X
    Categories: everYคน • สื่อ • วิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 2 บทนำ-บทที่ 1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ชิงหมิง* ปีที่ 23 • เส้นสมรส

 

บทนำ

เธอมีรอยยิ้มบนใบหน้า ท่าทางที่นั่งอยู่บนโซฟาก็สุดแสนจะเรียบร้อย

มีเพียงสองมือที่วางซ้อนกันบนตักพร้อมอาการหมุนแหวนแต่งงานบนนิ้วนางไม่หยุดเท่านั้นที่เผยความกระสับกระส่ายเล็กน้อยออกมา เธอรับฟังผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างเธอพูดคุยด้วยสีหน้าที่พยายามจดจ่อ แต่ในใจกลับบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเงยหน้าขึ้นไป แค่อย่าเงยหน้าขึ้นไปก็พอ

ทว่าการคิดแบบนั้นก็ยิ่งทำให้เธอสัมผัสได้ถึงสายตาทิ่มแทงที่จ้องมองมาที่ตนเองตั้งแต่บนลงล่าง เธอรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งกายแต่ก็ทำได้เพียงรับมือกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเท่านั้น

“จริงสิ ครั้งก่อนป้าพูดเรื่องนั้นกับเธอแล้วใช่มั้ย” ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเข้าใจความกังวลของเธอผิดไป จึงวางมือลงบนมือของเธออย่างสนิทสนมและพูดอย่างอ่อนโยน “เธอจำได้หรือเปล่า”

เจิ้งหมินซินใจเต้นขึ้นมาทันใดพร้อมพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ฝ่ามือของผู้หญิงที่กดลงบนมือของเธอเย็นเฉียบ แถมยังเหนียวเหนอะหนะเพราะความชื้นเหงื่อเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าสายตาเหนือศีรษะแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม

“ป้าก็รู้ว่าทำให้เธอลำบากใจ เธอพยักหน้าเพื่อไม่ให้พวกเราสองแม่ลูกทะเลาะกัน ป้าเลยรู้สึกขอบใจเธอมาก ที่เธอยอมแต่งให้เจิ้งหวาก็ถือเป็นโชคดีของสกุลเซี่ยเราแล้ว ป้าเองก็ไม่อยากให้พวกเธอสองคนทะเลาะกันจนไม่มีความสุขเพราะความต้องการของป้า ดังนั้นวันหลังพวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเจิ้งหวาเลยนะ” หวงเหม่ยฉินหยิบทิชชูแผ่นหนึ่งมาเช็ดหางตาพลางมองสีหน้าของเจิ้งหมินซินด้วยความอ่อนโยน

เจิ้งหมินซินตกตะลึงก่อนจะถอนหายใจออกมา แต่เมื่อรู้สึกว่าความหมายในคำพูดของหวงเหม่ยฉินดูคลุมเครือ เธอก็ลังเลที่จะเอ่ยปากพูด “คุณป้า คุณป้าหมายความว่า…เรื่องนี้ให้แล้วกันไปเหรอคะ”

“อา…ป้าคิดดูแล้วนะ” หวงเหม่ยฉินตบมือเธออีกครั้งและพูดต่อ “ป้าคงดึงดันมากเกินไป ไม่ว่าจะพูดยังไงเจิ้งจงก็ไม่อยู่แล้ว ป้าก็ควรจะคิดเผื่อเจิ้งหวาไว้ก่อน ป้าไม่น่าพูดเรื่องนี้กับเธอจนทำให้เธอทะเลาะกับเจิ้งหวาเลย”

คราวนี้เจิ้งหมินซินโล่งอกได้แล้วจริงๆ ทันใดนั้นสายตาเหนือศีรษะก็ดูเหมือนจะหายไปเช่นกัน เธอขบขันในปฏิกิริยาตอบสนองทางประสาทของตัวเอง ก่อนจะเผยรอยยิ้มจริงใจกุมมือหวงเหม่ยฉินกลับพร้อมพูดขึ้นว่า “คุณป้าอย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ มันไม่มีอะไรจริงๆ ตอนแรกฉันอยากบอกว่ามันเป็นแค่พิธีการเท่านั้น ขอแค่คุณป้ามีความสุขก็พอแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าเจิ้งหวาจะคัดค้านขนาดนี้”

“เธอเป็นเด็กดีจริงๆ เจิ้งจงของพวกเราเองที่ไม่มีโชค” หวงเหม่ยฉินหยิบทิชชูแผ่นที่สองออกมาเช็ดหางตาที่แดงระเรื่อ

เจิ้งหมินซินได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่ก็ยังปลอบโยนเธอ “คุณป้าอย่าเสียใจไปเลยค่ะ ฉันคิดว่า…พี่เจิ้งจงก็คงหวังให้คุณป้ามีความสุขเหมือนกัน”

“นั่นสิ เด็กคนนั้นรู้ใจป้าที่สุด” หวงเหม่ยฉินเงยหน้ามองรูปถ่ายบนผนัง ใบหน้าฉายแววห่อเหี่ยวและโศกเศร้า ท่าทางข่มกลั้นอารมณ์อย่างถึงที่สุดราวกับวินาทีต่อมาจะพุ่งเข้าไปปลดรูปถ่ายนั้นลงมากอดเอาไว้แน่น

เจิ้งหมินซินเงยหน้าชำเลืองมองเร็วๆ แวบหนึ่ง ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคู่หมั้นของเธอมักจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ราวกับกำลังจ้องมองเธออยู่ไม่ว่าเธอจะเดินไปที่ไหนก็ตาม การชำเลืองมองในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ไปทั่วทั้งร่าง เหมือนเซี่ยเจิ้งจงจ้องมองมาที่เธอ

เธอรีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองรูปถ่ายใบนั้นอีก โชคดีที่ในที่สุดหวงเหม่ยฉินก็เปลี่ยนใจ

หวงเหม่ยฉินมองไปยังรูปถ่ายใบนั้นก็คิดถึงลูกชายที่เสียชีวิตไปนานแล้วน้ำตาจึงไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เจิ้งหมินซินรีบหยิบทิชชูสองสามแผ่นออกมาอีกครั้งพร้อมปลอบเธอเสียงเบา จากนั้นหวงเหม่ยฉินเองก็ดูเหมือนจะผ่านเรื่องนี้ไปได้แล้วเช่นกันจึงเริ่มพูดคุยถึงการจัดการธุระใหญ่น้อยในงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนให้หลัง

เจิ้งหมินซินรู้สึกว่าทั้งร่างผ่อนคลาย เธอดื่มชากินขนมกับหวงเหม่ยฉิน ทั้งแขกและเจ้าบ้านต่างก็พูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ที่จริงแล้วพูดตามตรงเลยว่าตั้งแต่เซี่ยเจิ้งหวาขอแต่งงานและพาเธอกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ เธอก็กังวลมาโดยตลอด เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของคู่หมั้นกับคนที่บ้านไม่ค่อยดี จึงเตรียมพร้อมรับการกลั่นแกล้งไว้แล้ว แต่หลังจากได้เจอหวงเหม่ยฉินเธอก็วางใจ

ว่าที่แม่สามีของเธอเป็นคนร่าเริงแจ่มใสและค่อนข้างเอาใจใส่ พอพูดถึงพิธีแต่งงานก็ตามใจเธอไปเสียทุกอย่าง แถมยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าจะช่วยพวกเธอจ่ายค่าบ้านหลังใหม่ ถามเธอว่าอยากจะซื้อบ้านที่อยู่ใกล้กับบ้านแม่หรือเปล่า ทั้งยังบอกเธอเป็นพิเศษอีกด้วยว่าต่อไปให้พวกเธอสองสามีภรรยากลับไปบ้านแม่ของเธอในช่วงปีใหม่เพราะพวกท่านทั้งสองเคยชินกับการไปเที่ยวต่างประเทศกันเอง ในวันที่สกุลเซี่ยมาสู่ขอเธอที่บ้าน บรรดาญาติสนิทมิตรสหายทั้งหมดจึงพากันอิจฉาเธอ งานแต่งเป็นที่เห็นพ้องต้องกันของญาติผู้ใหญ่ ทุกคนต่างพากันบอกว่าเธอโชคดีที่ได้เจอแม่สามีดี

เธอเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีมาก ไม่เหมือนบรรดาเพื่อนฝูงที่หากไม่ต้องฟังแม่สามีจู้จี้ขี้บ่นตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็เป็นเรื่องทำนองว่าต้องกลับไปบ้านแม่สามีเพื่อฟังถ้อยคำเจ็บแสบของแม่สามีและคอยดูแลบรรดาญาติผู้หญิงของสามีแม้แต่ในวันหยุดที่หาได้ยาก นอกจากเรื่องเซี่ยเจิ้งจงที่หวงเหม่ยฉินเคยพูดกับเธอแล้ว เธอก็รู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรจู้จี้จุกจิกมากนัก และตอนนี้แม้แต่เรื่องดังกล่าวเองหวงเหม่ยฉินก็ยังสามารถปล่อยวางได้แล้ว เธอจึงรู้สึกอารมณ์ดีมาก

“จริงสิ ครั้งก่อนตอนไปสู่ขอ ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงที่บ้านแม่เธอมีแฟนหรือยังล่ะ”

หวงเหม่ยฉินหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาปอกเปลือกด้วยมีดเล่มเล็ก หมุนไปเรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่ขาด ทุกครั้งที่เจิ้งหมินซินเห็นเช่นนี้ก็จะรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน เธอตอบไปส่งๆ “ไม่มีค่ะ เธอเพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจ ในโรงเรียนมีการดูแลอย่างเข้มงวด การฝึกซ้อมก็เยอะด้วย เธอไม่มีเวลาไปหาแฟนหรอกค่ะ”

“เด็กผู้หญิงที่สวยขนาดนั้น ในอนาคตอยากเป็นตำรวจเหรอเนี่ย” หวงเหม่ยฉินถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

เจิ้งหมินซินกล่าวยิ้มๆ “เธอกระโดกกระเดกมาตั้งแต่เล็กแล้วล่ะค่ะ ตอนแรกฉันคิดว่าเธอจะไปเรียนที่โรงเรียนกีฬาด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าจะไปเรียนโรงเรียนตำรวจโดยไม่บอกกล่าวกันสักนิด คุณป้าของฉันน่ะกังวลมากเลย”

“ร่าเริงแจ่มใสหน่อยก็ดี เป็นตำรวจจะได้สร้างบุญกุศลด้วย” หวงเหม่ยฉินพูดเสียงเบา ระหว่างนั้นก็หั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นเล็กๆ วางเอาไว้ในจานตรงหน้าเธอ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดมือพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “นี่เป็นแอปเปิ้ลน้ำผึ้งนำเข้า รสชาติหวานมาก รีบชิมเข้าสิ”

“ขอบคุณค่ะคุณป้า” เจิ้งหมินซินหยิบส้อมคันเล็กมาจิ้มแอปเปิ้ลกินไปสองชิ้นเป็นมารยาท เมื่อเงยหน้าเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแฝงความอ่อนโยนของหวงเหม่ยฉินกำลังจ้องมองมา เธอก็วางส้อมลงและรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย คราวก่อนหลังจากที่หวงเหม่ยฉินยิ้มให้เธอแบบนี้โดยไม่พูดอะไร อีกฝ่ายก็ขอร้องเธออย่างหนึ่งจนทำให้เธอต้องตกตะลึงไปหลายวัน กระทั่งคู่หมั้นเห็นว่าเธอเหม่อลอยจึงได้ถามว่ามีอะไรในใจหรือเปล่า เธอจึงอ้ำๆ อึ้งๆ บอกเขาไป สุดท้ายเขาโกรธจนหน้าเขียวแล้วพุ่งตรงกลับบ้านไปทะเลาะกับหวงเหม่ยฉินทันที ส่วนเธอก็ตามหลังไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูก

“คุณป้า?” เจิ้งหมินซินส่งเสียงเรียกอย่างระมัดระวัง

หวงเหม่ยฉินโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกครั้งและเอื้อมมือมากุมมือเธอเอาไว้ สีหน้าอ่อนโยนเจือแววอาดูรนั่นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครา

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนเลือดทั่วทั้งร่างพลันเย็นเฉียบ สายตาทิ่มแทงเหนือศีรษะกำลังวนเวียนอยู่รอบตัว เธอมองไปทางหวงเหม่ยฉินที่กำลังเอ่ยปากพูดพร้อมดวงตาแดงก่ำและมีน้ำตาไหลออกมาราวกับเป็นเหยื่อที่ตกลงไปในกับดัก

“ถือว่าป้าขอร้องเธอแล้วกัน ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของเธอคนนั้น…”

บทที่ 1

วันจิงเจ๋อ* เพิ่งจะผ่านพ้นไปยังไม่ทันถึงวันชุนเฟิง** ไอโม่ซินก็ออกจากโรงเรียนไปเป็นข้าราชการอย่างเป็นทางการและเริ่มเข้างานเลิกงานตามกฎยกเว้นแต่จะมีคดีแล้ว

หลังจากได้เป็นตำรวจจริงๆ เขากลับไม่มีอะไรทำ เพราะนอกจากทีมย่อยแต่ละทีมที่มาขอความช่วยเหลือแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปหาคดีด้านนอกด้วยตัวเองเลย ไม่เหมือนกับตอนที่เขายังเรียนอยู่ที่ระหว่างทางจะมีวิญญาณมาขอให้เขาช่วย เนื่องจากวิญญาณไม่สามารถเข้ามาในสถานีตำรวจได้ และตอนนี้เขาก็มีเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า ตนเองจึงไม่สะดวกไปหาคดีมาเพิ่มปริมาณงานให้ทุกคน ทั้งยังไม่สามารถทำตามที่ตัวเองต้องการได้อีกด้วย ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำงานอยู่ดี

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนโจรขโมยเงินเดือน เจียงเฉิงฟางเห็นเขาตั้งใจทำงานถึงขนาดนั้นก็จนปัญญา เลยให้คนเอาสำเนาทั้งหมดของคดีเมื่อวันก่อนมาให้เขาดู แทนที่จะรอคำร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ไม่สู้หาเรื่องที่สามารถช่วยพวกเขาได้จากคดีด้วยตัวเองยังดีเสียกว่า ในที่สุดไอโม่ซินก็คิดว่าตัวเองคู่ควรกับการรับเงินเดือนทุกเดือนแล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อยๆ เคยชินกับชีวิตการทำงาน ความจริงมันก็ไม่ค่อยต่างจากตอนเรียนสักเท่าไร ก็แค่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ระหว่างสถานที่สองแห่งเท่านั้น

นอกเสียจากตอนที่เจียงหลีอยู่ด้วย

ไอโม่ซินเข้าไปที่กรมตำรวจนครบาลตอนแปดโมงห้าสิบห้านาที ทั้งร่างยังเต็มไปด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ได้แต่กลั้นหาวเดินขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า

ปีนี้ช่วงจำศีลของเจียงหลียาวนานกว่าปีที่แล้วครึ่งเดือน ด้วยเหตุนี้หลังจากตื่นขึ้นมาจึงเกาะแน่นติดหนึบมาก เขาคิดว่าช่วงนี้ก็ไม่ได้มีคดีใหญ่อะไรจึงฉวยโอกาสช่วงสุดสัปดาห์ทำตามใจตัวเองสักสองวัน เช้าวันนี้เจียงหลีปลุกตัวเขาซึ่งอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายให้ตื่นก่อนบอกว่าท่านแม่ของเขากำลังเคาะประตูอยู่ ไอโม่ซินตกใจจนแทบจะกลิ้งลงจากเตียงทันที เจียงหลีเลยเอื้อมมือมาคว้าตัวเขากลับไปพร้อมช่วยเขาแต่งตัวก่อน เขาถึงได้พุ่งไปเปิดประตูถามท่านแม่ว่ามีธุระอะไร

ไอเยวี่ยเจินจ้องมองเขาอยู่นาน มองจนเขาหน้าแดงไปหมด ถึงจะรู้ว่าท่านแม่มองไม่เห็นเจียงหลี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้ว่าบนเตียงของเขามีคนอยู่ เธอน่าจะเห็นเขาเขินอายจึงกระแอมก่อนพูดขึ้นมา “แปดโมงครึ่งแล้ว วันนี้ลูกไม่ไปทำงานเหรอจ๊ะ”

เขาชะงักไปเล็กน้อยกว่าจะคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันจันทร์ ครั้นหันกลับไปถลึงตาใส่เจียงหลี อีกฝ่ายก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว เขาเลยได้แต่หันกลับมาพูดกับท่านแม่อย่างเยือกเย็น “ผมน่าจะ…ลืมตั้งนาฬิกาปลุก”

“อืม แม่ห่ออาหารเช้าไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้ว ลูกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปเถอะ” ไอเยวี่ยเจินเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนเธอจะหมุนตัวลงไปด้านล่างยังอดเตือนอีกประโยคไม่ได้ “ใส่เสื้อที่มีคอด้วยนะ”

ไอโม่ซินชะงักไปเล็กน้อย รีบไปหน้ากระจกส่องดูแล้วตะโกนเสียงดังอย่างเหลืออด “เจียงหลี!!!”

“มาแล้วๆ กลับมาแล้ว อย่าเรียกเช่นนั้นสิ คอจะแตกเอาได้นะ” เจียงหลีปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขาพร้อมรอยยิ้มละมุนละไมบนใบหน้า จากนั้นจึงเอื้อมมือมาถูไถลำคอของเขาเพื่อลบร่องรอยโดดเด่นสะดุดตาเหล่านั้นและประทับจูบเบาๆ ลงบนตำแหน่งเดียวกัน “เอาล่ะ ไม่มีแล้ว มองไม่เห็นแล้ว”

ไอโม่ซินโกรธเจียงหลีไม่ลงจึงถลึงตามองเขาแวบหนึ่งแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หิ้วอาหารเช้าพลางตะโกนบอกว่าจะออกไปแล้ว เขารีบร้อนพุ่งตัวออกมาก็เห็นรถของเจียงเฉิงฟางกำลังรออยู่ที่ประตูบ้าน

ไอโม่ซินอยากจะถอนหายใจ ทว่าก็ได้แต่ฝืนขึ้นรถไป “ลุงเจียง…อรุณสวัสดิ์ครับหัวหน้า”

“อรุณสวัสดิ์” ถึงเจียงเฉิงฟางจะบอกว่าค่อนข้างชินแล้ว แต่การถูกปลุกให้ตื่นมารับคนไปทำงานทั้งที่อยู่ในช่วงผลัดกันหยุดแท้ๆ เขาจึงรู้สึกหดหู่อยู่หน่อยๆ

“…ผมเรียกรถเองก็ได้นะครับ” ไอโม่ซินนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเจียงเฉิงฟาง จึงพูดด้วยความเกรงใจเล็กน้อย “ผมจะคุยกับเจียงหลีให้เขาไม่ต้องเรียกคุณมารับผมแล้ว”

“ไม่ต้องๆๆ ลุงยินดีมารับนายสุดๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เจียงเฉิงฟางมีสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว

ไอโม่ซินก็รู้ดีแก่ใจว่าแม้ตัวเองจะยืนกราน กลับไปเจียงเฉิงฟางก็คงถูกด่าอยู่ดีเลยได้แต่ปิดปากเงียบ เปิดกล่องอาหารเช้าด้วยสีหน้าจนปัญญาและกินอาหารเช้าเปี่ยมรักของท่านแม่จนหมด

ระหว่างทางเจียงเฉิงฟางเห็นเขาหาวอยู่หลายทีก็คิดว่าปีนี้ช่วงจำศีลของบรรพบุรุษตนเองยาวนานไปหน่อย พวกเขาเองก็เป็นคู่แต่งงานใหม่ที่เพิ่งห่างกันไปเป็นช่วงสั้นๆ เจียงเฉิงฟางจึงพูดขึ้นมา “วันนี้ลุงยกเลิกวันหยุดไปละ ถึงยังไงก็ออกจากบ้านมาแล้ว อีกเดี๋ยวนายตอกบัตรเสร็จก็ไปนอนในห้องพักผ่อนสักพักเถอะ”

ไอโม่ซินก้มหน้าลงด้วยความอาย “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นไร ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมจะระวังไม่ให้กระทบกับการทำงาน”

ตอนแรกเจียงเฉิงฟางยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ต่อมาเขาก็คิดว่าหุบปากเอาไว้เพื่อความปลอดภัยจะดีกว่า เลยได้แต่ปลอบไอโม่ซินว่าช่วงนี้ไม่มีคดีอะไร จะพักผ่อนสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ไอโม่ซินเลยพยักหน้าเป็นการตอบรับ

สุดท้ายเจียงเฉิงฟางก็ส่งเขาลงรถตรงประตูทางเข้าด้วยความใส่ใจ “นายไปตอกบัตรก่อนเถอะ ลุงจะไปซื้ออาหารเช้า”

“เอ่อ คุณยังไม่ได้กินอาหารเช้าเหรอครับ” ไอโม่ซินที่กำลังจะลงจากรถชะงักไปเล็กน้อย

เจียงเฉิงฟางคิดในใจว่าท่านบรรพบุรุษถึงขั้นยกเขาขึ้นจากที่นอนด้วยกลัวว่าจะมารับอีกฝ่ายไม่ทัน มีหรือจะให้เขาได้กินอาหารเช้าอย่างสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยกยิ้มและพูดว่า “ปากลุงมันอยากกินร้านซาลาเปาข้างหน้านั่นน่ะ ลุงจะไปซื้อสักสองสามลูกแล้วค่อยกลับมา นายรีบไปตอกบัตรเถอะ”

ไอโม่ซินลงรถไปอย่างจนปัญญา ในใจก็ก่นด่าเจียงหลีซ้ำไปซ้ำมาหลายร้อยรอบและตัดสินใจว่าเย็นนี้จะไม่ยอมให้เขาขึ้นเตียงเด็ดขาด

ตอกบัตรเสร็จก็เข้าไปในห้องทำงาน เขานั่งลงเปิดรายงานคดีเมื่อวันก่อนเพื่อยืนยันว่าพวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงหรือไม่ ขณะที่ไอโม่ซินหนีบแฟ้มคดีเตรียมจะไปชงชาสักแก้ว อวี๋จิ้งเอินก็เดินเข้ามาจากด้านนอก “รุ่นพี่ไอ มีคนมาหานายแน่ะ”

ไอโม่ซินเงยหน้ามอง คนคุ้นเคยคนหนึ่งโผล่หัวออกมาจากด้านหลังอวี๋จิ้งเอินพร้อมส่งรอยยิ้มให้เขา

“อี๋อัน?” ไอโม่ซินประหลาดใจเล็กน้อย เขาวางแฟ้มคดีลง “เธอมาได้ยังไงน่ะ”

“พอดีฉันถูกส่งมารอรายงานของหมอซ่งประมาณสองสามวัน หย่วนชวนเลยขอให้ฉันมาหานาย ใครใช้ให้นายไม่ไปแม้กระทั่งงานกินเลี้ยงเรียนจบล่ะ” เจียงอี๋อันยกยิ้มเดินเข้ามา เธอไม่เคยเห็นหน่วยคดีพิเศษสังกัดกองงานบุคคลในตำนานจึงมองดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ มองแวบแรกก็ดูเหมือนห้องทำงานธรรมดา ไม่เหมือนแผนกอาชญากรรมที่มีประตูหน้าหลังให้บรรดาเพื่อนร่วมงานเข้าออกได้ตลอดเวลา และไม่เหมือนสำนักงานบริหารที่มีที่นั่งเรียงกันเต็มไปหมด ถึงแม้ห้องทำงานของหน่วยคดีพิเศษจะไม่ได้ใหญ่โต ด้านในก็มีโต๊ะทำงานเพียงสี่ตัวเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าที่ว่างค่อนข้างกว้างขวาง ด้านในยังมีห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยติดกับห้องชงชาอีกต่างหาก เธอกวาดตามองแวบหนึ่งก็เห็นว่ามีเครื่องชงกาแฟ ตู้เครื่องดื่ม ตู้เย็น ถุงชา ขนมขบเคี้ยว และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ไม่น้อย องค์ประกอบนี้สามารถทำให้บรรดาเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่เพิ่งแยกย้ายกันไปอิจฉาตาร้อนได้เลยทีเดียว

“ตอนนั้นมีคดีพอดีเลยกำลังยุ่ง ขอโทษด้วยนะ” ไอโม่ซินส่งยิ้มให้เธอเช่นกัน เขาเพิ่งจบการศึกษาได้ประมาณครึ่งปีแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเพื่อนร่วมชั้นมานานแล้ว

ปีก่อนเขาเก็บหน่วยกิตทั้งหมดและจบการศึกษาก่อนกำหนด โดยที่เจียงเฉิงฟางช่วยเขาเลี่ยงการฝึกบนยอดเขาเฉิงกงเป็นเวลาสามเดือน จากนั้นเขาก็สอบผ่านการทดสอบพิเศษของตำรวจและได้เข้าสู่หน่วยคดีพิเศษสังกัดกองงานบุคคลในกรมตำรวจนครบาลทันที

ถึงสวีหย่วนชวนจะเคยประท้วงที่เขาจบการศึกษาก่อนกำหนดโดยไม่บอกกันสักคำ แต่ตอนนั้นก็มีคดียุ่งยากคดีหนึ่งพอดี เขายุ่งจนหัวหมุนและไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องมิตรภาพ เพราะงั้นเลยได้แต่ใช้วิธีที่จัดการกับซุนไห่หมิงมาจัดการกับสวีหย่วนชวน โชคดีที่นิสัยใจคอของสวีหย่วนชวนเป็นผู้ใหญ่กว่าซุนไห่หมิงมาก อีกฝ่ายเพียงแค่พร่ำพูดไม่กี่ประโยคว่าอย่างน้อยไอโม่ซินก็ควรหาเวลามารวมตัวกับพวกตนบ้าง พอทุกคนแยกย้ายกันไปการเจอหน้ากันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกแล้ว

ไอโม่ซินเองก็เข้าใจตรงจุดนี้และรับปากอย่างจริงจังว่าเขาจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่สุดท้ายเขาก็เกิดอุบัติเหตุกระดูกขาขวาหักจนต้องถูกส่งไปนอนโรงพยาบาลถึงครึ่งเดือน เขาต้องคอยปลอบเจียงหลีที่กำลังโกรธและท่านแม่ที่เป็นกังวล รวมถึงต้องขัดขวางเหล่าบรรพบุรุษอีก ไหนเลยจะมีเวลาไปงานเลี้ยงรวมตัวได้ ต่อมาสวีหย่วนชวนได้ยินว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาลก็เลยมาเยี่ยมเขาพร้อมเว่ยอันฉี และยอมปล่อยเรื่องที่เขาไม่ไปงานเลี้ยงรวมตัวไป

วันนั้นเจียงอี๋อันไม่ได้มาด้วย บอกตามตรงเขายังคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอเธออีกแล้ว แต่สุดท้ายไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนแรกๆ ที่เขาได้พบหลังจากเรียนจบ

“แล้วคดีล่ะ อันฉีบอกฉันว่านายเข้าโรงพยาบาลนี่นา” เจียงอี๋อันทำหน้าจนใจ “ขาของนายหายดีแล้วเหรอ”

“อืม ก็แค่กระดูกหักน่ะ เรื่องเล็ก” ไอโม่ซินตอบกลับไปตามความจริง จากนั้นเจียงอี๋อันก็เล่าเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นให้เขาฟังอีกครั้ง คุยกันได้ประมาณสิบนาทีเขาก็รู้สึกว่าเธอน่าจะมีเรื่องอยากคุยกับเขา

“เธอกินข้าวเช้ามาหรือยัง” ไอโม่ซินถามเธอ

เจียงอี๋อันได้ยินเขาถามขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ชะงักไปก่อนตอบ “…ยังเลย”

“อันฉีบ่นตั้งหลายครั้งว่าเธอไม่กินข้าวเช้า ถ้าเธอยังพอมีเวลาก็ไปดื่มกาแฟด้วยกันหน่อยมั้ย” ไอโม่ซินวางแฟ้มคดีกลับไปบนโต๊ะ เมื่อเห็นเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า เขาก็หันกลับไปพูดกับอวี๋จิ้งเอิน “พี่อวี๋ ผมออกไปแป๊บนึงนะ วันนี้หัวหน้าลางาน พี่ช่วยจัดการให้ผมหน่อยนะครับ”

“ไม่มีปัญหา” อวี๋จิ้งเอินทำท่าโอเค ไอโม่ซินจึงพาเจียงอี๋อันออกไป

ตึกที่อยู่ถัดไปเป็นอาคารพาณิชย์ ด้านในมีชั้นหนึ่งเป็นร้านกาแฟให้คนในนี้พาแขกมาพูดคุยกันโดยเฉพาะ เจียงเฉิงฟางให้บัตรผ่านประตูเขามาหนึ่งใบแล้วบอกว่าด้านในตึกมีบริษัทย่อยของสกุลเจียงอยู่แห่งหนึ่ง อาหารเช้า อาหารเที่ยง และกาแฟของที่นั่นต่างก็ไม่เลวเลยพาเขาไปดื่มกาแฟหลังเลิกงานเป็นครั้งคราว

ไอโม่ซินสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้วแล้วส่งสัญญาณให้เธอสั่งอาหารเช้ามา ระหว่างที่เธอกำลังกินอาหารอยู่เงียบๆ เขาก็ทำหน้านิ่งตอบข้อความที่เจียงเฉิงฟางถามเขาด้วยความกังวลว่าเขาออกไปกับผู้หญิงคนไหน มีความสัมพันธ์อย่างไร และมีเรื่องอะไรกัน

ตอนแรกเจียงอี๋อันคิดว่าจะกินแค่ไม่กี่คำ แต่พอเห็นไอโม่ซินเอาแต่จ้องเธออยู่ตลอดก็นึกได้ว่าเว่ยอันฉีเองก็มาจ้องเธอกินอาหารเช้าให้เสร็จแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงกินอาหารเช้าจนหมดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจนิดๆ และจนปัญญาหน่อยๆ

พอไอโม่ซินเห็นว่าเธอกินอาหารไปได้พอสมควรแล้วเลยเอ่ยปากถาม “เธอมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ”

เจียงอี๋อันยกยิ้มเขินอายเล็กน้อย เธอหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก นั่งตัวตรงและตอบกลับไป “อืม ความจริงมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น่ะ แต่ฉันค่อนข้างสนใจก็เลยอยากมาขอคำแนะนำจากนายหน่อย”

ไอโม่ซินพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เธอพูดต่อไป เจียงอี๋อันเห็นว่าเขาไม่ถือสาถึงได้พูดต่อ “ฉันขอถามนายหน่อยสิว่าวิวาห์ผีมีจริงหรือเปล่า”

มือของไอโม่ซินที่กำลังถือถ้วยกาแฟอยู่หยุดชะงัก เขาครุ่นคิดอยู่สักพักกว่าจะตอบเธอกลับไป “มันก็มีอยู่จริงนะ แต่สมัยนี้คนที่รู้ว่าจริงๆ วิวาห์ผีจัดยังไงก็มีอยู่ไม่มากหรอก บางคนก็เอาวันเดือนปีเกิดใส่ซองแดงให้คนอื่นหยิบขึ้นมา บางคนก็มีคู่หมั้นคู่หมายที่กำหนดไว้แล้ว สามารถแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดและจัดพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการได้ แต่ความจริงทั้งหมดนี่ไม่มีทางจัดวิวาห์ผีได้จริงๆ หรอก มันก็เป็นแค่การปลอบโยนคนที่ยังมีชีวิตอยู่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ”

เจียงอี๋อันถอนหายใจพร้อมยิ้มด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “งั้นก็ดี ฉันยังกังวลอยู่เลยว่าถ้าทำพิธีอะไรไปแล้วจริงๆ จะกลายเป็นการแต่งงานกับผีไป”

“ทำไมเธอถึงมาถามเรื่องนี้ล่ะ” ไอโม่ซินเห็นเธอรู้สึกโล่งอกขึ้นมาจริงๆ ก็อดถามอีกประโยคไม่ได้

“ฉันมีลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกันจนไม่ต่างจากพี่สาวแท้ๆ คนนึงน่ะ เร็วๆ นี้เธอกำลังจะแต่งงานแล้ว” เจียงอี๋อันคิดถึงลูกพี่ลูกน้องก็อดรู้สึกกังวลนิดๆ ไม่ได้ “ตอนสู่ขอฉันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดูท่าทางว่าที่พ่อแม่สามีของเธอก็โอเค ในอนาคตน่าจะใจดีกับเธอมาก แต่ปรากฏว่าอาทิตย์ต่อมาเธอก็มาร้องไห้กับฉัน บอกว่าก่อนจะแต่งงานว่าที่แม่สามีคนนั้นอยากให้เธอเข้าพิธีวิวาห์ผีกับพี่ชายที่ตายไปแล้วของคู่หมั้นเธอ บอกว่ามันก็แค่พิธีเท่านั้น ถ้าสองพี่น้องได้มีภรรยาที่ดีแบบเธอ แม่สามีคงตายตาหลับได้”

“เธอปฏิเสธไปแล้วใช่มั้ย” ไอโม่ซินเองก็มักจะได้ยินเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยๆ คนส่วนมากก็ทำเพื่อความสบายใจเท่านั้น แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่วิธีที่ดีอะไร

“เปล่า เธอตอบตกลง” เจียงอี๋อันกลอกตา “พี่สาวฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้แต่ก็คิดว่ามันแปลกๆ อยู่นิดหน่อย เธอถูกว่าที่แม่สามีรบเร้าอยู่ตลอดบ่าย สุดท้ายก็คิดว่าแค่บอกวันเดือนปีเกิดให้ไปกรอกลงทะเบียนสมรสเฉยๆ คนเฒ่าคนแก่ก็แค่ต้องการความสบายใจ ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันเพราะเรื่องนี้ ก็เลยฝืนใจตอบตกลงไป แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงการถูกบังคับก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี พอกลับไปแล้วถูกคู่หมั้นถามเข้าก็เล่าให้เขาฟังจนหมด ไม่คิดว่าคู่หมั้นของเธอจะโกรธจนพาเธอกลับไปที่บ้านทันที แถมยังด่าแม่ตัวเองสาดเสียเทเสียแล้วแย่งวันเดือนปีเกิดของพี่สาวฉันกลับมาด้วย ทะเบียนสมรสก็ฉีกทิ้ง เธออับอายสุดๆ ส่วนคู่หมั้นเธอก็โกรธมาก ว่าที่แม่สามีก็เอาแต่ร้องไห้ หลังกลับบ้านมาคู่หมั้นของเธอก็ยังโมโหอยู่ เธอรู้สึกน้อยใจก็เลยมาอยู่กับฉันสักสองสามวัน เธอไม่กล้าเล่าให้แม่ฉันฟังก็เลยมาร้องไห้กับฉันแทน”

ไอโม่ซินขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเธอบอกว่าลูกพี่ลูกน้องตอบตกลง “ถ้าแค่เขียนวันเดือนปีเกิดลงไปในทะเบียนสมรสก็ไม่น่าจะเป็นวิวาห์ผีจริงๆ หรอก แต่เรื่องแบบนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพราะเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างทำอย่างแล้วไปทำอย่างอื่นลับหลังหรือเปล่า ยิ่งกว่านั้นคู่หมั้นพี่สาวของเธอก็ไม่ยินยอมด้วย เธอไปเกลี้ยกล่อมให้พี่สาวปรึกษากับคู่หมั้นให้ดีเถอะ เรื่องแบบนี้มักจะต้องเป็นความสมัครใจของทุกคน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นภัยร้ายแฝงเร้นในงานแต่งงานของพวกเขาเอง”

เจียงอี๋อันได้ยินเขาตอบอย่างจริงจังขนาดนี้ก็พยักหน้าแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจังเช่นกัน “ฉันรู้แล้ว ฉันจะไปเกลี้ยกล่อมให้เธอไปปรึกษาคู่หมั้นดีๆ”

“งั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ ถ้ายังมีเหตุการณ์อะไรอีกเธอก็โทรหาฉันได้ตลอดเลยนะ” ไอโม่ซินพูดกับเธอด้วยความอ่อนโยน “ถ้าฉันไม่รับโทรศัพท์ก็ส่งข้อความมาได้เลย มีเวลาแล้วฉันจะอ่านเอง”

เจียงอี๋อันได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็สงบลงสักพักก่อนพูดขึ้น “ฉันคิดว่า…นายไม่ค่อยอยากสนใจฉันซะอีก”

“จะเป็นแบบนั้นได้ไง พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา ในโรงเรียนฉันก็มีพวกเธอเป็นเพื่อนแค่ไม่กี่คนเองนะ” ไอโม่ซินตอบกลับเธอไปขำๆ

รอยยิ้มและท่าทางของไอโม่ซินเป็นธรรมชาติมาก เจียงอี๋อันนึกถึงวันที่พวกเธอได้รู้จักกัน ทุกคนต่างก็ตกใจแทบตาย หลังจากนั้นไม่กี่วันเมื่อไอโม่ซินกลับมาที่โรงเรียน เขาก็วิ่งเอาลิปสติกแท่งใหม่มาให้เธอและบอกว่าเขาคืนให้

เธอรออยู่หลายวันกว่าเขาจะกลับมาโรงเรียนจึงรู้สึกดีใจนิดๆ แต่เธอก็ยังจำคำพูดของหูเยี่ยนเจ๋อในคืนวันนั้นได้ตลอด ถ้อยคำวนเวียนอยู่ในใจมาเนิ่นนาน สุดท้ายก็ได้ถามเขาว่าอยากไปกินข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่าอย่างที่ใจต้องการ

ไอโม่ซินพยักหน้ายิ้มกล่าวว่าเขานัดกับสวีหย่วนชวนเอาไว้แล้ว ตอนเย็นทุกคนจะไปกินข้าวด้วยกัน เธอคิดไปคิดมาก็ไม่แน่ใจว่าไอโม่ซินเข้าใจความหมายของเธอหรือเปล่า จึงรวบรวมความกล้าถามเขาอีกครั้ง

‘ฉันมีตั๋วหนังที่ยังไม่ได้ใช้อยู่สองสามใบ ไปดูด้วยกันมั้ย’

‘แฟนหนุ่มของฉันเป็นคนขี้หึง ถ้าไปดูหนังกับผู้หญิงสวยๆ เขาต้องโกรธแน่ ขอโทษด้วยนะ’

เจียงอี๋อันจำคำตอบในตอนนั้นของไอโม่ซินได้เสมอจึงรู้สึกสบายใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงฝืนหยิบตั๋วหนังสองใบออกมายัดมันให้เขา ‘อะ งั้นนี่ให้นายกับแฟนของนายไปดูแล้วกันนะ’

ไอโม่ซินไม่ได้ปฏิเสธแถมยังบอกว่าจะเลี้ยงกาแฟเธอเป็นการตอบแทนด้วย หลังจากเลิกเรียนเขาก็ถือลาเต้ร้อนมาให้เธอจริงๆ ถึงเธอจะยิ้มและรับเอาไว้ แต่ในใจก็รู้สึกหดหู่นิดๆ มาตลอด แถมยังรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่อับอายขายหน้ามาด้วย จากนั้นเธอก็มาเจอไอโม่ซินแค่ตอนที่เว่ยอันฉีชวนเธอมาเท่านั้น แต่ท่าทางที่ไอโม่ซินมีต่อเธอกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ขณะที่เธอกำลังพิจารณาสภาพจิตใจของตัวเองเธอก็คิดมาตลอดว่าไอโม่ซินน่าจะเห็นเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาเท่านั้น กระทั่งจบการศึกษาความคิดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินเขาบอกว่าเห็นเธอเป็นเพื่อน เธอจึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ

เจียงอี๋อันยกยิ้มโล่งอกแต่ก็อดถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ ท่าทางผ่อนคลายลงเล็กน้อย “บอกตามตรงนะ ตอนนั้นฉันตกใจหมดเลย ตอนอยู่ในโรงเรียนมีหลายคนที่อยากจีบฉัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอคนที่ถูกใจสักคน แต่ปรากฏว่าคนคนนั้นดันมีแฟนหนุ่มซะได้”

ไอโม่ซินไม่คิดว่าเธอจะพูดถึงเรื่องเก่าขึ้นมาเลยอึ้งไปนิดหน่อยก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตั้งนานขนาดนี้แล้ว ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอยังคิดมากเรื่องนี้อีก”

“แค่ปลงตกนิดหน่อยเท่านั้นแหละ ทำไมฉันกับอันฉีจะต้องมาชอบผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกันด้วยนะ” เจียงอี๋อันกลอกตา เธอกอดอกพลางเอียงศีรษะครุ่นคิด ก่อนเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกัน ถ้าฉันมีเรื่องกลุ้มใจก็สามารถมาถามความเห็นของนายได้ใช่มั้ย”

“เมื่อกี้ไม่นับหรือไง” ไอโม่ซินมองเธอด้วยความจนปัญญา

“มันไม่เหมือนกัน อันนั้นฉันขอคำแนะนำแบบมืออาชีพของนาย” เจียงอี๋อันตอบกลับอย่างจริงจัง

“งั้นเธอก็ว่ามาสิ มีเรื่องอะไรที่เธอไม่ได้ถามอันฉีแล้วอยากถามฉันเหรอ” ไอโม่ซินยกมือเรียกพนักงานมาเติมกาแฟให้พวกเขาอีกรอบ

“เพราะถามอันฉีมันน่าอายเกินไปต่างหาก” สีหน้าของเจียงอี๋อันลำบากใจเล็กน้อย “นายเองก็รู้ว่าเจี่ยงหนิงซวนตามจีบอันฉีมาตลอดใช่มั้ย”

“แน่สิ แต่อันฉีปฏิเสธเขาไปหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอ” ไอโม่ซินต้องจำได้อยู่แล้วว่าหลังจากที่ถูกหูเยี่ยนเจ๋อทิ้ง เจี่ยงหนิงซวนก็ตามจีบเว่ยอันฉีอย่างโจ่งแจ้ง ถูกปฏิเสธไปหลายครั้งก็ไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง ตอนอยู่ในโรงเรียน ขอแค่ช่วงเที่ยงมีเวลาว่างเขาก็จะมากินข้าวเพื่อคุยกับพวกเขาทั้งสี่คนเป็นประจำ เว่ยอันฉีกับเจี่ยงหนิงซวนเองก็หยอกล้อกันเหมือนปกติโดยไม่ได้มีความกระอักกระอ่วน แต่เขาเคยได้ยินสวีหย่วนชวนบอกว่าเวลาอยู่ในที่ส่วนตัวเจี่ยงหนิงซวนจะตามจีบเว่ยอันฉีอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งเรียนจบก็ยังไม่ยอมถอดใจ

“ใช่ แต่ช่วงนี้เขาเปลี่ยนมาตามจีบฉันแล้ว” เจียงอี๋อันกล่าวด้วยความกลุ้มใจนิดๆ

ไอโม่ซินแทบจะพ่นกาแฟออกมา เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่มองเธออยู่นานกว่าจะถามอีกครั้ง “เขายอมแพ้กับอันฉีแล้วเหรอ”

“เหมือนจะเป็นงั้นนะ…” เจียงอี๋อันหวนนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา “ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็มากินข้าวกับฉันบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่ก็สนใจเรื่องของอันฉีตลอด บางทีก็ถามความคิดเห็นของฉันด้วย แต่ครึ่งปีมานี้ตอนที่นัดฉันออกไปกินข้าวเขาก็ไม่เคยพูดถึงอันฉีเลย ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งเขาเริ่มพาฉันไปกินข้าวเที่ยง นัดฉันไปดูหนัง ซื้อของให้ฉัน ต่อให้ฉันปัญญาอ่อนแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าผิดปกติเลย”

ไอโม่ซินรู้จักนิสัยของเจี่ยงหนิงซวน ถ้าพูดแบบหยาบคายหน่อยก็คืออวดดี แต่ความจริงก็เป็นคนเข้มแข็งมากและมีนิสัยทะนงตัวอยู่นิดหน่อย แต่ก็คงไม่ถึงกับตามจีบเว่ยอันฉีไม่ติดเลยเปลี่ยนมาจีบเจียงอี๋อันเป็นการเอาคืนหรอก

“เธอน่าจะรู้จักนิสัยของหนิงซวนดีกว่าฉันนะ ในเมื่อเขาตามจีบเธอก็น่าจะจริงจังแหละ” ไอโม่ซินไม่ได้พูดแทนเขา เจียงอี๋อันที่รู้จักเจี่ยงหนิงซวนมาก่อนไอโม่ซินก็น่าจะรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว

“เพราะงั้นฉันถึงได้กลุ้มใจไง” เจียงอี๋อันเติมน้ำตาลในกาแฟของตัวเองด้วยสีหน้าขมขื่น พอเติมไปถึงช้อนที่สามไอโม่ซินก็เลื่อนกระปุกน้ำตาลออกเงียบๆ

“งั้นเธอคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง” ไอโม่ซินถามอย่างอดทน ขณะเลื่อนกระปุกน้ำตาลไปยังจุดที่เธอเอื้อมมือไปไม่ถึงภายใต้สายตาคับแค้นใจของเจียงอี๋อัน

“ก็…เป็นเพื่อนที่ไม่เลวนะ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาตามจีบแบบนี้ ฉันเลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี แล้วก็ไม่สะดวกไปถามอันฉีด้วย เธอจะต้องอยากจับคู่พวกเราจนแทบทนไม่ไหวแหงๆ” เจียงอี๋อันตอบด้วยความกลุ้มใจ

“ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติไม่ดีเหรอ เขาตามจีบเธอก็ส่วนตามจีบ ไม่ได้บังคับให้เธอตอบรับนี่นา ถ้าเธอรู้สึกลำบากใจก็ปฏิเสธเขามั้ยล่ะ นิสัยของเขาก็ใช่ว่าจีบไม่ติดแล้วจะเป็นไม่ได้แม้แต่เพื่อนกันสักหน่อย” ไอโม่ซินเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีวันที่ต้องมาเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักเหมือนกัน ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือก็สั่นไม่หยุด เขาขี้เกียจตอบกลับเลยกดลงบนข้อมือ

ใช่ว่าคุณจะไม่รู้จักเจียงอี๋อันสักหน่อย ถ้าคุณยังให้ลุงเจียงถามต่อไปอีกตอนเย็นก็ไม่ต้องมาแล้วนะ

ไอโม่ซินดื่มกาแฟไปหนึ่งอึก เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์เงียบไปก็ยกยิ้มเติมน้ำตาลใส่กาแฟของตัวเองไปช้อนหนึ่ง

เจียงอี๋อันคิดอยู่สักพักก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เจี่ยงหนิงซวนเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากไป ก็แค่ ‘ถือโอกาส’ ซื้อเต้าหู้หม้อไฟหรือซุปหมาล่าที่เธอชอบกินมาให้ในตอนกลางวันหรือตอนเข้าเวรเท่านั้นเอง นัดเธอไปดูหนังก็เป็นเรื่องธรรมดามาก แถมยังมอบตุ๊กตาที่ตัวเองเก็บสะสมไว้ให้เธอด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือท่าทางของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาและเธอยังคงทำให้กันและกันขายหน้าและหัวเราะอีกฝ่ายอยู่เป็นประจำ ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปเพราะจีบเธอเลย

“ที่นายพูดมาก็ถูก งั้นฉันก็…ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติก่อนแล้วกัน” เจียงอี๋อันยกยิ้มขึ้นมา “ตอนแรกฉันอยากถามหย่วนชวนสักหน่อย แต่ฉันคิดว่าถ้าเจี่ยงหนิงซวนตามจีบฉันจริงๆ ก็น่าจะบอกหย่วนชวนไปตั้งนานแล้ว แบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันมาประเคนให้เขาถึงที่หรอกเหรอ”

เธอไม่รอให้ไอโม่ซินเปิดปากก็หยิบใบเสร็จขึ้นมา “ขอบใจที่ฟังฉันพูดตั้งเยอะตั้งแยะนะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงกาแฟเอง”

ไอโม่ซินยกยิ้มส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้เอื้อมมือไปแย่งใบเสร็จ “ถึงยังไงเธอก็ต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ไว้วันไหนเธอมีเวลา ตอนเที่ยงฉันค่อยเลี้ยงเธออีกทีแล้วกัน เอาข้าวเที่ยงมากินที่ห้องทำงานพวกเราก็ได้ ใบเสร็จวันนี้ไม่ต้องจ่ายหรอก”

ไอโม่ซินลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้เจียงอี๋อันได้โต้แย้งก่อนเอ่ยเบาๆ “ฉันไม่ต้องจ่ายตังค์เวลามากินข้าวที่นี่น่ะ”

เจียงอี๋อันเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ “จริงปะเนี่ย”

“จริงสิ ฉันมีบัตรนะ” ไอโม่ซินโบกบัตรผ่านประตูที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็หยิบใบเสร็จเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วรูดบัตรผ่านประตูเดินออกไป

“แบบนี้เรียกว่าไม่ต้องจ่ายเงินเหรอ ที่จริงคือไปคิดบัญชีกับเจ้าของบัตรผ่านประตูนี่ใช่มั้ย” เจียงอี๋อันถลึงตามองเขา

“ใช่ แต่บัตรผ่านประตูใบนี้ไม่ใช่ของฉันหรอก” ไอโม่ซินหย่อนบัตรผ่านประตูกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อด้วยความขบขัน

ตอนแรกเจียงอี๋อันก็อยากจะหยอกว่าใช่ของแฟนหนุ่มเขาหรือเปล่า แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของหูเยี่ยนเจ๋ออีกครั้งก็ไม่กล้าถามออกไป ไอโม่ซินดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ก็เลยพูดอย่างสบายๆ “ของบ้านแฟนฉันเอง บริษัทของพวกเขาอยู่ในตึกนี้”

“ว้าววว” เจียงอี๋อันร้องว้าวยาวเหยียดและให้ความร่วมมืออย่างดีด้วยการหยอกล้อเขา “ที่แท้ก็เป็นคนใหญ่คนโตหล่อรวยสินะ”

“ประมาณนั้นแหละ” ไอโม่ซินยกยิ้มออกมา หลังจากที่เขาพูดว่า ‘บ้านของแฟน’ ก็สัมผัสได้ว่าเจียงหลีมีความสุขขึ้นมา

เจียงอี๋อันไม่เคยเห็นไอโม่ซินยิ้มแบบนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรเขามักจะปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความอ่อนโยน สุภาพ และมีมารยาท ต่อให้รวมกลุ่มกินเหล้าหยอกล้อกับทุกคนก็จะเป็นคนที่มีลิมิตมากที่สุดอยู่ดี เธอไม่เคยเห็นไอโม่ซินแสดงสีหน้าอบอุ่นและมีรอยยิ้มเปี่ยมความรู้สึกแบบนี้มาก่อน

“นายคงต้องชอบแฟนหนุ่มของนายมากแน่ๆ” เจียงอี๋อันพูดออกไปโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พูดเสร็จแล้วถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่ระวังคำพูดไปหน่อย แต่ไอโม่ซินก็ยิ้มอีกครั้ง

“ใช่” เขาตอบกลับไปสบายๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึก

เจียงอี๋อันเองก็ยิ้มตามเช่นกัน เธอพูดด้วยความอิจฉาหน่อยๆ “โชคดีจัง ถ้าพรุ่งนี้ฉันตอบรับเจี่ยงหนิงซวน มันต้องเป็นเพราะนายแน่ๆ”

“ฉันไม่ยอมเป็นแพะรับบาปหรอก อีกเดี๋ยวเธอไปซื้อนมแอปเปิ้ลของโกลเด้นที่ซูเปอร์ฯ ด้วยนะ หมอซ่งชอบอันนั้น แอบยัดไปให้เขาหน่อยแล้วเขาจะคุยง่ายมากเลย” ไอโม่ซินแถมเคล็ดลับการรับมือกับหมอซ่งให้ขำๆ เขาโบกมือให้เธอ หลังจากได้รับรอยยิ้มซาบซึ้งกลับมาต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปยังห้องทำงานของตัวเอง

 

* ชิงหมิง หรือเช็งเม้ง คือหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์อันเป็นช่วงเวลาแห่งความสดใสรื่นรมย์ มักจะเริ่มในช่วงวันที่ 4 5 หรือ 6 เมษายน ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของชาวจีน

* จิงเจ๋อ แปลว่าแมลงตื่น เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ซึ่งอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ คือช่วงวันที่ 5 6 หรือ 7 มีนาคม เป็นวันที่อากาศค่อนข้างอบอุ่น มีฝนประปราย

** ชุนเฟิง เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ อยู่ในช่วงวันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่กลางวันและกลางคืนมีระยะเวลาเท่ากัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 28 .. 66

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: