บทที่ 13 ผิดหลักมัชฌิมา
“บ่าวไพร่?” ได้ยินเช่นนั้นสวี่ซื่อก็ตะลึงไปชั่วขณะ สีหน้าเคร่งขรึมจางหายไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล้ายหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก นางหันไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ “เจ้าสามอายุยังน้อย ไม่รู้ประสีประสา ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือสาเจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็หันไปทางเฉินอิ๋งอีกคราว เอ่ยปากด้วยสีหน้าจนใจ “เจ้าสาม คำพูดของพวกบ่าวไพร่หาเชื่อถือได้ไม่ คนชั้นต่ำมักเอ่ยวาจาเหลวไหล วันทั้งวันหามีเรื่องจริงอันใดหลุดออกจากปากไม่ เจ้าเองก็เหลือเกินจริงๆ แค่ได้ยินเสียงลมวูบหนึ่งก็พานเข้าใจว่าฝนจะตก ทำเอาป้าตกอกตกใจหมด”
“เดิมทีหลานเองก็ไม่เชื่อ” เฉินอิ๋งเอ่ยปากเห็นพ้องกับคำพูดของอีกฝ่าย ทว่าจู่ๆ ดวงตาสุกใสเป็นประกายคู่นั้นก็หันมองไปทางสวี่ซื่อ แฝงไว้ซึ่งความหมายลึกล้ำ “ทว่าการที่เซียงซานเซี่ยนจู่จู่ๆ ก็หันมาเล่นงานพวกเราเช่นนี้กลับทำให้หลานเปลี่ยนความคิด หลานคิดว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ของบ่าวไพร่เก่าแก่พวกนั้นหาใช่คำพูดโคมลอยไม่”
แต่ไหนแต่ไรจวนองค์หญิงใหญ่กับจวนเฉิงกั๋วกงก็น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง กัวย่วนกับเฉินจิ่นถึงจะไม่ลงรอยกันสักเท่าใดนัก แต่นั่นก็แค่เรื่องเด็กสาวดื้อรั้นหัวแข็งที่อยากเอาชนะคะคานกันก็เท่านั้น ไม่เคยกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองจวน
ทว่ายามนี้กัวย่วนกลับลงมือโหดเหี้ยมร้ายกาจ ไหนเลยจะยังเป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกๆ ของพวกเด็กสาวอีก
สวี่ซื่อใจเต้นระส่ำ จู่ๆ นางก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง นางนึกเป็นกังวลขึ้นมา “ลูกจิ่น…”
เพียงพูดออกมาสองคำ ไอเย็นก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งร่าง นางเนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม
กัวย่วนหันปลายกระบี่ใส่เฉินจิ่น หมายทำลายชื่อเสียงของนาง นั่นมิแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วหรือไรว่า…
“เชื่อว่าในวังย่อมต้องมีข่าวลือแพร่สะพัด” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ค่อยๆ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า
หากมิใช่เพราะได้ยินข่าว องค์หญิงใหญ่ไหนเลยจะยอมให้กัวย่วนลงมือกับเฉินจิ่น
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงค้อมกาย นั่งกลับลงบนเก้าอี้
บางทีด้วยไหวพริบปฏิภาณสายตากว้างไกลของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ เรื่องพวกนี้นางย่อมมองออกได้แต่แรก
“เจ้าทำได้ดีมาก” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พูดขึ้นอีกครั้งพลางหันมองไปทางเฉินอิ๋ง
สายตาคมกริบของนางหายไปแล้ว ที่เข้ามาแทนที่คือแววตาเมตตาชื่นชมยกย่อง
“เจ้าทำได้ดีมาก” นางพูดซ้ำอีกครา
คราวนี้สวี่ซื่อเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉินอิ๋งทำได้ดีจริงๆ
ตำแหน่งเฉิงกั๋วกงสืบทอดมาถึงยามนี้เพิ่งจะแค่สามชั่วคนเท่านั้น วันหน้ายังสืบทอดต่อไปได้อีกสองชั่วรุ่น รักษาความรุ่งโรจน์อีกหลายสิบปีไม่ใช่ปัญหา ทว่าอำนาจของกั๋วกงในเวลานี้กลับเติบใหญ่เกินไป ไม่ต้องพูดถึงกำลังทหารในมือ แม้แต่บุตรชายทั้งสี่ก็ยังเจริญก้าวหน้า
ซื่อจื่อเฉินซวินทำงานเป็นเสมียนอยู่ในกองบัญชาการทหารส่วนกลาง ฮ่องเต้มักทรงให้เขาปฏิบัติงานในตำแหน่งสำคัญ วันหน้าย่อมมีโอกาสได้ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการทหาร บุตรชายคนรองเฉินเซ่าเป็นบัณฑิตฝึกงานในสำนักราชบัณฑิต ก่อนหายตัวไปเคยขึ้นเป็นถึงผู้ช่วยเสนาบดีกรมอากร บุตรชายคนที่สามเฉินเหมี่ยนเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อสองป้ายประกาศ ยามนี้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนอยู่ที่ศาลยุติธรรม บุตรชายคนที่สี่เฉินลี่ เมื่อหลายปีก่อนสอบเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ช่วงนี้กำลังเตรียมตัวเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อในปีหน้า
จวนเฉิงกั๋วกงในเวลานี้ไม่ใช่จวนขุนนางที่มีความดีความชอบธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่หากมีสถานะเป็นถึงครอบครัวตระกูลขุนนาง หนำซ้ำยังเป็นครอบครัวขุนนางที่มีกำลังทหารอยู่ในกำมือ
สถานการณ์เช่นนี้คิดจะเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาย่อมเป็นไปได้ยาก หากบอกว่าฮ่องเต้ตั้งพระทัยที่จะพระราชทานตำแหน่งพระชายาเอกในองค์รัชทายาทให้ บางทีนั่นอาจเพราะต้องการสร้างสายสัมพันธ์
“เรื่องนี้จวนกั๋วกงมิได้นึกสนใจ” สวี่ซื่อสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย น้ำเสียงกลับกลายจริงจัง “อีกอย่างพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเลียแข้งเลียขาเช่นนั้น ตาสุนัขมองคนต่ำโดยแท้”
“ถึงพวกเราจะคิดเช่นนี้ แต่ผู้อื่นก็ใช่ว่าจะคิดแบบเดียวกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “จวนกั๋วกงของพวกเรานั้นไม่รู้มีสายตาจับจ้องอยู่กี่มากน้อย”
สวี่ซื่อพยักหน้ารับก่อนจะหันหน้าไปทางเฉินอิ๋ง นางพูดออกมาด้วยน้ำใสใจจริง “เด็กดี โชคดีที่วันนี้มีเจ้าอยู่ หากไม่ใช่เพราะเจ้าพูดเช่นนั้นต่อพระพักตร์องค์หญิงใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเข้าใจว่าสกุลเฉินของพวกเราเป็นเช่นไร” พูดๆ ไปขอบตานางก็แดงก่ำ สวี่ซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้ากดซับหางตา “น่าสงสารก็แต่ลูกจิ่น จู่ๆ ก็ต้องพบกับเรื่องร้ายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้”
ฮ่องเต้หยวนจยาทรงเป็นบุตรกตัญญู ถึงจะไม่ใช่บุตรในอุทรของเซียวไทเฮา ทว่านับแต่ทรงขึ้นครองบัลลังก์จวบจนทุกวันนี้ เซียวไทเฮาก็ทรงช่วยเหลือพระองค์อยู่ไม่ใช่น้อย ความรู้สึกระหว่างบุตรมารดาคู่นี้เรียกได้ว่าลึกล้ำไม่ธรรมดา
ไม่ว่าฮ่องเต้หยวนจยาจะมีพระราชหฤทัยหมายหยั่งเชิงหรือทรงมีเจตนาเช่นนั้นจริง จวนกั๋วกงก็ไม่ควรแสดงท่าทีชัดแจ้ง
เฉินอิ๋งวันนี้แม้จะเห็นชัดว่าที่นางล่วงเกินคือองค์หญิงใหญ่ แต่อีกนัยนางกำลังล่วงเกินเซียวไทเฮาอยู่ เชื่อว่าหากฮ่องเต้หยวนจยาทอดพระเนตรเห็นก็ต้องครุ่นคิดพิจารณาแล้วพิจารณาอีกเช่นกัน
“สกุลเฉินของพวกเราเป็นก็แต่ขุนนางสัตย์ซื่อ” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
จวนเฉิงกั๋วกงไม่เคยมีใจคิดอิงแอบผู้ใด และยิ่งไม่เคยคิดยืมอำนาจฮ่องเต้ขยายอำนาจ เจตนารมณ์นี้เฉินอิ๋งได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดแล้ว
“เพียงแต่…ไม่ว่าเช่นไรองค์หญิงใหญ่ก็เป็นพระขนิษฐาเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้ พวกเราล่วงเกินนางเข้าแล้ว” สวี่ซื่อบอก
นางเช็ดน้ำตาเรียบร้อย กำลังขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล “ไทเฮาทรงลำเอียงเข้าข้างองค์หญิงใหญ่มาโดยตลอด ถึงเรื่องนี้พวกเราไม่ใช่คนก่อเรื่อง แต่อย่างไรพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ก็ถูกเจ้าสามฉีกไปแล้ว ไทเฮาอย่างไรก็ต้องทรงกล่าวโทษพวกเราแน่ ถึงตอนนั้นอย่างน้อยก็ต้องเข้าวังไปทูลขอพระราชทานอภัยให้ทรงหายกริ้ว”
นางพูดพลางถอนหายใจ สายตาคล้ายจะกวาดมองไปทางเฉินอิ๋ง “เจ้าสาม เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี เรื่องทางจวนองค์หญิงใหญ่เกรงว่าคงมีแต่ต้องให้เจ้าออกหน้าถึงจะพอประนีประนอมได้”
คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรคงเลี่ยงไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องคัดเลือกพระชายาเอกขององค์รัชทายาท เฉินอิ๋งเป็นฝ่ายเสียมารยาทก่อนจริงๆ
สวี่ซื่อพูดจบได้ไม่ทันไรฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็จ้องดูนางพลางเอ่ยปากถาม “เจ้ามากด้วยประสบการณ์ รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเจ้าสามถึงทำอะไรเฉียบขาดเช่นนั้น”
สวี่ซื่อตะลึงไปชั่วขณะ นางตอบน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าสามทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการแสดงทัศนคติของจวนกั๋วกงของพวกเราให้เป็นที่ประจักษ์ เพียงแต่วิธีการออกจะรุนแรงเกินไปหน่อย เรื่องนี้ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมีคำตอบให้ทางจวนองค์หญิงใหญ่ หาไม่แล้วพวกเขาย่อมคิดว่าพวกเรากำเริบเสิบสานยิ่ง”
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่จ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง แววตาผิดหวังจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นางหันไปหาเฉินอิ๋ง “เจ้าสาม ไหนเจ้าลองว่ามา”
เฉินอิ๋งรับคำพลางลุกขึ้นเอ่ยปากอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะท่านย่า”
พูดจบนางก็มองไปทางสวี่ซื่อ น้ำเสียงสงบนิ่งมาก “ท่านป้าใหญ่ ทางองค์หญิงใหญ่พวกเราไม่อาจอ่อนข้อให้ได้ ไม่เพื่ออื่นใด แค่เพื่อชื่อเสียงของพี่ใหญ่ จวนกั๋วกงไม่ว่าเช่นไรก็ต้องแข็งขืนให้ถึงที่สุด”
สวี่ซื่อสำลัก เดือดดาลขึ้นมาทันควัน บ้านรองหมายออกหน้า เรื่องนี้นางไม่มีความคิดเห็น แต่พวกเขาไม่ควรเหยียบหน้าบ้านใหญ่ และยิ่งไม่ควรเอาชื่อเสียงของเฉินจิ่นมาเป็นเดิมพัน
“เจ้าสาม เจ้าพูดเช่นนั้นหาได้ไม่” นางรีบเอ่ยปาก ใบหน้าละมุนละไมยังคงสงบนิ่ง เสมือนไม่คิดชิงดีชิงเด่นกับผู้ใด “ครั้งนี้เจ้าช่วยลูกจิ่นไว้ไม่น้อย น้ำใจของเจ้าป้าย่อมต้องซาบซึ้ง ป้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี แต่ถึงอย่างไรป้าก็ต้องตำหนิเจ้า คำพูดของเจ้าพวกนั้นออกจะเกินเลยอยู่สักหน่อย ถ้อยคำอันใดล้วนไม่น่าฟัง การแสดงออกของเจ้าในวันนี้ไม่เพียงเสียมารยาท หากยังทำลายเกียรติยศของจวนกั๋วกงของพวกเรา สตรีเรือนในที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกอย่างพวกเราล้วนมีวิธีพูดจา ไหนเลยจะโผงผางตรงไปตรงมาเช่นเจ้า ถึงจะบอกว่าเจ้าปรารถนาดี แต่ความปรารถนาดีกลับนำมาซึ่งเรื่องร้าย วาจาท่าทางสุดโต่ง ผิดหลักมัชฌิมา”
สมแล้วที่มาจากตระกูลขุนนาง เปิดปากปิดปากล้วนเส้นทางสายกลางของอริยะ วาจาที่กล่าวแม้จะนุ่มนวลทว่ากลับแฝงไว้ซึ่งความหมายลึกล้ำ
บทที่ 14 ไหนเลยจะยอมเลอะเลือน
“ดูท่าท่านป้าใหญ่คงยังไม่เข้าใจสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล” เฉินอิ๋งพูดจาไม่มีเกรงใจ และยิ่งไม่เอ่ยวาจาเลอะเลือนเพียงเพราะฐานะอาวุโสของอีกฝ่าย “ทุกสิ่งที่เรียกว่ามัชฌิมานั้นต้องมิใช่ไม่รู้จักแยกแยะอะไรขาวอะไรดำ และยิ่งต้องไม่กลับผิดเป็นถูก ไม่ทราบว่าท่านป้าใหญ่สังเกตเห็นหรือไม่ องค์หญิงใหญ่หลังเสด็จเข้ามาในเรือนรับรอง พระองค์ก็ไม่รับสั่งถึงเรื่องเซียงซานเซี่ยนจู่ปรักปรำพี่ใหญ่แม้แต่น้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบทรงทำแค่เพียงตรัสออกมาลอยๆ ว่าเป็น ‘เรื่องเหลวไหลของพวกเด็กๆ’ คำขออภัยใดๆ ล้วนอาศัยแค่คำว่าเซี่ยนจู่ ‘ใจร้อนบุ่มบ่าม’ ไม่มีทีท่าจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงให้พี่ใหญ่แม้แต่น้อย”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เพลิงโทสะในใจของสวี่ซื่อก็ลุกพึ่บ นางโกรธจัดแล้ว
เฉินอิ๋งยามอยู่บ้านพูดจาน้อยมาก ขนาดธรรมเนียมเยี่ยมเยือนฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ยังเรือนหมิงหย่วนที่จัดขึ้นทุกๆ สิบวันนางเองก็แทบไม่ปริปากอันใด ด้วยเหตุนี้สวี่ซื่อจึงรู้สึกว่านางเป็นเพียงเด็กขี้ขลาดไม่ค่อยพูดค่อยจาผู้หนึ่งเท่านั้น ทว่ายามนี้ถ้อยคำของนางล้วนไม่มีทีท่าเกรงอกเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเพราะเห็นผลประโยชน์เป็นหลัก ถึงกับยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
สวี่ซื่อรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าดรุณีน้อยนางนี้น่ารังเกียจยิ่งนัก
ถึงจะต่ำช้าเช่นไรก็ไม่อาจใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ มีฐานะเป็นถึงคุณหนู เหตุใดถึงพร่ำฉุดลากชื่อเสียงของพี่น้องไม่หยุดปากเยี่ยงนี้ แค่ช่วยเหลือลูกจิ่นนิดๆ หน่อยๆ ก็ดัดเสียงข่มขู่ชาวบ้านแล้ว คิดว่าคนของบ้านใหญ่รังแกกันได้ง่ายๆ หรือไรกัน
อีกอย่างคนของบ้านใหญ่ไหนเลยจะต้องให้บ้านรองยื่นมือช่วยเหลือ น่าขันนัก!
ปะทะกันตรงๆ จัดเป็นวิธีที่บุ่มบ่ามที่สุด กลยุทธ์ล้ำเลิศคือการลอบลงมือเล่นงานอีกฝ่ายหนักหน่วงรุนแรงโดยแลดูเหมือนรักใคร่กลมเกลียวไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ให้กัวย่วนต้องเป็นฝ่ายขาดทุนย่อยยับ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเปรื่องปราดเหนือชั้น
การชิงดีชิงเด่นกันภายในเรือนในความละมุนละม่อมเป็นสิ่งจำเป็น หาไม่แล้วหากทุกคนเอาแต่ฉีกหน้ากันและกัน เช่นนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
กึก!
เสียงวางถ้วยชาดังขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ซื่อจางลง นางหันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ ไม่แม้แต่จะมองเฉินอิ๋ง “ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือสา เจ้าสามอายุยังน้อยจึงหุนหันพลันแล่น ได้ออกไปคบค้าสมาคมกับผู้คนภายนอกเพียงไม่กี่ครั้ง จึงไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดอันใด ไว้ผ่านพ้นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ไปก่อน ถึงตอนนั้นนางย่อมรู้จักหนักเบาเร็วช้า ส่วนข้าก็จะคอยช่วยชี้แนะนางอีกแรงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไม่ได้ปริปากอันใด ทำเพียงจ้องดูเฉินอิ๋ง ความหมายคือให้นางพูดต่อไป
เฉินอิ๋งเอ่ยปาก “ท่านป้าใหญ่ เรื่องนี้มีหนทางประนีประนอมหรือไม่ ท่านน่าจะรู้ดีกว่าหลาน”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งพูดช้าลง “ขอท่านป้าใหญ่ทำใจให้สงบ ลองไตร่ตรองทบทวนถึงคำพูดท่าทีขององค์หญิงใหญ่ที่มีต่อเรื่องนี้ให้ดี หลังจากนั้นค่อยลองพิจารณาดูโดยละเอียดอีกครั้ง หากหลังพวกเรากลับมา หลานยังไม่อาจสรุปสำนวนเรื่องนี้ ไม่บีบคั้นเซียงซานเซี่ยนจู่จนลนลาน ท่านป้าใหญ่คิดว่าองค์หญิงใหญ่จะทรงอนุญาตให้หลานซักถามเถาจือต่อหรือไม่ พูดให้เข้าใจก็คือท่านป้าใหญ่คิดว่าองค์หญิงใหญ่จะเปิดโอกาสให้หลานได้มีโอกาสตรวจสอบค้นหาความจริงกระนั้นหรือ”
สวี่ซื่อตะลึงลานเล็กๆ
ไม่รอให้นางได้เอ่ยปาก เฉินอิ๋งก็พูดต่อ “องค์หญิงใหญ่ทรงทำเป็นพูดจาเลอะเลือน นั่นก็เพราะต้องการให้เรื่องวันนี้ผ่านเลยไปเงียบๆ…”
“แล้วเช่นนั้นมันไม่ดีตรงที่ใด” สวี่ซื่อรีบเอ่ยปากตัดบทเฉินอิ๋ง
ยามนี้นางไม่อาจรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้อีกแล้ว ถูกเด็กรุ่นหลังถามท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็เริ่มรักษาหน้าไว้ไม่อยู่ ดังนั้นน้ำเสียงจึงกลับกลายแข็งขืนตามไปด้วย
“เพราะเช่นนี้ป้าถึงได้บอกว่าเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าสาม พวกเราคบค้าสมาคมกับผู้คน เรื่องราวต่างๆ มากมายมิใช่ล้วนแต่เป็นเช่นนี้” ยิ่งพูดน้ำเสียงของนางก็ยิ่งสูง คล้ายลืมท่วงท่ายามปกติไปหมดสิ้น “คนเราสถานะเช่นไรก็พูดจาเช่นนั้น เรื่องราวอยุติธรรมบางอย่างจำต้องรู้จักกล้ำกลืนเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยหาวิธีจัดการอย่างลับๆ ไม่อาจบุ่มบ่ามอย่างที่เจ้าทำ หากทำเช่นนั้นพวกเราจะต่างอะไรกับสตรีปาก…ที่ทะเลาะกับชาวบ้านอยู่ที่ข้างถนน ชนชั้นสูงมิใช่สูงส่งกว่าผู้อื่นด้วยเพราะเหตุนี้หรือไร”
ไม่เพียงแค่น้ำเสียงเท่านั้นที่แข็งขืน แม้แต่คำพูดยังรุนแรง จนแม้แต่คำว่า ‘สตรีปากตลาด’ ก็ยังเกือบหลุดปากพูดออกมา
เฉินอิ๋งรู้สึกอับจน
สวี่ซื่อเกิดมาในครอบครัวขุนนาง อีกทั้งยังเป็นฮูหยินของซื่อจื่อจวนกั๋วกง ถือดีเรื่องชาติกำเนิด หยิ่งยโสในสถานะของตนมาแต่ไหนแต่ไร และยิ่งเชื่อมั่นในวิธีการของคนที่อยู่ในเรือนในของตน ครั้นได้ยินคำพูดเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็นึกได้เพียงคำพูดที่ว่า ‘มรรคาแตกต่าง คนมิอาจร่วมทาง’
นางมองไปทางสวี่ซื่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ท่านป้าใหญ่ ที่พี่ใหญ่ต้องแบกรับคือโทษฐานลักขโมย เรื่องเช่นนี้ไหนเลยจะควรทำตัวเลอะเลือน ควรอะลุ้มอล่วย ยอมจัดการกันลับๆ กัน”
นางถามทีเดียวสามคราวติด ไม่รอให้สวี่ซื่อตอบเฉินอิ๋งก็รีบกล่าวต่ออีกว่า “หากไม่อาจกอบกู้ชื่อเสียงพี่ใหญ่ให้เป็นที่กระจ่างแจ้ง เรื่องราวในวันนี้จริงอยู่ว่าอาจผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น บางทีวันหน้าท่านอาจวางแผนเล่นงานเซียงซานเซี่ยนจู่ได้ ทว่าต่อให้เล่นงานเซียงซานเซี่ยนจู่ได้สำเร็จ ทำนางแพ้พ่ายชื่อเสียงย่อยยับ มลทินบนตัวพี่ใหญ่ก็ใช่ว่าจะสามารถชำระล้างได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพี่ใหญ่ถูกเซียงซานเซี่ยนจู่กล่าวหาว่าเป็นขโมย จวนกั๋วกงกลับยังคงรักใคร่กลมเกลียวอยู่กับจวนองค์หญิงใหญ่ หนำซ้ำยังแอบใช้วิธีลับๆ ล่อๆ ล้างแค้นเอาคืน นั่นหมายความว่าอะไร หรือว่ามิใช่กำลังบอกว่าจวนกั๋วกงเป็นพวกไร้เหตุผล พี่ใหญ่ไร้ซึ่งคุณธรรม?”
สวี่ซื่อตะลึงลาน ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยุ้มแน่น นางไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้จริงๆ
“ดังนั้นหลานถึงได้บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางประนีประนอม” เฉินอิ๋งพูดต่อ น้ำเสียงมิได้ดุเดือดรุนแรง ดวงตาที่จับจ้องมาทางสวี่ซื่อใสกระจ่างดุจน้ำ “ดำก็คือดำ ขาวก็คือขาว พี่ใหญ่ไม่ใช่ขโมย เซียงซานเซี่ยนจู่ปรักปรำใส่ร้ายนาง เรื่องนี้นับแต่เริ่มก็ไม่อาจยอมความกันได้ ต่อให้วันนี้ไม่ล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ รอจนองค์รัชทายาทเลือกพระชายาเอกเสร็จสิ้น องค์หญิงใหญ่ก็ยังคงขุดเรื่องนี้ขึ้นมาทำลายชื่อเสียงของพี่ใหญ่อยู่ดี ถึงตอนนั้นจวนกั๋วกงคิดช่วยเหลือก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว และจวนกั๋วกงกับจวนองค์หญิงใหญ่ก็ยังคงเป็นศัตรูกันอยู่วันยังค่ำ”
สวี่ซื่อครุ่นคิดไตร่ตรองถึงคำพูดดังกล่าว จู่ๆ แผ่นหลังก็มีเม็ดเหงื่อเล็กละเอียดผุดพราย
เฉินอิ๋งยังพูดไม่จบ ทว่าสวี่ซื่อแต่ไหนแต่ไรก็มิได้โง่งม นางเข้าใจได้แล้ว
หากหลังจากวันนี้จวนกั๋วกงเดินทางไปทูลขออภัยองค์หญิงใหญ่ถึงที่ คนอื่นๆ จะคิดเช่นไร จุดยืนของจวนกั๋วกงเล่าจะเป็นเช่นไร
ทว่าหากเรื่องนี้ไม่อาจประนีประนอมยอมความ หรือว่าพวกนางจะต้องแข็งกร้าวเช่นนี้ไปจนสุดทางจริงๆ
อีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ เป็นพระขนิษฐาเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ใช่พระขนิษฐาร่วมบิดามารดร แต่อย่างไรก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ไหนเลยจะล่วงเกินกันได้ง่ายๆ
“องค์หญิงใหญ่ไม่ยินดีลงมือเล่นงานจวนกั๋วกงก่อน นั่นก็เพราะทำเช่นนั้นย่อมเป็นการประกาศศึกกับจวนกั๋วกงซึ่งหน้า อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับท่วงทำนอง ‘รุกเก้าเหลือหนึ่ง’ ของราชสำนัก ขัดกับความปรารถนาเดิมของนาง ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงพาผู้อาวุโสทั้งหมดไป ปล่อยให้เซียงซานเซี่ยนจู่คุมสถานการณ์เพียงลำพัง” เฉินอิ๋งวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อ
“เซียงซานเซี่ยนจู่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีชั้นยศ มีนางกดทับอยู่ที่นั่น ผู้ใดเล่าจะกล้าข้ามหน้านางไป และเมื่อนางออกหน้า ไม่ว่าเช่นไรก็ย่อมต้องมีหนทางพลิกแพลงกอบกู้สถานการณ์ หากแผนการสำเร็จลุล่วง องค์หญิงใหญ่ย่อมบรรลุสมดังใจปรารถนา ต่อให้ล้มเหลวนางก็ยังสามารถอ้างเหตุผลขายผ้าเอาหน้ารอดบอกว่า ‘เด็กๆ ล้อเล่นกัน’ หนำซ้ำยังคงวางตนอยู่นอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นไร จวนกั๋วกงก็ยังคงแปดเปื้อนอยู่ดี แผนการนี้องค์หญิงใหญ่แทบเรียกได้ว่าไม่มีจุดให้แพ้พ่าย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เฉินอิ๋งก็หยุดลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากสรุป “เรื่องในครั้งนี้ไม่ใช่ศัตรูตายก็ข้าม้วย นอกจากบุกทะลวงออกไปตรงๆ แล้วก็ไม่มีหนทางอื่น ดังนั้นหลานถึงได้เลือกปะทะกับองค์หญิงใหญ่ซึ่งหน้า หนึ่งก็เพื่อให้ความจริงปรากฏ สองก็เพื่อแสดงถึงจุดยืนของจวนกั๋วกงของพวกเรา”
บทที่ 15 สกุลหวังในตำนาน
สวี่ซื่อจ้องเฉินอิ๋งไม่วางตา ในใจไม่นึกปลาบปลื้ม มีก็แต่ความรู้สึกหวาดประหวั่น
หากนางจำไม่ผิด เฉินอิ๋งปีนี้เพิ่งสิบสามปีบริบูรณ์เท่านั้น
เหตุใดเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เด็กสาวอายุสิบสามอย่างนางถึงสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งเยี่ยงนี้ เทียบกับตนเองแล้ว เฉินอิ๋งสมควรเป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือไรกัน
“คำพูดนี้จะว่าไปก็ถูก” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พยักหน้าช้าๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งถอนหายใจเงียบๆ แผ่นหลังเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย
นางนึกเป็นกังวล กล่อมคนแซ่สวี่ผู้หนึ่งเหนื่อยกว่าสอบสวนเถาจือร้อยคน
ในห้องเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ซื่อนั่งอยู่บนที่นั่งพยักหน้าไปทางฮูหยินผู้เฒ่า “ความหมายของฮูหยินผู้เฒ่า ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าจะพูดเช่นไรอย่างไรนางก็เป็นผู้อาวุโสของเฉินอิ๋ง วาจายอมรับความพ่ายแพ้นั้นนางมีแต่จะกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เท่านั้น
“วันนี้เจ้าสามทำได้ดีจริงๆ ป้าดีใจยิ่งนัก” นางหันมายิ้มให้เฉินอิ๋ง ใบหน้านุ่มนวลอ่อนโยนไม่ปรากฏร่องรอยความไม่พึงพอใจใดๆ รอยยิ้มของนางงดงามไร้ตำหนิ
เฉินอิ๋งลุกกล่าวขอบคุณออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
สวี่ซื่อแม้จะไม่ขาดเล่ห์เหลี่ยมของคนในเรือนใน แต่ก็ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญสักเท่าใดนัก ยังขาดสายตาอันกว้างไกลในการมองสภาพการณ์โดยรวมอยู่เล็กน้อย ต่างกับองค์หญิงใหญ่ที่เติบใหญ่มาพร้อมกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน การมองโลกจึงกว้างไกลเหนือกว่าสวี่ซื่อมากโข ถึงเฉินอิ๋งจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงทรงคิดมีเรื่องบาดหมางกับจวนกั๋วกง แต่หากว่ากันจากบางแง่มุม นางย่อมเข้าใจถึงวิธีการของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
จวนกั๋วกงในเวลานี้เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับไฟแรงต้มน้ำมัน บุปผาประดับแพรปัก จวนองค์หญิงใหญ่กลับเป็นเพียงครึ่งพระญาติฝ่ายนอก ที่หมายขีดเส้นคั่นกับจวนกั๋วกงย่อมไม่พ้นเพราะต้องการปกป้องตนเอง และด้วยเพราะเหตุนี้ ครั้นเซียงซานเซี่ยนจู่ลงมือ เฉินอิ๋งก็รู้ได้ทันทีว่าต่อให้ไม่ใช่เรื่องนี้ อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะใช้วิธีการอื่นอยู่ดี ไม่มีทางประนีประนอมอันใดได้
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าสามแท้แล้วจะฉลาดเฉลียวเยี่ยงนี้” สวี่ซื่อพูดทอดถอนใจเล็กๆ น้ำเสียงฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ท่านป้าใหญ่ชมเกินไปแล้ว” เฉินอิ๋งตอบกลับราวกับถูกตั้งค่าไว้ให้ตอบเช่นนั้น หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งนางก็พูดขึ้นอีก “อันที่จริงท่านป้าใหญ่เองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไปนัก หากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย อีกสองสามวันไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ก็จะไม่มีเวลาสนใจพวกเราแล้ว”
“เอ๋? เพราะเหตุใดกัน” สวี่ซื่อเอ่ยถาม
เฉินอิ๋งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบออกมาตามตรง
“วันนี้หลานกับคุณหนูสกุลหวังพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง” นางพูดสีหน้างามสง่า “คุณหนูสกุลหวังทั้งสองแอบบอกกับหลานว่าองค์หญิงใหญ่ทรงละเมิดกฎบัญญัติอีกแล้ว”
สวี่ซื่อประหลาดใจเล็กๆ “สกุลหวัง? ที่เจ้าพูดถึงคือ…สกุลหวัง ‘ผู้นั้น’?”
“คือสกุลหวังผู้นั้น” เฉินอิ๋งพยักหน้ามั่นอกมั่นใจ “หลานกับคุณหนูหวังทั้งสองสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เรื่องในวันนี้พวกนางเองก็ช่วยหลานไว้ไม่น้อย สาวใช้ข้างกายเซียงซานเซี่ยนจู่ที่ชื่อเส่าหงก็ได้สาวใช้สกุลหวังช่วยรั้งตัวไว้”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้นต่อ “ตอนเถาจือขุดหลุมพรางเล่นงานพี่ใหญ่ เพราะหลานสังเกตเห็นเกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อนางถึงได้นึกสงสัย ดังนั้นเลยขอให้คุณหนูหวังสองพี่น้องช่วยเหลือ รวบรวมคำให้การรวมถึงวาดแผนที่ให้ หากไม่มีพวกนางช่วยเหลือ แค่หลานเพียงผู้เดียวไหนเลยจะเปิดโปงเถาจือได้รวดเร็วเช่นนั้น”
คราวนี้สวี่ซื่อตกใจขึ้นมาจริงๆ แม้แต่บนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ยังปรากฏริ้วรอยประหลาดใจขึ้นหลายรอย
คำพูดของเฉินอิ๋งนี้เข้าใจได้ไม่ยาก นางกับสองคุณหนูสกุลหวังทั้งสองไม่เพียงรู้จักมักคุ้น หากยังมีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดี หาไม่แล้วผู้อื่นไหนเลยจะยอมลงมือลงแรงช่วยเหลือเพียงนั้น
“เรื่องนี้…นึกไม่ถึงเลยจริงๆ” สวี่ซื่อพึมพำแผ่วเบา ใบหน้าแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกไม่อาจนึกเชื่ออยู่หลายส่วน
สกุลหวังจัดเป็นหนึ่งในตำนานแห่งเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของขุนนางปัญญาชนตกอับแห่งราชสำนักต้าฉู่
นายท่านสกุลหวังแซ่หวังชื่อเอ้อร์ปา ชื่อของเขาไม่เพียงไม่งามสง่าหากยังน่าขัน อีกทั้งยังทำงานชั้นต่ำเป็นคนเชือดหมู
ถึงในราชสำนักต้าฉู่เขาจะมีฐานะเป็นชนชั้นล่าง แต่นายท่านสกุลหวังกลับมีอภิชาตบุตรถึงสองคน คนหนึ่งชื่อหวังจั่ว อีกคนชื่อหวังโย่ว เพราะต่อมาพวกเขาสอบเป็นซิ่วไฉได้พร้อมกัน ภายใต้การชี้แนะของผู้เป็นอาจารย์พวกเขาได้เปลี่ยนชื่อเป็นหวังจั่ว กับหวังโย่ว ว่ากันว่ายามนั้นนายท่านสกุลหวังเดือดดาลยิ่งยวด
ชื่อของสองพี่น้องแม้จะพิลึกพิลั่นแต่พวกเขาก็ล้วนเป็นผู้มีความสามารถฉลาดเฉลียวเกินคน มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย หนำซ้ำยังได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่ง ผ่านการสอบระดับสูงได้เป็นจิ้นซื่อระดับสอง ทำให้สกุลหวังที่เป็นครอบครัวคนเชือดหมูสามชั่วรุ่นหลุดพ้นจากการเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป
ว่ากันตามหลักแล้ว บทสรุปของเรื่องนี้น่าจะเป็นนายท่านสกุลหวังตามบุตรชายเข้ามาเสวยสุขในวังหลวง ใช้ชีวิตแบบที่เรียกว่าสวมเสื้อเพียงยื่นมือ กินข้าวแค่อ้าปากนับแต่นั้น ทว่าชายชรากลับมีนิสัยแปลกประหลาด ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ยอมโยนมีดเชือดหมูเล่มนั้นทิ้ง ไม่เพียงไม่ติดตามลูกชายเข้าเมืองหลวง หนำซ้ำยังคงอยู่ในชนบทรับจ้างฆ่าหมูเช่นเดิม
พอเห็นผู้เป็นบิดาดื้อรั้นเช่นนั้น สองพี่น้องสกุลหวังก็จนปัญญา หลายครั้งที่ไปอ้อนวอนขอร้อง แต่ไม่ว่าเช่นไรผู้เป็นบิดาก็ไม่ยอมตกลงรับปาก กว่าจะยอมไปบ้านของบุตรชายสักครั้งก็ไม่ใช่ง่าย แต่เขากลับเอาแต่เหน็บมีดเชือดหมูเดินไปมา หนำซ้ำยังไปกินเนื้อดื่มสุราอยู่กับพวกบ่าวไพร่ โดยเฉพาะคนครัว ไม่มีทีท่าเหมือนคนเป็นนายท่านแม้แต่น้อย
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น สองพี่น้องสกุลหวังก็ยังคงกตัญญูต่อผู้เป็นบิดาอย่างที่สุด
แม้จะตกพุ่มม่ายมานาน แต่นายท่านสกุลหวังกลับยืนกรานไม่ยอมแต่งภรรยาใหม่ ด้วยเพราะกลัวจะพาภรรยาใหม่มารังแกลูกชายทั้งสอง ดังนั้นจึงคอยทำตัวเป็นทั้งบิดามารดาเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองจนเติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ความผูกพันระหว่างพ่อลูกจึงแน่นแฟ้นมากเป็นพิเศษ ต่อให้นายท่านสกุลหวังทำเรื่องไม่อยู่กับร่องกับรอยอันใด ขอเพียงยอมอยู่ในเมืองเซิ่งจิง สองพี่น้องสกุลหวังล้วนยินดีปรีดายิ่ง แล้วมีหรือจะไปก้าวก่ายชีวิตของผู้เป็นบิดา
บางทีอาจเพราะสืบทอดความ ‘ไม่เหมือนใคร’ มาจากผู้เป็นบิดา สองพี่น้องสกุลหวังจึงทำอะไรนอกเหนือความคิดอ่านของผู้คนอยู่เป็นประจำ เป็นตัวประหลาดของราชสำนัก บุตรชายคนโตหวังจั่วเป็นรองหัวหน้ากองพิธีบวงสรวง ถึงตำแหน่งจะไม่สูง แต่กลับไต่เต้าขึ้นมาจากข้าหลวงตรวจสอบหกกรม สมญานาม ‘เนื้อเหนียว’ พูดให้น่าฟังหน่อยคือเป็นคนนอกกลมในเหลี่ยม หากจะพูดให้ไม่น่าฟังก็ต้องบอกว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์แสนกล ยากจะรับมือด้วย ว่ากันว่าขนาดอำมาตย์บางคนก็ยังเกรงกลัวเขา ส่วนน้องรองหวังโย่วนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เพียงเป็นผู้ตรวจการ อีกทั้งยังเป็นพวกบนขึ้นได้ถึงสวรรค์ ล่างลงถึงสมุทร กลางยังสามารถเข้าถึงฮ่องเต้ สมญาทั่วหล้าไม่มีคนที่ไม่กล้าเข้าพบ
คุณหนูสกุลหวังที่เฉินอิ๋งกล่าวถึง คนหนึ่งคือบุตรีของหวังจั่ว ชื่อหวังหมิ่นเจิน อีกคนเป็นบุตรีของหวังโย่ว ชื่อหวังหมิ่นจือ
เพราะหวังโย่วล่วงเกินคนมากเกินไป หวังจั่วเองก็เข้าถึงได้ยาก ดังนั้นท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลาย คุณหนูทั้งสองจึงไม่มีมิตรสหายอันใด ทันทีที่เห็นพวกนาง คุณหนูทั้งหลายก็ต่างพากันหลบลี้หนีหน้า แต่เฉินอิ๋งยามนี้กลับบอกว่านางกับคุณหนูทั้งสองเป็นสหายสนิท เรื่องนี้ย่อมสร้างความประหลาดใจให้กับสวี่ซื่อไม่ใช่น้อย
“เจ้ากับพวกนางสนิทสนมกันมากอย่างนั้นหรือ” สวี่ซื่อถามด้วยสีหน้าไม่ปกตินัก
สองพี่น้องสกุลหวังแม้จะอายุยังน้อย แต่กลับเป็นขุนนางคนสำคัญ หากบอกว่าฮ่องเต้หยวนจยาไม่มีพระราชประสงค์จะเลื่อนขั้นพวกเขาไหนเลยจะมีใครยอมเชื่อ สกุลสวี่คราวนี้ตั้งใจมุ่งมั่นจะช่วงชิงตำแหน่งอำมาตย์ หากสามารถคบค้ากับสกุลหวังได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
พอได้ยินเช่นนั้นมุมปากของเฉินอิ๋งก็ยกเชิด “หลานกับพวกนางไม่อาจนับว่าสนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษ ทว่าทุกครั้งเวลาพบหน้าค่าตากันก็มักพูดคุยกันสองสามประโยคเสมอ คงบอกได้เพียงว่าพอพูดคุยกันได้ก็เท่านั้น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.