X
    Categories: everYคน • สื่อ • วิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน คน • สื่อ • วิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 4 #นิยายวาย

บทที่ 4

เจียงอี๋อันไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวจนหมดหนทางแบบนี้มาก่อน

เธอกำผ้าห่มแน่น ร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ขดอยู่บนที่นอนและสั่นสะท้านไม่หยุด เธอรู้ว่าตัวเองกำลังฝัน ฝันเห็นผู้ชายใบหน้ารางเลือนคนหนึ่ง เธอเหมือนอยู่ในหมอกควัน มองอะไรไม่ชัดสักอย่าง มีเพียงเงาดำเงาหนึ่งที่เข้ามาใกล้เธออย่างช้าๆ

เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย ได้แต่ยืนอยู่กับที่ เงาดำที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกกระสับกระส่าย แถมยังได้ยินเสียงดังแว่วมาจากด้านในม่านหมอกอีกด้วย ราวกับว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเปล่งเสียงสาปแช่ง แต่เมื่อฟังดูดีๆ คนคนนั้นก็เหมือนจะกำลังด่าว่าเธอยั่วผู้ชายไร้ยางอาย และไม่อนุญาตให้เธอไปข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนอื่น

นี่จะต้องเป็นความฝันแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงไม่สามารถขยับเขยื้อนและโต้ตอบได้เลยล่ะ ถ้ายังตื่นอยู่เธอจะต้องสบถด่าคำโตแน่ๆ

สิ้นเสียงด่าของผู้ชายคนนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากความว่างเปล่าในม่านหมอก คว้าจับเธอเอาไว้ น้ำเสียงอยู่ใกล้เบื้องหน้า “ไม่เป็นไร เธอยังไม่รู้จักฉัน เอาไว้พวกเราแต่งงานกันแล้ว ถ้าเธอไม่รู้ฉันจะค่อยๆ สอนเอง ฉันจะดีกับเธอ”

มือข้างนั้นเย็นมาก เย็นจนเธอสั่นสะท้าน กระทั่งเธอรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรก็สะบัดมือข้างนั้นออกไปทันที แต่ดูเหมือนว่ามันจะติดหนึบจนสะบัดไม่หลุด เธอนึกอยากด่ากลับไปแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงได้ ระหว่างที่เธอกำลังรู้สึกตื่นตระหนกก็มีใบหน้าหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากม่านหมอก จากไกลเข้ามาใกล้ เครื่องหน้าเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้น บนใบหน้าแข็งทื่อขาวซีดมีรอยยิ้มจาง ราวกับรอยยิ้มแปลกประหลาดที่ใช้มือดึงมุมปากซากศพเย็นชืด

ในที่สุดเธอก็มองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเจน เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนและคุ้นเคยใบหน้านี้อย่างมาก

ใบหน้านั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอ โดยที่มือข้างหนึ่งคว้าเธอไว้แน่น อีกฝ่ายเอาแต่พูดเองเออเองและชมว่าตัวเองเป็นคู่แต่งงานที่ดีมากแค่ไหนไม่หยุด เธอไม่สามารถตอบกลับได้จึงพยายามคิดสุดชีวิตว่าตัวเองเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหน ชายหนุ่มเห็นเธอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ชักสีหน้าด่าเธออีกครั้ง กระทั่งเธอเห็นว่ารอยยิ้มประหลาดหายไปแล้ว ในที่สุดก็นึกออกว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร

ในเวลาเดียวกับที่เธอคิดออก ความหวาดกลัวมากมายมหาศาลก็จู่โจมเข้ามา ตอนที่เธอเห็นหูเยี่ยนเจ๋อด้วยตาตัวเองยังไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้เลย เธออยากจะกรีดร้องเสียงแหลมแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงได้ ทำได้เพียงพยายามใช้แรงทั้งหมดสะบัดมือที่ผู้ชายคนนั้นบีบเธออยู่ให้หลุด

ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม เขาเหมือนลูกค้าเอาใจยากจู้จี้จุกจิก ทั้งยังจับมือเธอแน่นกว่าเดิมและก่นด่าไม่หยุดว่าเธอไม่รู้จักอ่านสีหน้าคนอื่นเอาเสียเลย

เสียงด่าดังขึ้นข้างหูของเธอ เธอหวาดกลัวจนตัวชา ในหัวกรีดร้องเสียงดังซ้ำไปซ้ำมา เธออยากจะสะบัดผู้ชายคนนั้นออกไปแต่กลับทำไม่ได้ ทว่าสติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่ทำให้เธอรู้ตัวว่าผู้ชายคนนี้เหมือนจะไม่สามารถเข้าใกล้เธอไปมากกว่านี้ จนถึงตอนนี้นอกจากเสียงด่าข้างหูและมือข้างหนึ่งที่คว้าจับเธอเอาไว้แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้เข้ามาใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียว

หลังจากรับรู้ได้ถึงจุดนี้เธอก็หลับตาลงและดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด หวังเพียงว่าจะตื่นขึ้นจากความฝัน เธอกรีดร้องเสียงแหลมไม่หยุดแม้รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถส่งเสียงได้ แต่ในหัวของเธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าสงสารและสะพรึงกลัวของตัวเอง กระทั่งกลบเสียงสาปแช่งของชายคนนั้นสนิท

เจียงอี๋อันตื่นขึ้นมาและแทบจะกระโดดขึ้นจากเตียงทันที เธอตื่นตกใจจนทั้งร่างขดตัวแนบชิดกับผนัง ทั้งยังสั่นเทาไม่หยุด เมื่อค่อยๆ มั่นใจว่าตัวเองตื่นแล้วจึงได้สงบลง

เธอหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผ่านไปเนิ่นนานมือสั่นๆ ถึงได้ควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ข้างหมอน

“อี๋อัน มีอะไรเหรอ เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายเธอก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ฉัน…ฉันฝันถึง…ฉันไม่รู้ว่าฉันฝันถึงอะไร มีผู้ชายคนหนึ่ง…ฉันรู้สึกว่าเขาเหมือน…ไม่สิ เขามาหาฉัน ฉันกลัวมาก…ฉันกลัวมากจริงๆ นะ…”

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ เธอไม่ต้องกลัวนะ อีกเดี๋ยวฉันก็ถึงแล้ว เธอห้ามวางโทรศัพท์นะ ฉันอยู่ตรงนี้”

หลังจากเจี่ยงหนิงซวนรับโทรศัพท์ก็ตาสว่างทันที ถึงจะฟังดูเหมือนเจียงอี๋อันแค่ฝันร้าย แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินน้ำเสียงของเธอตื่นตระหนกและอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน มันทำให้เขาตกใจจนต้องรีบสวมเสื้อผ้าและวิ่งออกจากประตูไปด้วยความเร็วสูงสุด เขาเปิดลำโพงคุยกับเจียงอี๋อันไม่หยุดและยังไม่ลืมส่งข้อความไปหาไอโม่ซินด้วย

เจี่ยงหนิงซวนอาศัยอยู่ห่างจากเจียงอี๋อันประมาณครึ่งชั่วโมงโดยการขับรถ ทว่าไอโม่ซินที่ได้รับข้อความกลับมาถึงบ้านเช่าของเจียงอี๋อันเร็วกว่า

ไอโม่ซินยืนยันที่อยู่บนโทรศัพท์ ถ้าไม่ใช่ว่าเจี่ยงหนิงซวนส่งที่อยู่มาให้เขา เขาก็คงไม่รู้ว่าบ้านที่เจียงอี๋อันอาศัยอยู่ใกล้กับเขามาก

กดกริ่งนานเป็นนาที เมื่อเจียงอี๋อันทำการยืนยันจากอินเตอร์โฟนว่าเป็นเขาจริงๆ ถึงได้กดปุ่มเปิดประตูให้เขาขึ้นมา

ขณะที่ไอโม่ซินกำลังจะผลักประตูเข้าไป รถของเจี่ยงหนิงซวนก็ทะยานเข้ามาหยุดลงตรงหน้าประตู ก่อนจะดับเครื่องยนต์แล้วพุ่งลงมาจากรถแบบไม่สนใจกุญแจโดยที่ยังคงถือโทรศัพท์พูดไปด้วย “อี๋อันฉันถึงแล้วนะ ฉันมองเห็นเสี่ยวไอแล้ว พวกเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ไอโม่ซินไม่ได้รู้สึกกังวลเท่ากับเจี่ยงหนิงซวน เพราะยังพอมีเวลากว่าจะถึงวันชิงหมิง เจ้าหมอนั่นอาจจะเพิ่งเริ่มเข้ามาในฝันของเธอก็ได้ เขารั้งเจี่ยงหนิงซวนเอาไว้ “ไม่ต้องรีบร้อน ฉันจะไปกดลิฟต์ก่อน นายไปดึงกุญแจล็อกรถให้เรียบร้อยเถอะ ไม่งั้นถ้ารถถูกขับออกไปจะทำยังไง”

เจี่ยงหนิงซวนเหมือนจะไม่อยากสนใจรถ แต่เจียงอี๋อันได้ยินเข้าก็เลยบอกให้เขาไปล็อกรถแล้วค่อยขึ้นมา เขาเลยต้องไปจัดการรถแต่โดยดีแล้วค่อยวิ่งเข้ามาในลิฟต์ ไอโม่ซินกดลิฟต์รอเขา เจี่ยงหนิงซวนร้อนใจมาก แต่เมื่อเห็นว่าไอโม่ซินยังคงสงบเยือกเย็น หนำซ้ำโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณเมื่ออยู่ในลิฟต์ เขาเลยได้แต่ตัดสายโทรศัพท์ไป เมื่อรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยแล้วก็อดถามไม่ได้ “นายรู้มั้ยว่าอี๋อันเป็นอะไร ฉันไม่เคยเห็นเธอตกใจจนเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”

“น่าจะเป็นเรื่องวิวาห์ผีของพี่สาวเธอ วางใจเถอะ ฉันมีเบาะแสแล้ว นายไม่ต้องกังวลไปหรอก แค่ปลอบอี๋อันให้ดีก็พอ วันนี้ฉันจะไปจัดการเรื่องนี้ซะ” น้ำเสียงของไอโม่ซินสงบนิ่งมั่นคง ทำให้ความรู้สึกตื่นตัวของเจี่ยงหนิงซวนค่อยๆ เย็นลงเช่นกัน

เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นสิบ เจี่ยงหนิงซวนก็สงบลงและดันประตูให้ไอโม่ซินเข้าไปก่อน เจียงอี๋อันเปิดประตูรอพวกเขาไว้แล้ว ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดง แต่ดูเหมือนจะสงบสติอารมณ์ไปได้มากโขแล้ว

“ขอโทษนะ…ดึกดื่นขนาดนี้ยังรบกวนพวกนายอีก…”

“เธอไม่ใส่เสื้อผ้าอีกสักตัวล่ะ” เจี่ยงหนิงซวนทนไม่ไหวจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองคลุมลงบนร่างของเจียงอี๋อันก่อนดันเธอเข้าไปในห้อง ไอโม่ซินตามหลังเข้าไปแล้วปิดประตู

เจียงอี๋อันเห็นพวกเขาสองคนก็รู้สึกเหมือนได้กลับมายังความเป็นจริงที่คุ้นเคย ขณะที่รู้สึกสบายใจก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องโง่ๆ ลงไป เธอพูดด้วยความเขินอาย “ฉันก็แค่ฝันร้าย ขอโทษนะที่ทำให้พวกนายสองคนตกใจตื่น”

“เธอแน่ใจนะว่าเป็นแค่ฝันร้าย” เจี่ยงหนิงซวนเข้าไปในครัวอย่างคุ้นเคย แล้วชงช็อกโกแลตร้อนมาให้เธอแก้วหนึ่ง แถมยังต้มกาแฟยกมาให้ไอโม่ซินด้วย

“ฉัน…ฉันไม่รู้ ความรู้สึกนั้นมัน…เหมือนจริงมาก”

แค่นึกถึงเจียงอี๋อันก็ยังรู้สึกหวาดกลัว เจี่ยงหนิงซวนจึงหยิบตุ๊กตากระต่ายตัวหนึ่งที่วางไว้บนโซฟาให้เธอ “ถือเอาไว้ มีอะไรต้องอายกัน”

เจียงอี๋อันตกใจ แต่ก็ยังกอดกระต่ายสุดรักของเธอเข้าไปในอ้อมแขน เมื่อกี้เพราะพวกเขากำลังจะขึ้นมาเลยวางกระต่ายลง เธอเหลือบมองไอโม่ซินโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีอะไรก็กอดกระต่ายแน่นกว่าเดิม

เจี่ยงหนิงซวนรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอก็โมโหนิดๆ จนปัญญาหน่อยๆ เขาหันไปอธิบายกับไอโม่ซิน “เมื่อปีที่แล้วเธอเป็นไข้หนัก ตัวร้อนอยู่สามสี่วัน แม่เธอไปเที่ยวต่างประเทศ พี่สาวเธอก็ออกไปดูงาน ฉันบังเอิญโทรมาหาเธอก็เลยเอาอาหารผูกมิตรมาให้เธอ ยัยนี่ก็ทำเหมือนฉันเป็นพ่อบ้านของเธอโดยไม่เกรงใจกันสักนิด เพราะงั้นในครัวของเธอมีอะไรบ้าง หรือว่าเธอมีนิสัยการนอนเป็นยังไงฉันก็รู้หมดแล้ว”

ปรากฏว่าพอเขาอธิบาย เจียงอี๋อันกลับอึ้งไป ไอโม่ซินยกยิ้มมองเจี่ยงหนิงซวนแล้วพูดขึ้น “คนที่ไม่สนใจใครหน้าไหนอย่างนาย ในอนาคตถ้าอยากตามจีบเจียงอี๋อันให้ติดก็คงต้องใช้บุญกุศลของบรรพบุรุษแล้วล่ะ”

เจี่ยงหนิงซวนยังไม่รู้ตัว เขาถามไอโม่ซินด้วยความโมโห “นายหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความตรงตัวนั่นแหละ” ไอโม่ซินตอบกลับแล้วหันไปมองเจียงอี๋อันยิ้มๆ “ใช่มั้ย”

เจียงอี๋อันยิ้มขึ้นมาทันที เธอซุกหน้าเข้าหากระต่ายและกลั้นยิ้มอยู่นานกว่าจะสูดหายใจเข้าลึกๆ “เขา…ซื่อบื้อไปนิดจริงๆ”

เจี่ยงหนิงซวนเห็นเธอยิ้มได้ก็รู้สึกโล่งอก เขาพูดด้วยน้ำเสียงแกล้งทำเป็นโกรธเคือง “นี่เธอทำกับเพื่อนที่แค่โทรหาตอนตีสามก็เรียกมาได้แบบนี้เหรอ”

“ขอบใจนะ” ในที่สุดความรู้สึกตึงเครียดของเจียงอี๋อันก็ผ่อนคลายลง เธอกล่าวขอบคุณเจี่ยงหนิงซวนด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณที่นาย…ถือสายเอาไว้ตลอด”

“ไม่เป็นไร” เจี่ยงหนิงซวนรู้สึกเขินนิดหน่อย เขามองไปทางไอโม่ซินแล้วกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่าย

ไอโม่ซินเห็นว่าอารมณ์ของทั้งสองคนมั่นคงแล้วจึงได้หันไปทางเจียงอี๋อัน “เธอบอกว่าเห็นคนคนนั้นในฝัน สถานการณ์จริงๆ เป็นยังไงเหรอ”

เจียงอี๋อันนึกถึงใบหน้าแย้มยิ้มประหลาดนั่นขึ้นมาก็อดรู้สึกหนาวสั่นไม่ได้ เธอกระชับเสื้อของเจี่ยงหนิงซวนที่คลุมอยู่บนร่างเล็กน้อยก่อนเล่าเหตุการณ์ในความฝันอีกรอบ

“เธอจำหน้าคนคนนั้นได้ยังไง แล้วเธอรู้ได้ไงว่าเขาเป็นใคร” ไอโม่ซินถามอีกครั้ง

เจียงอี๋อันเงียบไปสักพักกว่าจะเอ่ยเสียงต่ำ “เพราะคนคนนั้นหน้าตาเหมือนเซี่ยเจิ้งหวามาก เขาคบกับพี่สาวของฉันมาเกือบห้าปีแล้ว ฉันเคยเห็นเขาอยู่หลายครั้ง เขาเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างเข้มงวดจริงจังและตั้งใจมาก ฉันไม่ค่อยได้เห็นเขายิ้ม แต่คนที่อยู่ในความฝันเอาแต่ยิ้มตลอด ตอนแรกฉันก็คิดว่าหน้าคุ้นๆ กระทั่งเขาเลิกยิ้ม…ฉันเลยเห็นว่าเขาเหมือนเซี่ยเจิ้งหวามาก”

ไอโม่ซินครุ่นคิดอยู่สักพัก “เขาแค่จับมือของเธอ จากนั้นก็โผล่หน้าออกมา ไม่มีอย่างอื่นแล้วใช่มั้ย”

เจียงอี๋อันส่ายหน้า ไอโม่ซินจึงถามต่อ “แล้วพี่สาวของเธอล่ะ เธอสังเกตเห็นว่ามีของบางอย่างของตัวเองหายไปบ้างหรือเปล่า”

เจียงอี๋อันก้มหน้าเงียบ เจี่ยงหนิงซวนทนไม่ไหวเลยเปิดปากพูด “อี๋อัน ก็เหมือนที่เสี่ยวไอเคยบอกนั่นแหละ บางทีพี่สาวเธออาจจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เธอคิดอะไรออกก็พูดมาเถอะ เสี่ยวไอเองก็จะได้คิดหาวิธีช่วยเธอ”

“ฉันไม่แน่ใจ…” เจียงอี๋อันลังเลอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเปิดปากพูด “ถังขยะว่างเปล่า…วันนั้นเธอช่วยฉันทำความสะอาดหวีแล้วเอากระดาษทิชชูมาห่อเส้นผมฉันไว้ วันต่อมาหลังจากกลับมาบ้านถังขยะก็ว่างเปล่าแล้ว แต่ฉัน…วันก่อนหน้านั้นฉันเพิ่งเอาขยะไปทิ้ง ในนั้นก็เลยไม่มีอะไรสักอย่าง แล้วเธอก็เป็นคนประหยัดมาก ไม่มีทางเอาขยะไปทิ้งทั้งที่มันไม่เต็มแน่”

เจียงอี๋อันพูดไปตาก็แดงก่ำ เธอยังคงไม่อยากเชื่อว่าลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจะทำเรื่องอะไรก็ตามที่สามารถทำร้ายเธอได้

“ฉันไม่รู้…เธอไม่ทำร้ายฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอไม่ทำร้ายฉันหรอก…” เจียงอี๋อันดูเหมือนจะสติหลุดลอย เจี่ยงหนิงซวนทนไม่ไหวจึงเข้าไปนั่งข้างๆ และจับมือของเธอเอาไว้อย่างระมัดระวัง

“ยังไม่มีอะไรแน่นอน เธอไม่ต้องคิดมากไปนะ” ถึงเจี่ยงหนิงซวนจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ยังคงมองไปทางไอโม่ซิน เขามองออกว่าอีกฝ่ายคิดว่าลูกพี่ลูกน้องของเจียงอี๋อันรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรลงไป

ขนาดเจี่ยงหนิงซวนยังมองออกจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าของเรื่อง ตอนนี้เจียงอี๋อันมีเพียงความรู้สึกผิดหวัง

เธออยู่มาจนอายุยี่สิบสาม ถึงจะไม่ใช่กลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จอะไรในชีวิต แต่นับดูในช่วงชีวิตยี่สิบกว่าปีนี้ก็ไม่เคยประสบพบเจอกับอุปสรรคใหญ่หลวงอะไรมาก่อน

พ่อแม่ของเธอมีความคิดก้าวหน้า ไม่เคยจำกัดในสิ่งที่เธอต้องการจะทำ เพื่อนร่วมชั้นฝึกเปียโนเรียนเต้นรำ ส่วนเธอไปฝึกเทควันโดวิ่งมาราธอน ตอนแรกเธอจะถูกส่งไปโรงเรียนกีฬา แต่เมื่อเธอเห็นอัลบั้มรูปภาพก็บอกว่าอยากสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้ต่อต้าน ระหว่างภาคการศึกษาทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก ต่อให้เรื่องหูเยี่ยนเจ๋อจะทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจและต้องอกหักจากไอโม่ซินที่เพิ่งรู้สึกชอบพอ แต่ก็ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคอะไรสำหรับเธอ หนำซ้ำเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้เธอสนใจด้านนิติวิทยาศาสตร์อีกด้วย เธอจึงเลือกสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยา พิษวิทยา และพยาธิวิทยาเพิ่ม สุดท้ายศาสตราจารย์นิติเวชก็สนใจในตัวเธอเป็นพิเศษ หลังจบการศึกษาจึงพาตัวเธอไปอยู่ข้างกาย เมื่อมีโอกาสก็ให้เธอไปติดตามแพทย์นิติเวชอาวุโส แถมยังสนับสนุนให้เธอไปเรียนปริญญาโทซึ่งส่งผลดีกับตัวเธออีกต่างหาก

เทียบกับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ว่าสิ่งใดก็อยากจะทำให้สมบูรณ์แบบแล้ว เธอคิดว่าชีวิตของตัวเองสบายกว่ามาก

เจิ้งหมินซินอายุมากกว่าเธอห้าปี พ่อของอีกฝ่ายเสียชีวิตไปตอนเจ้าตัวอายุสิบสาม เจิ้งหมินซินจึงถูกนำมาฝากเลี้ยงกับครอบครัวของเจียงอี๋อัน ป้าของเธอทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อจ่ายค่าบ้าน วันหยุดก็ต้องทำงานล่วงเวลา ในบ้านเลยมักจะเหลือเด็กหญิงเพียงคนเดียว ต่อมาแม่ของเจียงอี๋อันทนดูไม่ไหวเลยรับลูกพี่ลูกน้องของเธอมาอยู่ด้วยกัน เมื่อมีพี่สาวเพิ่มขึ้นมาในครอบครัวเธอย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา

เจิ้งหมินซินดีต่อเธอมาตลอด พวกเธอสองพี่น้องสนิทกันมาก ไม่เคยโกรธเคืองเพราะเธอซุกซนหรือหยิบของมั่วซั่วเลย เธออยากได้อะไรพี่สาวก็จะมอบให้เธอ ตอนที่เธอได้ยินเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมบอกว่าทะเลาะกับพี่น้องในบ้านทั้งวี่ทั้งวันยังรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เธอบอกกับเพื่อนว่าพี่สาวดีกับเธอมาก เพื่อนร่วมชั้นก็เลยพูดอย่างหนักแน่นว่าพี่สาวเธอจะต้องเป็นลูกบุญธรรมแน่นอน ตอนนั้นเธอโกรธจนไม่อยากพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเลยทีเดียว ถึงพี่สาวจะไม่ใช่ลูกบุญธรรม แต่เธอก็พบว่าพี่สาวตามใจเธออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในตอนนั้นเธอเป็นเด็กมัธยมต้นปีที่สองคนหนึ่งและคิดอยากทดสอบดูว่าต้องทำถึงขนาดไหนพี่สาวถึงจะโกรธ เธอเลยจงใจหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผลอยู่หลายวัน แต่พี่สาวก็อ่อนโยนตลอด ยิ่งพี่สาวตามใจเธอก็ยิ่งรู้สึกอยากทดลอง เธอหาเรื่องจนกระทั่งแม่รู้เข้าและโดนตีเป็นการทำโทษ เธอถึงได้หยุด

กลางดึกวันต่อมาแม่ของเธอก็ขุดเธอขึ้นมาจากเตียงและแอบไปดูที่ห้องหนังสือเงียบๆ อย่างกับโจร พี่สาวกำลังอ่านหนังสือพร้อมปาดน้ำตาโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอยู่อย่างนั้น

แม่พาเธอกลับเข้ามาที่ห้องก่อนพูดกับเธอจากใจจริง ‘หมินซินคิดว่าตัวเองมาอาศัยคนอื่นอยู่ก็เลยไม่กล้าเอาแต่ใจตัวเอง ป้าของพี่เขาขายบ้านเปลี่ยนแซ่ไปแล้ว พี่เขาคิดว่าตัวเองไม่มีครอบครัวอีกแล้ว ต่อให้แม่ดีกับพี่เขายังไง พี่เขาก็ยังคิดว่าตัวเองถูกพ่อแม่ทอดทิ้งอยู่ดี และเพราะแม่ใจดีถึงได้รับพี่เขามาเลี้ยง พี่เขาเป็นคนเข้มแข็งแต่ก็คิดมาก แม่ไม่ขอให้ลูกเข้าใจความคิดของแม่หรอก เพราะต่อให้แม่ดีกับพี่เขายังไง ก็ไม่มีทางดีไปกว่าที่ดีกับเด็กดื้ออย่างลูกแน่นอน ดังนั้นแม่จะไม่ขอให้ลูกเข้าใจจุดยืนของแม่ แม่แค่ขอให้ลูกเห็นพี่เขาเป็นพี่สาวแท้ๆ เท่านั้นเอง’

‘พี่เขาเป็นพี่หนู แต่พี่ไม่ได้คิดว่าหนูเป็นน้องสาว พี่ไม่โกรธหนู! ไม่ด่าหนูเลย!’

เธอจำได้ว่าหลังจากที่ตัวเองพูดแบบนั้นไปแม่ก็กลอกตาใส่เธอก่อนจะตบหัวไปทีหนึ่ง แล้วบอกให้เธอไปขอให้เจิ้งหมินซินด่าเธอเอง

เธอคิดอย่างจริงจังอยู่สองวันก็วิ่งไปพูดกับพี่สาว เธอหวังให้พี่สาวเป็นเหมือนพี่สาวคนอื่นๆ ที่ดุเธอได้ ควบคุมเธอได้ สามารถทะเลาะแล้วค่อยคืนดีกัน ไม่ต้องให้ท้ายเธอจนเสียคน

เธอจดจำความตกตะลึงบนใบหน้าของพี่สาวในตอนนั้นได้ อีกฝ่ายเงียบอยู่นานแล้วก็สังเกตเห็นสีหน้าของเธอ เมื่อมั่นใจว่าเธอจริงจังพี่สาวถึงพูดเสียงเบา ‘พี่รู้แล้ว งั้น…ต่อไปเธอห้ามทำปากกาพี่หักอีกได้มั้ย แบบนี้มันค่อนข้างจะ…สิ้นเปลืองน่ะ’

‘ได้ ฉันผิดเอง ฉันจะใช้เงินค่าขนมซื้อคืนให้พี่’

ในตอนนั้นเจิ้งหมินซินเหมือนอยากจะพูดกับเธอว่าไม่ต้องหรอก แต่หลังจากคิดซ้ำไปซ้ำมาก็พยักหน้า ต่อมาทั้งสองพี่น้องก็ไปซื้อปากกาที่ร้านเครื่องเขียนอีกหลายด้าม เวลาอยู่ด้วยกันก็เป็นธรรมชาติมากกว่าเมื่อก่อน

“ฉันคิดมาตลอดว่า…ฉันกับพี่สนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ” เจียงอี๋อันพูดเสียงเบา “ฉันเป็นพวกตรงไปตรงมามาก มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้มีความอ่อนไหวคิดเล็กคิดน้อยเหมือนพี่ ฉันเข้าใจว่าสาเหตุที่พวกเราพี่น้องสนิทสนมกลมเกลียวแบบนี้ก็เพราะพี่คิดว่าเธอเป็นหนี้ครอบครัวเรามาตลอด ดังนั้นเลยทนฉันได้ไม่จบไม่สิ้น ฉันเองก็เข้าใจว่านี่เป็นปมในใจของเธอเอง แล้วเธอก็ไม่มีวิธีเอาชนะได้ ตัวฉันเองก็ช่วยเธอไม่ได้เหมือนกัน สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือการดีต่อเธอ ฉันคิดมาตลอดว่าความรักความผูกพันของพวกเราดีมากจริงๆ”

เจียงอี๋อันพูดถึงตรงนี้ก็แทบจะเหมือนพูดพึมพำกับตัวเอง เธอคิดถึงเมื่อวานที่เจี่ยงหนิงซวนตกลงมาจากบันไดต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอตกใจจนพบว่าเจี่ยงหนิงซวนมีที่ยืนในหัวใจของตัวเองแล้ว

แต่สิ่งที่ไอโม่ซินพูดต่อจากนั้นทำให้เธอช็อกจนไม่มีเวลาคิดใคร่ครวญถึงความรู้สึกที่มีต่อเจี่ยงหนิงซวน ในหัวของเธอมีแต่ความไม่อยากเชื่อเพราะคิดว่าพี่สาวไม่มีทางทำร้ายเธอแน่นอน

เธอบอกตัวเองในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดว่ามันเป็นไปไม่ได้ กระทั่งเธอฝันเห็นผู้ชายที่เหมือนคู่หมั้นของพี่สาวราวกับพิมพ์เดียวกันจริงๆ เธอถึงรู้สึกว่าชิ้นส่วนที่เป็นของญาติพี่น้องที่อยู่ลึกลงไปในใจของตัวเองเหมือนจะแตกหักไปส่วนหนึ่งแล้ว

“ต่อให้พี่เธอทำอะไรลงไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ!” เจี่ยงหนิงซวนเห็นท่าทางสะเทือนใจของหญิงสาวก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน เขาโมโหขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหันไปหาไอโม่ซิน “แบบนี้จะแก้ไขยังไงล่ะ นายทำอะไรได้หรือเปล่า”

ความจริงไอโม่ซินก็กำลังคิดถึงปัญหานี้อยู่ เมื่อเย็นวานเขารีบวิ่งไปที่ศาลคนกระดาษก่อนที่สือหมิงจะปิดศาล หลังจากกลับไปยังกรมตำรวจแล้วเขาถึงไปถามเรื่องสกุลกัวกับเจียงเฉิงฟาง

‘ไม่เคยติดต่อกันมาก่อนเลย สกุลของพวกเขาถือว่าทำตัวดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ’

‘พวกเขาลากอี๋อันไปเกี่ยวข้องกับวิวาห์ผี’ ไอโม่ซินตอบกลับไปตามตรง

‘ล้อเล่นหรือเปล่า วิวาห์ผีจะมาเกี่ยวข้องกับคนเป็นได้ยังไง เจียงอี๋อันรู้จักอีกฝ่ายเหรอ’ เจียงเฉิงฟางขมวดคิ้ว เขารู้จักกับพวกเด็กๆ ในโรงเรียนที่สนิทกับไอโม่ซินทั้งหมด

‘ไม่รู้จักครับ เจ้าบ่าววิวาห์ผีเป็นพี่ชายที่ตายไปแล้วของว่าที่พี่เขยอี๋อัน บางทีพี่สาวของเธออาจจะทำอะไรบางอย่าง เธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ ผมขอไปเยี่ยมบริษัทผูกวาสนาได้มั้ยครับ’ ไอโม่ซินคิดว่าถ้าเขาไปหาเรื่องถึงถิ่นก็ต้องแจ้งให้เจียงเฉิงฟางรู้ด้วย

‘ได้อยู่แล้ว…พรุ่งนี้ก็ได้ ลุงจะไปทักทายก่อนสักสองสามคำ นายเลิกงานก่อนค่อยไป เหล่าเฉินบอกว่าจะรับนายกลับไปกินข้าวที่บ้าน’ เจียงเฉิงฟางขมวดคิ้ว พูดจบก็ไปโทรศัพท์โดยไม่ได้บอกว่าจะไปทักทายใคร ไอโม่ซินเลยได้กลับบ้านไปกินข้าวกับเฉินซื่อจวินตามที่เขาต้องการและไม่คิดว่าจะถูกเจี่ยงหนิงซวนเรียกมากลางดึกกลางดื่น

“พวกนายอย่าเพิ่งกังวลไปเลย วันนี้ฉันจะไปแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง” ไอโม่ซินหยิบสมุดบันทึกของเขาออกมาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี๋อัน เขียนวันเกิดของเธอลงไป”

เจี่ยงหนิงซวนยื่นมือจะช่วยเขียนแทนเธออย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ถูกไอโม่ซินปัดออก “ให้อี๋อันเขียนเอง”

เจี่ยงหนิงซวนแลบลิ้นปลิ้นตาแต่ไม่กล้าแย่งกลับมา เจียงอี๋อันเห็นแบบนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้งแล้วรับปากกาไปเขียนวันเกิดของตัวเองลงบนสมุดบันทึก

ไอโม่ซินรอจนเธอเขียนเสร็จ หลังจากคิดคำนวณในใจก็เขียนอักษรหนึ่งบรรทัดเอาไว้ด้านข้างวันเกิดที่เธอเขียน จากนั้นก็ฉีกกระดาษออกมาแบ่งครึ่งแล้วพลิกฝ่ามือทำให้กระดาษแผ่นนั้นลุกไหม้ ถึงแม้เจี่ยงหนิงซวนและเจียงอี๋อันจะไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรกแต่ก็ยังคงรู้สึกอัศจรรย์เล็กน้อย

ไอโม่ซินหยิบยันต์สีเหลืองที่ไปหลอกเอามาจากสือหมิงเมื่อวานออกมาจากกระเป๋าและส่งให้เจี่ยงหนิงซวน “นายพกอันนี้ติดตัวไว้นะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ห้ามเอาออกเด็ดขาด ถ้ายันต์สีเหลืองนี้ไหม้แล้วนายอยู่ในที่ทำงาน นายต้องรีบไปยืนอยู่ใต้ตราสัญลักษณ์หน่วยยามฝั่ง แต่ถ้าอยู่ข้างนอกให้หาสถานีตำรวจท้องถิ่นหรือกรมตำรวจ ด้านบนเคาน์เตอร์ประตูใหญ่จะมีตราตำรวจประทับอยู่ทุกที่ หรือถ้ามีวัดก็ได้ นายหาที่หลบแล้วโทรหาฉัน ถ้าฉันไม่รับสายก็โทรไปหาหัวหน้าของพวกเรา”

“ได้ ขอบใจนะ” เจี่ยงหนิงซวนรับแล้วนำไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

ไอโม่ซินมองไปทางเจียงอี๋อันอีกครั้งก่อนยิ้มปลอบเธอ “เธอสบายใจได้ ฉันไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องกับพวกเธอหรอก ตอนนี้เขาทำได้แค่เข้ามาใกล้เธอในความฝัน อย่างมากก็จับมือเธอ นอกนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เธอไม่ต้องกลัวเขาหรอก เอาไว้ฟ้าสางแล้วก็ไปอยู่ที่กรมฯ แล้วกัน พยายามตามติดหมอซ่งเอาไว้ พวกนี้มักจะกลัวคนสูงอายุแบบเขา เธอทำใจให้สบายแล้วทำงานของตัวเองได้เลย ฉันจะไปหาเธอก่อนเลิกงาน”

“ได้” เจียงอี๋อันพยักหน้าทันที “ขอบใจนายมากนะ…ขอโทษด้วยที่สร้างความลำบากให้นาย”

“เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันควรจัดการอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกเธอยังเป็นเพื่อนฉันด้วย” ไอโม่ซินยืนขึ้นก่อนจะบอกลาพวกเขาและออกไปจากบ้านของเจียงอี๋อันเพียงลำพัง

เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋าก็คลำเจอกรรไกรเล่มนั้นที่สือหมิงให้เขามา ไอโม่ซินยืนอยู่ด้านหน้าตึกที่พักของเจียงอี๋อัน เขาพิงเสาไฟต้นหนึ่งพลางพูดเสียงเบา

“ถ้า…ผมตัดเส้นสมรสของเธอจะเป็นยังไง”

“ตัดแล้วก็ตัดไป” เจียงหลียืนอยู่ข้างกายและดึงมือของเขาที่กำลังจับกรรไกรมากุมไว้ในฝ่ามือ

“แต่นี่คือวิวาห์ผี หรือคนเป็นจะไม่มี…เส้นสมรสคนเป็นอย่างนั้นเหรอ” ไอโม่ซินถามด้วยความไม่เข้าใจ

เจียงหลีมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “เส้นสมรสไม่มีแบ่งแยกคนเป็นคนตาย นางผูกวิวาห์ผีแล้ว นั่นก็คือบุพเพสันนิวาสของนาง”

“แต่บางคนก็หย่าร้าง บางคนก็แต่งงานใหม่ นี่หมายความว่าคนเราน่าจะไม่ได้มีเส้นสมรสแค่เส้นเดียวไม่ใช่เหรอครับ”

เจียงหลีลูบหว่างคิ้วของเขาเบาๆ พร้อมเอ่ยเสียงนุ่ม “เรื่องนั้นก็ต้องดูโชคชะตาของนาง ไม่ใช่ว่าทุกคนตัดเส้นสมรสไปแล้วจะสามารถเชื่อมได้อีก”

“ถ้าอย่างนั้นเธอจะทำได้มั้ยครับ” ไอโม่ซินจับมือเจียงหลี สองวันนี้เขาเอาแต่สนใจเรื่องนี้ แต่เจียงหลีกลับไม่เคยถามสักประโยค แสดงว่าเจียงหลีอาจรู้ว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปอย่างไร แต่ก็ไม่อาจแทรกแซงหรืออาจจะไม่สามารถแทรกแซงได้

รอยยิ้มของเจียงหลีแฝงแววจนปัญญาเล็กน้อย “ยกตัวอย่างเจ้าเด็กหนุ่มแซ่เจี่ยงนั่น ชีวิตเขาจะมีลูกสองคน แต่ในชีวิตของเด็กสาวคนนั้นจะไม่มีลูก ดังนั้นต่อให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี”

ไอโม่ซินได้ยินก็ตกตะลึงไปและได้แต่รู้สึกเสียใจ พวกเขาเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ราวกับจะเดินไปยังเส้นทางที่ต้องแยกจาก

“รอเดี๋ยวสิครับ ผมไม่ได้จะถามเรื่องนี้สักหน่อย ผมจะถามว่าเธอมีเส้นสมรสกี่เส้นต่างหาก” ไอโม่ซินทอดถอนใจเสร็จก็รู้สึกผิดปกติ เจียงหลีไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ

เจียงหลีได้แต่ดึงเขาเข้ามาในอ้อมแขนก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา “ก็แค่เส้นสมรส วันหน้าถ้านางต้องการ ข้าไปขอกับศาลผู้เฒ่าจันทรามาให้นางสักเส้นก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

ไอโม่ซินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เจียงหลีก็ไม่ยอมพูดตรงๆ เพราะมันน่าจะเป็นเรื่องที่ยากจะพูดได้ เขาเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง

เจียงหลีเห็นคิ้วของเขาขมวดแน่นก็ก้มหน้าลงมาประทับจูบหว่างคิ้วของเขาเบาๆ “เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปสกุลกัวกับเจ้า เจ้าอยากจะรื้อถอนป้ายวิญญาณหรือรื้อถอนบ้านเรือนก็ไม่มีปัญหา”

ไอโม่ซินคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะชำเลืองมองเขา “ไม่ต้องหรอกครับ ลุงเจียงบอกว่าจะไปทักทายแล้ว ผมแค่อยากไปถามไถ่สถานการณ์เท่านั้น ถ้าต้องเหยียบป้ายวิญญาณของเขาจริงๆ ผมก็ทำเองได้”

เจียงหลีจับไหล่เขาแล้วอุ้มไอโม่ซินจนลอยขึ้นมาโดยไม่รอให้เขาได้เรียกรถ แว่วเสียงไอโม่ซินคัดค้านเพียงครึ่งประโยค เงาร่างและเสียงพูดคุยใต้เสาไฟข้างถนนก็หายไปในชั่วพริบตา

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 31 .. 66

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: