มีคำตอบ คนที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกไปแล้วยังจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้หรือ”

เซี่ยหงเฉินจึงเข้าใจเจตนาของผู้อาวุโสสิบกว่าคนนี้แล้ว

คำพูดของฉิวไฉ่ลิ่งเกรงว่าคงเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ อยากจะพูดเช่นกัน

เซี่ยหลิงปี้ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว หากเขาตายไป เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะเคยทำอะไร ทุกคนล้วนไม่อยากสืบสาวเอาความอีก โดยเฉพาะจะพิจารณาคดีของเขาอย่างเปิดเผยไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นพวกผู้อาวุโสเหล่านี้จึงบอกเซี่ยหงเฉินเป็นนัยว่าให้เก็บกวาดสิ่งที่เซี่ยหลิงปี้ทำให้เรียบร้อย

เซี่ยหงเฉินไม่พูดอะไร ฉิวไฉ่ลิ่งย่อมไม่สะดวกที่จะบีบบังคับ จะว่าไปแล้วเรื่องของหวงหร่างไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเซี่ยหลิงปี้ที่ละเมิดข้อห้าม

เครื่องมือลงทัณฑ์ร้ายแรงอย่างเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูก เดิมทีก็ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดมิให้นำมาใช้โดยพลการ

ผู้รับโทษทัณฑ์นี้ในส่วนลึกของตำหนักหลัวฝูแต่ละคนล้วนเป็นคนชั่วที่ถูกสำนักเซียนพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผย อีกทั้งพวกเขาก็ยอมรับความผิดและยินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งสิ้น

แต่หวงหร่างยังมิได้ถูกพิจารณาตัดสินอย่างเปิดเผย เช่นนั้นนางจะรับโทษทัณฑ์นี้ได้อย่างไร

หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป สำนักเซียนอวี้หูย่อมยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ

บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้แม้จะเก็บตัวเป็นเวลานาน ไม่สนใจงานกิจของสำนัก แต่บัดนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ทุกคนย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะออกหน้าเข้ามาแทรกแซง

เซี่ยหงเฉินจ้องมองผู้อาวุโสตรงหน้าพลางถามว่า “เช่นนั้นอาหร่างก็ต้องรับโทษทัณฑ์อย่างไม่เป็นธรรมเช่นนั้นหรือ”

ฉิวไฉ่ลิ่งอึ้งงันไปเล็กน้อย ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ประมุขสำนัก หลิงปี้เป็นอาจารย์ของเจ้า สามร้อยหกสิบปีก่อนเป็นเขาที่อุ้มเจ้ากลับมาจากนอกประตูสำนัก เจ้าในตอนนั้นหนาวจนเขียวคล้ำไปทั้งร่าง ข้าเห็นกับตาว่าเขาปลดเสื้อตัวใน อุ้มเจ้าไว้แนบอกและพาเข้ามาในสำนัก ให้ความอบอุ่นอยู่ครึ่งคืน เจ้าจึงส่งเสียงร้องไห้ออกมาได้”

“ใช่ ข้าติดค้างเขา” สีหน้าของเซี่ยหงเฉินพลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เขาคล้ายคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งอก

ฉิวไฉ่ลิ่งเห็นดังนั้นก็อดพูดมิได้ “อาจารย์กับศิษย์ดั่งบิดากับบุตร ในเมื่อเป็นบิดากับบุตรย่อมไม่มีคำว่าติดค้างกัน เพียงแต่ตอนนี้ประมุขสำนักเป็นชื่อเสียงหน้าตาของสำนักเซียนเรา หากมีเรื่องราวฉาวโฉ่เช่นนี้แพร่ออกไป เกรงว่าความอัปยศของสำนักคงยากจะลบล้างได้”

เซี่ยหงเฉินไม่พูดอะไรอีก เพียงย่างเท้าเข้าไปในตำหนักหลัวฝูอีกครั้ง เห็นใบหน้าของเซี่ยหลิงปี้บนเตียงในตำหนักดุจกระดาษทอง* ลมหายใจของเขาแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของเซี่ยหงเฉิน เขาจึงลืมตาขึ้นในที่สุด

“เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงของเซี่ยหลิงปี้แหบแห้งคล้ายถูกสูบเอาพลังชีวิตออกไปจนหมด

เดิมทีเซี่ยหยวนซูอยู่เป็นเพื่อนบิดาตรงนี้ แต่พอเซี่ยหลิงปี้เห็นเซี่ยหงเฉินเข้ามาก็เอ่ยกับเขาทันที

“เจ้าออกไปก่อน ข้ากับประมุขสำนักมีเรื่องจะคุยกัน”

เซี่ยหยวนซูกลอกตาทันที

หลังจากบาดเจ็บสาหัสในความฝันครั้งแรกเขาก็พักฟื้นอยู่หลายวัน บัดนี้เพิ่งจะลงจากเตียงได้ก็ทราบข่าวว่าบิดาป่วยหนัก

เขารุดมาอย่างเร่งรีบ แต่เซี่ยหลิงปี้ยังคงเป็นเช่นเดิม พอเห็นเซี่ยหงเฉิน สายตาก็มองไม่เห็นบุตรชายอย่างเขาอีก

เซี่ยหยวนซูแค่นเสียงคราหนึ่ง โชคดีที่เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เขาชินชาเสียแล้ว เพียงปรายตามองเซี่ยหงเฉินคราหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป

เซี่ยหงเฉินเดินไปยังข้างเตียง จ้องมองเซี่ยหลิงปี้บนเตียงจากตำแหน่งที่สูงกว่า

เซี่ยหลิงปี้ฝืนยิ้มอย่างทุกข์ตรม “ข้ามาถึงช่วงเวลาที่ตะเกียงหมดน้ำมันแล้ว ต่อไปสำนักเซียนคงได้แต่มอบให้เจ้าแล้ว”

เซี่ยหงเฉินคว้าข้อมือเขา เซี่ยหลิงปี้หมายจะขัดขืน แต่เซี่ยหงเฉินเพียงใช้ปราณแท้กระตุ้น บนข้อมือเขาก็ปรากฏไอดำทันที ไอดำนี้ผุดขึ้นมาจากรูขุมขนของเขา ตลอดทั้งร่างเขาแลดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง

“ท่านใช้ความแค้นเป็นอาหาร ฝึกวิชาในคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ!” สุ้มเสียงของเซี่ยหงเฉินยากจะปกปิดความตื่นตระหนกและความกรุ่นโกรธ “ท่านอาจารย์ ข้าผิดหวังจริงๆ”

เซี่ยหลิงปี้มิได้โต้แย้ง พอเซี่ยหงเฉินปล่อยมือ ข้อมือเขาก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง “ใช่แล้วอย่างไร เดิมทีจิตใจข้าไม่ยินยอม อยากจะฝืนสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตา แต่ท้ายที่สุดแล้วลิขิตสวรรค์ก็ยากจะฝ่าฝืน” เขาถอนหายใจแล้วพูดอีกว่า “ลิขิตสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน”

เซี่ยหงเฉินไม่เอ่ยปากอยู่เนิ่นนาน

คนตรงหน้าผู้นี้ทำร้ายหวงหร่าง เป็นไปได้ว่าเขายังทำร้ายเด็กๆ ที่บริสุทธิ์เหล่านั้นเพียงเพื่อจะฝึกวิชามารเช่นนี้ เขาใช้ความแค้นเป็นอาหาร เพิ่มพลังวัตรของตนเอง

เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “เป็นเพราะอาหร่างรู้เรื่องคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณ ดังนั้นจึงถูกท่านอาจารย์ทำร้ายใช่หรือไม่”

“ฮ่าๆ” เซี่ยหลิงปี้หัวเราะอย่างเสียดสี “นางชั้นต่ำผู้นั้นข้าอยากจะเอาชีวิตนางมานานแล้ว นางจะรู้ก็ดีหรือไม่รู้ก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นเพียงหินขวางทางก้อนหนึ่งของเจ้า เจ้าใจอ่อนเกินไป วันหน้าเมื่อข้าไม่อยู่ เจ้าต้องปกครองสำนัก มีนางชั้นต่ำผู้นั้นอยู่ข้างกายย่อมเป็นเภทภัย” เขาแค่เอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ก็หอบหายใจอย่างรุนแรง จึงต้องหยุดพักครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “กำจัดนางทิ้งเสีย ข้าถึงจะวางใจ”

เซี่ยหงเฉินไม่เอ่ยอะไรอยู่เนิ่นนาน

เมื่อครู่ฉิวไฉ่ลิ่งพูดถึงบุญคุณที่เซี่ยหลิงปี้มีต่อเขา

ทว่าสิ่งที่เขารู้เป็นเพียงขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัวเท่านั้น

“ข้าจำได้ว่าข้าพำนักอยู่ในตำหนักหลัวฝูมาตั้งแต่เล็ก เติบโตขึ้นมาข้างกายท่าน” เซี่ยหงเฉินพลันเอ่ยขึ้น

ทรวงอกของเซี่ยหลิงปี้สะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรงขณะพูด “เรื่องราวเก่าก่อนยังจะพูดถึงเพื่ออันใด”

เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “สมัยยังเด็กข้านอนเตียงเดียวกับท่าน ท่านมักจะนั่งขัดสมาธิฝึกวิชา ภายหลังเมื่อข้าเติบโตขึ้น ท่านก็ไล่ข้าไปพักในตำหนักข้าง ตกกลางคืนข้าหวาดกลัว แต่ไม่กล้ามาหาท่าน จึงได้แต่หลบอยู่หลังหน้าต่างห้องท่าน ดังนั้นท่านจึงไม่เคยดับไฟ ทั้งยังไม่ปิดหน้าต่าง”

เซี่ยหลิงปี้ไม่เอ่ยอะไร เขากุมหน้าอก แววตากลับเลื่อนลอยอยู่บ้าง

“กาลเวลาช่างไร้ความปรานี” เขาเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งด้วยท่าทีทอดถอนใจอย่างหาได้ยาก

เซี่ยหงเฉินกล่าวว่า “ข้ารู้มาตั้งแต่เล็กว่าพี่ใหญ่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะรังแกข้าอย่างไร ข้าล้วนอดทนและยอมอ่อนข้อให้เขาเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านใช้เถาวัลย์หนามโบยเขาหนึ่งร้อยที ท่านบอกว่าหากต่อไปข้ายังอ่อนข้อให้เขาอีก ท่านจะสังหารเขาเสีย เพราะด้วยความโอหังเอาแต่ใจของเขา ช้าเร็วย่อมต้องตายอยู่ดี”

“นับแต่นั้นมาเจ้าก็บังคับควบคุมเขาอย่างเข้มงวดขึ้นทุกวัน” เซี่ยหลิงปี้ยิ้มพลางเอ่ย “หลายปีมานี้หากไม่ได้เจ้า เขามีหรือจะอยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้”

เซี่ยหงเฉินกุมมือเขา เนิ่นนานหลังจากนั้นก็วาดยันต์คาถาชุดหนึ่งลงบนฝ่ามือเขา

เซี่ยหลิงปี้อึ้งงันไปเล็กน้อย ถามว่า “เจ้าทำอะไร”

เซี่ยหงเฉินแบมือขวา บนฝ่ามือเขาก็มียันต์คาถาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ทิศทางกลับด้านประหนึ่งส่องคันฉ่อง เขายื่นมือออกไปกุมประสานกับยันต์บนฝ่ามือของเซี่ยหลิงปี้

“ในเมื่อท่านอาจารย์ฝึกวิชาในคัมภีร์ปีศาจมารวิญญาณย่อมต้องรู้ว่าวิชานี้สามารถชิงร่างได้”

เซี่ยหลิงปี้นิ่งไปเล็กน้อย ชั่วเวลานี้แววเสียดสีในดวงตาเขาเลือนหายไป เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

“ข้าได้รับบุญคุณที่ท่านอาจารย์สอนสั่งเลี้ยงดูมา ไม่มีสิ่งอื่นใดจะตอบแทน ทว่า…ท่านอาจารย์ทำร้ายภรรยาข้า ข้าก็มิอาจนิ่งดูดายเช่นกัน บัดนี้ข้าขอใช้ร่างกายนี้ทดแทนบุญคุณของท่านอาจารย์” เขาเอ่ยแต่ละถ้อยคำอย่างสงบนิ่ง “นับแต่นี้ไปความสัมพันธ์ฉันอาจารย์กับศิษย์ระหว่างท่านกับข้าขาดสะบั้น เหลือไว้เพียงความแค้น”

ยันต์คาถาดึงดูดกัน ภายในตำหนักหลัวฝูแสงและหมอกตัดกันไปมา

เซี่ยหลิงปี้รู้สึกว่าดวงจิตสั่นสะเทือน ร่างกายเขาเหมือนขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ทั้งหดเล็กลงอย่างไม่สิ้นสุด ถูกยันต์คาถาดูดเข้าสู่ร่างกายของเซี่ยหงเฉิน

ในช่วงเวลาสุดท้ายเขาถามว่า “เซี่ยหงเฉิน เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่านี่อาจเป็นแผนการของข้า”

เซี่ยหงเฉินไม่ตอบอะไร

แต่เขาย่อมต้องเคยคิดอยู่แล้ว

วางแผนมาเนิ่นนาน ฝึกวิชามารเช่นนี้สามารถชิงร่างผู้อื่นได้พอดี มิใช่เรื่องแปลกมากหรือไร

ทว่าเขาไม่ได้ตอบ

ชั่วเวลานั้นเรื่องราวเก่าก่อนมากมายประหนึ่งหนามแหลมที่แทงย้อนกลับเข้าไปในเนื้อ เสียดผ่านผิวหนังของความทรงจำ เปิดเนื้อหนังออกมา เผยให้เห็นโลหิตชุ่มโชก

“เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง” ดวงจิตของเซี่ยหลิงปี้ถูกดูดเข้าไปในร่างกายเซี่ยหงเฉิน ยามเขาเอ่ยคำพูดอีกครั้งก็เป็นเสียงของเซี่ยหงเฉินแล้ว “ช่างโง่เขลาโดยแท้” เขาทอดถอนใจ “ข้าวางแผนมานานปี มีอุบายอีกนับไม่ถ้วนที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้ แต่เจ้ากลับมอบร่างกายตนเองให้ข้าเสียแล้ว”

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในกะโหลกศีรษะหายไปแล้ว

เซี่ยหลิงปี้จ้อง ‘ตนเอง’ ที่อยู่ตรงหน้า ที่แท้เขาแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว เขายื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของ ‘ตนเอง’ แต่เวลานี้ตัวเขาที่อยู่ตรงหน้าลืมตาขึ้น

‘ตนเอง’ ที่เส้นผมขาวโพลนลุกขึ้นยืน กิริยาท่าทางแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็จ้องมองเซี่ยหลิงปี้ที่อยู่ตรงข้าม เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้น

“ท่านจะสังหารข้าหรือไม่”

เซี่ยหลิงปี้ขยับร่างอ่อนเยาว์ร่างนี้ แม้เซี่ยหงเฉินจะอายุสามร้อยกว่าปีแล้ว ทว่าอายุเท่านี้ในสำนักเซียนนับว่าเป็นช่วงวัยฉกรรจ์

คนหนุ่มช่างดีจริงๆ อีกทั้งแก่นกระดูกของเขายังหาได้ยากยิ่ง

ร่างกายเช่นนี้เขายังมอบมันออกมาอย่างง่ายดาย ช่าง…ไร้เดียงสาจนน่าสงสาร

เซี่ยหลิงปี้จ้อง ‘ตนเอง’ ที่แก่ชราตรงหน้า พึมพำว่า “หงเฉิน เจ้าทำให้ข้ารู้สึก…ซาบซึ้งใจอยู่บ้างจริงๆ”

เขามิได้เอ่ยคำพูดนี้มานานแล้ว บัดนี้เมื่อพูดออกมายังรู้สึกไม่คุ้นเคย

ดังนั้นเขาจึงเงียบไปนาน หลายปีมานี้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจคอยดูแลเซี่ยหงเฉินทุกอย่าง เฝ้ามองเขาจากทารกตัวน้อยเติบโตขึ้นเป็นเซียนกระบี่อันดับหนึ่งผู้หยิ่งทะนงแห่งสำนักเซียน

ความทรงจำสามร้อยหกสิบปียาวนานเกินไป ต่อให้เป็นคนเลือดเย็นเพียงใดก็ยังมีเรื่องราวมากมายให้หวนระลึกถึง

“ข้าจะรักษาชีวิตของเจ้าไว้” เซี่ยหลิงปี้ก้มหน้าลง เนิ่นนานจึงคลี่ยิ้มเสียดสีอย่างชั่วร้าย “อย่างไรเสียเกรงว่านี่คงเป็น…ความซาบซึ้งใจครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้ของข้าแล้ว”

ชายชราที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยตรงหน้าไม่ตื่นตระหนกและไม่หวาดหวั่น

แล้วอย่างไรเล่า แม้กระทั่งร่างกายของตนเองยังมอบให้ได้ เขายังจะกลัวความตายอยู่อีกหรือ

เซี่ยหงเฉินสัมผัสกับความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนกะโหลกจะแตกของร่างกายนี้ พูดช้าๆ ว่า “ข้าหวังว่าความซาบซึ้งใจของท่านอาจารย์จะเป็นการใช้ร่างกายของข้าดำเนินชีวิตต่อไปให้ดี อย่าก่อกรรมทำชั่วอีก”

ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะดังลั่นของเซี่ยหลิงปี้

“อย่าก่อกรรมทำชั่วอีกหรือ” เซี่ยหลิงปี้หัวเราะเสร็จก็ถอนหายใจยาว “หงเฉิน เจ้าช่างโง่เขลาจนชวนให้คนเวทนายิ่ง”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ส.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: