บทที่ 19 ห้าปีหนึ่งฝัน
เฉินอิ๋งค่อยๆ หลับตาลง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความฝันพวกนั้น
นับตั้งแต่นางจดจำเรื่องราวต่างๆ ในชาติภพอื่นได้เมื่อแปดปีก่อน และรับรู้ว่ายามนี้ตนเองคือคุณหนูสามของบ้านรองจวนกั๋วกง นางก็ฝันแบบเดียวกันมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านี้ ความฝันแปลกประหลาดนั่นกลับยุติลง
ตลอดระยะเวลาห้าปีเต็มที่นางคล้ายเดินอยู่ในฝัน จวบจนชีวิตของคนผู้หนึ่งสิ้นสุด
หากจะบอกว่านั่นเป็นความฝัน ไม่สู้บอกว่ามันเป็นส่วนประกอบย่อยที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนผู้หนึ่งที่อยู่ในรูปแบบความฝัน ถูกเคี่ยวกรำจนกลายเป็นความทรงจำ
ส่วนเมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านี้ ความฝันของนางกลับแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ต่างอะไรกับความฝันที่แท้จริง ต่างกับเมื่อห้าปีก่อนที่เป็นดั่งประสบการณ์ต่อเนื่องที่คนผู้หนึ่งประสบพบพาน
“คุณนักสืบ…” เฉินอิ๋งพึมพำกับตนเอง มุมปากยกอยู่ในองศาแปลกประหลาด
ตอนอยู่ในฝัน นี่เป็นคำที่คนอื่นเรียกขานนาง
คุณนักสืบ
ใช่แล้ว ในฝันที่ยืดยาวต่อเนื่องถึงห้าปีนั้น นางไม่ใช่ตัวนาง หากแต่เป็นเขา เป็นคุณนักสืบคนหนึ่ง
ช่วงเวลาในฝันกระโดดข้ามเป็นตอนๆ จากวัยหนุ่มจนถึงวัยชรา เส้นเวลาดังกล่าวชัดเจนแจ่มแจ้ง นอกจากนี้ฝันพวกนั้นยังมีจุดเด่นอยู่อีกประการหนึ่งคือทั้งหมดล้วนมีคดีเป็นจุดเปลี่ยน
ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีเพียงความทรงจำหรือชีวิตคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นถึงจะปรากฏขึ้นในฝันของนาง
ตายไปสองครั้ง แต่กลับมีความทรงจำสามช่วงเวลา
นี่เป็นชะตากรรมที่แปลกประหลาดจริงๆ
เฉินอิ๋งพลิกกายอีกครั้ง ใช้ผ้าห่มห่อคลุมร่างแน่นหนา
ผ้าไหมอ่อนนุ่มสัมผัสอยู่กับผิวหนังชวนอุ่นสบาย
ว่ากันว่ามีเพียงคนที่รู้สึกไม่มั่นคงเท่านั้นถึงจะอาศัยข้าวของภายนอกสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับตนเอง ใช้มันบรรเทาความรู้สึกกังวลใจได้
หรือนางก็เป็นเช่นนั้น
เฉินอิ๋งรู้สึกเลอะเลือน
ไม่ว่าจะเป็นสังคมในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หรืออดีตชาติที่นางมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณ สำหรับเฉินอิ๋งแล้วความรู้สึกปลอดภัยเป็นคำที่นางไม่คุ้นเคยเลย
ในยุคปัจจุบัน นางได้แต่วิ่งวุ่นหัวปั่น ทั้งนี้ก็เพราะความที่เป็นเด็กกำพร้าทำให้นางต้องขยันขันแข็งกว่าคนอื่น นับแต่ชั้นประถมจนสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลชั้นนำ ทุกวันนางล้วนพยายามวิ่งขึ้นหน้าอย่างสุดความสามารถ เพื่อเอาตัวรอด เพื่อหาเลี้ยงชีพ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า เพื่อสิ่งของต่างๆ ที่นางต้องการ
วันเวลาเช่นนั้นนางไหนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยอะไร ครั้นหมดวัน พอหัวถึงหมอนนางก็สลบแล้ว ไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น
ส่วนชีวิตในเรือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์เมื่อชาติที่แล้ว นางตกอยู่ท่ามกลางแผนการและการต่อสู้ต่างๆ นานา ก่อนแต่งงานต้องต่อสู้กับพี่สาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ ต่อสู้กับอนุของบิดา ต่อสู้กับย่าและวงศาคณาญาติ หลังแต่งงานกลับยังต้องต่อกรกับพวกสาวใช้ ต่อสู้กับเหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้ สู้กับเหล่าสตรีที่หมายตาอยากได้ตำแหน่งนายหญิงของนาง
จากแรกๆ ที่ไม่คุ้นชิน ภายหลังนางก็ไม่ต่างอะไรกับปลาได้น้ำ เริ่มต้นตั้งอกตั้งใจเรียนรู้ ควบคุมนิสัยเดิมจนเป็นไปตามธรรมชาติ ก่อนจะจบชีวิตลงท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงภายในเรือนใน
ชีวิตทั้งสองชาติภพ นางล้วนไม่เคยรู้ว่าตนเองต้องการอะไร และไม่เคยถามใจตนเอง
นางก็แค่ไม่รู้จุดมุ่งหมาย เดินไปตามจังหวะย่างก้าวของผู้คนจำนวนมาก ไม่เคยเงยหน้ามองและไม่เคยหันหลังมองย้อนกลับไป
คนเข้านางก็เข้า คนถอยนางก็ถอย กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน
ทว่าในเวลานี้กลับเป็นครั้งแรกที่นางเริ่มหยุดคิดว่าเหตุใดนางต้องก้าวเดินไปตามรอยเท้าของผู้คนจำนวนมาก
สิ่งที่นางต้องการแท้แล้วคือสิ่งใด
อาจเพราะเดินตามคนอื่นมาเนิ่นนานเกินไป จนกระทั่งหยุดรั้งเท้านางถึงได้พบว่าที่แท้นางก็เป็นคนไร้เป้าหมายผู้หนึ่ง
เป้าหมายที่ว่าไม่ใช่เป้าหมายที่สอดคล้องตามภววิสัยเหมือนอย่างห้องชุดที่นางอยากได้ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน หรือตำแหน่งนายหญิงที่นางต้องการครอบครองมันไว้ชั่วนิรันดร์ในชาติปางก่อน
ไม่ใช่เป้าหมายจำพวกนั้น
เป้าหมายพวกนี้แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยขาดแคลน ในอดีตชาตินางถึงกับทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อพวกมัน
นางตระหนักได้ว่าเป้าหมายที่ตนเองขาดหาย แท้แล้วก็คือเป้าหมายในการดำรงชีวิต
คนเรามีชีวิตเพื่อสิ่งใด
ความหมายของชีวิตอยู่ที่ใด
นางไม่เคยนึกถึงปัญหาเหล่านี้มาก่อน
จนกระทั่งถึงยุคต้าฉู่ จากความทรงจำแปลกประหลาดทั้งสามช่วงทำให้นางตระหนักได้ว่าหากคนผู้หนึ่งมีทัศนคติต่อคุณค่าและชีวิตที่ชัดแจ้ง ดำเนินชีวิตไปตามความเชื่อมั่น ชีวิตของคนผู้นั้นจะบริบูรณ์เต็มไปด้วยสาระมากมายเพียงใด ชีวิตของนางหรือเขาจะเปล่งประกายเจิดจ้าแสบตาเช่นไร
หากบอกว่าความทรงจำทั้งสองชาติภพนั้นทำให้นางเข้าใจได้ถึงเหตุผลของความไม่แน่นอนในชีวิตมนุษย์ เช่นนั้นชีวิตในช่วงเวลานี้ก็ทำให้นางเข้าใจว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนในชีวิตมนุษย์นั้นมีเพียงความเชื่อ อุดมการณ์ ศรัทธา หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้ชีวิตไม่จืดชืดไร้รสชาติ ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็พูดตามอีก
นางมองไปทางรัศมีบางเบานอกม่านโปร่ง เฉินอิ๋งยิ้มขื่น
นางคล้ายตื่นจากฝัน
ที่น่าขันคือคนที่ปลุกนางตื่นไม่ใช่ใครไหนอื่น แต่หากเป็นตัวนางเอง
ครั้นได้สติ มาตรฐานการวางตัวทั้งสองชาติภพที่อยู่ภายในจิตใต้สำนึกของนางก็พังทลาย
‘เก็บงำสำรวม’ นี่เป็นถ้อยคำชื่นชมที่นางมักบอกกับตนเองทั้งตอนอยู่ในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดและยามอยู่ในเรือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในอดีตชาติ
ทว่ายามนี้นางกลับฉีกเปลือกจอมปลอมพวกนั้นทิ้ง เผยให้เห็นแก่นแท้อัปลักษณ์
ทุกสิ่งที่นางทำ ไหนเลยจะเรียกได้ว่า ‘เก็บงำสำรวม’ ได้
มันก็แค่การปล่อยชีวิตให้ไร้จุดยืน ยอมให้ความเกียจคร้านขลาดเขลาเข้ามาแทนที่สติปัญญาต่างหาก
นางใช้ชีวิตบัดซบเช่นนั้นมาสองชาติภพแล้ว
โดยเฉพาะชาติภพที่สอง ในยุคสมัยอันเลวร้ายที่นางไม่อาจแม้แต่จะคำนึงถึงตนเองก่อน ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นพรรคพวกของคนโฉดแห่งยุค
ภายใต้แสงเทียนหรุบหรู่ เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงเคยมีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนั้น
นางควรรู้อยู่แต่แรก โลกนี้ไม่เคยเป็นมิตรกับสตรี ทว่านางกลับมาอยู่ในยุคสมัยที่สตรีถูกกดขี่ ใช้มุมมองคุณค่าที่ไม่ใช่ของตนชั่งน้ำหนักทุกสรรพสิ่ง อาศัยอำนาจเล็กน้อยที่ยุคสมัยประทานให้บ่อนทำลายคนที่อ่อนแอกว่าและคนเพศเดียวกันที่ไม่อาจขัดขืนดิ้นรน
นั่นมันชีวิตที่น่าสมเพชแบบใดกัน
แต่ที่น่าสมเพชที่สุดคือครั้นตนเองปรากฏกายอยู่ในช่วงเวลานั้น นางกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกภาคภูมิใจในชีวิตเช่นนั้น
นางควรมีสติเร็วกว่านี้สักหน่อย จะได้ไม่ต้องตายเพราะโง่เขลาเลอะเลือน
โชคดีก็คือสวรรค์ให้โอกาสนางครั้งแล้วครั้งเล่า ให้นางมีโอกาสเริ่มต้นออกเดินทางใหม่
‘ข้าไม่กลัวตายอย่างโดดเดี่ยว ข้าแค่กลัวมีชีวิตอย่างไร้คุณค่า’
คำพูดประโยคนี้มาจาก ‘The marvelous Mrs. Maisel’*
เฉินอิ๋งรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ อยู่ภายในใจ
น่าประหลาดจริงๆ
ในชาติที่แล้วนางน้อยนักที่จะมีโอกาสนึกถึงทุกสิ่งอย่างในยุคปัจจุบัน ตรงกันข้ามหลังจากตายไปแล้วสองครั้ง ความทรงจำที่ถูกฝุ่นเกาะกลับถูกเช็ดถูจนสะอาดขึ้นมาอีกครั้ง เผยให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริง
บางทีนั่นต่างหากถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของนาง
หลังการเดินทางเลอะเลือนสองชาติภพในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จบลง ในที่สุดนางกับตัวนางอีกคนที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจก็ได้พบเจอกัน
นางคิด ในที่สุดนางก็ตื่นแล้ว เข้าใจแล้ว ตระหนักรู้แล้ว นางยินดีมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง ต่อให้เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ต่อให้หัวแตกเลือดไหลอาบ อย่างไรก็ยังดีกว่าร่วมผุพังไปกับยุคสมัยบัดซบนี้
ไม่ทันได้รู้ตัว เฉินอิ๋งก็หลับใหลไปอีกคราว แต่ครั้งนี้นางกลับไม่ฝันอันใดอีก
บทที่ 20 สามคนหนึ่งครอบครัว
ตอนเฉินอิ๋งตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้ายังคงมืดอยู่ เทียนที่ถูกจุดอยู่ยังมุมห้องดับมอดแล้ว เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังลอยอยู่ภายในห้อง
สาวใช้เวรดึกยังคงหลับใหลไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลังจากนอนอยู่บนเตียงต่ออีกครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็ผลักผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง
เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด จือสือที่นอนอยู่ข้างๆ สะดุ้งตื่น นางขยี้ตาพลางถามอย่างสะลึมสะลือว่า “คุณหนูต้องการดื่มน้ำหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ ข้าแค่อยากลุกลงจากเตียงเท่านั้น” เฉินอิ๋งห่อคลุมร่างไว้ใต้เสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว นางยื่นมือหมายจะเลิกม่าน
จือสือได้สติขึ้นมาทันที นางรีบพลิกตัวหยิบเสื้อขึ้นสวม กุลีกุจอสวมรองเท้าตรงไปจุดเทียน หลังจากนั้นก็เดินมาเลิกม่านให้เฉินอิ๋งพลางเอ่ยปาก “วันนี้คุณหนูตื่นเช้าจริงๆ”
“เช้านี้เกรงว่าจะไม่ว่างสักเท่าใดนักเลยต้องรีบตื่นมาฝึกกิจวัตรยามเช้าให้เสร็จ” เฉินอิ๋งปิดปากหาวคราหนึ่ง
อากาศอบอุ่นแล้ว คิดตื่นเช้าจึงไม่ได้ยากลำบากอะไรนัก นับเป็นโชคมหาศาล
หลังนั่งอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง นางก็หยิบเอาชุดเจี้ยนซิ่ว* ที่แขวนอยู่เหนือหัวเตียงลงมาสวมพลางกำชับเสียงแผ่ว “ข้ายังไม่รีบอาบน้ำแปรงฟัน ไปจัดการเตรียมธนูและลูกธนูให้เรียบร้อยก่อน ข้าจะรีบตามไป”
“เช้าเช่นนี้?” มือของจือสือหยุดขยับ สีหน้าวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ยามนี้อากาศด้านนอกยังหนาวอยู่ คุณหนูจะรออีกสักครู่หรือไม่ ไว้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เฉินอิ๋งสวมชุดเจี้ยนซิ่วของบุรุษลงบนตัวเรียบร้อยแล้ว กำลังค้อมเอวสวมรองเท้าหุ้มข้อ พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร อย่างไรอากาศตอนนี้ก็อุ่นกว่าเมื่อสองเดือนก่อนอยู่บ้าง”
จือสือรู้ดีถึงนิสัยของคุณหนูของตนเอง ขอเพียงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดโน้มน้าวเช่นไรก็ไม่มีทางสำเร็จ จึงได้แต่รับคำ เดินไปเลิกม่านประตู เรียกสาวใช้ตัวน้อยสองคนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ ก่อนจะออกไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง
สิ่งที่เฉินอิ๋งต้องทำทุกวันตอนเช้าคือคัดอักษร ฝึกมวย ยิงธนู
วิธีคัดตัวอักษรของนางไม่เหมือนกับคนอื่น มือเท้าล้วนมีแท่งเหล็กแขวนไว้ ยามฝึกห้ามงอขา มือห้ามสั่น ตัวอักษรห้ามเอียง ตัวอักษรเขียนสวยหรือไม่เป็นเรื่องรอง กำลังมือและกำลังขาสอดคล้องกับลมหายใจหรือไม่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ
ส่วนฝึกมวยกลับเป็นศิลปะการต่อสู้แบบคิกบ็อกซิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณนักสืบ นางทำได้เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ขอแค่พอใช้ป้องกันตัวยามฉุกเฉินเท่านั้นก็พอแล้ว
หลังฝึกทั้งสองอย่างเสร็จ ก็มาถึงช่วงฝึกธนู
นับแต่สามปีก่อนหลังฝึกทักษะพื้นฐานจนชำนาญ เฉินอิ๋งก็จัดแผนการฝึกซ้อมทุกๆ สิบวันที่ละเอียดมากกว่าเดิมขึ้นชุดหนึ่ง หมุนเวียนฝึกฝนทักษะการยิงธนูซับซ้อนอย่างการออกธนูติดๆ กันให้เร็วที่สุด เป้าเคลื่อนที่ไปตามความเร็วลมและสภาพอากาศ อีกทั้งยังมีเป้ากีดขวางที่เฉินอิ๋งคิดค้นขึ้น
เพื่อให้ฝีมือยิงธนูพัฒนามากยิ่งขึ้น นางยังสั่งคนให้ทำธนูสำหรับฝึกกำลังฉุดสำหรับฝึกแรงแขนขึ้นเป็นการเฉพาะ
ตอนนี้นางใช้ธนูที่มีแรงดึงสายเท่ากับน้ำหนักห้าสิบชั่งของยุคปัจจุบัน อัตราความแม่นยำอยู่ที่เจ็ดสิบส่วน
กว่าจะยุ่งกับการฝึกฝนช่วงเช้าเสร็จ พระอาทิตย์ก็ไต่ขึ้นไปอยู่เหนือกำแพงแล้ว ครั้นล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย เฉินอิ๋งก็พาสวินเจินและจือสือสองคนไปกล่าวทักทายหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อเพิ่งตื่น บางทีอาจเพราะคืนก่อนได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ ใบหน้านางยามนี้จึงปรากฏเลือดฝาดให้เห็นอยู่จางๆ ขับดุนใบหน้างดงามให้เปล่งประกายเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นางสวมอาภรณ์กันหนาวทอไหมปักกลุ่มบุปผาสีน้ำเงินเข้มกลางเก่ากลางใหม่ ท่อนล่างคือกระโปรงหม่าเมี่ยน ผ้าลู่โฉว สีเหลืองรังไหม เส้นผมรวบเก็บเอาไว้ง่ายๆ นั่งพักอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ริมหน้าต่าง
สาวใช้ที่ชื่อเจี้ยงอวิ๋นคุกเข่านั่งอยู่บนที่วางเท้า กำลังใช้กำปั้นสาวงาม ทุบขาให้หลี่ซื่อ พอเห็นเฉินอิ๋งเข้ามานางก็รีบแสดงคารวะ
เฉินอิ๋งโบกมือพลางยิ้มบอก “เจ้าจัดการกับธุระของเจ้าเถอะ”
เจี้ยงอวิ๋นแย้มยิ้มพลางทุบขาให้หลี่ซื่อต่อ
เฉินอิ๋งเดินเข้าไปค้อมกายคารวะ “อรุณสวัสดิ์ท่านแม่”
“เจ้ามาแต่เช้า เร็วกว่าพี่ชายเจ้าเสียอีก” หลี่ซื่อได้ยินเสียงเฉินอิ๋งก่อนแล้ว นางมองดูอีกฝ่าย สายตาอ่อนหวานละมุนละไมยิ่ง “ดูเจ้า ยังเช้าอยู่เลยแต่หน้าเล็กๆ นั่นกลับแดงระเรื่อแล้ว”
“ท่านแม่ดีขึ้นบ้างหรือไม่” เฉินอิ๋งนั่งลงบนตั่งลายดอกไห่ถัง เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย
หลี่ซื่อยิ้มอ่อนโยน แววตารักใคร่เอ็นดู “เด็กดี โชคดีที่เจ้าเปลี่ยนหมอคนใหม่มา แค่กินยาไปสองเทียบอาการของแม่ก็ดีขึ้นมาก เมื่อคืนหลับสนิทตลอดคืน เช้านี้ตื่นมารู้สึกมีกำลังวังชาไม่ใช่น้อย”
“เช่นนั้นก็ดี” รอยยิ้มแท้จริงระบายอยู่บนใบหน้าของเฉินอิ๋ง แววตาใสกระจ่างโค้งเรียวเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “ครานี้ท่านแม่ป่วยกะทันหัน ฝืนใช้ยาครึ่งๆ กลางๆ พวกนั้นเกรงว่ากว่าจะหายคงอีกนาน หมอหลวงจางอยู่กับท่านย่ามานาน ใช้ยาอันใดล้วนระมัดระวัง”
ยาดังกล่าวเหมาะที่จะใช้รักษาผู้สูงอายุ ทว่าหลี่ซื่อหาได้มีความจำเป็นเช่นนั้น
“แม่ว่าท่านหมอหม่าก็ไม่เลว ไม่ว่าเช่นไรเขาก็มาจากหุยชุน” หลี่ซื่อยิ้มบอก
หุยชุนเป็นโรงหมอมีชื่อในเมืองเซิ่งจิง ท่านหมอหม่าประจำอยู่ที่นั่น เรื่องทักษะแพทย์ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง
หลังสองแม่ลูกพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงสาวใช้ที่อยู่ทางด้านนอกก็ดังขึ้น “คารวะคุณชายรอง”
หลี่ซื่อแย้มยิ้ม “ในที่สุดพี่ชายของเจ้าก็มา พวกเรากินข้าวเช้าด้วยกันเร็วหน่อยก็แล้วกัน” นางมองดูเฉินอิ๋งพลางพูดเสียงแผ่ว “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแม่รู้หมดแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก เสียก็แต่ที่นี่วันนี้คงเลี่ยงเสียงเอะอะไม่ได้แล้ว”
เพราะเข้าใจในความหมายของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี พวกนางจึงทำเพียงยิ้มหยุดบทสนทนาไว้ชั่วคราว เฉินจวิ้นเดินเข้ามา และแสดงคารวะต่อหลี่ซื่อ
เฉินจวิ้นรูปร่างหน้าตาคล้ายเฉินเซ่าผู้เป็นบิดา หล่อเหลางดงาม ครั้นสวมใส่อาภรณ์ยาวสีเขียวต้นไผ่ก็ยิ่งขับดุนให้แลดูสูงโปร่งมากยิ่งขึ้น บนเส้นผมดำขลับมีปิ่นหยกปักอยู่อันหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทำเอาเฉินอิ๋งดูคล้ายมิใช่น้องสาวร่วมอุทร
“ท่านแม่รีบให้ตั้งโต๊ะอาหารเถอะ ลูกหิวจนท้องแทบจะแนบติดแผ่นหลังอยู่แล้ว” เพิ่งนั่งลงได้ไม่ทันไรเฉินจวิ้นก็เริ่มเอ่ยปากร้องหิว กลิ่นอายคุณชายสูงส่งบนตัวถูกทำลายลงจนหมดสิ้น
คนที่อยู่เต็มห้องต่างพากันหัวเราะ หลี่ซื่อเองก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน นางคว้ากำปั้นสาวงามในมือเจี้ยงอวิ๋นทุบลงบนตัวบุตรชายเบาๆ คราหนึ่ง “เจ้าลิงตัวนี้ ต่อหน้าแม่รู้จักแต่ทำเป็นเล่น”
เฉินจวิ้นนวดไหล่พลางบ่นเจ็บ ก่อนจะเรียกมามาให้เข้ามาช่วยนวด หลี่ซื่ออดหัวเราะออกมาอีกคราวไม่ได้ เมื่อครู่นางสั่งให้คนตั้งโต๊ะอาหารแล้ว พวกนางสามคนแม่ลูกกินอาหารกันเงียบๆ พูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง ครั้นเห็นผู้เป็นมารดาสีหน้าเหนื่อยอ่อน พวกเขาสองพี่น้องก็เอ่ยปากขอตัวลา
“วันนี้ท่านพี่ทำได้ดีมาก ทำท่านแม่หัวเราะถึงสามครั้ง ยิ้มอีกสิบเจ็ดครั้ง หนำซ้ำยังกินข้าวได้ครึ่งถ้วย แป้งม้วนอีกครึ่งชิ้น” ทันทีที่สองพี่น้องเดินขึ้นไปอยู่บนระเบียงประสาน เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากชมเฉินจวิ้นออกมาทันที
เฉินจวิ้นไม่ได้ดีใจที่ถูกชม ตรงกันข้ามกลับมีสีหน้าโกรธขึ้งโมโห “เหตุใดทุกครั้งต้องให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้ด้วย เจ้าหยอกเย้าท่านแม่ให้ยิ้มไม่ได้หรือไร ข้าเป็นพี่ของเจ้า แต่เจ้ากลับสั่งข้าทำเรื่องพวกนี้”
เฉินอิ๋งมองตาอีกฝ่าย มุมปากยกยิ้มอยู่ในองศาแปลกประหลาด “พี่รู้สึกว่าข้าเหมาะอย่างนั้นหรือ”
เฉินจวิ้นจ้องใบหน้าของผู้เป็นน้องสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าห่อเหี่ยว “เจ้าไม่เหมาะจริงๆ”
หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือเชิดคางเฉินอิ๋ง พิจารณาดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเพ่งพินิจปรากฏชัด “ข้าว่าน้องสาม เจ้าเกิดมาถึงจะไม่งดงาม แต่ก็ไม่ได้อัปลักษณ์ แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ยิ้มน่าเกลียดน่าชังเช่นนั้น”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” เฉินอิ๋งยิ้มมุมปากอีกคราว “ข้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว ก็เหมือนกับพี่ที่เกิดมาก็หล่อเหลางามสง่า”
เฉินจวิ้นชอบฟังคำพูดนี้ที่สุด เขาสองมือไพล่หลังรวดเร็ว หันหลังให้เฉินอิ๋งวางท่าคล้ายกำลังทอดตามองไกลออกไปพลางพูดทอดถอนใจว่า “พี่ชายของเจ้าเป็นผู้มีรูปงามที่สุดในบรรดาสี่บุรุษผู้งามสง่าแห่งสำนักศึกษาหลวง เกิดมาก็หน้าตางดงามหล่อเหลาเกินกว่าผู้ใด”
บทที่ 21 แดงรัญจวนเขียวชอุ่ม
เฉินอิ๋งอมยิ้มมองดูเฉินจวิ้น ไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใด
เฉินเซ่าหายสาบสูญไปเจ็ดปี เฉินจวิ้นก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้เจ็ดปีเช่นกัน
ตลอดเจ็ดปีมานี้เฉินอิ๋งเห็นกับตาว่าพี่ชายของนางใช้วิธีหลบหนีเอาตัวรอดเช่นไร อีกฝ่ายเลือกเหยียดหยันสังคม คล้ายไม่สนใจไยดีใดๆ ติดอาวุธให้ตนเองทีละน้อยจนหอกดาบฟันแทงไม่เข้า
ล้วนแต่บอกว่ายากจนเปลี่ยนคนเป็นผู้ใหญ่ก่อนกาล ยากแค้นทำคนเติบโต
เฉินจวิ้นเติบใหญ่ด้วยวิธีการของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เฉินอิ๋งเท่านั้นที่มองเห็น หลี่ซื่อเองก็เช่นกัน ทว่าผู้คนที่อยู่รายรอบใช่ว่าจะสัมผัสรับรู้ได้
สองพี่น้องแยกทางกันตรงหน้าประตูเรือน เฉินจวิ้นกลับห้องหนังสือไปอ่านหนังสือทบทวนตำราต่อ ส่วนเฉินอิ๋งเรียกคนปิดประตูเรือนและเปิดประตูลานตะวันตกที่เชื่อมต่อกับภายนอกแทน ก่อนจะเรียกตัวฮวาไจ้ผู่จยากับสาวใช้อีกสองสามคนออกมา เอ่ยปากกำชับว่า “เจี้ยงอวิ๋น จื่อฉี่ เจ้าอยู่เฝ้าเรือนให้ดี ฮวามามา อีกสักครู่ไม่ว่าผู้ใดมาก็ให้บอกไปว่าท่านแม่เพิ่งกินยา ยามนี้นอนหลับพักผ่อนอยู่ ไม่สะดวกรับแขก หลังจากนั้นค่อยพาพวกนางไปที่เรือนหงเซียงอู้แทน”
นับแต่เฉินเซ่าหายสาบสูญ หลี่ซื่อก็ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ล้มป่วยบ่อยครั้ง คำพูดนี้ไม่อาจนับว่าเฉินอิ๋งโป้ปด
ฮวาไจ้ผู่จยารับปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำพาคนจากไป จากนั้นเฉินอิ๋งก็เรียกสวินเจินกับจือสือมา ให้พวกนางพาสาวใช้ตัวน้อยสองสามคนไปเตรียมของว่าง จัดวางเก้าอี้และของตกแต่งอื่นๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปเรือนหงเซียงอู้
บ้านรองแม้คนจะไม่มาก ทว่าห้องหับเรือนลานกลับมีอยู่ไม่น้อย เฉพาะเรือนข้างก็มีอยู่ด้วยกันถึงสี่หลังแล้ว หนำซ้ำยังมีเรือนเล็กงดงามวิจิตรอีกสองหลัง ยามนี้นอกจากหงเซียงอู้เรือนข้างฝั่งตะวันตกที่ถูกเฉินอิ๋งใช้เป็นห้องหนังสือกับต้อนรับแขกแล้ว ยังมีเรือนตุยจิ่นอีกหลังที่ถูกนางดัดแปลงใช้เป็นลานฝึกยุทธ์ ลานเรือนที่เหลือนอกจากนั้นล้วนถูกปิดประตูลงกลอนไม่มีการใช้งาน
เรือนหงเซียงอู้มีห้องอยู่สามห้อง ตกแต่งเรียบง่าย เฉินอิ๋งใช้มันเป็นห้องหนังสือมาโดยตลอด หลังจากเข้ามานางก็ตรงไปยังเรือนประธาน หลังเลือกบันทึกปกิณกะเล่มหนึ่งมานั่งอ่านได้ไม่ทันไร เสียงคนพูดคุยกันจากทางด้านนอกก็ดังลอยเข้ามา
“น้องสามกำลังทำอะไรอยู่ ข้าแวะมาเยี่ยมเจ้าแล้ว” คนยังไม่ทันถึง เสียงกลับมาถึงก่อน เฉินอิ๋งยิ้มมุมปากและวางหนังสือลง ก่อนจะพบว่าที่นอกม่านประตูมีโฉมสะคราญงดงามประหนึ่งน้ำค้างยามวสันต์อาบแสงเงินแสงทองยามอรุณรุ่งยืนอยู่ ที่แท้อีกฝ่ายก็คือเฉินจิ่นนั่นเอง
“พี่ใหญ่มาแล้ว รีบเข้ามานั่งพักที่ด้านในเถอะ” เฉินอิ๋งทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เชื้อเชิญอีกฝ่ายนั่งก่อนจะบอกให้คนนำของว่างที่เพิ่งทำเสร็จเข้ามารับแขก
เฉินจิ่นนั่งลง ดวงตาวับวาว สายตากวาดมองไปรอบๆ คราหนึ่ง สีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม นางถอนหายใจกล่าว “น้องสาม ห้องหนังสือของเจ้านี้ว่างเปล่าเกินไปแล้ว ไม่สมกับคำว่าหงเซียงอู้* เลยแม้แต่น้อย”
คุณหนูผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ล้วนเอ่ยปากรจนาบทกวีได้
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก “น่าขายหน้ายิ่งนัก”
หลังจากนั้นนางก็ชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “เมื่อดอกไม้ข้างนอกผลิบาน ถึงตอนนั้นเรือนนี้ก็จะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป”
ลานของเรือนหงเซียงอู้ปลูกต้นไห่ถังไว้สองสามต้น ยามผลิบานเรือนทั้งเรือนก็จะเต็มไปด้วยสีสันสดใสงดงาม ยามนี้แม้ช่วงผลิดอกจะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเงาไม้เขียวชอุ่มก็ยังคงสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เฉินอิ๋งรู้สึกว่านอกหน้าต่างมีเงาไม้สูงๆ ต่ำๆ ในสายลมมีกลิ่นหอมสดชื่นของใบหญ้า เพียงเท่านี้ห้องหนังสือนี้ก็จัดว่าได้มาตรฐานแล้ว
เฉินจิ่นกลับขมวดคิ้วส่ายหน้า “เช่นนี้หาได้ไม่ อีกครู่ข้าจะกลับไปบอกท่านแม่ให้นางเปิดห้องคลัง มอบข้าวของตกแต่งเพิ่มเติมให้เจ้าสักหน่อย” พูดๆ อยู่นางก็นึกสนุกลุกขึ้นเดินวนไปมาอยู่ในห้องหนังสือ ประเดี๋ยวชี้ตรงนี้บอกขาดแจกัน ประเดี๋ยวก็บอกตรงนั้นขาดบังตาขาดโต๊ะ ประเดี๋ยวก็ติว่าผ้าคลุมเก้าอี้เก่าเกินไป กี๋กระเบื้องลวดลายล้าสมัยต่างๆ นานา ทั่วทั้งห้องไม่มีจุดใดที่นางจะไม่ตำหนิ
กว่านางจะหยุดพูดได้ก็ไม่ใช่ง่าย เฉินจิ่นนั่งลงดื่มน้ำชาใหม่อีกครั้ง ครั้นชาผ่านเข้าปาก นางก็หรี่ตาพยักหน้า “ทว่าชานี้กลับไม่เลว ชาสือฮวาจากเขาเหมิงติ่ง?”
“คิดว่าคงใช่ เมื่อสองสามวันก่อนท่านป้าใหญ่ให้คนส่งมา” เฉินอิ๋งพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่มั่นใจ
เฉินจิ่นกระดกนิ้วเรียวยาวชี้มาที่นางพลางยิ้มพูด “น้องสามเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก มีอะไรไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่คือชาสือฮวาเขาเหมิงติ่ง แต่เจ้ายังคิดจะเอาเรื่องอื่นมาพูดหลอกข้าอีก”
เฉินอิ๋งอับจน นางถอนหายใจออกมาคราวหนึ่ง “ข้าเองไม่รู้เรื่องชาสักเท่าใดนัก ดื่มไปก็บอกไม่ถูก พี่ใหญ่ถามเสียเปล่าแล้ว”
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน สาวใช้สวมเสื้อตัวยาวไม่มีแขนสีเขียวต้นหอมผู้หนึ่งก็เดินเข้ามายิ้มรายงาน “คุณหนู คุณหนูสี่ คุณหนูห้า คุณหนูหก และคุณหนูเจ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นพูดจบ เสียงสนทนาจ้อกแจ้กจอแจที่ด้านนอกก็ดังขึ้น ระคนอยู่กับเสียงฝีเท้ามากมายหลายคู่
เฉินจิ่นวางถ้วยชาลง สีหน้าถากถางเย้ยหยันปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
สวินเจินที่อยู่ข้างๆ หน้ามุ่ยสั่งพวกสาวใช้ตัวน้อยให้ยกเก้าอี้จัดโต๊ะชา คุณหนูทั้งสี่จากบ้านสามทยอยเดินกันเข้ามา
บ้านสามมีคุณหนูอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน คุณหนูรองเฉินเซียง คุณหนูสี่เฉินหาน คุณหนูห้าอายุสิบขวบเฉินชิง ล้วนเป็นบุตรีที่เกิดจากเสิ่นซื่อ ส่วนคุณหนูหกอายุแปดขวบเฉินหยวน คุณหนูเจ็ดอายุเจ็ดขวบเฉินเหมย ทั้งสองเกิดจากอนุ นอกจากนี้บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของบ้านสาม คุณชายห้าเฉินสวินก็เป็นบุตรชายในอุทรของอนุเช่นกัน ปีนี้เพิ่งอายุสองขวบ
เสิ่นซื่อเดิมเป็นบุตรีของผู้ช่วยตุลาการแห่งศาลเขตอิ้งเทียน ด้วยเพราะประจวบเหมาะทำให้ได้แต่งเข้าจวนกั๋วกง เรียกได้ว่าเป็นการแต่งงานเลื่อนฐานะ หลังแต่งงานนางก็พยายามอย่างสุดกำลังแข่งขันกับพี่สะใภ้ทั้งสองที่เกิดมาฐานะสูงส่ง โดยเฉพาะหลี่ซื่อที่ถูกนางเห็นเป็นศัตรูลับๆ
น่าเสียดายที่ท้องของเสิ่นซื่อไม่เอาไหน หลังให้กำเนิดบุตรีสามคน ท้องของนางก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก ด้วยเพราะร้อนใจ ในที่สุดนางก็เชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการ ถึงได้พบว่าตอนคลอดเฉินชิงร่างกายนางมีปัญหาทำให้ยากจะมีบุตรได้อีก
เสิ่นซื่อร่ำไห้หนัก ด้วยเพราะจนใจนางจึงรับสาวใช้ที่ติดตามมาตอนแต่งงานทั้งสองคนให้ขึ้นมาเป็นอนุ ได้แก่เก๋ออี๋เหนียง กับฟั่นอี๋เหนียง หวังว่าท้องของพวกนางจะพยายามมากหน่อย
ที่น่าเสียดายก็คืออนุทั้งสองต่างก็ให้กำเนิดบุตรี หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอันใดอีก ในที่สุดทางบ้านของเสิ่นซื่อก็นั่งไม่ติด มารดาของเสิ่นซื่อออกโรงเอง คัดเลือกเอาหลานสาวห่างๆ ที่รูปร่างนิสัยดีส่งเข้าจวนกั๋วกงมา ซึ่งในเวลานี้ก็คือซูอี๋เหนียง
ซูอี๋เหนียงนับว่ามีโชควาสนาไม่เลว เข้าจวนกั๋วกงมาได้ไม่นานก็ตั้งครรภ์ ปีที่สองให้กำเนิดบุตรชายมาผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเฉินสวิน ยามนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเสิ่นซื่อ
บ้านสามมีทายาทสืบสกุล ซูอี๋เหนียงย่อมเป็นมารดาอาศัยวาสนาบุตร ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเพราะนางอายุยังน้อยหน้าตางดงามหมดจด พอรู้จักหนังสืออยู่บ้าง นายท่านสามเฉินเหมี่ยนจึงรักใคร่เอ็นดูนางยิ่งกว่าใคร ว่ากันว่าเขาเคยปรึกษากับฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เรื่องนำพาพี่น้องทั้งสองของซูอี๋เหนียงมาเล่าเรียนในเมืองหลวง ทว่ากลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ปฏิเสธเสียงแข็ง หนำซ้ำยังถูกตำหนิเสียยกใหญ่
จะไม่พูดก็คงไม่ได้ ที่จวนกั๋วกงมีสถานะอย่างเช่นทุกวันนี้ บุตรชายทั้งสี่ล้วนมีหน้ามีตา ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เรียกได้ว่ามีความดีความชอบอยู่ไม่ใช่น้อย
นางวางตัวสง่าผ่าเผย ปกครองผู้คนในครอบครัวอย่างเข้มงวด รักใคร่เอ็นดูบุตรทั้งสี่เท่าเทียมกันมาโดยตลอด ไม่เพียงเสื้อผ้าอาหารการกินที่ทุกคนล้วนได้เหมือนกันหมด หากยังคอยอบรมสั่งสอนพวกเขาตามความสามารถ เชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาให้พวกเขาตั้งแต่แรกเริ่ม ครั้นเรียนรู้สำเร็จก็เชิญให้บ้านของผู้เป็นมารดาช่วยเหลือออกแรง ส่งพวกเขาเข้าไปเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาหลวง หลังเข้าทำงานกับทางการ ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ยิ่งให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง
นางไม่เพียงเป็นมารดาที่คู่ควร หากแต่ยังเป็นแม่ยายที่โอบอ้อมอารี หลังบุตรชายทั้งสี่ต่างพากันมีครอบครัว นางก็มอบหมายงานดูแลบ้านเรือนให้สวี่ซื่อ ส่วนตนเองก็ทำหน้าที่เป็นเหล่าเฟิงจวิน เรื่องราวภายในบ้านของบุตรชายนางแทบไม่เคยยื่นมือเข้าไปสอด ทำเพียงปิดประตูพักผ่อนอย่างสงบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.